ไดอารี่การเก็บเงินและลงทุนของผม ตอนที่ 3 : ไปดูหนังกันเถอะ!
จากนี้ไปผมจะไล่ดูการซื้อขายหุ้นแต่ละตัวว่ามันจบดีหรือร้ายอย่างไรนะครับ สนุกไปกับไดอารี่ผมนะครับ!

ในปี 2007 หลังจากที่หุ้นท่านแม่ฝากซื้อผ่านไป  ก็มาถึงตัวเราเองบ้าง สำรวจความพร้อม ทั้งเงินทุน (มีอยู่ร่วม 60K ละ! โอ้ เป็น new high ของเราเลยทีเดียว!)  ทั้งร่างกาย จิตใจ  ตื่นมาพร้อมรบแล้ว! เราจะเปลี่ยนตลาดหุ้น เป็นสนามรบของเรา hurah!

แต่ด้วยความที่โทรคุยกับเพื่อน W (ติดตามได้จากตอนที่ 1) ประจำ บอกว่า หุ้นที่เราดูไม่ใช่ตัวเลขเด้งไปเด้งมา มัันเป็นธุรกิจ ซึ่งมีคนคอยจัดการงานบริษัท ทำบัญชี ทำโปรโมชั่นออกมา ปวดหัวแทนเรา สรรหางานเข้าบริษัทแทนเรา  ขายของแทนเรา เก็บเงินแทนเรา ว่าง่ายๆก็คือ ทำงานแทนเราทุกอย่างนั่นเอง  ในขณะที่เราไปถือหุ้นที่ไม่มีส่วนร่วมในการ บริหารนั้น เราสามารถนอนกระดิกเท้าสบายใจอยู่บ้านได้  (งั้น อีกไม่นานตรูจะได้นอนกระดิกเท้าอยู่บ้านแล้วอ่าดิ!!!)  พอเพื่อนเล่าจบแล้ว เลยถามว่า "จะซื้อหุ้นอะไร ท่านรู้ปะธุรกิจนั้นมันทำอะไร?"

นี่มันคำถามพันล้านชัดๆ!!!!  
เพียงคำถามเดียว เราก็เริ่มตาใส มองหาธุรกิจที่เรารู้จัก มีการใช้บ่อยและเป็นลูกค้าชั้นดี เหอะๆ เอาใกล้ๆตัวเราละกันวันๆ เราทำอะไรบ้างฟะ

กิน ถ้าร้านก๋วยเตี๋ยวอาเจ็กที่เรากินบ่อยเขาเอาเข้าตลาดเมื่อไหร่ ตรูจะเป็นคนแรกที่ไปต่อคิวซื้อเลยเฟ้ย!! อาเจ็ก เอาเส้นเล็กน้ำไม่ใน 1 หุ้น เอ๊ย 1 ชาม!

เที่ยว พวกบริษัททัวร์ มันจะ work ไหมเนี่ยเห็นเวลาโทรไปถามราคาตั๋วเครื่องบินก็ไม่ค่อยยอมบอกชอบบอกว่าเดี๋ยว โทรกลับแล้วก็ไม่โทรกลับซักกะราย  ซังกะบ๊วยอย่างนี้ เน่าแน่นอน!

ดูหนัง ดูหนัง  ดูหนัง ................เฮ้ยยยยย นี่มันพฤติกรรมระดับชาติที่คนไทยทุกคนทำอยู่ ทุกชนชั้น ไม่ว่าจะ
1. พาแฟนไปดูหนัง  ตัวเองไปดูหนังกันน้า จะได้ขอแต๊อั๋งแบบ(ไม่)ตั้งใจได้ หรือมีช่วงเวลาที่เราสองคนซึ้งไปตามหนัง 555555 เป็นการปรับความเข้าใจของซึ่งกันและกันด้วยทีเดียว!!!
2. ไปดูหนังกับเพื่อน พอสอบเสร็จไม่รู้จะทำอะไรก็ต้องชวนเพื่อน เฮ้ย ไปดูหนังกัน  โอ้.. ได้เงินที x 5 x 10
3. ดูหนังกับที่บ้าน พอหนังเฉินหลงเข้าช่วงตรุษจีน ต้องชวนที่บ้านไปดูกันทุกที (คิดไปเอง)
4. ดูหนังคนเดียว  เวลาว่างไม่รู้ทำอะไรก็ไปดูหนังได้ด้วยตัวคนเดียวว (นี่ก็คิดไปเอง)
5. หรือมีจัดแข่งดูหนังมาราธอน! โอ้.. อย่างนี้มันรายได้ เพียบนี่หว่า!

     แปลว่าประเทศไทยเรามันต้องดูหนังกันอย่างยาเสพติดอย่างหนักแน่นอน(นี่ก็ยัง คิดไปเองได้อีก!) สมัยที่เราไปเมกา ก็ไปดูหนังคนเดียวบ่อยๆ (ไม่ fix ที่นั่ง แถม แอบดูหลายๆรอบๆ ต่อๆกันฟรี 55555) หนังเรื่องดังๆ ต้องต่อคิวกันยาวมาก ซึ่งในเมืองไทยก็ไม่ต่างกัน ต่อคิวกันยาวมากๆๆ แถมมีการ fix ที่นั่งด้วย มันช่างเป็นนวัตกรรมที่สุดยอด ไม่สามารถแอบดูรอบถัดไปได้ด้วย ถ้าเราจะดูสองเรื่องก็ต้องจ่ายอีกเรื่อง แปลว่าธุรกิจโรงหนังในเมืองไทย มันต้องดีแหง๋แซะ แถมด้วย ขนมที่ซื้อหน้าโรงก็  มหาโคตะระแพง อย่างนี้ต้องเรียกว่า ค้ากำไรเกินควร เอ๊ย  มีส่วนต่างของกำไร(profit Margin) สูงมากกกกกกเลยทีเดียว! มองไปมีแต่กำไร กำไร ไม่รวยวันนี้แล้วจะรวยวันไหนฟ๊ะ 555555555!!!

ว่าแล้ว ก็เปิด นสพ.กทม ธุรกิจ search หมวด media เลย มันต้องมีบริษัทอะไรที่ทำหนัง หรือ โรงหนังบ้างหล่ะเว้ย!! และแล้ว ก็เจอ 1 ตัว!!!

M- - - -  (ที่แปลว่า พันตรี, ส่วนใหญ่, ส่วนมาก, วิชา เอก...... ใบ้มากเกินไปป่าวเนี่ย!)

profile : ผู้บริหารทำโรงหนังมาตั้งแต่ gen ก่อน มีการรวมเครือโรงหนังสมัยก่อน E- - มาเป็นเครือเดียวกัน โอ้ บริษัทนี้ มัน growth prospect ชัดๆ (เขาซื้อตั้งแต่ชาติที่แล้ว แล้วเพ่!)  มีโรงจำนวนมาก แถม market share มากกว่าอีกค่าย นี่มันมี มอด (Moat = คูคลอง) ตามแบบวอร์แรน บัฟเฟตบอกชัดๆ location ก็อยู่ในจุดเสี่ยง เอ๊ย จุดยุทธศาสตร์ทางการขายทั้งนั้น แถมมีตรูก็เป็นลูกค้าชั้นดีอีก!

พอคิดในหัวเสร็จเรียบร้อยก็ถึงตอนซื้อแล้ว ธุรกิจดีอย่างนี้ ไม่ต้องต่อราคาแล้ว!!!!  

( ในใจตอนนั้นผมมีสองด้าน โดยที่แบ่งเป็น  2 ฝ่ายอย่างชัดแจ้ง
ฝ่ายแรก “ยังไม่ได้ดู P/E ROE ROA cash flow อะไรเลย จะซื้อแล้วเหรอ ศึกษาก่อนดีไหม แล้วค่อยตัดสินใจ? แล้วดูราคาก่อนหน้านี้ปะมันแพงไปปะเนี่ย?”
ฝ่ายที่สอง “เฮ้ย ราคานี้มัน 15.xx ถูกจะตาย ซื้อแค่นี้เป็นเจ้าของโรงหนังแล้วนะเฟ้ย เดี๋ยวมันขึ้นไปก่อนทำไง อดได้ตังค์ดิ !!!”
ฝ่ายแรก “เสียใจดีกว่าเสียตังค์นะเฟ้ย”
ฝ่ายสอง “โหยหนังดีๆ กำลังเข้าเลยปีนี้รายได้เกินเป้าแหง๋ๆ รู้อยู่แล้วว่าจะได้ตังค์ ไม่ซื้อ แล้วอย่ามาบอกว่ารู้งี้ ซื้อแต่แรกดีกว่า”  and so on and so on ...and so on... )

ในเมื่อเราพิจารณาแล้วว่ามันคือ เมกาเทรนด์ แน่นอนอย่างนี้ซื้อเลยทุกราคา!!!!! 5555555 เม่าเคาะซื้อ

เปิดตลาดมา 15.90 บาท พร้อม กดซื้อเลยทีเดียว กลัวแย่งไม่ทันขอจัดไป 1,000 หุ้น โอ้ววว การซื้อหุ้นหลักพันหุ้นนี่มันใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ อย่่างนี้นี่เอง!  และแล้วสรุป เย็นนั้นก็รับอนุเคราะห์หุ้น M- - - - มาอยู่ในความดูแล ตัวนี้ผมจะถือยาว เกิน 5 ปีแน่นอน หรือไม่ก็ราคานี้ตลอดชีพ เราจะแก่และร่ำรวยด้วยเงินปันผลบริษัทนี้ 55555!!!!

ไม่ทันพ้น 3 วันต่อมา หุ้น M - - - - ขึ้นมาเป็น 16.30  เปิดหน้าจอโอ้ ขายดีกว่าไหมเนี่ย! นี่  3 วันเรากำลังได้ถึง 400 บาท! (ก่อนหักค่าธรรมเนียมโบรคเกอร์) นี่มันได้มากกว่าที่เราฝากประจำ 4 เดือนอีกนี่หว่า!!! (ดู Chapter 1) อย่าโลภเลย เอ....... 3 วันก่อนหน้านี้เราคิดอะไรไว้หว่า เกิน 5 ปี อะไรซักอย่าง หรือไม่ได้คิดไว้ อัลไซเมอร์ขึ้นชั่วขณะ ช่างมันแล้ว เอากำไรออกมาเที่ยวก่อนดีกว่า 555
หลังจากที่ขายไป 16.30 สรุปกำไรที่  3xx บาทในวันนั้น ถือเป็นกำไรก้อนแรกที่ลงทุนโดยการวิเคราะห์ อย่างจริงจังของเรา 555(มันฟลุ๊คถูกต่างหากเฟ้ยยยยย!) นับว่าเป็นฤกษ์ดีในการซื้อขายหุ้นของเราแล้ว  เรามาถูกทางแล้ว พี่น้อง!   อย่างเพลง บอดี้แสลม ว่าไว้
"คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน เวลามีเหลือกันเท่าไหร่"


พรุ่งนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรแต่ตรูขอมีเงินใช้วันนี้เฟ้ยยยยยย 5555555 !!!
เสียงพี่มาร์ยังลอยมาอยู่ว่า “หุ้นที่ขายวันนี้ เงินยังไม่เข้านะคะ ได้อีก 3 วัน ใช้ระบบ ATS ไงคะ”
อ๊ากกกกก ATS บัดซบบบบบบบบบบบบบบบบบ ลืมได้ไงฟร่ะ!!!!!!! เม่าตกใจ



Create Date : 17 มกราคม 2556
Last Update : 17 มกราคม 2556 20:03:10 น.
Counter : 1482 Pageviews.

2 comments
  
55+ เขียนฮาดีครับ ค่อยๆเก็บลำไย เฮ้ยกำไรไปคับ
โดย: คนปีมะ IP: 203.144.164.158 วันที่: 19 มกราคม 2556 เวลา:9:28:47 น.
  
อ่านตั้งแต่ภาค 1 ฮาดี

อยากรู้ตอนต่อไปเป็นจั๊งได๋จัง อิอิอิ
โดย: เด็กน้อยตัวแสบ วันที่: 23 มีนาคม 2556 เวลา:11:37:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Psyche
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มกราคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31