|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
วันนี้มางึมงำ ให้ความรู้
วันนี้แตงได้รับ Forword mail จากเพื่อนมาอ่ะค่ะ เห็นว่าอ่านแล้วมีประโยชน์ดี เลยเอามาแบ่งปัน ให้คนอื่นรู้บ้าง
> > หนึ่งในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ > > เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ > > ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ > > > > 1. > > คุณมีความเชื่อที่ว่า > > น้ำยิ่งดื่มเยอะ > > ยิ่งดีหรือไม่ > > 2. > > คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว > > 3. > > น้ำที่ดื่ม > > เป็นน้ำเย็น, > > น้ำธรรมดา > > หรือว่าน้ำอุ่น > > 4. > > ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม > > เช่น > > > > ดื่มตอนเช้า > > ดื่มระหว่างทานข้าว > > ดื่มก่อนนอน > > เป็นต้น > > 5. > > ปกติดื่มอะไร > > เช่น > > น้ำเปล่า > > น้ำอัดลม > > ชา > > กาแฟ > > เป็นต้น > > > > เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ > > > > พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ > > > > ข้อหนึ่งนั้น > > เป็นความเชื่อที่ผิดครับ > > > > ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ > > ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ > > > > น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ > > > > เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน > > > > ข้อสอง > > คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่า > > คนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ > > 8-10 แก้ว > > > > ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ > > ผมจะอธิบายให้ฟังว่า > > > > น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน > > น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรา > > มาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก > > ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ > > > > อุจจาระ > > เหงื่อ > > และทางลมหายใจ > > แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ > > คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะ > > ออกจากร่างกายอย่างน้อย > > 500 > > มิลลิลิตรต่อวัน > > ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด > > นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีก > > ราว > > 1000 มิลลิลิตร > > หรือ > > 1 ลิตร > > ต่อวัน > > เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว > > คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชย > > ส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว > > 1500 > > มล. > > หรือ > > 7-8 แก้ว > > (แก้วละ > > 200 มล.) > > แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ > > ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ > > ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆ > > ว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไร > > จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย > > > > > > สูตรคือ > > (น้ำหนักตัว(กก.) x > > 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ > > ออกมาเป็นมิลลิลิตร > > เช่น > > หนัก > > 60 > > กก. > > เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ > > ควรดื่มน้ำ > > (60 x > > 2.2 x 30) / 2 = 1980 > > มล. > > > > หรือประมาณ 10 > > แก้วต่อวันครับ > > > > ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ > > เลือดซึ่ง > > 90% > > ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก > > ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก > > > > ขณะเดียวกัน > > สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า > > > > ทางแพทย์จีน > > ถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวก > > นี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย > > > > บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา > > > > มาเป็นลิ่มเลือด > > สีเข้ม > > หนืด > > ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ > > น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ > > แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน > > > > ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ > > > > ข้อสาม > > อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่า > > น้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย > > กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที > > > > เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย > > อาหารบูดเน่า > > หมักหมมอยู่ในกระเพาะ > > และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้ > > กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆ > > จนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา > > เพราะฉะนั้น > > เราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ > > ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ > > แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป > > โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน > > > > ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น > > เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ > > กินกัน > > จนเป็นเรื่องธรรมชาติ > > ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ > > > > แต่พอตอนนี้ > > เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ > > > > บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว > > > > ข้อสี่ > > ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน > > ที่บอกให้ดื่มวันละ > > 8-10 แก้ว > > เนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ > > ใครที่ชอบทานข้าวไป > > จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว > > > > ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ > > > > เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ > > คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ > > > > พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว > > เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย > > ผิด > > ผิด > > ผิด > > ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ > > เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น > > > > ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร > > เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว > > น้ำย่อยก็จะเจือจาง > > > > ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย > > > > หมักหมม > > พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด > > เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ > > > > ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 > > แก้ว > > > > เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ > > ปัสสาวะ > > > > ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร > > ก่อนอาหาร 15 > > นาที > > ระหว่างทานอาหาร > > และหลังอาหาร 40 > > นาที > > > > ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ > > ในที่นี้หมายรวมถึงซุป > > น้ำแกง > > และของเหลวทุกประเภทนะครับ > > และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ > > ให้จิบครั้งละ 2-3 > > อึก > > > > แต่จิบถี่ๆ > > หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว > > จิบไปทั้งวันครับ > > ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ > > > > ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว > > อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ > > เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว > > > > ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด > > แล้วจะเอาอะไร > > กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ > > เหมือนทำยาก > > > > แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ > > ผมแต่ก่อนทานน้ำ > > 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว > > > > ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด > > เช่น > > ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ > > เพื่อให้อิ่มจริง > > หรือกินล้างปากสักหน่อย > > > > (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ) > > > > หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน > > > > กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว > > เบียร์ก็อีกตัวครับ > > สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป > > > > ทุกวันนี้เลิกครับ > > ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ > > > > เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร > > เลยได้เลิกเหล้า > > เลิกเบียร์กันไป > > แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด > > ท้องอืดมาก > > ก็งง > > > > หรือว่าเรากินเยอะไป > > แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด > > > > เสียบุคลิกมาก > > พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ > > > > กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ > > พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ > > อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ > > > > นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ > > > > โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย > > เช่น > > ส้ม > > แก้วมังกร > > สาลี่ > > แตงโม > > เป็นต้น > > มีสองเหตุผลครับ > > > > หนึ่ง > > เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร > > อาหารยังย่อยไม่เสร็จ > > > > ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ > > ร่างกายก็ดูดซึม > > สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ > > พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึม > > มันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ > > เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 > > ชม. > > > > ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน > > > > สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย > > > > เหตุผลที่สอง > > คือ > > น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ > > > > ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี > > > > เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน > > > > มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว > > เป็นไงบ้างครับ > > คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว > > > > ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ > > ทานน้ำอะไรกันครับ > > บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก > > ดื่มทุกวัน > > > > ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม > > > > > > เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้ > > อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง > > ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ > > > > ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว > > คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร > > อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี > > ใส่น้ำตาลจำนวนมาก > > > > กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ > > ยิ่งอัดแก๊สอีก > > กินเข้าไปท้องก็อืด > > การย่อยอาหารก็ไม่ดี > > > > เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ > > > > พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาล > > และคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย > > แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆ > > ชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหาร > > สักครึ่งชม.ครับ > > เพราะชามีฤทธิ์เย็น > > ทำให้อาหารไม่ย่อย > > > > รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย > > กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ > > บางคนเถียงข้างๆคูๆ > > > > "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง > > แต่มันไม่ดีครับ > > > > > > > > อีกอย่างขอแถมนิดนึง > > คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ > > > > อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ > > > > > > อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง > > > > เพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ > > หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ > > > > และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง > > เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด > > > > ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน > > > > แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน > > สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ > > ได้ยามาทานแล้วหาย > > > > แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง > > ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ > > > > ปล. > > If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ > > > > อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ > > คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก
เป็นไงกันบ้างค่ะ แตงอ่านแล้ว แบบว่า นี้ชั้นผิดหมดเลยนะเนี่ยยย ยังไงเรารู้ตัวเร็วก็ดีใช่ไหมค่ะ จะได้มีเวลาแก้ไขเนาะ
Create Date : 15 กันยายน 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 15 กันยายน 2552 11:35:00 น. |
Counter : 504 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Relife
เพิ่งเริ่มทำบล็อคยังไงมีไรติชมได้นะเค่อ ^v^
ยินดีต้อนรับทุกคนที่เข้ามาชมบล็อคของแตงนะค่ะ
บล็อคแตงส่วนใหญ่คงไม่มีไรเฉพาะ
เจาะจงหรอกนะ เข้ามาอ่านกันขำๆนะค่ะ
มีไรคุยกันได้น้า ^v^
TOP
|
|
|
|
|
|
|