Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
15 กันยายน 2552
 
All Blogs
 

วันนี้มางึมงำ ให้ความรู้

วันนี้แตงได้รับ Forword mail จากเพื่อนมาอ่ะค่ะ เห็นว่าอ่านแล้วมีประโยชน์ดี เลยเอามาแบ่งปัน ให้คนอื่นรู้บ้าง

> > หนึ่งในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ
> > เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
> > ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
> >
> > 1.
> > คุณมีความเชื่อที่ว่า
> > น้ำยิ่งดื่มเยอะ
> > ยิ่งดีหรือไม่
> > 2.
> > คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
> > 3.
> > น้ำที่ดื่ม
> > เป็นน้ำเย็น,
> > น้ำธรรมดา
> > หรือว่าน้ำอุ่น
> > 4.
> > ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม
> > เช่น
> >
> > ดื่มตอนเช้า
> > ดื่มระหว่างทานข้าว
> > ดื่มก่อนนอน
> > เป็นต้น
> > 5.
> > ปกติดื่มอะไร
> > เช่น
> > น้ำเปล่า
> > น้ำอัดลม
> > ชา
> > กาแฟ
> > เป็นต้น
> >
> > เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ
> >
> > พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ
> >
> > ข้อหนึ่งนั้น
> > เป็นความเชื่อที่ผิดครับ
> >
> > ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ
> > ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
> >
> > น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ
> >
> > เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
> >
> > ข้อสอง
> > คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่า
> > คนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ
> > 8-10 แก้ว
> >
> > ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ
> > ผมจะอธิบายให้ฟังว่า
> >
> > น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
> > น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรา
> > มาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
> > ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
> >
> > อุจจาระ
> > เหงื่อ
> > และทางลมหายใจ
> > แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ
> > คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะ
> > ออกจากร่างกายอย่างน้อย
> > 500
> > มิลลิลิตรต่อวัน
> > ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
> > นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีก
> > ราว
> > 1000 มิลลิลิตร
> > หรือ
> > 1 ลิตร
> > ต่อวัน
> > เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว
> > คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชย
> > ส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว
> > 1500
> > มล.
> > หรือ
> > 7-8 แก้ว
> > (แก้วละ
> > 200 มล.)
> > แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้
> > ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
> > ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆ
> > ว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไร
> > จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
> >
> >
> > สูตรคือ
> > (น้ำหนักตัว(กก.) x
> > 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้
> > ออกมาเป็นมิลลิลิตร
> > เช่น
> > หนัก
> > 60
> > กก.
> > เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
> > ควรดื่มน้ำ
> > (60 x
> > 2.2 x 30) / 2 = 1980
> > มล.
> >
> > หรือประมาณ 10
> > แก้วต่อวันครับ
> >
> > ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้
> > เลือดซึ่ง
> > 90%
> > ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก
> > ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก
> >
> > ขณะเดียวกัน
> > สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า
> >
> > ทางแพทย์จีน
> > ถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวก
> > นี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
> >
> > บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา
> >
> > มาเป็นลิ่มเลือด
> > สีเข้ม
> > หนืด
> > ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
> > น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
> > แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน
> >
> > ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
> >
> > ข้อสาม
> > อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่า
> > น้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
> > กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที
> >
> > เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย
> > อาหารบูดเน่า
> > หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
> > และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้
> > กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆ
> > จนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
> > เพราะฉะนั้น
> > เราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ
> > ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
> > แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป
> > โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน
> >
> > ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น
> > เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ
> > กินกัน
> > จนเป็นเรื่องธรรมชาติ
> > ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ
> >
> > แต่พอตอนนี้
> > เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ
> >
> > บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
> >
> > ข้อสี่
> > ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน
> > ที่บอกให้ดื่มวันละ
> > 8-10 แก้ว
> > เนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ
> > ใครที่ชอบทานข้าวไป
> > จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว
> >
> > ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ
> >
> > เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
> > คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ
> >
> > พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
> > เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย
> > ผิด
> > ผิด
> > ผิด
> > ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ
> > เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น
> >
> > ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
> > เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว
> > น้ำย่อยก็จะเจือจาง
> >
> > ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย
> >
> > หมักหมม
> > พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด
> > เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
> >
> > ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5
> > แก้ว
> >
> > เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ
> > ปัสสาวะ
> >
> > ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
> > ก่อนอาหาร 15
> > นาที
> > ระหว่างทานอาหาร
> > และหลังอาหาร 40
> > นาที
> >
> > ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
> > ในที่นี้หมายรวมถึงซุป
> > น้ำแกง
> > และของเหลวทุกประเภทนะครับ
> > และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ
> > ให้จิบครั้งละ 2-3
> > อึก
> >
> > แต่จิบถี่ๆ
> > หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว
> > จิบไปทั้งวันครับ
> > ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ
> >
> > ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
> > อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ
> > เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว
> >
> > ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด
> > แล้วจะเอาอะไร
> > กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ
> > เหมือนทำยาก
> >
> > แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
> > ผมแต่ก่อนทานน้ำ
> > 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว
> >
> > ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด
> > เช่น
> > ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
> > เพื่อให้อิ่มจริง
> > หรือกินล้างปากสักหน่อย
> >
> > (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
> >
> > หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน
> >
> > กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
> > เบียร์ก็อีกตัวครับ
> > สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป
> >
> > ทุกวันนี้เลิกครับ
> > ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
> >
> > เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร
> > เลยได้เลิกเหล้า
> > เลิกเบียร์กันไป
> > แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด
> > ท้องอืดมาก
> > ก็งง
> >
> > หรือว่าเรากินเยอะไป
> > แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
> >
> > เสียบุคลิกมาก
> > พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ
> >
> > กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
> > พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่
> > อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
> >
> > นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ
> >
> > โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย
> > เช่น
> > ส้ม
> > แก้วมังกร
> > สาลี่
> > แตงโม
> > เป็นต้น
> > มีสองเหตุผลครับ
> >
> > หนึ่ง
> > เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร
> > อาหารยังย่อยไม่เสร็จ
> >
> > ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ
> > ร่างกายก็ดูดซึม
> > สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้
> > พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึม
> > มันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
> > เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2
> > ชม.
> >
> > ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
> >
> > สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย
> >
> > เหตุผลที่สอง
> > คือ
> > น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ
> >
> > ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
> >
> > เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
> >
> > มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว
> > เป็นไงบ้างครับ
> > คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว
> >
> > ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
> > ทานน้ำอะไรกันครับ
> > บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก
> > ดื่มทุกวัน
> >
> > ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
> >
> >
> > เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้
> > อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
> > ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ
> >
> > ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว
> > คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
> > อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี
> > ใส่น้ำตาลจำนวนมาก
> >
> > กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
> > ยิ่งอัดแก๊สอีก
> > กินเข้าไปท้องก็อืด
> > การย่อยอาหารก็ไม่ดี
> >
> > เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
> >
> > พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาล
> > และคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
> > แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆ
> > ชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหาร
> > สักครึ่งชม.ครับ
> > เพราะชามีฤทธิ์เย็น
> > ทำให้อาหารไม่ย่อย
> >
> > รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
> > กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้
> > บางคนเถียงข้างๆคูๆ
> >
> > "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง
> > แต่มันไม่ดีครับ
> >
> >
> >
> > อีกอย่างขอแถมนิดนึง
> > คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ
> >
> > อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
> >
> >
> > อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
> >
> > เพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ
> > หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ
> >
> > และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
> > เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด
> >
> > ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน
> >
> > แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
> > สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ
> > ได้ยามาทานแล้วหาย
> >
> > แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
> > ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ
> >
> > ปล.
> > If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ
> >
> > อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ
> > คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก


เป็นไงกันบ้างค่ะ แตงอ่านแล้ว
แบบว่า นี้ชั้นผิดหมดเลยนะเนี่ยยย ยังไงเรารู้ตัวเร็วก็ดีใช่ไหมค่ะ จะได้มีเวลาแก้ไขเนาะ




 

Create Date : 15 กันยายน 2552
0 comments
Last Update : 15 กันยายน 2552 11:35:00 น.
Counter : 504 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


mangto
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Relife เพิ่งเริ่มทำบล็อคยังไงมีไรติชมได้นะเค่อ ^v^ ยินดีต้อนรับทุกคนที่เข้ามาชมบล็อคของแตงนะค่ะ บล็อคแตงส่วนใหญ่คงไม่มีไรเฉพาะ เจาะจงหรอกนะ เข้ามาอ่านกันขำๆนะค่ะ มีไรคุยกันได้น้า ^v^
TOP
Friends' blogs
[Add mangto's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.