แบ่งปันประสบการณ์ผ่าตัดเนื้องอกมดลูกแบบส่องกล้องโดยใช้สิทธิบัตรทอง
สวัสดีทุกคน ที่มาแชร์เรื่องนี้เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเป็นโรคนี้และกำลังว้าวุ่น กังวลใจ วิตกกังวล และกำลังหาข้อมูลอยู่นะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ และใช้สวัสดิการบัตรทองของรัฐบาล เอาละ เข้าเรื่องกันเลย
ตรวจพบได้ยังไงต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้มีอาการผิดปกติหรือเจ็บป่วยใด ๆ แต่เราใช้บริการสิทธิประโยชน์ฟรีจากแอ๊ปเป๋าตังค์ โดยใช้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งสตรี เราตรวจทั้งมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม โดยไปใช้บริการที่ศูนย์สาธารณะสุขใกล้บ้าน หมอตรวจพบว่ามดลูกโต หมอจึงเขียนบันทึกข้อความไปยังหน่วยบริการประจำและบอกว่าหลังได้รับผลตรวจมะเร็งปากมดลูกแล้วให้นำเอกสารชุดนี้ไปยื่นที่หน่วยบริการประจำเพื่อทำเรื่องส่งตัวต่อไป หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์เจ้าหน้าที่ก็โทรมาแจ้งว่าผลตรวจมะเร็งปากมดลูกออกแล้ว เป็น Negative แปลว่าไม่เป็นมะเร็ง แต่มดลูกมีลักษณะโตเมื่อคลำได้ด้วยมือ ตัดสินใจเราใช้เวลาพิจารณาว่าจะผ่าตัดอยู่ประมาณ 6 เดือน เพราะไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่พอได้คุยกับผู้มีประสบการณ์ท่านนึง ได้รับคำแนะนำว่า ถ้ามีอาการตอนที่อายุมากกว่านี้ อาจจะเจ็บปวดทรมานกว่านี้ก็เป็นได้ จึงตัดสินใจได้ว่าจะดำเนินการต่อ ทำเรื่องส่งตัวขึ้นปีใหม่ เดือนมกราคม 2566 นำหนังสือจากสถานพยาบาลใกล้บ้านไปติดต่อที่หน่วยบริการประจำ โดยโทรศัพท์ไปสอบถามก่อน เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาดีมาก และเราก็ไปทำเรื่อง ให้หมอของหน่วยบริการประจำทำหนังสือส่งตัวให้ และได้รับเอกสารในวันนั้นเลย ติดต่อโรงพยาบาลต้นสังกัดหลังจากนั้นอีก 1 เดือน เราก็นำเอกสารไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด และทำเรื่องตรวจกับแผนกนารีเวช ครั้งนี้หมอได้ทำการอัลตร้าซาวด์ในช่องคลอดเพื่อดูขนาดและตำแหน่งของก้อนเนื้อ จึงพบว่าก้อนเนื้อมีขนาด 7 ซม. จึงทำเรื่องให้เราคุยกับหมอผ่าตัดในอาทิตย์ถัดไป สำหรับวันนี้ให้ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเอ็กซ์เรย์ปอดด้วยหลังจากนั้นก็กลับบ้านได้ อีก 1 อาทิตย์ เราก็มาคุยกับหมอผ่าตัด หมอก็ตรวจอัลตร้าซาวด์ดูก้อนเนื้องอกอีกรอบ ครั้งนี้พบว่ามีขนาด 10 ซม. หมอบอกว่าก้อนมีขนาดใหญ่ ประกอบกับเราอายุเยอะแล้ว แนะนำให้ตัดมดลูกออกมาด้วย เพราะถ้าปล่อยไว้ ก้อนอาจงอกขึ้นมาได้อีก เราก็ตกลง หมอยังบอกอีกว่า มีวิธีการผ่าตัดออก 2 วิธี คือผ่าเปิดหน้าท้อง กับส่องกล้อง ถ้าผ่าเปิดหน้าท้องไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มใด ๆ เบิกได้ตามสิทธิบัตรทอง แต่ถ้าส่องกล้อง มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 20,000 บาท ประกอบกับก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ ต้องใช้เครื่องปั่น ซึ่งที่นี่ไม่มี ต้องเช่ามาจากโรงพยาบาลอื่น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก รวม ๆ แล้วไม่เกิน 40,000 บาท เราจึงถามหมอว่า ถ้างั้นส่งไปที่อื่นที่ไม่ต้องเช่าเครื่องปั่นจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไหม หมอบอกว่าได้ แล้วเขียนใบส่งตัวให้ไปโรงพยาบาลในสังกัดอีกแห่งนึง แล้วให้เราไปทำเรื่องส่งตัวที่ชั้น 8 พอเราไปถึงชั้น 8 พนักงานก็มาคุยด้วยบอกว่าไม่แน่ใจว่าจะทำเรื่องได้ไหมเพราะที่นี่มีอุปกรณ์อยู่แล้ว ลองกลับไปคุยกับหมอดีไหม เพราะพยาบาลก็ผ่าเปิดหน้าท้อง ก็ไม่ได้แย่นะ เราจึงกลับไปคุยกับหมอที่แผนกนารีเวชอีกครั้ง แต่หมอไม่อยู่แล้ว พยาบาลจึงทำบัตรนัดให้มาคุยกับหมออาทิตย์หน้า เราจึงขอผลตรวจร่างกายจากพยาบาลติดมาด้วย เพราะอยากรู้ว่าผลเลือดที่โดนเจาะไป 4 หลอด เป็นอย่างไร อีก 1 อาทิตย์เราก็มาหาหมอตามนัด แต่ก่อนมาพบหมอ เราขึ้นไปทำเรื่องส่งตัวที่ทำค้างไว้ให้เสร็จ ครั้งนี้ไม่เจอพยาบาลคนที่เคยคุยด้วย พนักงานให้บัตรนัดเพื่อรับเอกสารรับรองค่าใช้จ่ายและเอกสารส่งตัววันที่ 15 กุมภาพันธ์ เราได้ขอชื่อพนักงานคนที่รับเรื่องคราวนี้ไว้ หลังจากนั้นก็กลับมาหาหมอที่แผนกนารีเวช ครั้งนี้เราขอคำปรึกษาอย่างจริงจัง ว่าเคสเราควรรักษาอย่างไรดี หมอให้ความเห็นว่าเนื่องจากก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ ถ้าผ่าเปิดหน้าท้องจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่ามีก้อนเนื้ออื่น ๆ งอกขึ้นมาอีกหรือไม่ วันพุธนี้หมอว่างพอดี นัดผ่าเลยละกัน เราตกใจในความรวดเร็วกระทันหัน จึงขอโทรถามญาติก่อน ระหว่างที่คุยกับญาติ หมอพูดขึ้นมาว่าส่องกล้องได้ ไม่ต้องปั่น ญาติก็งงและบอกให้เรากลับไปคุยกับหมอให้เสร็จแล้วค่อยโทรมาใหม่ สรุปหมอบอกว่าผ่าได้เลย ไม่ต้องปั่น นัดคิวผ่าเลยวันพุธนี้ คืนนี้ไปจัดของแล้วพรุ่งนี้มานอนโรงพยาบาลได้เลย เราก็งง ๆ ใจก็คิดว่า ผ่า ๆ ให้มันจบ ๆ แล้วก็กลับบ้านมาจัดของเตรียมตัวไปนอนโรงพยาบาล ระหว่างที่จัดของก็คิดถึงกิจธุระที่มีในเดือนนี้ว่าเรามีนัดไปต่างจังหวัด ต้องขับรถ ต้องช่วยดูแลผู้สูงอายุแล้วถ้าผ่าตัดจะดูแลเค้าได้ยังไง ถ้าไปเป็นภาระเค้าจะไปทำไม พอจัดของเสร็จ ตอนที่ยกกระเป๋ารู้สึกว่ามีการเกร็งหน้าทอง จึงนึกได้ว่าวันที่นัดผ่าตัดเราต้องคำนึงถึงความสะดวกของตัวเราด้วย วันรุ่งขึ้นจึงโทรไปปฏิเสธหมอ และหาข้อมูลโรงพยาบาลที่สามารถผ่าตัดส่องกล้องได้ และได้โทรศัพท์สอบถามพนักงานคนที่ถามชื่อไว้ที่แผนกส่งตัว ว่าโรงพยาบาลเครือข่ายของที่นี่มีโรงพยาบาลอะไรบ้าง พอเค้าบอกรายชื่อก็ดีใจ เพราะมีโรงพยาบาลที่หาข้อมูลไว้ด้วย เราจึงถามว่า ถ้าต้องการให้ส่งตัวไปโรงพยาบาลที่หาข้อมูลไว้ต้องทำยังไง พนักงานบอกว่าต้องให้หมอเขียนใบส่งตัวขึ้นมาทำเรื่องใหม่ เราก็โอเค รู้เรื่อง 15 กุมภาพันธ์ วันนัดรับเอกสาร เราไปหาหมอที่แผนกนารีเวชก่อนเพื่อขอให้หมอทำใบส่งตัวไปโรงพยาบาลที่ต้องการให้ ขณะทำเรื่องมีความไม่สะดวกเล็กน้อย แล้วหมอก็ขีดฆ่าชื่อโรงพยาบาลเดิม เปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลที่เราต้องการให้ พร้อมเซ็นชื่อกำกับ แล้วเราก็นำเอกสารขึ้นไปให้ที่แผนกส่งตัว พนักงานมอบเอกสารให้พร้อมบอกว่าไปที่โรงพยาบาลนี้ได้เลย ทำเรื่องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้แล้ว ย้ายมายังโรงพยาบาลที่หาข้อมูลไว้หลังจากนั้นเราก็ไปยังโรงพยาบาลที่ต้องการซึ่งอยู่ไกลกว่าโรงพยาบาลเดิมนิดหน่อย โรงพยาบาลนี้มีศูนย์ส่องกล้องเฉพาะทางของกทม. สถานที่เหมือนโรงพยาบาลเอกชนเลย ดูน่าเชื่อถือ หมอทำการอัลตร้าซาวด์อีกรอบ ครั้งนี้หมอชี้ให้ดูว่ามดลูกมีขนาด 7*10 ซม. และบังรังไข่ไว้ข้างนึง หมอให้แนวทางการรักษาสองทาง อย่างแรกสามารถส่องกล้องผ่าออกได้ โดยจะมีแผลจากการเจาะหน้าท้อง 3-4 รู หรืออย่างที่สองคือเอาทั้งมดลูกและเนื้องอกออกมาทางช่องคลอดได้เลยโดยไม่ต้องใช้เครื่องปั่น ทั้งนี้หากมีก้อนเนื้ออย่างอื่นนอกจากก้อนที่เห็นในการอัลตร้าซาวด์ก็จะติดออกมาด้วย เราก็ตกลงเลือกการผ่าตัดแบบส่องกล้องโดยนำออกมาทางช่องคลอด เพราะจะไม่มีแผลใด ๆ โชคดีที่เรานำผลตรวจร่างกายจากโรงพยาบาลต้นสังกัดไปด้วย จึงไม่ต้องเจาะเลือดเพิ่ม แต่ต้องตรวจปัสสาวะและ X-Ray ใหม่ พยาบาลก็ออกบัตรนัดฟังผลตรวจร่างกายและนัดคุยกับวิสัญญีแพทย์ให้
วันนัดฟังผล Lab เราก็มาหาหมอตามนัด ผลตรวจร่างกายเป็นที่น่าพอใจ หมอก็นัดวันผ่าตัด ที่จริงเป็นวันที่ญาติไม่สะดวก พยาบาลจึงแนะนำว่าให้อยู่ห้องรวมเพราะจะมีพยาบาลคอยเดินตลอด แต่การแอดมิทนอนโรงพยาบาลจะต้องมีญาติมาเซ็นชื่อด้วยซึ่งญาติเราสะดวกในวันนั้น แต่วันออกจากโรงพยาบาลนี่สิ ญาติไปต่างจังหวัด แล้วค่อยคุยกับพยาบาลอีกว่าต้องทำอะไรบ้างที แล้วเราก็ถามพยาบาลเรื่องค่าใช้จ่าย พยาบาลบอกว่าสิทธิบัตรทองจ่ายเพิ่มประมาณ 3-5,000 บาท หลังจากพูดคุยนัดหมายเรื่องผ่าตัดเสร็จ ก็ส่งตัวเราไปคุยกับวิสัญญีแพทย์ต่อ วิสัญญีก็อธิบายว่าก่อนผ่าตัดจะทำให้เราหมดสติก่อนแล้วจึงใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ เสียบสายสวนปัสสาวะ เราจะไม่มีอาการเจ็บปวดเพราะหมดสติไปแล้ว เราก็โอเคเข้าใจ หลังจากนี้ก็เตรียมตัวให้พร้อมก่อนผ่าตัด
เตรียมตัว ช่วงเตรียมตัว เราตระเวนกินของที่อยากกิน สิ่งที่จะกินไม่ได้ในช่วงพักฟื้น ไอศกรีม กุ้งดอง แซลม่อนดอง ก้อย ลาบ ส้มตำปูปลาร้า ฯลฯ กินเท่าที่จะหากินได้ ทำธุระที่ช่วงพักฟื้นจะไม่สามารถทำได้ พยาบาลบอกว่าช่วงพักฟื้นไม่ควรยกของหนัก ขับรถ 2 เดือน ก็ทำธุระเกี่ยวกับการนี้เท่าที่นึกออกให้เสร็จก่อน
วันนัด พอถึงวันนัด เราลืมนำบัตรนัดกับใบส่งตัวมา ดีที่มีญาติมาด้วย จึงให้ญาติกลับบ้านไปนำมาให้ ในวันแรกทางโรงพยาบาลจะให้เรามานอนเตรียมตัวก่อนวันผ่าตัด 1 คืน โดยให้มาแอดมิทแต่เช้าเพื่อปรับการรับประทาน ให้ทานอาหารอ่อน ๆ ตลอดทั้งวัน และงดน้ำ งดอาหาร หลังเที่ยงคืน
วันผ่าตัด วันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 9:00 น. จะมีพนักงานเข็นเตียงพาเราไปห้องผ่าตัด พอเข้าไปในห้องผ่าตัดแอร์เย็นมาก อากาศหนาวมาก ๆ บอกแพทย์ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเราก็สลบแล้ว วิสัญญีอธิบายว่า เค้าจะให้เราดมยาสลบ เราจะหมดสติไป และจะฟื้นขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เราฟื้นขึ้นมาหลังผ่าตัด ที่แขนโดนเข็มขนาดใหญ่เจาะและที่อวัยวะเพศก็มีสายสวนปัสสาวะเสียบอยู่ เค้าจะพาเราไปนอนพักอยู่บริเวณพักฟื้นประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนนั้นรู้สึกตัวแล้ว แต่ต้องนอนราบ ๆ อยู่เฉย ๆ อยู่ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้น พนักงานจะเข็นเตียงกลับมายังห้องพักที่แผนกนารีเวช ความรู้สึกแน่น ๆ ท้อง บอกไม่ถูก แต่คิดว่าคงเพราะมีสายปัสสาวะต่อกับอวัยวะเพศอยู่จึงอึดอัด พลิกตัวไม่ถนัด นอนเสียบสายต่าง ๆ ไปคืนนึง ช่วงสาย ๆ หมอผ่าตัดก็มาคุยด้วย ถามอาการอะไรๆ เราก็ปกติดี ช่วงบ่าย ๆ เค้าก็จะมาถอดสายปัสสาวะออก หมอบอกให้พยายามขยับตัว แต่เอาจริง ๆ นะ เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด มันจะขยับตัวอะไรได้นักหนา เราใช้เวลาสักพัก พยายามลุกขึ้นเดิน แต่เดินไม่ได้เร็วอย่างใจคิดนัก เพราะแน่นหน้าอก หายใจติดขัด เจ็บท้อง รู้สึกปวดท้อง แน่นท้องตลอดเวลา พอรับประทานอาหารได้ ก็รู้สึกแน่นท้องมากจนทนไม่ไหว บอกพยาบาล บอกหมอ ตกกลางคืนมีอาการหนาว พยาบาลมาวัดไข้ก็ไข้ขึ้น ได้ยาแก้ไข้ไปหนึ่งเม็ด
กำหนดกลับบ้าน ถึงกำหนดวันที่ต้องกลับบ้าน เราเรียกแม่กับรถรับจ้างมารับ แต่อาการปวดท้องยังไม่หายเลย ตอนเช้าหมอมาดูอาการรอบแรกบอกให้กลับบ้านได้ เราก็เก็บของเรียบร้อยละเตรียมตัวกลับบ้าน สักพัก หมออีกคนมาดูอาการบอกว่าเห็นว่าเมื่อคืนมีไข้ และปวดท้อง หมอกดตรงพุงกลม ๆ พุงแข็งมาก กดไม่ค่อยลง หมอบอกว่า มีแต่ลมนะ แก๊สเยอะ หมอไม่สบายใจ ขอเก็บปัสสาวะกับเลือดไปตรวจเพิ่ม และขออัลตร้าซาวด์ดูก่อน เราก็เห็นด้วยนะ เพราะเรายังปวดท้องมาก ๆ จริง ๆ อยากหายปวดท้อง อยากหายเป็นปกติเร็ว ๆ พนักงานพาไปอัลตร้าซาวด์ที่ศูนย์ส่องกล้อง คณะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเราทั้งคณะมามุงดู (ในใจก็อายเหมือนกันนะ แต่มันก็เหตุผลทางการแพทย์อ่ะนุ) แพทย์ทุกคนลงความเห็นว่า ลำไส้ผิดปกติเนื่องจากการผ่าตัดจึงให้เรารักษาตัวอยู่อีกคืนนึง เพื่อให้ยาลดกรด ยาฆ่าเชื้อ ยาระบาย เพิ่ม เราก็บอกแม่ละ วันนี้ยังกลับไม่ได้นะแม่ ยังปวดท้องอยู่เลย แม่ก็บอกว่าดีแล้ว รักษาให้หายก่อนค่อยกลับ หมอแนะนำว่าให้เดินเยอะ ๆ เพื่อลดกรด ลดแก๊สในกระเพาะ บริเวณห้องพักผู้ป่วยจะเห็นคนไข้มาเดินช้า ๆ สวนกันไปมา คล้ายเดินจงกลม เพราะการเดินนั้นเชื่องช้ามาก ไม่ต้องแปลกใจไป เค้าไม่ได้เดินจงกลมกันนะ เค้าเดินเพื่อลดแก๊ส
กลับบ้าน วันรุ่งขึ้น รู้สึกตัวว่าอาการหายใจขัด เจ็บหน้าอก หายไป อาการปวดท้องทุเลาลง แต่ยังไม่หายดีนัก แต่รู้สึกดีขึ้นมาก หมอมาตรวจตอนเช้าแล้วอธิบายว่าในการส่องกล้องจะมีการใช้แก๊สด้วย แต่แพทย์ได้ไล่แก๊สออกแล้ว เราอาจจะเป็นคนที่มีแก๊ส มีกรดในกระเพาะเยอะอยู่แล้ว เลยท้องอืดมากกว่าคนอื่น พอเห็นเราอาการดีขึ้นก็ให้กลับบ้านได้ โดยนัดติดตามผลอีก 2 อาทิตย์ กว่าจะได้กลับจริง ๆ ก็ปาไปช่วงบ่ายเพราะต้องรออหมอสั่งยาให้ก่อน กินข้าวโรงพยาบาลไปอีกสองมื้อ วันนี้มีเพื่อนคนนึงสะดวก จึงวานให้เพื่อนมาพากลับบ้าน ก่อนกลับพอรับยาแล้วพนักงานก็พาไปกดเงินเพื่อชำระค่าใช้จ่ายส่วนเกินของสิทธิบัตรทอง รวมทั้งค่ายาที่อยู่นอกรายการ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,267.50 บาท สรุปจากที่คิดว่าต้องจ่ายเงินหลายหมื่น ก็เหลือ สองพันกว่าบาท
พอถึงบ้านสักพัก เราก็รับประทานอาหารเย็น แล้วตั้งใจว่าจะเดินไป 7-11 แถวบ้าน ระยะทางประมาณ 300 เมตร เพื่อลดอาการท้องอืด แต่หลังจากกลับมาถึงบ้าน พอไปปัสสาวะ พบว่ามีเลือดซึมเล็กน้อย ตกใจมาก จึงไลน์ถามพยาบาล พยาบาลตอบในเวลาทำการวันรุ่งขึ้นว่า ถ้ามีเลือดออกเล็กน้อยเป็นอาการปกติของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง เราก็โอเค วางใจ คงไม่เป็นอะไรมาก แต่รู้สึกเข็ดไปเลย กับการเดินก้าวยาว ๆ แบบไม่ระวัง การพักฟื้นช่วงพักฟื้นเราก็หาเรื่องเดินอีกเรื่อย ๆ แต่ไม่กล้าก้าวขายาว ๆ ละ เดินก้าวสั้น ๆ แทน พยาบาลแนะนำว่า ให้ออกกำลังกายเบา ๆ ได้ ควรหลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดหลาย ๆ ขั้น อย่าเพิ่งยกของหนัก ๆ อย่าเพิ่งขับรถ ส่วนอาหารที่รับประทานได้ก็เป็นอาหารอ่อน ๆ พวก ข้าวต้ม เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เต้าหู้ ผลไม้ก็กล้วย มะละกอ มะม่วงสุก อะไรประมาณนี้ ควรเลี่ยงนม เพราะในนมมีแก๊ส ทำให้ท้องอืด (เพิ่งรู้จากพยาบาลนะเนี่ย) ดื่มน้ำมาก ๆ
วันนี้เป็นวันที่ 4 หลังจากออกจากโรงพยาบาล เราก็เริ่มรู้สึกว่าอาการท้องอืดหายไป แต่ยังรับประทานได้ปริมาณน้อยอยู่ รู้สึกว่าเดินได้ดีขึ้นแต่ยังรู้สึกขัด ๆ นิดหน่อย ไว้จะมาอัพเดทการพักฟื้นให้อีกนะคะ
Create Date : 28 มีนาคม 2566 |
|
1 comments |
Last Update : 28 มีนาคม 2566 19:23:37 น. |
Counter : 770 Pageviews. |
|
|
|
Join Binance, the world's largest and most secure digital currency exchange, and unlock free rewards. Don't let this pivotal moment slip through your fingers!
Click the link below to enjoy a lifetime 10% discount on all your trades.
https://swiy.co/LgSv