Group Blog
 
 
มีนาคม 2566
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
28 มีนาคม 2566
 
All Blogs
 

แบ่งปันประสบการณ์ผ่าตัดเนื้องอกมดลูกแบบส่องกล้องโดยใช้สิทธิบัตรทอง

สวัสดีทุกคน ที่มาแชร์เรื่องนี้เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเป็นโรคนี้และกำลังว้าวุ่น กังวลใจ วิตกกังวล และกำลังหาข้อมูลอยู่นะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ และใช้สวัสดิการบัตรทองของรัฐบาล เอาละ เข้าเรื่องกันเลย



ตรวจพบได้ยังไง
ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้มีอาการผิดปกติหรือเจ็บป่วยใด ๆ แต่เราใช้บริการสิทธิประโยชน์ฟรีจากแอ๊ปเป๋าตังค์ โดยใช้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งสตรี เราตรวจทั้งมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม โดยไปใช้บริการที่ศูนย์สาธารณะสุขใกล้บ้าน หมอตรวจพบว่ามดลูกโต หมอจึงเขียนบันทึกข้อความไปยังหน่วยบริการประจำและบอกว่าหลังได้รับผลตรวจมะเร็งปากมดลูกแล้วให้นำเอกสารชุดนี้ไปยื่นที่หน่วยบริการประจำเพื่อทำเรื่องส่งตัวต่อไป
 
หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์เจ้าหน้าที่ก็โทรมาแจ้งว่าผลตรวจมะเร็งปากมดลูกออกแล้ว เป็น Negative แปลว่าไม่เป็นมะเร็ง แต่มดลูกมีลักษณะโตเมื่อคลำได้ด้วยมือ

ตัดสินใจ
เราใช้เวลาพิจารณาว่าจะผ่าตัดอยู่ประมาณ 6 เดือน เพราะไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่พอได้คุยกับผู้มีประสบการณ์ท่านนึง ได้รับคำแนะนำว่า ถ้ามีอาการตอนที่อายุมากกว่านี้ อาจจะเจ็บปวดทรมานกว่านี้ก็เป็นได้ จึงตัดสินใจได้ว่าจะดำเนินการต่อ

ทำเรื่องส่งตัว
ขึ้นปีใหม่ เดือนมกราคม 2566 นำหนังสือจากสถานพยาบาลใกล้บ้านไปติดต่อที่หน่วยบริการประจำ โดยโทรศัพท์ไปสอบถามก่อน เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาดีมาก และเราก็ไปทำเรื่อง ให้หมอของหน่วยบริการประจำทำหนังสือส่งตัวให้ และได้รับเอกสารในวันนั้นเลย

ติดต่อโรงพยาบาลต้นสังกัด
หลังจากนั้นอีก 1 เดือน เราก็นำเอกสารไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด และทำเรื่องตรวจกับแผนกนารีเวช ครั้งนี้หมอได้ทำการอัลตร้าซาวด์ในช่องคลอดเพื่อดูขนาดและตำแหน่งของก้อนเนื้อ จึงพบว่าก้อนเนื้อมีขนาด 7 ซม. จึงทำเรื่องให้เราคุยกับหมอผ่าตัดในอาทิตย์ถัดไป สำหรับวันนี้ให้ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเอ็กซ์เรย์ปอดด้วยหลังจากนั้นก็กลับบ้านได้
 
อีก 1 อาทิตย์ เราก็มาคุยกับหมอผ่าตัด หมอก็ตรวจอัลตร้าซาวด์ดูก้อนเนื้องอกอีกรอบ ครั้งนี้พบว่ามีขนาด 10 ซม. หมอบอกว่าก้อนมีขนาดใหญ่ ประกอบกับเราอายุเยอะแล้ว แนะนำให้ตัดมดลูกออกมาด้วย เพราะถ้าปล่อยไว้ ก้อนอาจงอกขึ้นมาได้อีก เราก็ตกลง หมอยังบอกอีกว่า มีวิธีการผ่าตัดออก 2 วิธี คือผ่าเปิดหน้าท้อง กับส่องกล้อง ถ้าผ่าเปิดหน้าท้องไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มใด ๆ เบิกได้ตามสิทธิบัตรทอง แต่ถ้าส่องกล้อง มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 20,000 บาท ประกอบกับก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ ต้องใช้เครื่องปั่น ซึ่งที่นี่ไม่มี ต้องเช่ามาจากโรงพยาบาลอื่น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก รวม ๆ แล้วไม่เกิน 40,000 บาท เราจึงถามหมอว่า ถ้างั้นส่งไปที่อื่นที่ไม่ต้องเช่าเครื่องปั่นจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไหม หมอบอกว่าได้ แล้วเขียนใบส่งตัวให้ไปโรงพยาบาลในสังกัดอีกแห่งนึง แล้วให้เราไปทำเรื่องส่งตัวที่ชั้น 8
 
พอเราไปถึงชั้น 8 พนักงานก็มาคุยด้วยบอกว่าไม่แน่ใจว่าจะทำเรื่องได้ไหมเพราะที่นี่มีอุปกรณ์อยู่แล้ว ลองกลับไปคุยกับหมอดีไหม เพราะพยาบาลก็ผ่าเปิดหน้าท้อง ก็ไม่ได้แย่นะ เราจึงกลับไปคุยกับหมอที่แผนกนารีเวชอีกครั้ง แต่หมอไม่อยู่แล้ว พยาบาลจึงทำบัตรนัดให้มาคุยกับหมออาทิตย์หน้า เราจึงขอผลตรวจร่างกายจากพยาบาลติดมาด้วย เพราะอยากรู้ว่าผลเลือดที่โดนเจาะไป 4 หลอด เป็นอย่างไร
 
อีก 1 อาทิตย์เราก็มาหาหมอตามนัด แต่ก่อนมาพบหมอ เราขึ้นไปทำเรื่องส่งตัวที่ทำค้างไว้ให้เสร็จ ครั้งนี้ไม่เจอพยาบาลคนที่เคยคุยด้วย พนักงานให้บัตรนัดเพื่อรับเอกสารรับรองค่าใช้จ่ายและเอกสารส่งตัววันที่ 15 กุมภาพันธ์ เราได้ขอชื่อพนักงานคนที่รับเรื่องคราวนี้ไว้ หลังจากนั้นก็กลับมาหาหมอที่แผนกนารีเวช ครั้งนี้เราขอคำปรึกษาอย่างจริงจัง ว่าเคสเราควรรักษาอย่างไรดี หมอให้ความเห็นว่าเนื่องจากก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ ถ้าผ่าเปิดหน้าท้องจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่ามีก้อนเนื้ออื่น ๆ งอกขึ้นมาอีกหรือไม่ วันพุธนี้หมอว่างพอดี นัดผ่าเลยละกัน เราตกใจในความรวดเร็วกระทันหัน จึงขอโทรถามญาติก่อน ระหว่างที่คุยกับญาติ หมอพูดขึ้นมาว่าส่องกล้องได้ ไม่ต้องปั่น ญาติก็งงและบอกให้เรากลับไปคุยกับหมอให้เสร็จแล้วค่อยโทรมาใหม่ สรุปหมอบอกว่าผ่าได้เลย ไม่ต้องปั่น นัดคิวผ่าเลยวันพุธนี้ คืนนี้ไปจัดของแล้วพรุ่งนี้มานอนโรงพยาบาลได้เลย เราก็งง ๆ ใจก็คิดว่า ผ่า ๆ ให้มันจบ ๆ แล้วก็กลับบ้านมาจัดของเตรียมตัวไปนอนโรงพยาบาล
 
ระหว่างที่จัดของก็คิดถึงกิจธุระที่มีในเดือนนี้ว่าเรามีนัดไปต่างจังหวัด ต้องขับรถ ต้องช่วยดูแลผู้สูงอายุแล้วถ้าผ่าตัดจะดูแลเค้าได้ยังไง ถ้าไปเป็นภาระเค้าจะไปทำไม พอจัดของเสร็จ ตอนที่ยกกระเป๋ารู้สึกว่ามีการเกร็งหน้าทอง จึงนึกได้ว่าวันที่นัดผ่าตัดเราต้องคำนึงถึงความสะดวกของตัวเราด้วย วันรุ่งขึ้นจึงโทรไปปฏิเสธหมอ และหาข้อมูลโรงพยาบาลที่สามารถผ่าตัดส่องกล้องได้ และได้โทรศัพท์สอบถามพนักงานคนที่ถามชื่อไว้ที่แผนกส่งตัว ว่าโรงพยาบาลเครือข่ายของที่นี่มีโรงพยาบาลอะไรบ้าง พอเค้าบอกรายชื่อก็ดีใจ เพราะมีโรงพยาบาลที่หาข้อมูลไว้ด้วย เราจึงถามว่า ถ้าต้องการให้ส่งตัวไปโรงพยาบาลที่หาข้อมูลไว้ต้องทำยังไง พนักงานบอกว่าต้องให้หมอเขียนใบส่งตัวขึ้นมาทำเรื่องใหม่ เราก็โอเค รู้เรื่อง
 
15 กุมภาพันธ์ วันนัดรับเอกสาร เราไปหาหมอที่แผนกนารีเวชก่อนเพื่อขอให้หมอทำใบส่งตัวไปโรงพยาบาลที่ต้องการให้ ขณะทำเรื่องมีความไม่สะดวกเล็กน้อย แล้วหมอก็ขีดฆ่าชื่อโรงพยาบาลเดิม เปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลที่เราต้องการให้ พร้อมเซ็นชื่อกำกับ แล้วเราก็นำเอกสารขึ้นไปให้ที่แผนกส่งตัว พนักงานมอบเอกสารให้พร้อมบอกว่าไปที่โรงพยาบาลนี้ได้เลย ทำเรื่องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้แล้ว

ย้ายมายังโรงพยาบาลที่หาข้อมูลไว้
หลังจากนั้นเราก็ไปยังโรงพยาบาลที่ต้องการซึ่งอยู่ไกลกว่าโรงพยาบาลเดิมนิดหน่อย โรงพยาบาลนี้มีศูนย์ส่องกล้องเฉพาะทางของกทม. สถานที่เหมือนโรงพยาบาลเอกชนเลย ดูน่าเชื่อถือ หมอทำการอัลตร้าซาวด์อีกรอบ ครั้งนี้หมอชี้ให้ดูว่ามดลูกมีขนาด 7*10 ซม. และบังรังไข่ไว้ข้างนึง หมอให้แนวทางการรักษาสองทาง อย่างแรกสามารถส่องกล้องผ่าออกได้ โดยจะมีแผลจากการเจาะหน้าท้อง 3-4 รู หรืออย่างที่สองคือเอาทั้งมดลูกและเนื้องอกออกมาทางช่องคลอดได้เลยโดยไม่ต้องใช้เครื่องปั่น ทั้งนี้หากมีก้อนเนื้ออย่างอื่นนอกจากก้อนที่เห็นในการอัลตร้าซาวด์ก็จะติดออกมาด้วย เราก็ตกลงเลือกการผ่าตัดแบบส่องกล้องโดยนำออกมาทางช่องคลอด เพราะจะไม่มีแผลใด ๆ โชคดีที่เรานำผลตรวจร่างกายจากโรงพยาบาลต้นสังกัดไปด้วย จึงไม่ต้องเจาะเลือดเพิ่ม แต่ต้องตรวจปัสสาวะและ X-Ray ใหม่ พยาบาลก็ออกบัตรนัดฟังผลตรวจร่างกายและนัดคุยกับวิสัญญีแพทย์ให้

วันนัดฟังผล Lab เราก็มาหาหมอตามนัด ผลตรวจร่างกายเป็นที่น่าพอใจ หมอก็นัดวันผ่าตัด ที่จริงเป็นวันที่ญาติไม่สะดวก พยาบาลจึงแนะนำว่าให้อยู่ห้องรวมเพราะจะมีพยาบาลคอยเดินตลอด แต่การแอดมิทนอนโรงพยาบาลจะต้องมีญาติมาเซ็นชื่อด้วยซึ่งญาติเราสะดวกในวันนั้น แต่วันออกจากโรงพยาบาลนี่สิ ญาติไปต่างจังหวัด แล้วค่อยคุยกับพยาบาลอีกว่าต้องทำอะไรบ้างที แล้วเราก็ถามพยาบาลเรื่องค่าใช้จ่าย พยาบาลบอกว่าสิทธิบัตรทองจ่ายเพิ่มประมาณ 3-5,000 บาท หลังจากพูดคุยนัดหมายเรื่องผ่าตัดเสร็จ ก็ส่งตัวเราไปคุยกับวิสัญญีแพทย์ต่อ วิสัญญีก็อธิบายว่าก่อนผ่าตัดจะทำให้เราหมดสติก่อนแล้วจึงใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ เสียบสายสวนปัสสาวะ เราจะไม่มีอาการเจ็บปวดเพราะหมดสติไปแล้ว เราก็โอเคเข้าใจ หลังจากนี้ก็เตรียมตัวให้พร้อมก่อนผ่าตัด

เตรียมตัว
ช่วงเตรียมตัว เราตระเวนกินของที่อยากกิน สิ่งที่จะกินไม่ได้ในช่วงพักฟื้น ไอศกรีม กุ้งดอง แซลม่อนดอง ก้อย ลาบ ส้มตำปูปลาร้า ฯลฯ กินเท่าที่จะหากินได้ ทำธุระที่ช่วงพักฟื้นจะไม่สามารถทำได้ พยาบาลบอกว่าช่วงพักฟื้นไม่ควรยกของหนัก ขับรถ 2 เดือน ก็ทำธุระเกี่ยวกับการนี้เท่าที่นึกออกให้เสร็จก่อน 

วันนัด
พอถึงวันนัด เราลืมนำบัตรนัดกับใบส่งตัวมา ดีที่มีญาติมาด้วย จึงให้ญาติกลับบ้านไปนำมาให้ ในวันแรกทางโรงพยาบาลจะให้เรามานอนเตรียมตัวก่อนวันผ่าตัด 1 คืน โดยให้มาแอดมิทแต่เช้าเพื่อปรับการรับประทาน ให้ทานอาหารอ่อน ๆ ตลอดทั้งวัน และงดน้ำ งดอาหาร หลังเที่ยงคืน

วันผ่าตัด
วันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 9:00 น. จะมีพนักงานเข็นเตียงพาเราไปห้องผ่าตัด พอเข้าไปในห้องผ่าตัดแอร์เย็นมาก อากาศหนาวมาก ๆ บอกแพทย์ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเราก็สลบแล้ว วิสัญญีอธิบายว่า เค้าจะให้เราดมยาสลบ เราจะหมดสติไป และจะฟื้นขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เราฟื้นขึ้นมาหลังผ่าตัด ที่แขนโดนเข็มขนาดใหญ่เจาะและที่อวัยวะเพศก็มีสายสวนปัสสาวะเสียบอยู่ เค้าจะพาเราไปนอนพักอยู่บริเวณพักฟื้นประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนนั้นรู้สึกตัวแล้ว แต่ต้องนอนราบ ๆ อยู่เฉย ๆ อยู่ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้น พนักงานจะเข็นเตียงกลับมายังห้องพักที่แผนกนารีเวช ความรู้สึกแน่น ๆ ท้อง บอกไม่ถูก แต่คิดว่าคงเพราะมีสายปัสสาวะต่อกับอวัยวะเพศอยู่จึงอึดอัด พลิกตัวไม่ถนัด นอนเสียบสายต่าง ๆ ไปคืนนึง ช่วงสาย ๆ หมอผ่าตัดก็มาคุยด้วย ถามอาการอะไรๆ เราก็ปกติดี ช่วงบ่าย ๆ เค้าก็จะมาถอดสายปัสสาวะออก หมอบอกให้พยายามขยับตัว แต่เอาจริง ๆ นะ เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด มันจะขยับตัวอะไรได้นักหนา เราใช้เวลาสักพัก พยายามลุกขึ้นเดิน แต่เดินไม่ได้เร็วอย่างใจคิดนัก เพราะแน่นหน้าอก หายใจติดขัด เจ็บท้อง รู้สึกปวดท้อง แน่นท้องตลอดเวลา พอรับประทานอาหารได้ ก็รู้สึกแน่นท้องมากจนทนไม่ไหว บอกพยาบาล บอกหมอ ตกกลางคืนมีอาการหนาว พยาบาลมาวัดไข้ก็ไข้ขึ้น ได้ยาแก้ไข้ไปหนึ่งเม็ด

กำหนดกลับบ้าน
ถึงกำหนดวันที่ต้องกลับบ้าน เราเรียกแม่กับรถรับจ้างมารับ แต่อาการปวดท้องยังไม่หายเลย ตอนเช้าหมอมาดูอาการรอบแรกบอกให้กลับบ้านได้ เราก็เก็บของเรียบร้อยละเตรียมตัวกลับบ้าน สักพัก หมออีกคนมาดูอาการบอกว่าเห็นว่าเมื่อคืนมีไข้ และปวดท้อง หมอกดตรงพุงกลม ๆ พุงแข็งมาก กดไม่ค่อยลง หมอบอกว่า มีแต่ลมนะ แก๊สเยอะ หมอไม่สบายใจ ขอเก็บปัสสาวะกับเลือดไปตรวจเพิ่ม และขออัลตร้าซาวด์ดูก่อน เราก็เห็นด้วยนะ เพราะเรายังปวดท้องมาก ๆ จริง ๆ อยากหายปวดท้อง อยากหายเป็นปกติเร็ว ๆ พนักงานพาไปอัลตร้าซาวด์ที่ศูนย์ส่องกล้อง คณะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเราทั้งคณะมามุงดู (ในใจก็อายเหมือนกันนะ แต่มันก็เหตุผลทางการแพทย์อ่ะนุ) แพทย์ทุกคนลงความเห็นว่า ลำไส้ผิดปกติเนื่องจากการผ่าตัดจึงให้เรารักษาตัวอยู่อีกคืนนึง เพื่อให้ยาลดกรด ยาฆ่าเชื้อ ยาระบาย เพิ่ม เราก็บอกแม่ละ วันนี้ยังกลับไม่ได้นะแม่ ยังปวดท้องอยู่เลย แม่ก็บอกว่าดีแล้ว รักษาให้หายก่อนค่อยกลับ หมอแนะนำว่าให้เดินเยอะ ๆ เพื่อลดกรด ลดแก๊สในกระเพาะ บริเวณห้องพักผู้ป่วยจะเห็นคนไข้มาเดินช้า ๆ สวนกันไปมา คล้ายเดินจงกลม เพราะการเดินนั้นเชื่องช้ามาก ไม่ต้องแปลกใจไป เค้าไม่ได้เดินจงกลมกันนะ เค้าเดินเพื่อลดแก๊ส

กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้น รู้สึกตัวว่าอาการหายใจขัด เจ็บหน้าอก หายไป อาการปวดท้องทุเลาลง แต่ยังไม่หายดีนัก แต่รู้สึกดีขึ้นมาก หมอมาตรวจตอนเช้าแล้วอธิบายว่าในการส่องกล้องจะมีการใช้แก๊สด้วย แต่แพทย์ได้ไล่แก๊สออกแล้ว เราอาจจะเป็นคนที่มีแก๊ส มีกรดในกระเพาะเยอะอยู่แล้ว เลยท้องอืดมากกว่าคนอื่น พอเห็นเราอาการดีขึ้นก็ให้กลับบ้านได้ โดยนัดติดตามผลอีก 2 อาทิตย์  กว่าจะได้กลับจริง ๆ ก็ปาไปช่วงบ่ายเพราะต้องรออหมอสั่งยาให้ก่อน กินข้าวโรงพยาบาลไปอีกสองมื้อ วันนี้มีเพื่อนคนนึงสะดวก จึงวานให้เพื่อนมาพากลับบ้าน ก่อนกลับพอรับยาแล้วพนักงานก็พาไปกดเงินเพื่อชำระค่าใช้จ่ายส่วนเกินของสิทธิบัตรทอง รวมทั้งค่ายาที่อยู่นอกรายการ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,267.50 บาท สรุปจากที่คิดว่าต้องจ่ายเงินหลายหมื่น ก็เหลือ สองพันกว่าบาท

พอถึงบ้านสักพัก เราก็รับประทานอาหารเย็น แล้วตั้งใจว่าจะเดินไป 7-11 แถวบ้าน ระยะทางประมาณ 300 เมตร เพื่อลดอาการท้องอืด แต่หลังจากกลับมาถึงบ้าน พอไปปัสสาวะ พบว่ามีเลือดซึมเล็กน้อย ตกใจมาก จึงไลน์ถามพยาบาล พยาบาลตอบในเวลาทำการวันรุ่งขึ้นว่า ถ้ามีเลือดออกเล็กน้อยเป็นอาการปกติของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง เราก็โอเค วางใจ คงไม่เป็นอะไรมาก แต่รู้สึกเข็ดไปเลย กับการเดินก้าวยาว ๆ แบบไม่ระวัง

การพักฟื้น
ช่วงพักฟื้นเราก็หาเรื่องเดินอีกเรื่อย ๆ แต่ไม่กล้าก้าวขายาว ๆ ละ เดินก้าวสั้น ๆ แทน พยาบาลแนะนำว่า ให้ออกกำลังกายเบา ๆ ได้ ควรหลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดหลาย ๆ ขั้น อย่าเพิ่งยกของหนัก ๆ อย่าเพิ่งขับรถ ส่วนอาหารที่รับประทานได้ก็เป็นอาหารอ่อน ๆ พวก ข้าวต้ม เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เต้าหู้ ผลไม้ก็กล้วย มะละกอ มะม่วงสุก อะไรประมาณนี้ ควรเลี่ยงนม เพราะในนมมีแก๊ส ทำให้ท้องอืด (เพิ่งรู้จากพยาบาลนะเนี่ย) ดื่มน้ำมาก ๆ 

วันนี้เป็นวันที่ 4 หลังจากออกจากโรงพยาบาล เราก็เริ่มรู้สึกว่าอาการท้องอืดหายไป แต่ยังรับประทานได้ปริมาณน้อยอยู่ รู้สึกว่าเดินได้ดีขึ้นแต่ยังรู้สึกขัด ๆ นิดหน่อย ไว้จะมาอัพเดทการพักฟื้นให้อีกนะคะ



 




 

Create Date : 28 มีนาคม 2566
1 comments
Last Update : 28 มีนาคม 2566 19:23:37 น.
Counter : 770 Pageviews.

 

Bitcoin (BTC) might just be the golden opportunity of our era, poised to skyrocket to $200,000 in the upcoming year or the one following. In the past year alone, BTC has witnessed a staggering 20-fold increase, while other cryptocurrencies have surged by an astounding 800 times! Consider this: a mere few years ago, Bitcoin was valued at just $2. Now is the time to seize this unparalleled chance in life.
Join Binance, the world's largest and most secure digital currency exchange, and unlock free rewards. Don't let this pivotal moment slip through your fingers!
Click the link below to enjoy a lifetime 10% discount on all your trades.
https://swiy.co/LgSv

 

โดย: Mariofef IP: 203.10.98.33 26 มีนาคม 2567 9:54:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


MeaoNoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add MeaoNoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.