|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ประชาธิปไตยฝาท่อ
ใครๆ ที่ผ่านไปแถวลานพระราชวังดุสิต คงไม่พ้นที่จะต้องเงยหน้าชื่นชมพระที่นั่งอนันตสมาคมหรือไม่ก็ยกมือไหว้พระบรมรูปทรงม้า แน่นอนทั้งสองอย่างสร้างขึ้นและตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้มานาน แสดงบารมีอันเป็นที่นับถือศรัทธาของคนไทยต่อสถาบันกษัตริย์ในฐานะผู้ปกครองสยามมายาวนาน
แต่มีใครสักกี่คนที่นึกถึงหรือรู้ว่า ณ สถานที่นั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งอันเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในบ้านเมือง
มีใครสักกี่คนที่เมื่อผ่านไปแถวนั้นรู้ หรือระลึกถึงอนุสาวรีย์หนึ่งที่ฝังบนพื้นในรูปหมุด
หมุดประชาธิปไตย
พูดอย่างนี้ขึ้นมา อาจทำให้บางคนทำหน้าเหวอ... อะไรหว่า?
หมุดประชาธิปไตยเป็นหมุดทองเหลืองขนาดเล็กๆ สร้างขึ้นเมื่อหลังเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ เป็นหมุดแห่งการปฏิวัติที่ฝังไว้บนพื้นถนนด้านข้างลานพระบรมรูปทรงม้าฝั่งสนามเสือป่า ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะปฏิวัติ ยืนอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ ๑ ต่อหน้าเหล่าทหาร
บนหมุดมีข้อความจารึกไว้ว่า
ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ
อนุสาวรีย์ในรูปหมุดชิ้นนี้ผ่านกาลเวลามายาวนานกว่า ๗๐ ปีแล้วหลังจากกลุ่มบุคคลหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร นำกำลังเข้ายึดอำนาจ และเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อแรกเริ่ม คณะราษฎรเกิดขึ้นจากกลุ่มคนเพียง ๗ คน คือ ๑. ร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ๒.ร้อยตรีทัศนัย มิตรภักดี ๓. หลวงศิริราชไตรี ๔.นายปรีดี พนมยงค์ ๕. ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ ๖.นายตั้ว ลพานุกรม ๗.นายแนบ พหลโยธิน เริ่มประชุมกันครั้งแรกที่หอพักแห่งหนึ่งบนถนน Rue do Sommerard ในฝรั่งเศส โดยทุกคนต่างตระหนักถึงความเสียหายของประเทศจากการปกครองโดยผู้ปกครองเดิม และเล็งเห็นความจำเป็นที่ประเทศต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุด เพื่อให้ราษฎรมีสิทธิมีส่วนในการปกครองและแก้ไขปัญหาของประเทศ
หลังทุกคนสำเร็จการศึกษากลับมา ก็เริ่มต้นเผยแพร่แนวความคิดประชาธิปไตย และหาแนวร่วมผู้มีอุดมการณ์ตรงกัน และคงด้วยสังคมไทยเวลานั้นเริ่มรับรู้การปกครองรูปแบบนี้บ้างแล้ว จึงทำให้การเผยแพร่อุดมการณ์ และแสวงหาพรรคพวกไม่ยากนัก ในที่สุดก็ได้ผู้มีความคิดตรงกันและพร้อมร่วมเป็นร่วมตายราว ๑๑๕ คนทั้งจากฝ่ายทหารและพลเรือน ระดับแกนนำของกลุ่มได้เริ่มต้นประชุมวางแผนเพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศ กระทั่งได้ความตกลงกันว่าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ จะเป็นวันกำหนดลงมือ
เช้าตรู่วันที่ ๒๔ กลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของคณะราษฎรเริ่มต้นมุ่งหน้ายังหน่วยทหารสำคัญๆ ในพระนคร และลวงว่ากำลังเกิดขบถขึ้น ให้ผู้บัญชาการของหน่วยรีบนำทหารไปรวมกันที่ลานพระบรมรูป ด้วยความเป็นนายทหารผู้ใหญ่ ทำให้ผู้บัญชาการหน่วยทั้งหน่วยทหารยานเกราะ รถถัง เหล่านักเรียนนายร้อย ฯลฯ เกรงใจและหลงเชื่อนำกำลังมารวมกันตามคำสั่ง
และที่ลานพระบรมรูปนั้นเอง พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ได้อ่านประกาศการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ทหารทั้งหลายฟัง เพื่อขอให้ร่วมกันทำภารกิจอันสำคัญยิ่ง ดังความตอนหนึ่งในประกาศ
...เพื่อนทหารและพี่น้องทหารทั้งหลาย ในการที่ได้มาประชุมร่วมกันในวันนี้ ต้องถือได้ว่าเป็นวันศุภนิมิต และเป็นวันอันสำคัญของประวัติศาสตร์ ที่เราจะต้องร่วมกันเป็นร่วมกันตาย ร่วมกันกู้ชาติ กู้ประเทศ เพื่อทำการปฏิวัติพลิกแผ่นดิน โดยเข้ายึดพระมหานคร และจับตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญไว้เป็นตัวประกันเพื่อประเทศชาติ จึงหวังว่าเราจะต้องช่วยกันเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและเอกราช ตลอดจนเสรีภาพของปวงชนทั้งหลาย ขอให้ทุกคนจงปฏิบัติการโดยเคร่งครัด เพื่อประเทศและบ้านเมืองของเราที่จะอยู่รอดต่อไป
แล้วพระยาพหลฯ ก็ถามเหล่าทหารทั้งหลายว่า
ท่านผู้ใดเห็นด้วยกับคณะทหารบก ทหารเรือและพลเรือนแล้ว ขอให้ก้าวเท้าออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
หลังจากนั้นทหารกว่าสองพันนายก็ตบเท้าก้าวออกมา แม้หลักฐานที่เขียนขึ้นจากแต่ละฝ่ายยังไม่ตรงกันนักถึงสาเหตุการยินยอมร่วมมือของเหล่าทหาร ว่ามาจากความเต็มใจหรือถูกบังคับ แต่ที่เชื่อได้คือทหารเหล่านั้นได้แบ่งกำลังเข้ายึดจุดสำคัญต่างๆ จนสามารถยึดอำนาจการปกครองได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนับแต่นั้น
๓ วันถัดมา ประเทศไทยก็มีรัฐธรรมนูญฉบับแรก รัฐธรรมนูญที่ประกาศว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองเป็นของประชาชน และทุกคนในประเทศมีความเท่าทียมกัน ๒๔ มิถุนายนจึงเป็นวันสำคัญของประชาธิปไตยไทย
ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถูกส่งผ่านสู่คนรุ่นต่อมา ผ่านทางหลายรูปแบบ ทั้งตำราเรียน บันทึก นวนิยาย ฯลฯ และทางหนึ่งก็ผ่านทางอนุสาวรีย์รูปหมุดชิ้นนี้
อนุสาวรีย์รูปหมุดมิใช่เรื่องแปลกประหลาด ในต่างประเทศน่าจะมีให้เห็นได้ไม่ยาก ข้อดีของอนุสาวรีย์ลักษณะนี้ ก็คือผู้คนสามารถเข้าถึง เข้าไปสัมผัสอดีตได้โดยตรง จึงสร้างความใกล้ชิดเพื่อรับสารที่ผู้สร้างต้องการสื่อผ่านหมุดได้ง่าย ทว่าสำหรับหมุดประชาธิปไตยของไทยชิ้นนี้ ดูจะล้มเหลวในการกระทำอย่างที่ว่า เหตุหนึ่งคงไม่พ้นเพราะเป็นหมุดที่อยู่กลางถนน ไม่มีใครยินดีเสี่ยงชื่นชมอนุสรณ์แห่งประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยท่ามกลางรถเมล์ แท็กซี่ ที่เหยียบกันไม่ช้าไปกว่าตามถนนเส้นอื่น ดังนั้นสารที่คณะราษฎรต้องการบอกมาถึงชนรู้หลังผ่านทางหมุดชิ้นนี้ จึงแทบไม่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน หรืออย่างน้อยผู้คนปัจจุบันก็ไม่มีโอกาสเข้าไปรับสารนั้นได้โดยสะดวก
อีกทั้งการที่หมุดฝังอยู่บนพื้นลานพระราชวังดุสิต อันมีพระบรมรูปทรงม้าและพระที่นั่งอนันตสมาคมตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เมื่อทั้งสองสิ่งนี้ไม่มีอดีตร่วมกับหมุดประชาธิปไตย จึงไม่แปลกที่แทบไม่มีใครมองเห็น หรือเลือกมองหาหมุดสำคัญชิ้นนี้เลย หมุดร่วมสมัยประวัติศาสตร์การปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตยจึงถูกมองข้าม แม้คำ ประชาธิปไตย ยังปลิวว่อนอยู่ทุกหัวระแหง มีให้ได้ยินกันทุกวันทั้งจากคนรอบข้างและจอโทรทัศน์ แต่รากฐานการเกิดขึ้นดูเหมือนได้รับการพูดถึงน้อยลงทุกที
ส่วนหนึ่งก็เพราะสื่อที่นำสารจากอดีต ไม่อยู่ในสายตาและความรับรู้ หรืออย่างน้อยก็ถูกทำให้ลดคุณค่าลง
หมุดประวัติศาสตร์ในวันนี้จึงกลายเป็นเพียงฝาท่อระบายน้ำมีลวดลาย สำหรับให้คนมองแกมสงสัยเวลานั่งรถเมล์ผ่านลานพระราชวังดุสิตเท่านั้นเอง
*******
จากคอลัมม์ กรุสยาม โดย ส. วินิจฉัยกุล ในวารสารแม็ก ฉบับที่ 1 มิถุนายน 2552
Create Date : 20 ตุลาคม 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 29 ตุลาคม 2553 15:29:05 น. |
Counter : 2739 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ส. วินิจฉัยกุล IP: 111.84.147.198 15 พฤศจิกายน 2553 10:24:55 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
จึงถูก "เหยียบย่ำ" ได้ง่ายๆ ค่ะ
เศร้าใจแท้