อยู่กับสิ่งที่มี หรือตามหาสิ่งที่ฝัน.. Revolutionary Road ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว วันนี้อยากพูดถึงเรื่อง Revolutionary Road..ถนนแห่งฝัน สองเรานิรันดร์ผลงานกำกับของ แซม เมนเดส เจ้าของรางวัลออสการ์จาก American Beauty เป็นหนังที่เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนมีชีวิตที่ Routine มาก ใครเคยมีชีวิตแบบตื่นเช้ามา อาบน้ำแต่งตัว ไปทำงาน ก่อนกลับบ้านเล่นฟิตเนส แล้วก็กลับมาเหนื่อย ดูทีวี นอน เคยมีนักเขียนชื่อดังในไทยคนนึงบอกว่า ชีวิตแบบนี้ คือ การไม่มีชีวิต ซึ่งก็เป็นสาระเดียวกันกับหนังเรื่องนี้ ภรรยาที่เคยมีความฝัน ต้องมาเป็นแม่บ้านชานเมือง ที่ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบแล้ว สามีหล่อและตั้งใจทำงาน มีลูกที่น่ารัก มีบ้านหลังงาม แต่เธอคิดว่า ...นั่นไม่ใช่การมีชีวิต จะว่าเพราะหน้าที่ เพราะภาระ เพราะกรอบปฏิบัติในสังคม เพราะเงิน เพราะเวลาในแต่ละวันที่หายไปกับสิ่งที่คิดว่าต้องทำ หรือเพราะความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาว่า เรียนจบ ก็ต้องทำงาน หาเงิน สร้างครอบครัว มีลูก เลี้ยงลูก คือสิ่งที่เป็นเป้าหมายของชีวิต สิ่งเหล่านี้จึงเหมือน"กล่อง" ที่เก็บปุยเมฆของความฝันไว้ ไม่กล้าลอยออกไปข้างนอก หรือกล่องที่เราเฝ้าเดินวนอยู่ในนี้ จนคิดว่าไม่มีเวลาและความจำเป็นต้องออกไปสู่โลกภายนอก เพราะในนี้ก็มีครบทุกอย่างแล้ว เหมือนตัวละครในเรื่อง ที่เมื่อคิดจะออกนอกกล่อง ก็ถูกตราหน้าว่า บ้า หรือ คิดอะไรเป็นเด็กๆ ในหนังได้ใส่ตัวละครที่ "กึ่งบ้า" เข้ามาตัวนึง เพื่อจะมาสนับสนุนว่าการจะออกนอกกล่อง ไม่ใช่เรื่องความ"บ้า" แต่เป็นความ"กล้า" ซึ่งจริงๆแล้ว คำสองคำนี้ใกล้เคียงกันมาก แล้วแต่มุมมองของคน เราเองอาจไม่จำเป็นต้องตามหาความฝันแบบสุดโต่งเหมือนตัวละครในเรื่องที่ทำสิ่งที่เกินกว่าคนปรกติจะทำกัน (นัยหนึ่งคิดว่าหนังคงต้องการสื่อในเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจน) แต่หนังเรื่องนี้ สอนให้เราอย่าลืมความฝัน อย่าลืมสิ่งที่อยากทำให้ได้ในชีวิต อย่าให้ภาระหน้าที่บดบังอนาคตที่เราอยากมี อยากเป็น "If being crazy means living life as if it matters, then I don't mind being completely insane" ปล. ในชีวิตผมก็เคยเจอเรื่องคล้ายๆ พระเอกเมื่อตอนจะออกจากงานก็ได้รับข้อเสนอที่ดีมาก แต่สุดท้ายก็เลือกตามความฝัน และดีใจ ที่วันนั้นได้ตัดสินใจเลือกเดินตามทางที่เราต้องการ...   Create Date : 07 มีนาคม 2553 6 comments Last Update : 7 มีนาคม 2553 3:23:32 น. Counter : 5172 Pageviews. Share Tweet

ชอบฉากที่ต่างฝ่ายต่างแอบมองกันและกันในความมืด หลังจากทะเลาะกันครั้งใหญ่ หากก่อนหน้านี้ทั้งคู่ยังพอมี"อะไรๆ"ต่อกันบ้าง ฉากนั้นแหละที่บอกว่ามันไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว   โดย: yatiko 11 มีนาคม 2553 15:18:53 น.

บังเอิญมาได้อ่าน ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน แต่เห็นด้วยเลย เพราะส่วนตัวแล้วก็คิดแบบนี้เหมือนกัน มานั่งคิดดูว่า เราทำงานๆแต่ละวัน แต่ว่าหาความสุขไม่ได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะทุกข์นะคะ และก็คงเป็นเหมือนกันที่มานั่งมองถึงความสุข ช่วงที่จะตัดสินใจลาออกจากงานนี่ล่ะ   โดย: เปิดรับความสุข IP: 202.90.121.82 17 มิถุนายน 2553 11:39:24 น.

แนะนำเว็บดูหนังซีรีย์เกาหลีฟรี   โดย: koreaserie (loveyoupantip ) 6 สิงหาคม 2554 10:09:29 น.

การมีความฝันและไล่ตามความฝันไม่ใช่สิ่งผิด แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เป็นไปได้และความจริงของชีวิต ไม่ใช่เอาอนาคตและความหวังของใครต่อใครไป ทำให้เดือดร้อน   โดย: mamble2713 IP: 115.87.71.53 4 มีนาคม 2556 6:24:47 น.

การไม่รู้จักคำว่า "พอ" ไม่มีวันทำให้ชีวิตได้รู้จักความสุขที่แท้จริง   โดย: mamble2713 IP: 115.87.71.53 4 มีนาคม 2556 6:27:16 น.

กรณีของเจ้าของกระทู้ กับหนัง ผมว่าหนังค่อนข้างจะหนักกว่า เพราะมีภาระ คือลูก ที่ต้องเลี้ยงดูอีกถึงสองคน ซึ่งฝ่ายชายนั้นต้องรับภาระในการหารายได้มา ผ่อนบ้าน และเลี้ยงดูลูกทั้งสอง ดูตั้งแต่ต้น จนจบ อ่านทุนบทสนทนา ระหว่างทั้งสองคน ผมว่า ฝ่ายชายค่อนข้าง ตั้งอยู่ในหลักของเหตุ และผล ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทะเลาะกันบนรถ เรื่องการแสดง ส่วยฝ่าย หญิง ผมว่าค่อนข้างจะอิงกับชีวิตที่ใฝ่ฝัน ไม่ได้คำนึงถือ สภาวะรอบข้าง ไหนจะลูกอีกสองคน ไหนจะไปหลับนอนกับเพื่อนสนิท ซึ่งแฟนของเพื่อนสนิทก็รู้อยู่เต็มอกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ จากประโยคที่ว่า รู้สึกโล่งใจ ที่เอพพริว จะย้ายไปปารีส (ผมนี่อินกับหนังเรื่องนี้เกินเหตุรึป่าวหว่า 5555)   โดย: kuuga IP: 110.170.190.34 9 สิงหาคม 2561 14:10:22 น.