ยุคเฮอัง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
* ยุคหิน 3500014000 BCE
* ยุคโจมง (縄文時代) 14000400 BCE
* ยุคยะโยอิ (弥生時代) 400 BCE250 CE
* ยุคโคะฟุง (古墳時代) 250538
* ยุคอะซึกะ (飛鳥時代) 538710
* ยุคนะระ (奈良時代) 710794
* ยุคเฮอัง (平安時代) 7941185
* ยุคคะมะกุระ (鎌倉時代) 11851333
* ยุคมุโระมะจิ (室町時代) 13361573
o ยุคเซงโงะกุ (戦国時代)
* ยุคอะซึจิ โมะโมะยะมะ (安土桃山時代)
15681603
* ยุคเอะโดะ (江戸時代) 16001868
* ยุคเมจิ (明治時代) 18681912
* ยุคไทโช (大正時代) 19121926
* ยุคโชวะ (昭和時代) 19261989
* ยุคเฮเซ (平成時代) 1989ปัจจุบัน
ยุคเฮอัง (「平安時代」, Heian-jidai, เฮอังจิได?) อยู่ในช่วง ค.ศ. 794 - ค.ศ. 1185 ในปลายศตวรรษที่ 8 มีการย้ายเมืองหลวงไปที่ เฮอังเกียว (Heiankyou) หรือเมืองเกียวโตใน ปัจจุบัน นับเป็นยุคทองของประเทศญี่ปุ่น ที่ทั้งศิลปะและวัฒนธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีการพัฒนาปรับปรุงวัฒนธรรมต่างๆ ที่หยิบยืมมาจากประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง และลัทธิเต๋า จนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบเฉพาะตัวของญี่ปุ่น เฮอัน (平安,Hiean) แปลว่า ความสงบสันติ
ประวัติศาสตร์ยุคเฮอัง
ยุคเฮอัง เป็น ยุคที่ต่อเนื่องมาจากยุคนารา เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 794 หลังจากการย้ายเมืองหลวงสู่นครเฮอันเคียว โดยพระจักรพรรดิคัมมุ จักรพรรดิองค์ที่ 50 ของประเทศญี่ปุ่น เพื่อต้องการลิดรอนอำนาจการปกครองที่ตกอยู่ในมือของศาสนจักรของนครเฮโจวเคียวในยุคนารากลับคืนมา
แม้จักรพรรดิจะถือว่าเป็นประมุขของประเทศ แต่ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงในยุคนี้กลับตกในมือตระกูลขุนนางฟุจิวะระ และตระกูลขุนนางต่างๆ ตระกูลฟุจิวาระ (Fujiwara) เป็นตระกูลขุนนางที่มีอำนาจปกครองญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 10-11 กุมอำนาจในราชสำนักโดยการแต่งงานเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยบุตรสาวของตระกูลฟุจิวะระจะมีตำแหน่งเป็นจักรพรรดินีและเป็นพระมารดาของ องค์จักรพรรดิในสมัยเฮอันหลายต่อหลายพระองค์ ทำให้อำนาจการปกครองแท้จริงอยู่ในมือคนของตระกูลนี้ มีการนำเอาระบบการจัดสรรปันส่วนที่ดิน โดยมีการยกเว้นภาษีที่ดินแก่ คนบางกลุ่ม (Shoen) มาใช้ แต่การดูแลหัวเมืองในภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงเกิดการจราจลแยกตัวออกไปก่อตั้งตระกูลทหารขึ้นใน ตอนปลายศตวรรษที่ 11 ตระกูลฟุจิวะระถูกขัดขวางโดยฝ่ายอินเซ (Insei : จักรพรรดิผู้ที่ทรงสละราชบังลังก์แล้วแต่ยังทรงกุมอำนาจอยู่) ขณะที่ทหารเริ่มเข้ามามีบทบาทในการปกครองมากขึ้น
ยุคเฮอังตอนต้น ค.ศ. 782-967
* ค.ศ. 782-833 ย้ายราชธานีมาสู่นครเฮอังเกียว สถาปนาหน่วยราชการใหม่ๆ เช่น สำนักพระราชเลขานุการส่วนพระองค์ และ สำนักราชองครักษ์หลวงส่วนพระจักรพรรดิ ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายเทนได ( Tendai sect) และ ชินงอน ( Shingon sect) ที่ถือสันโดษ และไม่เป็นอันตรายต่อพระราชอำนาจ
* ค.ศ. 833-877 พระราชอำนาจของพระจักรพรรดิเสื่อมถอยลง อำนาจการปกครองตกอยู่ในเมือขุนนางตระกูลฟุจิวะระ ที่มักจะมีตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการ และ มหาเสนาบดี
* ค.ศ. 887-967 ช่วงการแย่งชิงอำนาจระหว่างพระจักรพรรดิและตระกูลฟุจิวะระ
ยุคเฮอังตอนปลาย ค.ศ. 967-1167
* ค.ศ. 967-1068 อำนาจการปกครองตกอยู่ในมือตระกูลฟุจิวะระอย่างสมบรูณ์
* ค.ศ. 1068-1156 องค์พระจักรพรรดิผู้สละราชย์ชิงอำนาจการปกครองกลับคืนมา
* ค.ศ. 1156-1167 การลุกฮือขึ้นแย่งชิงอำนาจของชนชั้นขุนศึก
ศิลปะวัฒนธรรม
ตัวอักษรคะนะ
วัฒนธรรมที่เป็นรูปแบบของญี่ปุ่นโดดเด่นมากในสมัยเฮอัน ในศตวรรษที่ 9 ญี่ปุ่นยังคงรับวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังอยู่ พุทธศาสนานิกายมิเคียว (Mikkyou) กับการเขียนรูปประโยคแบบจีนแพร่หลายมาก พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 10 หลังจากที่ญี่ปุ่นไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับภาคพื้นทวีปแล้ว ได้เกิดวัฒนธรรมชนชั้นสูงที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของญี่ปุ่นเอง วรรณกรรมที่เด่นในเวลานี้ อาทิ โคะคินวะกะชู (Kokinwakashuu) เป็นหนังสือรวมกวีนิพนธ์ญี่ปุ่นเล่มแรกตามพระราชโองการของจักรพรรดิ (ในต้นศตวรรษที่ 10) ตำนานเก็นจิ (Genji Monogatari) นวนิยายเรื่องยาวที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งโลก (ประมาณต้นศตวรรษที่ 11) และ มะคุระโนะโซชิ (Makura no Soshi) หนังสือข้างหมอน[1] (ประมาณ ค.ศ. 1000) วรรณกรรมเหล่านี้เขียนด้วยตัวอักษร คะนะ อีกด้วย ตั้งแต่ช่วงหลังศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา พุทธศาสนานิกายโจโดะ (Joudo) ซึ่งมุ่งหวังความสุขในชาติหน้าเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับนิกาย มิคเคียว ที่หวังผลประโยชน์เฉพาะในชาตินี้ และเราจะเห็นถึงความมีเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นปรากฏอยู่ในวรรณกรรมกับงานศิลปะ เช่น สถาปัตยกรรม การเขียนภาพ การแกะสลัก เป็นต้น
ศาสนา
แม้ชาวญี่ปุ่นจะนับถือลิทธิชินโตมาแต่ดั้งเดิม แต่ก็รับศาสนาพุทธเข้ามาด้วยจากการรับวัฒนธรรมจากประเทศจีน และแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นในยุคเฮอัง โดยแบ่งเป็น 2 ลิทธิใหญ่ๆคือ นิกายเท็นได และ ชินงอน
นิกายเท็นได เป็นพุทธนิกายแบบมหายานที่รับมาโดยตรงจากประเทศจีน นับถือปัทมสูตร[2] ( Lotus Sutra ) เป็นพระสูตรสำคัญ ส่วนนิกายชินงอน เป็นพุทธนิกายที่มีรากฐานจากพุทธศาสนาในประเทศอินเดียและทิเบต ก่อตั้งโดยพระคูไก
สถาปัตยกรรม
รูปแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในยุคนี้คือ สถาปัตยกรรมแบบชินเด็ง ( Shinden-zukuri) หลักๆจะประกอบด้วยเรือนหลัก ( Shinden ) และเรือนต่อขยายด้านตะวันตกและตะวันออก เชื่อมกับเรือนหลักด้วยทางเดินที่มีหลังคาคลุม เรือนหลักจะหันหน้าไปทางทิใต้ซึ่งเป็นทิศมงคลตามคติแบบจีน เรือนทางทิศเหนือนั้นจะจัดให้เป็นที่พำนักของภรรยาหลวงเสมอ ดังนั้นในสมัยนั้นเรียกภรรยาหลวงว่า คิตะโนะคะตะ ( Kita no Kata - ผู้ที่อยู่ทางทิศเหนือ ) ด้านหน้าเป็นสวนที่ประกอบด้วยสระน้ำ เกาะ เนินเขาจำลอง และสะพาน มีกำแพงดินล้อมรอบหมู่คฤหาสน์ทั้งหมด หลังคานิยมมุงด้วยเปลือกสนที่ซ้อนกันเป็นชั้นหนามากกว่ากระเบื้อง เพราะกระเบื้องแบบจีนนั้นไม่เหมาะกันอากาศของญี่ปุ่น พื้นจะเป็นพื้นไม้กระดาน ไม่มีเสื่อวาง เรือนด้านตะวันออกส่วนใหญ่จะมีทางเดินยาวเชื่อมสู่เรือนตกปลา( Tsuridono) ที่สร้างเหนือลำธารหรือสระน้ำ
เรือนแบบชินเด็งแต่ละหลัง สามารถแบ่งห้องได้ตั้งแต่ 4 ห้องถึง 9 ห้อง โดยใช้ฉาก หรือ ราวผ้าม่านเป็นเครื่องกั้นหองตามขนาดความต้องการใช้งาน ห้องที่มีข้างฝาและประตูมิดชิดมี 1 ห้องเรียกว่า โมะยะ สถาปัตยกรรมแบบชินเด็งนี้จะเย็นสบายในฤดูร้อน แต่ในฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก
เหตุการณ์ที่สำคัญ
* พ.ศ. 1337 (ค.ศ. 794) - ย้ายเมืองหลวงไปที่เฮอังเกียว (เมืองเกียวโตะในปัจจุบัน)
* พ.ศ. 1347 (ค.ศ. 804) - ส่งพระไซโจ และ คูไก ไปยังประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถังตามคำแนะนำของราชทูตญี่ปุ่น
* พ.ศ. 1348 (ค.ศ. 805) - พระไซโจ เดินทางกลับญี่ปุ่น และก่อตั้งศาสนาพุทธ นิกายเทนได
* พ.ศ. 1349 (ค.ศ. 806) - พระคูไก เดินทางกลับญี่ปุ่น และก่อตั้งศาสนาพุทธ นิกายชินงอน
o อำนาจของจักรพรรดิเริ่มสั่นคลอน จากการขึ้นมามีอำนาจของตระกูลฟูจิวาระ ที่ได้รับตำแหน่งสูงในราชสำนัก นอกจากนี้ยังได้อำนาจมาจากการไปแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ของจักรพรรดิด้วย
* พ.ศ. 1427 (ค.ศ. 884) - โมโททสึเนะ ฟุจิวาระ ได้รับแต่งตั้งเป็น คัมปากุ ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการผู้อาวุโส ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของขุนนาง และทำให้ตระกูลฟุจิวาระยึดครองอำนาจในราชสำนัก
* พ.ศ. 1437 (ค.ศ. 894) - มิจิซาเนะ สุงาวาระ (ซึ่งเป็นตระกูลที่จักรพรรดิทรงให้การอุปถัมภ์เพื่อยับยั้งการมีอำนาจของ ตระกูลฟูจิวาระ) ได้สั่งระงับการส่งทูตไปเมืองถังของจีน (เนื่องจากการเมืองในจีนกำลังวุ่นวาย) ส่งผลให้การรับวัฒนธรรมจากแผ่นดินใหญ่ยุติลงด้วย แต่ส่งผลทำให้อารยะธรรมญี่ปุ่นเริ่มที่จะมีลักษณะและรูปแบบพิเศษเฉพาะเป็นของ ตนเอง
* พ.ศ. 1444 (ค.ศ. 901) - สุงาวาระ ถูกเนรเทศไปอยู่ที่ดาไซฟุ เกาะคิวชู เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการวางแผนล้มล้างการปกตรอง
o มีการประดิษฐ์อักษรคานะ ประกอบด้วยพยางค์ทั้งหมด 47 ตัว โดยดัดแปลงมาจากตัวอักษรของจีน และนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง นับเป็นการเปิดทางให้แก่งานเขียนที่มีรูปแบบเป็นของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายแทนถ้อยคำสำนวนที่ยืมมาจากภาษาจีน
* พ.ศ. 1553 (ค.ศ. 1010) - ชิกิบุ มุราซากิ เขียนนิยายเรื่อง เกนจิ โมโนงาตาริ
* พ.ศ. 1559 (ค.ศ. 1016) - มิจินางะ ฟุจิวาระ ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และตระกูลฟุจิวาระได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง
o กลุ่มขุนนางที่ปกครองในส่วนภูมิภาคได้เริ่มตั้งตนเป็นหัวหน้าของพวกนัก รบ หรือ พวกบูชิโด ที่เกิดจากการที่สมาชิกต่างๆของครอบครัวได้จัดตั้งองค์กรทางทหารของตนขึ้นมา ทำการปกครองมณฑลต่างๆ
o ในตอนปลายของศตวรรษที่11 ได้เกิดการต่อสู้ระหว่างกองทหารของพวกนักรบในมณฑลทางเหนือหลายครั้ง และตระกูลมินาโมโตะได้มีชื่อเสียงและอิทธิพลที่สุดในแถบคันโต
* พ.ศ. 1594 (ค.ศ. 1051) - โยริโยชิ มินาโมโตะ ได้ปราบปรามกลุ่มกบฎของตระกูลอาเบะที่โอชู
* พ.ศ. 1596 (ค.ศ. 1053) - หอนกฟินิกซ์ในวัดเบียวโดอิน ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์
* พ.ศ. 1626 (ค.ศ. 1083) - โยชิอิเอะ มินาโมโตะ ได้ปราบปรามตระกูลคิโยฮาระที่โอชู
* พ.ศ. 1629 (ค.ศ. 1086) - จักรพรรดิชิรากาวะ เป็นจักรพรรดิองค์แรกที่สละบัลลังก์ออกบวช แต่ยังกุมอำนาจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง และต่อมาก็มีจักรพรรดิอีกหลายองค์ที่ทำเช่นเดียวกัน จักรพรรดิชิรากาวะได้แสวงหาวิธีการที่จะต่อต้านอิทธิพลของตระกูลมินาโมโตะ จึงได้แต่งตั้งคนในตระกูลไทระ เป็นที่ปรึกษาของพระองค์
* พ.ศ. 1699 (ค.ศ. 1156) - ศึกโฮเงน แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองและความมีอำนาจของชนชั้นนักรบ
* พ.ศ. 1702 (ค.ศ. 1159) - เกิดสงครามเก็มเป เป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลไทระ กับตระกูลมินาโมโตะ ผลคือตระกูลไทระเป็นฝ่ายชนะ และทำให้ตระกูลไทระ ขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในราชสำนัก
* พ.ศ. 1713 (ค.ศ. 1170) - ตระกูลมินาโมโตะ กลับมามีอำนาจอีกครั้งในมณฑลทางภาคตะวันออก และเป็นถิ่นกำเนิดของพวกซามูไร
* พ.ศ. 1728 (ค.ศ. 1185) - ตระกูลไทระ ถูกทำลายล้างโดยตระกูลมินาโมโตะ ในศึกดันโนะอุระ[3]