ในยามเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา... ไม่มีเรื่องราวไหนที่จะทำให้ผมลืมเลือนอาจารย์ไผ่ไปได้ (เวลาหนึ่งที่หอพักราเลน) ตริ๊ง! เสียงลิฟต์ดัง อาจารย์ไผ่โผล่ออกมา “เอ็งตื่นมาทำอะไรแต่เช้าว๊า...” “ตื่นมาหาอะไรกินครับ” อาจารย์ไผ่ทำหน้าผิดหวัง ในใจคงนึกว่าผมรีบตื่นมาอ่านหนังสือ ในเช้าของอีกวันหนึ่ง...(ในอดีต) ตริ๊ง! อาจารย์ไผ่โผล่ออกมาจากลิฟต์ ผมกำลังเดินขึ้นบันได ในมือถือถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปรสหมูสับกลิ่นหอมกรุ่น “ผมว่านะ เอ็งไปหากอาหารปรุงสุกใหม่กินไม่ดีกว่าเหรอ” นับแต่วันนั้น...ผมก็เลือกหันเหออกจากการทานอาหารแปรรูปไปโดยปริยาย (ทั้งที่ตอนแรกผมก็ไม่ได้กินบ่อยนะ) รถมอเตอร์ไซค์มือสองเสียคัน ก็พาผมร่อนไปไหนมาไหนได้เร็วกว่าการเดิน ริมบึงน้ำที่สะท้อนแดดระยับยังคงกระเพื่อมตามแรงลมที่แตะกระทบผิวน้ำ ผมเที่ยวไล่กินข้าวราดผัดพริกแกงหลายร้าน แต่ละร้านก็ล้วนแล้วแต่ทำอร่อยกันทั้งนั้น บางร้านหมูนุ่มได้ที่ บางร้านรสชาติเข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะไปยังร้านไหนๆ ผมจำต้องสั่งไข่ดาวเพิ่มอีกหนึ่งใบเสมอ (ผมไม่สั่งสองใบหรอกนะ) ราดซอสมะเขือเทศบ้าง ราสซอสพริกบ้าง แต่ละร้านที่ผมไปกินข้าวบ่อยๆ ก็จะอยู่ริมคลองส่วนที่ไหลรินผ่านทางเข้ามหาวิทยาลัยทั้งสิ้น อย่างร้านพี่หนวดเคราเท่ห์นี่ ผมจะสั่งผัดกระเพราไก่กรอบ สลับกับผัดพริกแกง ทุกครั้งสั่งก็จะโปะไข่ดาวลงไปเสมอ ราคาตอนนั้น (ปี 51-52) ราวๆ 35 บาท (ในกรณีที่รวมไข่ดาวแล้ว) ผมชอบนั่งจ้องเมนูอาหารละลานตาบนผนังร้านของแก แต่เวลาสั่งอาหารจริงๆ ก็เวียนๆ กินเพียงไม่กี่อย่าง หมูกระเทียมผมก็ชอบสั่งกิน ข้าวผัดก็มีบ้างนานๆ ครั้ง ร้านเปิดใหม่ริมน้ำที่เปิดขายในยามเช้าตรู่ก็เป็นที่ๆ ผมชอบไป นอกจากผมจะได้ซื้ออาหารกินในเวลาหกโมงเช้าแล้ว ที่นั่นก็จะมีเมนูที่พิเศษกว่าที่อื่นก็คือผัดฟักทองใส่ไข่ มันคงเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่อร่อยในความรู้สึกของผม ก็เลยรู้สึกว่าพิเศษ อีกอย่าง...ที่อื่นเขาก็ไม่ค่อยมีเมนูนี้ ส่วนที่ๆ ไปประจำเลยเพราะเปิดเช้ามากก็คงเป็นร้านพี่หนุ่มผมยาว ที่ตอนนี้แกก็คงเข้าวัยกลางคนไปแล้ว ตอนที่ผมไปแวะร้านแกช่วงแรกๆ แกขยันขายหมูปิ้งมาก (แล้วแกก็คงขยันแบบนี้ไปชั่วชีวิตด้วย) ผมมาหาอะไรกินแถวนี้แรกๆ ก็เพราะคำพูดอาจารย์ไผ่ ที่ท่านเคยพูดกับผมตอนเจอกันยามเช้าที่หอราเลน ตอนหลังผมย้ายไปหอดาหลาก็ไม่ได้เจออาจารย์ไผ่อีก ท่านอยู่หอพักราเลนได้ไม่กี่ปีทางมหาวิทยาลัยก็สร้างหอพักในมหาวิทยาลัยขึ้นมา อาจารย์ไผ่ก็เลยได้เข้าไปเป็นผู้คุมหอพักและก็ได้ย้ายไปพักในหอพักของมหาวิทยาลัย พอผมไปอยู่หอพักดาหลาแล้วผมก็ไปซื้อหมูปิ้งของพี่หนุ่มผมยาวบ่อย พักหลังๆ แกเพิ่มเครื่องในย่าง ผมผู้ไม่ค่อยชอบกิน แต่แกแถมให้ พอลองกินดูก็อร่อย พักหลังแกเพิ่มเป็นทั้งหมูทอด เครื่องในทอด ยังย่างไก่เพิ่มเข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็นสะโพกหรือปีกก็ตาม ขณะนั้นแกขายน้ำพริกตาแดงห่อเล็กๆ ด้วย แต่ผมไม่ค่อยได้ซื้อกินสักเท่าไหร่ น้ำพริกหนุ่มแบบง่ายแกก็มีขาย เป็นแบบย่างให้หอมแล้วคลุกเกลือราคาเพียงไม่กี่บาท ที่ผมชอบซื้อบ่อยๆ ก็คงเป็นปลาดุกย่าง ราคาตามขนาดของตัว ใหญ่เล็กห่างกันเพียง 5 บาท 10 บาท แต่ผมก็เลือกในราคาตัวละ 20-25 บาทเสมอ บางครั้งแกก็แถมน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ ให้ คล้ายน้ำจิ้มสามรสแต่ไม่ถึงขั้นเข้มข้น โทนรสชาติออกละมุนเสียมากกว่า เวลาทานกับปลาดุกหอมๆ ที่ย่างด้วยสมุนไพรจะหอมยิ่ง ปั้นข้าวเหนียวร้อนๆ จิ้มน้ำจิ้มแล้วตามด้วยปลาดุกหอมอ่อนๆ อร่อยเกินกว่าที่ผมเคยคิดไว้มากโข พี่หนุ่มผมยาวแกขายกับแฟนแก เวลาผมไปเจอแกก็ชอบแถมหมูปิ้งหรือไม่ก็อะไรสักอย่างให้ผม ตอนนั้นหมูปิ้งจะอยู่ที่ไม้ละ 3 บาท ถ้าซื้อ 7 ไม้แกคิด 20 บาทถ้วน ปกติผมก็ซื้อประมาณนี้แกก็แถมให้อีกหนึ่งไม้ พักหลังๆ ผมไปซื้อไก่ย่างแก เป็นน่องติดสะโพกชิ้นใหญ่มากในราคาชิ้นละ 30 บาท ไม่ว่าจะปลาดุกหรือไก่ย่าง แกจะย่างหนังเกรียมจนเครื่องเทศที่แกหมักออกรสหอม คิดแล้วก็คิดถึงแก แกขายเกือบทุกวัน แทบจะเห็นวันที่แกหยุดได้น้อยมาก ยามเทศกาลบางครั้งผมไม่ได้กลับบ้าน ร้านรวงปิดกันหมด ผมก็อาศัยร้านแกเป็นที่ฝากท้องยามหิว ฝั่งร้านหมูปิ้งของพี่หนุ่มผมยาวจะอยู่ฟากหนึ่งของหมู่บ้านหลังหอพักดาหลา เป็นซอยที่สามารถเลียบเคียงผ่านไปยังถนนใหญ่ได้ ผมเข้าออกที่นั่นมานานนับสี่ปี พักหลังไม่ค่อยได้ฝันถึง ไม่รู้จะยังนอนนิ่งอยู่ในจิตใต้สำนึกของผมบ้างรึเปล่า ผมก็ไม่อาจรู้ พงป่าหญ้า ท้องฟ้า หมู่เมฆ ผมดำเนินชีวิตภายใต้เวิ้งเวหาหาวแห่งนั่น และอาจารย์บางท่าน...ก็เพาะบ่มให้ผมเติบโตขึ้นมาได้จากสถานศึกษาแห่งนั้น ในช่วงของเทอมสองแห่งปีแรก มันเป็นปีที่ผมพอได้ขับมอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนได้ ได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษที่พวกเพื่อนๆ พากันดรอปเกือบทั้งกลุ่ม พวกเพื่อนกลัวเรียนกับอาจารย์ท่านนี้ไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็เลือกเรียนต่อพร้อมกับเพื่อนอีกไม่กี่คน บทเรียนหิน อาจารย์หิน แต่ผมก็สามารถผ่านมาได้ ผมถือว่าผมโชคดีที่พบอาจารย์ออมบุญ อาจารย์ท่านนี้ใจดีและทำให้เราผ่านบทเรียนทุกอย่างไปได้ด้วยดี ส่วนอาจารย์บุษยมาศที่ผู้คนกล่าวขวัญว่าโหด ผมก็งงว่าไอ้พวกตาถั่วพวกนี้เอาอะไรดู ผมเห็นความขรึมของแก ตาโต และรอยยิ้มที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นนัก ตอนแรกผมก็กลัวไปตามคำพูดเพื่อน แต่พอพักหลังๆ ผมเริ่มเอะใจ ทำไมผมรู้สึกว่าอาจารย์คนนี้ท่านสวย มันจะมีไม่กี่ครั้งที่แกยิ้มออกมา พอแกยิ้ม ผมเกือบตาย สวยโคตร ส่วนวิชาแรกที่ผมได้ A คือ วิชาพละ “ไปเอาตะกร้าใส่บอลมา” เสียงอาจารย์พัลลภในคาบวิชาพละ ว่าด้วยฟุตบอล อาจารย์ผมสีดอกเลาวัยกลางคน ผู้ลงสนามเมื่อไรเป็นเลี้ยงบอลหลบนักศึกษาได้ทั้งสนาม สมัยตอนปี 1 ใครที่ถูกสุ่มได้ฟุตบอลเป็นวิชาหลัก ก็ถือว่าตัวเองโชคดีเหลือแสน ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้เข้าใจถึงความโชคดีนั้นสักเท่าไหร่ แต่ละอาทิตย์ที่เวียนมาอาทิตย์ละครั้ง ผมจะไปถึงสนามก่อนเพื่อน พออาจารย์พัลลภมาถึงท่านก็ให้ผมไปเอาตะกร้าฟุตบอลออกมา เป็นตะกร้าที่มีล้อเลื่อนสบายๆ เข็นนิดเดียวก็เรียบร้อย ผมถือว่าโชคดีมากที่อาจารย์เรียกใช้ จึงชอบที่จะไปก่อนเวลาสักนิดหน่อย ไอ้ทักษะของผมกับฟุตบอลนั้นก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ ทุกชุดทักษะทดสอบผมถือว่าเกือบโหล่ของห้อง ถ้าไม่นับนักศึกษาหญิงด้วยผมก็ครองอันดับโหล่ เพื่อนชายแต่ละคน เห็นเดาะบอลที เตะที เป็นเรื่องง่ายมาก ตอนนั้นผมรู้สึกชอบเพราะเรียนตอนเช้า จะได้รีบเรียนรีบจบ แต่พอจบคาบเรียนแล้ว กลับอิ่มใจแบบบอกไม่ถูก อันที่จริงผมเกลียดวิชาพละมาตั้งแต่เด็กแล้วเพราะตามเพื่อนไม่ทัน แต่วิชาพละของอาจารย์พัลลภกลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่น เป็นความอบอุ่นที่ไม่เกี่ยวกับแสงแดดยามเช้าอันใดเลย ปีนั้นวิชาพละเป็นวิชาเดียวที่ผมเรียนได้เกรด A ผมดีใจมาก แต่ก็แอบคิดว่าคงได้เกรด A กันหลายคน อาจารย์แจกเกรดรึเปล่า? คิดๆ ไปก็หัวเราะเองขึ้นมาดื้อๆ พลันไปคิดถึงมุกตลกที่แกชอบพูดประจำเวลาสอน เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอควร จนผมสงสัยว่าทำไมอาจารย์ให้ผมเกรด A ทั้งที่การทดสอบทักษะของผมในแต่ละชุดค่อนข้างห่วย สุดท้ายแล้วผมจึงเข้าใจว่าวิชาพละ อาจารย์ท่านสอน "วินัยในตน" นั่นเอง ผมมองเกรดวิชานั้น แล้วก็จำมันได้เนิ่นนาน รู้สึกว่ามันมีความหมายมากกว่า A ในอุดมคติหลายเท่านัก วันนั้นผมจึงเป็นคนโชคดีคนหนึ่ง ที่ได้พบกับอาจารย์พัลลภ และก็ยังเคารพและรักท่านเสมอมา ส่วนปรมาจารย์ที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาให้ผมอีกท่านนั้น เคยเล่าให้ฟังมาบ้างแล้ว...อาจารย์ไผ่ ผมได้มาเรียนวิชากฎหมายมหาชนกับท่านครั้งขึ้นปี 2 การที่ผมตั้งใจเรียนบ้างไม่ตั้งใจเรียนบ้าง ทำให้ผมสอบตก ได้ลงเรียนใหม่ในช่วงฤดูร้อนปิดภาคเรียน นอกจากค่าเทอมที่จะต้องเสียเพราะเรียนซ้ำ หน้าร้อนปีนั้นก็ยังพอมีเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นบ้าง ผมลงเรียนซ้ำสองวิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรมกับหลักกฎหมายมหาชนเบื้องต้น วิชาพระธรรมนูญศาลยุติธรรมผมเรียนซ้ำพร้อมกับ ‘วิน โพยม’ นามที่ขอเอาชื่อมหาวิทยาลัยมาห้อยท้ายชื่อด้วย ผมทำรายงานส่งกลุ่มเดียวกับวิน ก็ผ่านฉลุย วินผู้นี้ผมพบเห็นและพอจดจำได้ในครั้งแรกๆ ก็เพราะเขาบอกให้เพื่อนที่ขับรถยนต์ที่เขาโดยสารมาจอดรับผมโดยสารไปที่คณะด้วย ตอนนั้นผมยังไม่มีจักรยานด้วยซ้ำ ก็เคยได้อาศัยที่เขาพอเอื้อเฟื้อให้ผมบ้างในครั้งนั้น เขาชอบขับมอเตอร์ไซค์ที่เท่ห์ราวกับหลิวเต๋อหัว เหมือนกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ เพื่อจะมุ่งหน้ากลับหอพักในเวลากลางวันไปทำกับข้าวที่แสนประหยัดกินเอง อาหารที่เขามักให้คำตอบกับเพื่อนที่ถามซ้ำๆ ก็จะเป็น “ไข่คั่วผัดใส่วุ้นเส้น” เสมอ นอกจากมันบ้าเรื่องจีนโบราณและจักรพรรดิเหลืองแล้ว มันบ้าไปจนถึงนิยายกำลังภายใน ผมตอบคำถามหมอนี่ไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ บางครั้งมันก็ปิดตาแกล้งผม แรงอันมหาศาลนั้นทำผมสู้ไม่ได้ทุกครั้ง หมอนี่ทำให้วิชาที่ผมลงเรียนแก้ F ผ่านไปได้ด้วยดีจนผมต้องจำเขาไว้ในบันทึกเรื่องหนึ่ง ในด้านหลักกฎหมายมหาชน ผมกลับเรียนรู้เรื่องกว่าเทอมที่ไม่ได้ตั้งใจเรียน เพื่อนที่แวดล้อมมีผลต่อการเรียนเป็นอย่างมาก เขาทั้งดึงเราขึ้นและลากเราจมดิ่งลงเหวได้ง่ายๆ เพียงการกระทำซ้ำๆ ไม่กี่การกระทำ แต่ถึงที่สุดแล้ว...การจะผ่านอุปสรรคด้านการเรียน ก็ยังเป็นเราที่ต้องผจญและเผชิญด้วยตนเอง อาจารย์ไผ่ชอบพูดในคลาสเสมอ “สิ่งจริงไม่ซับซ้อน สิ่งซับซ้อนไม่จริง” กลายเป็นวลีที่เราได้ยินประจำจนชิน คำง่ายๆ ความหมายนำไปใช้ประโยชน์ได้มหาศาลถ้ารู้จักวิธีการนำไปใช้ แม้ในการลงทะเบียนเรียนแก้ตัวในช่วงภาคฤดูร้อน ผมก็ยังถือว่าผมได้กำไรที่ได้เรียนกับอาจารย์ท่านอีกครั้ง พอใกล้สอบเข้าท่านก็ชอบเล่าถึงทฤษฎีกบแป๊ะซะ “กบที่เวลามีคนโยนมันลงไปในน้ำที่ค่อยๆ ต้มให้เดือดกับน้ำที่ร้อนๆ เลยมันต่างกัน กบที่อยู่ในน้ำที่ค่อยๆ เดือดมันจะไม่รู้ตัว พอน้ำร้อนขึ้นมามันก็ตายไปเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นน้ำร้อนมันรู้ว่าร้อนมันก็กระโดดออก ไม่ตาย เหมือนพวกเอ็งที่ไม่อ่านหนังสือกันแต่เนิ่นๆ พอถึงเวลาสอบ ก็เหมือนกบแป๊ะซะ” ทฤษฎีกบต้มผมได้ฟังครั้งแรกก็จากการบรรยายของอาจารย์ไผ่ กว่าจะคุยกันในวงกว้างก็ผ่านมาอีกหลายปี ผมชอบปรัชญาหลายๆ อย่างที่ท่านชอบแทรกในเวลาเรียนเสมอ นอกจากทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดของบทเรียนแล้ว ยังนำไปคิดและหาหนทางใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย “สิ่งที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้คืออะไร ที่ยิ่งไปกว่าความขยัน คือความรัก และที่ยิ่งไปกว่าความรักคือความสม่ำเสมอ” อาจารย์อธิบายว่าความขยันมันมีแผ่วได้ หากมีความรักมันจะมีแรงใจให้ทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ความสม่ำเสมอหรือวินัยนี่คือตัวกำหนดความสำเร็จได้อย่างแท้จริง หลังเลิกเรียนในยามบ่ายของวิชาที่อาจารย์ไผ่สอน ผมก็จะขับรถรุ่นตูดเป็ดไปตามทางที่มีลูกระนาดกั้น ค่อยๆ ปล่อยตัวเองราวกับลอยไปตามสายลม เป็นสายลมร้อนที่ดูเย็นเหลือเชื่อ บ้างก็แวะหอสมุด หาหนังสือเก่าๆ หรือไม่ก็สิ่งที่สนใจอ่าน บางครั้งก็นึกในใจ อาจารย์พัลลภท่านก็คงขับมอเตอร์ไซค์รุ่นเดียวกันกับที่เราขี่อยู่ที่ใดที่หนึ่งในมหาวิทยาลัย และบางครั้งอาจารย์พัลลภท่านก็ปรากฏตัวให้ได้ชื่นใจในรอยยิ้มของท่าน รถเข็นขายขนมจีบจะจอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อเสมอ วันธรรมดาผมซื้อขนมจีบเพียง 20 บาทก็อิ่มพอท้องแล้ว วันไหนอารมณ์ดีก็จะซื้อ 25 หรือไม่ก็ 30 บาท เป็นเพียงเรื่องราวที่แสนธรรมดาที่น่าจดจำกว่าสิ่งไหนๆ ผมเคยเข้าไปนั่งเล่นในห้องอาจารย์ไผ่อยู่ครู่ เสียงกาน้ำร้อนหอนจะดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจารย์ยื่นลูกอมให้กิน ผมก็ดีใจราวกับว่าได้รับของศักดิ์สิทธิ์ จำได้ว่าผมเก็บห่อลูกอมไว้นานนม กะจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่แม่ก็นึกว่าซองขนมที่ไม่ได้ทิ้ง เอาไปทิ้งให้เสร็จสรรพ พอกลับมาคิดดีๆ สิ่งที่อาจารย์ไผ่สอนนั่นแหละที่จะอยู่กับเราไปชั่วชีวิต “เดี๋ยวนี้เอ็งไม่ได้ตามพวกเก่าแล้วเหรอ แล้วนี่เอ็งเที่ยวรึเปล่า” “ไม่ได้ตามแล้วครับ ส่วนเรื่องเที่ยวก็เที่ยวบ้างไม่เที่ยวบ้าง” “อ้าว ไม่ได้อยู่กับกลุ่มเก่าแล้วหรอกหรือ” “ความเห็นแตกต่างกันมั้งครับอาจารย์” “ความเห็นต่างเป็นเหตุผลที่อยู่ร่วมกันไม่ได้?” อาจารย์ท่านพูดประมาณนี้ ผมจำคำพูดทุกคำของท่านไม่ได้แล้ว แต่ใจความคงเป็นเรื่องของความต่าง ที่ท่านมองว่าต่อให้ต่างกันก็ไม่ใช่ปัญหาในการอยู่ร่วมกัน บางครั้งผมเคยเอ่ยคำว่า “ทำไม่ได้” ต่อหน้าท่าน ท่านยังตำหนิผม แถมบอกว่าอย่ามาพูดคำนี้กับท่าน แถมยังกรุณาเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง “มันมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่คนเขาไปพบศพนักปีนเขาเอเวอเรสระหว่างทาง ไม่มีใครรู้ว่าเขาตายตอนที่กำลังจะขึ้นเขา หรือตายตอนขากลับจากการปีนเขาได้สำเร็จแล้ว” ผมมัวแต่ไปนึกถึงเรื่องว่าจะพิสูจน์กันอย่างไรว่าตายตอนไหน อาจารย์ไผ่ท่านก็เฉลย “ไม่สนว่าตายตอนไหน ปีนสำเร็จหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็ได้ปีน” นั่นคือสิ่งที่ผมจดจำเสมอมา “คนเรากลัวอะไรที่สุด” นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นคั่นเวลาในวิชากฎหมายปกครอง อาจารย์ไผ่เท่านั้นที่จะถามคำถามเช่นนี้ “กลัวผีครับจารย์ ฮ่าๆ” เพื่อนๆ หลายคนตอบแต่ในทำนองนี้ สักพัก ‘นุ้งมีน’ หญิงสาวหน้าตาที่ดูเคร่งขรึมกลับตอบในแนวทางที่ฉีกไปทางงมงายในรัก “กลัว ใจ ตัวเองค่ะ อาจารย์” เพื่อนอึ้ง อาจารย์ตะลึง จุกไปห้าวินาที “เอิ่ม คนเราน่ะ กลัวความไม่รู้” จากตรรกะนี้ เราจะเห็นได้ว่านุ้งมีนเป็นคนที่ไม่รู้ใจตัวเอง เมื่อความง่วงระนาว ความหาวที่ปลิวว่อนไปทั่วทั้งห้อง “ไป ล้างหน้า มองกระจก ให้ความมั่นใจกับตน แล้วมัดเชือกรองเท้าให้แน่น” เป็นวิธีแก้ง่ายๆ ที่ผมก็ไม่เคยลองทำ ผมนั่งฟังท่านบรรยาย หัวเราะไป พร้อมกับใช้สมองอย่างหนัก “คนที่จะได้โอกาสที่ดีเข้ามาอยู่ในมือได้ จะต้องประกอบไปด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ” ท่านสอนหลายเรื่อง สอนให้เชื่อตนเองมากกว่าดวง สอนให้เตรียมพร้อมเพื่อโอกาสที่กำลังจะมาถึง จะมีวันเวลาหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะย้ายไปรับผิดชอบกิจการที่บ้าน ผมเคยเข้าไปหาท่านอีกครั้ง “อาจารย์จะไปแล้วเหรอครับ” ความรู้สึกหมดทั้งมวลรวมอยู่ในประโยคเพียงแค่นั้น “ผมไม่ได้จะไปตายนะ” คิดในใจ... นี่เราถามคำถามที่เหมือนว่าอาจารย์จะกลับบ้านเก่าเหรอเนี่ย? “เอ็งอยากเป็นอะไรล่ะ” “ผมอยากเป็นครูครับ” ก็ผมเห็นอาจารย์นั่งตรงหน้า มันช่างเท่ห์เสียเหลือเกิน “หน้าอย่างเอ็งเนี่ยนะ จะเป็นครู ถ้าเอ็งเป็นครูเอ็งกินกับเด็กไม่ได้นะเว้ย” ผมใช้สมองอีกเยอะ กว่าจะเข้าใจอะไรอีกมากมายหลังจากนั้น ภาพอาจารย์ไปพบผมที่ห้องสมุด บอกเล่าเรื่องราวของ The Hobbit ให้ผมฟัง แนะให้ผมไปอ่าน ‘เจาะเวลาหาจิ๋นซี’ ของ ‘หวงอี้’ ผมก็ค่อยๆ ไปตามอ่าน ต่อให้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ตาม วันที่อาจารย์กำลังจะกระโดดขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ศิษย์คนหนึ่งเพื่อที่จะต่อรถกลับบ้าน ผมยืนมองนักศึกษาหลายคนร่ำลาอาจารย์เป็นโขยง ท่านเดินผ่านมาทางที่ผมกำลังยืน ผมยกมือไหว้ “อย่าลืมไปอ่านหนังสือที่บอกนะ” นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ผมได้ยินเสียงอาจารย์ก่อนจาก ผมยังคงอยู่ที่นั่น... พงหญ้ารอบบึง ใต้หมู่โพยมเหนือบึง และม่านไม้ชายบึง เรียนอีกสองปีกว่าหลังจากที่อาจารย์ไผ่กลับภูมิลำเนาไปแล้วถึงจะเรียนจบ ผมอยู่ในโลกที่ไม่เข้าสังคมสังสรรค์ หาซื้อเครื่องเกมส์โหลยโท่ยมานั่งกด พร้อมๆ กับหาวิดีโอของวง SNSD มาใส่ในเครื่องเกมส์ เริ่มหลงรัก แทยอน ทิฟฟานี่ และก็ชอบไปซื้อหอยทอดมานั่งกินริมระเบียงที่ตากผ้า มองม่านไม้ไหวพลิ้วที่หมู่บ้านที่แสนเร้นลับนั้น เงียบๆ ราตรีกาล ค่อยๆ โรยม่านสีหมึกเข้าคลุมทั่วอาณา แล้วก็นิทรา...ตื่นขึ้นอีกครั้งในวันพรุ่ง เพลง Genie ของ Girl’s Generetion ยังคงแว่วในโสตประสาท ร้านอาหารของตายายที่ผมเคยไปกิน ก็ผันผ่านกาลเวลาล่วงเลยไป จากที่ไปกับเพื่อนเป็นกลุ่มๆ ในยามหนึ่ง เปลี่ยนไปกินคนเดียวยามที่เพื่อนเรียนจบกันไปหมดแล้ว ยายยังยิ้มยามที่ผมสั่งราดหน้า ตายังโปะไข่ดาวยามที่ผมสั่งเพิ่ม ผมไม่รู้ว่าวันสุดท้ายที่ผมไปสั่งผัดเขียวหวานยอดมะพร้าวอ่อนตากับยายแกถึงให้อาหารในปริมาณมากขนาดนั้น ผมจำได้ว่าเป็นวันที่จุกกว่าวันอื่นๆ อร่อย... และกินเกลี้ยงจาน ตายายจะยิ้มเสมอ ยามที่กินอาหารของแกจนเกลี้ยง ผมไม่รู้หรอกว่าวันพรุ่งที่ผมจะไปอุดหนุนแกอีกรอบ แกจะเก็บข้าวของเพื่อย้ายร้านแล้ว ผมไม่รู้ถึงขอบข่ายวันเวลาด้วยซ้ำ พอมันถึงเวลา ผมก็จากที่นั่นมา อาจไม่มีใครจำเรื่องราวของผมเลย แต่ผมจำความรู้สึกหลากหลายเหล่านั้นได้เสมอ เพราะทุกอย่างในวันนั้น เป็นวันวานในวันที่ผมกำลังค่อยๆ เติบโต สำหรับคนที่พอจะจำผมได้บ้าง เขาก็คงไม่รู้ว่าผมหายไปไหนแล้ว และก็อาจจะเลือนไปจากความทรงจำของเขาเหล่านั้นเงียบๆ ในภายหลัง ... รายชื่อตอนครึ่งหลังของบันทึก 11 ถ้อยเพ้อ รำพัน วันหวาน 12 หน้ากระดานห้อง 1/1 13 ชั้นครึ่งของร้านหนังสือ 14 เธอคือความฝัน 15 บทเพลงบุหลันแห่งทิวาวาน 16 ใต้ม่านพวงแสด 17 แสงแดดที่ส่องฟ้า 18 ดาริกาแห่งช่อปาริชาต 19 มยุรยาตรวี 20 อัยย์วรีย์ มยุร พบกันใหม่ยามครบวาระในการสร้าง E-Book ขอบพระคุณยิ่งครับผม
Create Date : 11 มิถุนายน 2566 |
|
0 comments |
Last Update : 11 มิถุนายน 2566 9:38:37 น. |
Counter : 395 Pageviews. |
|
 |
|