คุณๆ คิดว่าตระกูลชินวัตร ขายหุ้น Shinเพื่ออะไรครับ
คุณๆ คิดว่าตระกูลชินวัตร ขายหุ้น Shinเพื่ออะไรครับ ตามหัวข้อครับ อยากให้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันหน่อย -ขายหุ้นเพื่ออะไร -ใครได้ประโยชน์มากที่สุดจากTemasak& Shin Deal -ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีโอกาสขาย tender offerไหม//Wink
จากคุณ : stangman
--------------------------------------------------------------------------------
- ขายเพื่ออะไร
ธุรกิจมือถือเริ่มถึงจุดอิ่มตัว กำไรเริ่มทรงตัวหรือน้อยลง
จากนี้ไปการแข่งขันในธุรกิจจะมีสูงขึ้น และการลงทุนในเครือข่ายระบบ 3G จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง
แนวโน้มธุรกิจในอนาคตต้องเปิดเสรีมากขึ้นไปอีก
- ใครได้ประโยชน์มากที่สุด
ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ (คิดยังไงก็กำไร)
- ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีโอกาสขาย tender offerไหม
เมื่อกี้ดูรายการเศรษฐกิจทางช่อง 11 คุณกรณ์ จาติกวาณิชย์ บอกว่า นอกจาก SHIN จะต้องทำเทนเดอร์แล้ว อาจมีโอกาสที่ ADVANC รวมไปถึง ITV ก็อาจต้องมีการทำเทนเดอร์ด้วย
จากคุณ : Qoo ซัง
--------------------------------------------------------------------------------
เอ้าข่าวล่าสุด ครับ//www.asianewsnet.net/level3_template1.php?l3sec=2&news_id=51380
มีโอกาสที่Temasekจะซื้อshin100%แล้วครับ คือซื้อหุ้นทั้งหมดจากรายย่อยด้วย
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ที่กลัวจะเป็นหมัน ซื้อหลอกลืมได้แล้วครับ HISTORIC TAKEOVER: Temasek boss flies in to seal Shin deal
SET to be advised today of Bt2.5-trln buyout by Spore agency; BOT notes huge capital inflow. The chief executive of Singapores Temasek Holdings, Ho Ching, is to appear at a news conference on Monday to announce the takeover of Shin Corp Plc, according to a telecom industry source.
Ho made a one-day trip to Thailand yesterday to add a final touch to her organisations imminent takeover of the Thai conglomerate. Despite her Monday date with the media, the deal is expected to be notified to the Stock Exchange of Thailand today.
A source in Singapore said she had travelled to Bangkok yesterday and returned on the same day.
Regarded as one of Asias most influential women, Ho is the wife of Singapore Prime Minister Lee Hsien Loong. She is in charge of Temasek, which is the investment agency of the Singapore government. According to Temasek Review 2005, the company commanded an investment portfolio totalling S$103 billion (Bt2.47 trillion) last year, up 15 per cent from the previous year.
Temasek plans to acquire 49.6 per cent of Shin Corps shares from the Shinawatra and Damapong families, making the Bt76-billion takeover the largest deal in Thai corporate history.
Sources said Temasek and Shin Corp have agreed on a final price of about Bt51 per share. Shin Corp has 3 billion outstanding shares.
Big boss Temasekบินมาตกลงราคาเรียบร้อยกันแล้ว~51B ดูจากกระแสเงินสดของTemasekนี่ซื้อหุ้นShin100%ง่ายๆครับ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
วันจันทร์23มีPress conferrenceแถลงข่าวใหญ่แล้วครับ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
เรื่องขายหุ้นShinนี่ ทางทักษิณมาเหนือเมฆมากครับ คือตั้งใจที่จะ going global โดยจะไปถือหุ้น Singtel10%แล้วให้ทางSingtel ดำเนินการลงทุนที่อื่นในโลกรวมทั้งไทย พูดง่ายๆว่าแลกหุ้นกันครับ หุ้นshin49.6%(=51B)แลกกับ Temasek10% แล้วจะว่าshinราคาในตลาดไทยแพงไปไหม หรือ Temasekถูกไป งงไหมครับ
อย่างนี้ไม่เสียภาษีก็ไม่น่าเกลียดแล้ว หาทางออกได้สวยมาก ไม่ได้รับเป็นเงินสด
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ตอบง่ายมาก ขายเอาเงินและขายเอากำไรครับ เมื่อถึงเวลาที่ควรขายก็ขายซะ
จากคุณ : aeaw
--------------------------------------------------------------------------------
อย่างไรก็ตามเมื่อพฤหัสบดี (19)ที่ผ่านมา ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เหตุผลที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ (สัปดาห์ที่ผ่านมา) ไม่เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันหรือ อาร์พีเมื่อวันที่ 18 มกราคมของ คณะกรรมการการเงิน แต่เกิดจากการซื้อ-ขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปและโบรกเกอร์นำเงินมาแลกในตลาด ทั้งนี้หลังผู้ว่าการธปท.ออกมาแถลงดังกล่าวมีกระแสข่าวว่า ทาง บมจ.ชินคอร์ป จะเปิดแถลงข่าวการซื้อ-ขายหุ้นในวันศุกร์ (20) และวันจันทร์ (23) มาดามลี ผู้บริหาร กองทุนเทมาเสก ลูกสะใภ้ของ นายลี กวนยิว อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์จะบินมาเซ็นสัญญา ก่อนที่ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ กรรมการ บมจ.ชินคอร์ป แจ้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัทยังไม่ได้รับการยืนยันข้อมูลการซื้อ-ขายจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท
จากคุณ : aeaw
--------------------------------------------------------------------------------
ที่ทักษิณไม่ตอบเรื่องนี้เพราะเหลือDealสุดท้ายที่จะเพิ่มเงินที่ขายshinจาก8หมื่นล้านเป็น 2แสนสี่หมื่นเจ็ดพันล้านบาทครับ
(According to Temasek Review 2005, the company commanded an investment portfolio totalling S$103 billion (Bt2.47 trillion--->10%ทักษิณ)
แถมยังเลี่ยงเรื่องที่ต้องเสียภาษีได้ด้วย
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
มามีผลอีกในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ตํากว่าที่อื่นๆในโลกเพราะคนไทยโดยเฉพาะพวกกองทุนไม่รู้จักของดีของไทยเอง ขายกันอย่างเดียว ทำให้รู้ว่าเรามีของดีที่ไปแลกกับของระดับโลกได้ไม่อายใคร
ผลทางอ้อมก็จะทำให้เงินไหลเข้ามาซื้อกิจการในไทย หรือร่วมทุน เงินไทยก็แข็งขึ้น เพราะการแลกหุ้นกันคราวนี้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติ
ต่อไปเราๆท่านๆก็ต้องคอยจ้องนะครับ ว่าต่างชาติจะมาร่วมทุนหรือTake Over บริษัทไหน ใครเก็งถูก โชคดีครับผม
นี่จากอีกwebครับ มีคนpostมา
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
เห็นด้วยครับ คนไทยชอบดูถูกคนไทยด้วยกันเอง จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อ มันหลุดลอยไปแล้ว
จากคุณ : aeaw
--------------------------------------------------------------------------------
ทิ้งสื่อสาร เงินที่ขายได้ที่สิงคโปร์ กลับมาซื้อพลังงานในรูป nominee พลังงานไปไกลกว่า...
จากคุณ : เดาล้วน
--------------------------------------------------------------------------------
ดูช่อง 11 เมื่อคืนแล้วเห็นคุณกรณ์พูดถึงเรื่อง ITV ด้วยว่า ดีลการขายหุ้น Shin ครั้งนี้มี ITV พ่วงไปด้วย ถ้าเขาไม่ แยก ITV ออกมาขายให้คนอื่น(อย่างที่คาดการณ์กันว่า ITV อาจถูกแยกขายออกมาภายหลัง เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจ ที่เขาถนัด) ก็คงมีอะไรน่าติดตามกันอีกแน่ๆ เพราะ จาเป็นการถือหุ้นสื่อสารมวลชน(Tv)ไทยโดยสิงคโปร์
จากคุณ : Vboy
--------------------------------------------------------------------------------
ผมเคยอ่านข้อมุลของการลงทุนของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ คาดว่าจะสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมดังนี้
1. กลุ่มสถาบันการเงิน เช่น UBO DBS เป็นต้น 2. กลุ่มสื่อสาร เช่น สิงห์เทล เป็นต้น 3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น แคปปิตอลแลนด์ ซึ่งลงทุนทั้งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และที่ใหญ่ ๆ คือการให้เช่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เป็นต้น 4. กลุ่มพลังงาน 5. กลุ่มคมนาคมและขนส่ง เช่น สิงคโปร์แอร์ไลน์
ที่น่าสังเกตคือ การลงทุนของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ จะลงทุนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้าน Country Risk
การลงทุนของกองทุนจากสิงคโปร์ที่ผ่านมาในไทย เป็นทั้งการลงทุนทางตรงเพื่อบริหารเอง หรือเป็น Strategic Partner หรือเป็นการลงทุนทางอ้อมเพื่อหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลและส่วนต่าง โดยที่ผ่านมาสามารถซื้อหุ้นในราคาถูกช่วงเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมาก ๆ ในช่วงปี 40 ครับ ซึ่งเขาเข้ามา funding เงินในธุรกิจไทยค่อนข้างมาก เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ในราคาที่ถูกมาก บางตัวซื้อแล้วเก็บยาว เอาปันผลซื้อตัวมันเอง ทำให้ Weath สูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการซื้อหุ้นของกองทุนจากสิงคโปร์ในหลาย ๆ ธุรกิจในช่วงนี้ จึงน่าจะเป็นการต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ใช่เป็นการเริ่มทำธุรกิจใหม่นะครับ ผมติดตามข้อมูลพบว่า ตอนนี้เขาพยายามต่อยอดไปยังกลุ่มสื่อสาร ตามที่ปรากฏ นอกจากนี้ยังต่อยอดไปยังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมองว่า ราคาที่ดินในเมืองไทยเมื่อเทียบกับบางประเทศในภูมิภาคนี้ยังค่อนข้างถูก เช่น ประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง เป็นต้น และที่กำลังสนใจจะลงทุนเพิ่มคือ ภาคการขนส่งในโครงการเมกะโปร์เจ๊กซ์ของรัฐบาลครับ คอยจับตาดูกันต่อไปครับ
จากคุณ : ต่างมุมมอง (ต่างมุมมอง)
--------------------------------------------------------------------------------
สิงคโปร์ถนัดเรื่องพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง เป็นที่น่าสงสัยว่า ทำไมไม่มีใครพูดถึงSC Assetเลยว่าทางTemasekจะยอมปล่อยหรือเปล่า
ที่น่าสนใจที่สุดคือเรื่องที่ทักษิญเอาการแลกหุ้นตัวเอง49.6%ในShin แลกกับ 10%ในTemasekว่าจะมีdeal อะไรพ่วงไปด้วย ถ้ามีdeal เหล่านี้พ่วงไปแสดงว่าทางTemasekหรือพรรคพวก(Singtelถือได้ว่าเป็นบริษัทลูกของTemasek)สนใจกิจการเหล่านี้ในเมืองไทย
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือเรื่องการJoint venjor กับกิจการต่างๆทั้งเรื่องพลังงาน ที่ดิน ที่มีกฏหมายไทยขวางอยู่ จะต้องเปิดทางมากน้อยแค่ไหนกับกลุ่มทุนต่างชาติที่ทำท่าว่าจะParadeเข้ามา เชื่อว่า FTA ไทย สหรัฐ จบเมื่อไรทางกลุ่มทุนสหรัฐซึ่งถนัดมากทางนี้ต้องหาทางเข้ามาแน่ครับ ใครมีความเห็นไงบ้าง ชี้แนะด้วยครับ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
SC Asset เป็นของส่วนตัวนะครับ เท่าที่จำได้ ไม่ได้เป็นของ Shin Corp.
จากคุณ : anuchs
--------------------------------------------------------------------------------
จะวิเคราะห์ทักษิณต้องพยายามไล่ตามความคิดทักษิณให้ทัน............ซึ่งเป็นเรื่อง"ยากส์"มากๆ
ในอดีตเห็นว่าเคเบิ้ล ทีวี รัฐไม่ให้โฆษณาไปไม่รอด ทั้งๆที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ ๑ ก็ขาย ไอ บี ซี ให้ ยู ที วี จนกลายเป็น UBC ทุกวันนี้ รายการนี้พิสูจน์แล้วว่า CP เจ็บสาหัส เพราะยังกระเตาะกระแตะกับกำไร-ขาดทุนทั้งๆที่ผ่านมาร่วมเกือบ ๑๐ ปีแล้ว ที่ CP ยังสนับสนุนเชียร์ทักษิณก็เพราะต้องการให้แก้กฏให้เคเบิ้ลโฆษณาได้นี่แหละ แต่...ไม่รู้เมื่อไหร่?
ตอนทำโทรศัพท์ไร้สายยุคแรก"โฟนพ้อยท์"ที่มีเสารอากาศตามป้ายรถเมล์ ทำไปไม่เวิร์คก็ยกเลิกล้มดื้อๆ เช่นเดียวกันกับสัมปทาน"บัสเรดิโอ"
การขายชินก็เหมือนกรณีขาย ไอ บี ซี,เลิกโฟนพอยท์ และเลิก บัสซาวด์ นั่นแหละ
คือหาเป็นธุรกิจขาลงแล้วไม่มีทางจะฟื้น หยั่งงี้ต้อง"ขายทิ้ง" ไม่กลับไปกัดก้อนเกลือกินเหมือนสมัยวิ่งแลกเช็คยุคซื้อหนังบ้านทรายทองมาขายหร้อก........
............55555555.................
จากคุณ : กุษาณ
--------------------------------------------------------------------------------
ในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ไม่เพียงแต่จะเป็นโครงการเพื่อการพัฒนาและขายเท่านั้น แม้แต่จุดแข็งของประเทศในเรื่องธุรกิจบริการ โรงแรม และล่าสุดที่กำลังรุกคืบไปอีกคือธุรกิจโรงพยาบาลครับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดนต่างประเทศฮุบ หลังเทมาเส็ก -อาหรับเอมิเรต ซื้อ 86.73 ล้านหุ้น ผ่านไทยเอ็นวีดีอาร์ ในราคาหุ้นละ 25 บาท จากบริหารสินทรัพย์ทวี พร้อมร่วมลงทุนใน บริษัท บำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลงทุนในต่างประเทศ นายปิติ สิทธิอำนวย รองประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า บริษัท บริหารสินทรัพย์ทวี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคาร ได้ขายหุ้นสามัญของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ซึ่งประกอบธุรกิจโฮลดิ้ง จำนวน 86.74 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 2,168.53 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 11.88% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท จำนวน 730.05 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ พาร์หุ้นละ 1 บาท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารและบริษัทย่อย ลดลงจาก30.53% เหลือ 18.65% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท นายธนิต เธียรธนู กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เนื่องจาก เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2549 Istithmar PJSC ผู้ลงทุนจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต เข้ามาซื้อหุ้นของบริษัท 43.37 ล้านหุ้น TLS Alpha Pte Ltd. ("TLS Alpha") ซื้อหุ้นของบริษัท 21.68 ล้านหุ้น และ Aranda Investments Pte Ltd. ("Aranda") ซื้อหุ้นของบริษัท 21.68 ล้านหุ้น โดย TLS Alpha และ Aranda เป็นบริษัทย่อยของ Temasek Holdings (Private) Limited ("Temasek") แห่งประเทศสิงคโปร์ โดยทั้ง 3 ราย ซื้อหุ้นจาก บริษัทบริหารสินทรัพย์ทวี จำกัด บริษัทย่อยของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งธนาคารถือหุ้น 99.99 % ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 25 บาท ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณจากราคาตลาดเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ณ เวลาที่เริ่มการเจรจาซื้อขายหุ้น ซึ่งธุรกรรมดังล่าวเกิดเมื่อวันที่ 20 ม.ค.49 โดยการถือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือ NVDR (Non-Voting Depository Receipt) ทั้งนี้ Istithmar จะถือหุ้นของโรงพยาบาลบรุงราษฎร์ ในสัดส่วน 5.94 % TLS Alpha ถือหุ้น 2.97% และ Aranda ถือหุ้น 2.97% ขณะที่บริษัท บริหารสินทรัพย์ทวี จำกัด จะถือหุ้น มีสัดส่วนการถือหุ้นลดลงจากเดิม 23.97% เหลือ 12.09% ของมูลค่าหุ้นที่ชำระแล้วของบริษัท อย่างไรก็ตามในฐานะหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว (Long Term Strategic Partner) Istithmar และ Temasek ยังได้ทำบันทึกความเข้าใจกับบริษัท เพื่อตกลงในหลักการร่วมลงทุนใน บริษัท บำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ("BIL") บริษัทย่อยเพื่อการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทซึ่งปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 99.99% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดอีกด้วย ทั้งนี้ การร่วมลงทุนจะขึ้นอยู่กับการตรวจสอบกิจการ (due diligence) และการอนุมัติจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
จากคุณ : ต่างมุมมอง (ต่างมุมมอง)
--------------------------------------------------------------------------------
เรื่องธุรกิจสื่อสารที่ว่าเป็นขาลง ต้องขอแย้งหน่อยครับว่าไม่ใช่ ลืมเร่อง3Gที่จะเปิดประมูลกลางปีนี้หรือครับ ผมยังไม่มีเวลาศึกษารายละเอียดเรื่องนี้มากนัก ใครทราบชี้แนะด้วยครับ
แต่ก็รู้ว่า3Gนี่ต้องถือว่าเป็นnext generation ทางสื่อสารที่ทำให้ก้าวต่อไปได้อีกหลายสิบก้าว คล้ายกับสมัยมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้ใหม่ๆ
เรื่อง3G เป็นCakeก้อนโตที่ทางบริษัทสื่อสาร ยักย์จ้องประมูลเอาสัมปทานกัน ไม่ว่า Telenor หรือTemasek หรือ BT/CT/HT /NT /DT/AT&T (ถ้ายังเป็นShinเก่าคงสู้เขาไม่ได้ ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทักษิณต้องไปแลกหุ้นกับทางTemasek เข้าใจแลกก่อนการประมูลครั้งสำคัญ)
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
สำหรับการรุกคืบของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ที่กำลังรุกคืบมายังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผ่าน กลุ่ม แคปปิตอล แลนด์ พร้อมเหตุผลการรุกคืบ ซึ่ง คุณเสริมสิน CEO N-PARK เคยฝันว่าอยากจะทำ Model ธุรกิจให้เหมือนกับกลุ่มนี้ด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีราคาที่ดินเพื่อการเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านของไทยมาประกอบด้วยครับ เนื่องจากเศรษฐกิจสิงคโปร์ที่เริ่มชะลอตัว บวกกับราคาที่ดินซึ่งแพงกว่ากรุงเทพฯ ถึง 3 เท่า (โดยเฉลี่ย) ดังนั้น ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจึงมีกลุ่มทุนสิงคโปร์หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในโครงการคอนโดหรูที่กรุงเทพฯ ซึ่งประกอบด้วย
1. กลุ่มเคปเปล แลนด์ ลงทุนในโครงการ วิลล่า อะคาเดีย ศรีนครินทร์ โดยการรวมกิจการกับบริษัท ไฟว์ สตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ ในนามบริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้
2. กลุ่มแคปปิตอล แลนด์ เข้ามาลงทุนในโครงการคอนโด แอทธินี เรสซิเดนซ์ ถนนวิทยุ ร่วมทุนกับบริษัท ที.ซี.ซี. ดีเวลลอปเม้นท์ ในนาม ที.ซี.ซี.แคปปิตอล แลนด์
3. กลุ่มเซ็นเตอร์พอยท์ พร็อพเพอร์ตี้ เข้ามาลงทุนในโครงการคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยร่วมทุนกับบริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน ในนามบริษัท ริเวอร์ไซด์ โฮม ดิเวลลอปเม้นท์
4. กลุ่มโฮเต็ล พร็อพเพอร์ตี้ส์ เข้ามาลงทุนเองในโครงการคอนโด เดอะ เม็ท ถนนสาทร
ราคาที่ดินใจกลางเมืองใหญ่ จากสิงคโปร์ถึงกรุงเทพฯ
สนนราคาที่ดินในเมืองสำคัญของเอเชีย โดยประมาณ (จากคำบอกเล่าของผู้อำนวยการบริหาร HPL)
- ที่ดินในเมืองสิงคโปร์ ราคา 1,000 US$ ต่อ ตร.ฟุต - ที่ดินในเมืองฮ่องกง ราคา 2,000 3,000 US$ ต่อ ตร.ฟุต - ที่ดินในตัวเมือง ประเทศจีน (ไม่ระบุเมือง) ราคา 500 US$ ต่อ ตร.ฟุต - ที่ดินบริเวณใจเมืองกรุงเทพฯ ราคา 300 400 US$ ต่อ ตร.ฟุต
จากคุณ : ต่างมุมมอง
--------------------------------------------------------------------------------
ละเอียดดีมากครับคุณต่างมุมมอง
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ได้ยินมาว่าขายเอาไปซื้อธุรกิจพลังงาน ก็ดูๆ อยู่ว่าเค้าจะเทคบริษัทไหนอีก ว่าแต่ว่า มีบริษัทไหนหล่ะที่มีโรงกลั่นของตัวเอง แล้วแนวโน้มดี ที่ชินเค้าคิดจะซื้อ คิดกันเล่นๆ
อ้อ เกี่ยวกับดีลนี้ ต้องบอกว่า น่าเกลืยดนิดๆ ตอนยูคอมทำ แทบจะไม่มีข่าวเลย จนวันท้ายๆ แต่นี่มีข่าวมาเป็นหลายเดือน แถมยังมีหน้าบอกว่าจะไม่ทำเทนเดอร์
จากคุณ : แอน (แอ่นแอ๊น)
--------------------------------------------------------------------------------
ไม่แน่ใจว่า ขายหุ้น ในรูปแบบการแลกหุ้น หรือปล่าว ต่างคน ต่างถือหุ้นของอีกฝ่าย
จากคุณ : Chaeh
--------------------------------------------------------------------------------
ครับ พรุ่งรู้ชัดละ จากแหล่งข่าวล่าสุดที่ผมpostข้างบนนะ
จะแลกหุ้นกันอย่างนี้ Shin 49.6% แลกกับ Temasek 10%
ทีนี้จุดที่น่าสนใจ ทราบไหมครับว่าTemasek10%นี่มีมูลค่าเท่าไร ก็จะคิดตีกลับมาได้นะครับว่า หุ้นShinที่เขาแลกกะเรานี่เขาให้ราคาหุ้นละกี่บาท คิดเองนะครับ
คาดว่าอาจมีการSPหุ้น Shin+บริวารทั้งหมดครับ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ในประเด็นของเทคโนโลยี(นอกจากประเด็นธุรกิจกับการเมือง) ผมว่าเพราะ VOIP กำลังมาครับ ล่าสุดได้ข่าวแว่ว ๆ มาว่า SKYPE ทุ่มเงิน 1,000 ล้าน US เพื่อเปิดให้บริการให้ดีขึ้น ผลคืออะไรน่ะเหรอ สรุปสั้น ๆ ก็คือ ต่อไปในอนาคต พวกเราจะใช้มือถือกันเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ระบบเครือข่ายมันจะย้ายไปอยู่ใน Internet แทนที่จะเป็นเครือข่ายแบบปัจจุบัน ซึ่งมีผลทำให้ค่าโทรถูกลงมาก และสามารถโทรอัตราเดียวกันได้ทั่วโลก!!
ผมว่าทักษิณมองออกถึงจุดนี้นะ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าควรจะปล่อยหุ้นซะตอนนี้ก่อนจะสายเกินไป(อย่างน้อยก็ก่อนที่พวกนักธุรกิจที่ไม่รู้เรื่อง Technology จะไหวตัวทัน เพราะถึงตอนนั้น ก็ดิ่งลงเหวแล้ว) แต่ธุรกิจอื่น ๆ เช่นการบินพวกนั้นกอดไว้ก่อนดีแล้ว
ไม่เกินสิบปีข้างหน้าระบบสื่อสารแบบเก่าโดนโละไปไม่มากก็น้อยแน่ ๆ
จากคุณ : resnick
--------------------------------------------------------------------------------
ถามคุณ resnick ครับ เอ๊ะถ้าทักษิณมองออกถึงจุดนั้นแล้ว แล้วสิงคโปร์มันโง่กว่าทักษิณที่จะมองไม่ออกหรือไงครับ ถึงไปซื้อกิจการที่จะเน่า
จากคุณ : เคมิส
--------------------------------------------------------------------------------
กิจการเกือบทุกอย่างถ้าไม่รู้จักปรับตัวก็อยู่ไม่รอดครับ ธุรกิจสื่อสารไม่ใช่ว่าจะถึงทางตัน แต่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ใครเปลี่ยนไม่ทันก็อยู่ไม่รอด แน่อยู่แล้วครับ
Temasek หรือ ทักษิณ ใครจะฉลาดกว่ากัน ไม่ทราบครับแต่ก็คงไม่โง่กว่ากันมากนักและรู้ทันกันครับ การแลกหุ้นคราวนี้เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
ที่น่าแปลกใจคือทำไมTemasekมายอมให้ราคาหุ้นShinสูงกว่าราคาที่อยู่ในตลาดไทยมากนัก มีอะไรในกอไฝ่?
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ครับ พรุ่งรู้ชัดละ จากแหล่งข่าวล่าสุดที่ผมpostข้างบนนะ
จะแลกหุ้นกันอย่างนี้ Shin 49.6% แลกกับ Temasek 10%
จากคุณ : KAi (stangman)
คงเป็นสิงเทล 10 %ไม่ใช่เหรอ
คงต้องจับตาดูว่า แลกหุ้นอย่างเดียว หรือว่ามีบางส่วนที่ต้องจ่ายเงินสดด้วย
ที่สำคัญ จะมีการทำเทรนเดอร์จากรายย่อยหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมกำลังสนใจตรงนี้มากกว่า
จากคุณ : S-sung
--------------------------------------------------------------------------------
ตัวเลขอะไรยังไม่แน่100%ต้องรอเขาประกาศเป็นทางการหลังจากที่เซ็นMOUแล้ว นี่มีข่าวมีว่าจะจ่าย69บาทแทน
Meanwhile, if the sale rumors are true, it will mean a good-sized profit for the Thaksin family. Reports suggest a takeover price of $2 billion would mean Temasek would pay 69 baht (less than $1.75) for Shin shares,
ยังคล้ายเป็นข่าวลือครับไม่แน่นอนจนกว่าเขาประกาศ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
แต่เรื่อง tenderนี่ตามกฎตลาดหลักทรัพย์ไทย ถ้าซื้อหุ้น>25%ต้องทำtender เพื่อรับซื้อหุ้นจากรายย่อยในราคาเดียวกันครับ
รายการtenderจากรายย่อย ดูตัวเลขตามกฎตลาดแล้วหุ้นที่ต้องทำแน่นอน100%คือ Shin Advancและ ITV
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ตอบความคิดเห็นที่ 25 ครับ
ถ้าเคยเล่นหุ้นก็น่าจะเข้าใจ ผมจะยกตัวอย่าง กรณี มีคนที่อยากจะออกจากหุ้นตัวนึงมาก ๆ แล้วก็ประกาศขาย ก็มักจะมีคนมารับซื้อต่อเสมอ นั้นก็เพราะว่าต่างคนต่างคิดครับ ราคาของธุรกิจนั้น ๆ มันขึ้นกับว่าแต่ละคนตีราคาและจะเอาไปทำกำไรได้เท่าไหร่ ซึ่งแต่ละคนก็มีมุมมองแตกต่างกัน
ผมจะไม่พูดต่อว่าเพราะอะไรนะครับ คิดว่าคุณน่าจะเข้าใจอยู่แล้ว เพราะผมดูแล้วคุณน่าจะเก่งพอตัวทีเดียว
บางครั้งมันก็ไม่ใช่ว่าใครมองออกหรือไม่ออกอย่างเดียว แต่ขึ้นกับว่าจะเข้าหรือออกธุรกิจตอนไหนต่างหาก
สำหรับทักษิณถึงแม้มีมองว่าเค้าก็อาจจะขายเร็วไปนิดนึง เพราะธุรกิจ GSM (2G) น่าจะอยู่ได้อีกหลายปี แต่ผมมองว่าที่เค้าขายเพราะปัจจัยทางการเมือง และทางอื่น ๆ ที่ผมว่าตรงนี้คงเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับทักษิณ ที่ยิงนกตัวเดียวได้หลายตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจนี้จะไม่ดีแล้วสำหรับคนอื่นครับ
จากคุณ : resnick
--------------------------------------------------------------------------------
เพราะต้องยอมรับว่าไม่มีเทคโนโลยีอะไรอยู่ค้ำฟ้า ผมอยากถามว่าเมื่อสิบปีที่แล้วมีใครมีมือถือใช้มั้ยครับ แล้วคิดว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะยังใช้มือถือในเทคโนโลยีเดิม ๆ งั้นเหรอ ผมว่าไม่ครับ (ไม่ได้หมายความว่าเลิกใช้มือถือนะครับ แต่จะเปลี่ยนไปในสิ่งที่ดีกว่า)
ธุรกิจทางเทคโนโลยีทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอด และถึงแม้ว่านักลงทุนทุกคนรู้ในจุดนี้แต่ก็มีคนซื้อหุ้นในธุรกิจเทคโนโลยีไม่ใช่เหรอครับ เพราะมันหวือหวาดี
ถ้าคุณเป็น วอเรน บัฟเฟตก็ว่าไปอย่าง เพราะรายนั้นเค้าประกาศชัดเจนว่าจะไม่เล่นธุรกิจเทคโนโลยีเพราะ cycle ที่ไม่เกิน 10 ปี (บางทีไม่เกิน 5 ปี) ทำให้เดาอนาคตได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนสนใจในธุรกิจจำพวกนี้
จากคุณ : resnick
--------------------------------------------------------------------------------
ขายหุ้นเพื่ออะไร?
จากคุณ : หมูทุบ (pork)
--------------------------------------------------------------------------------
ฮิฮิ
จากคุณ : หมูทุบ (pork)
--------------------------------------------------------------------------------
H ทั้งshin+บริวารแล้ว11.45AM แถลงข่าว14.30PM
ดูจากVolume big lot เข้ามาทีเดียว8หมื่นล้าน
Temasekคงไม่เลี่ยง tender offer น่าจะตามด้วยSPจนได้ราคา tender ถึงเปิดซื้อขาย
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
สรุป tender shin@49.25B. Shin-w1@28.75 จากรายย่อย100%ครับ คุณ S-sungคงจะสบายใจแล้วนะ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณครับ คุณkai ผมเชื่อแล้ว ว่าหุ้น shin ดีกว่าที่ผมคิด แต่ผมก็ยังถูกตรงที่ผมเคยคิดว่า advanc มันแพง และมันก็แพงจริงๆ
จากคุณ : S-sung
--------------------------------------------------------------------------------
เดี๋ยวครับหยุดก่อนอย่าไปเข้าใจว่าที่เขาtender@72นี่เป็นของจริงนะครับ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
ที่ผมว่ามันแพง คือเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆครับ คุณ kai ทั้ง shin, advanc เล่นกันที่ P/E ค่อนข้างสูง ในสายตาของผม เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ แต่ในสายตาของต่างชาติ เขาอาจจะมองว่าไม่แพง ถ้าเทียบกับหุ้นบ้านเขา แต่ก็อย่างว่า คนเรามองไม่เหมือนกัน บางคนมองว่า kbank ไม่แพง แต่ผมกลับมองว่าแพง
จากคุณ : S-sung
--------------------------------------------------------------------------------
ครับ ถ้ามองด้านP/Eหรือความสามารถในการทำกำไรปัจจุบันนับว่าแพง
ที่เขาเจาะจงมาซื้อ Advanc เพราะเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองไทย แต่ติดข้อห้ามบางประการทางกฎหมายโทรคมนาคมเลยเลี่ยงไปTake Shinแทนซึ่งยุ่งยากเรื่องมีหุ้นลูกติดมาหายตัว แต่กฎหมายไทยอนุญาต
ตอนนี้แต่ละคนมองว่าเพื่อประมูล3G ซึ่งต้องใช้เงินทุนมหาศาล แต่ผมมองถึงWIMAXครับ บางทีประเทศไทยอาจผ่าน3Gไป WIMAXเลย เพราะใช้เงินทุนน้อยกว่ามาก คืนทุนเร็ว ถึงตอนนั้น advancจะราคาเท่าไรก็ไม่รู้ เราก็ได้ประโยชน็ถึงตอนนั้น ค่าโทรจะถูกจนคาดไม่ถึง คนทั่วไปมองAdvancเรื่องมือถืออย่างเดียว อีกหน่อยไม่ใช่แล้วครับ
ผมมองออกทางTemasekก็ยิ่งมองออกครับ
จากคุณ : KAi (stangman)
--------------------------------------------------------------------------------
จริงด้วยครับ คุณ kai เขาคงมองเรื่องการต่อยอดของธุรกิจในอนาคต อนาคตที่มีการแข่งขันแบบเสรี ทักษิณอาจสู้ไม่ได้ แต่สิงเทลสู้ได้
ขอบคุณครับ
จากคุณ : S-sung

กระทู้นี้เป็นกระทู้แนะนำในห้อง tech/harwareแล้วนะครับแต่รู้สึกจะโดนBlockไม่ให้แสดงความเห็นแล้ว ใครต้องการแสดงความเห็นอะไรเชิญที่นี่ได้เต็มที่เลยครับ
Create Date : 23 มกราคม 2549 |
|
28 comments |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2549 17:07:22 น. |
Counter : 1223 Pageviews. |
 |
|
ไม่ใช่ทั้งจากตัว Singtel แค่ตัวเดียว หรือจากมูลค่าของTemasek
Portfolio ของ Temasek มูลค่า ราวๆ 2.4 ล้านๆบาทไทย เป็นหุ้นในกลุ่ม communication 33%