ไซไดที่รัก♥ ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ Saitama University


ปัดฝุ่นบลอกในรอบปี เพราะอยากเก็บไว้ให้ตัวเอง แล้วก็เผื่อเรื่องราวของเราจะมีประโยชน์กับคนที่ผ่านเข้ามาอ่าน อิอิ


เนื่องจากเราได้มีประสบการณ์ไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยไซตามะ (Saitama University) หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า "ไซได" เป็นเวลา 1 ปี

ตอนนี้ก็กลับมานานแล้วแหละ 5555 แต่พึ่งอยากมาเขียนเก็บไว้

เพราะก่อนเราไป เราเลือกม.นี้แค่เพราะว่าเพื่อนๆไม่มีใครเลือก

แล้วจังหวัดไซตามะก็อยู่ติดโตเกียวด้วย อ่ะ ไหนๆอยู่ไทยก็อยู่ทางเหนือของกทม.แล้ว

ไปอยู่ทางเหนือของโตเกียวเหมืองหลวงอีกจะเป็นไรไป ชินล้ะ กับคำว่าปริมณฑล 5555555

พอเลือกไซไดไปแล้ว ก็ถึงเริ่มหาข้อมูล ปรากฏว่า ไม่มีรุ่นพี่คนไหนไปเลยจ้า 55555

หาข้อมูล รีวิวมหาลัยยากมากกก ก็เลยคิดว่าน้องๆรุ่นหลังคงมีคนแบบเดียวกับเรามั่งแหละ

จะไปอยู่ตั้งปีนึงก็อยากได้ข้อมูลมหาลัยใช่ปะ มาๆ เราจะเล่าให้ฟังน้า



ไซไดเนี่ย ตั้งยู่ในเขตตัวเมืองไซตามะเลย

ไม่พลุกพล่านเหมือนโตเกียวแต่ก็อยู่ห่างจากโตเกียวเพียง 30 นาที มี 5 คณะคือ

เศรษฐศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ ครุศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์

ตัวม.นี่ยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากจ้า 555555

สามารถมองเห็นภูเขาไปฟูจิได้จากหอพัก ทุ่งนาหลังม.

หรือแม้แต่สถานีรถไฟวันที่ฟ้าใสๆนะ นศ.ที่นี่แต่งตัวง่ายเว่อ ไม่ตามแฟชั่น

จนบางทีคนญี่ปุ่นจะเรียกที่นี่ว่า Dasai-tama (ダ埼玉)

ซึ่งแปลว่าไซตามะเชยๆด้วยแหละ 555555555 อะโชว์รูปหน่อยยย Smiley



ฟูจิซังจากทุ่งนาหลังมอ



ฟูจิซังจากหอพัก


เป็นไงคะ Smiley ภาพแบบนี้ต้องดูตอนฤดูหนาวนะ เพราะฟ้าจะเปิดมากๆ


.

.

.


ระบบการเรียนการสอน


ที่ม.รับนักเรียนต่างชาติเยอะนะ ถ้าเทียบกับม.ที่เพื่อนๆเราไป

แบบเทอมนึงเข้าใหม่กันสัก 50 บวกเด็กเก่าๆ แล้วก็เด็กต่างชาติที่เรียนหลักสูตร 4 ปี

ก็เป็นร้อยอ่า เพราะงั้นหอพัก วิชาเรียนก็จะมีแยกสำหรัลเด็กต่างชาติเลย

การศึกษาที่นี่จะแบ่งเป็น 4 ภาคเรียน คอร์สสำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนระยะสั้นที่นี่จะเรียกว่า

STEPS (Short-Term Exchange Programs at Saitama University)

ในหนึ่งภาคการศึกษาจะต้องลงทะเบียนเรียนไม่น้อยกว่า 7 คาบ

โดยที่จะมีวิชาบังคับเป็นวิชาภาษาญี่ปุ่นตามระดับที่ตัวเองสอบผ่าน

วิชาภาษาญี่ปุ่นจะแบ่งเป็น 6 ระดับ A B C D E S สูงสุดที่ระดับ S

ในระดับ A จะสอนภาษาญี่ปุ่นขั้นต้น เพื่อสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับ N5,

ระดับ B เพื่อสอบ N4, ระดับ C เพื่อสอบ N3, ระดับ D เพื่อสอบ N2, ระดับ E เพื่อสอบ N1

หากผู้เรียนสอบ N 1 ผ่านแล้ว จะถูกจัดให้อยู่ในระดับ S

ที่จะเป็นการสอนภาษาญี่ปุ่นขั้นประยุกต์เข้ากับสื่อต่างๆ


คลาสเรียน E กับ S จะมีวิชาบังคับสำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนแค่ 4 คาบ

และมีวิชาภาษาญี่ปุ่นระดับป.ตรี ก็คือเป็นคาบภาษาญี่ปุ่นสำหรับเด็กต่างชาติที่มาเรียนป.ตรี

(เหมือนเวลาเราเข้าปี 1 ก็ยังต้องเรียนภาษาไทยอ่ะ 5555)

คาบนี้เราต้องเรียนกับเด็กป.ตรีอีก 4 คาบ(ไม่บังคับ) รวมเป็น 8 คาบ (ก็เพียงพอกับหน่วยกิตที่บังคับต่อ 1 ภาค)

แต่ถ้าใครไม่อยากเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นของเด็กป.ตรี ก็สามารถเลือกเรียนวิชาอื่นๆของคณะ

ที่เรียนกับเด็กญี่ปุ่นได้เหมือนกันจ้า เพราะวิชาของป.ตรีที่นี่จะมีทั้งวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ และวิชาที่สอนเป็นภาษาญี่ปุ่น

เพราะงั้นนี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้หาเพื่อนญี่ปุ่นล่ะ *-*

ส่วนคลาสเรียน A-D จะมีวิชาบังคับให้แค่ 6 คาบ

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกเรียนวิชาอื่นกับเด็กญี่ปุ่นอย่างน้อย 1 คาบ

ส่วนใหญ่จะเลือกเรียนได้แค่วิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ

แต่นักเรียนระดับ D อาจลงเรียนวิชาที่สอนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ถ้าอาจารย์อนุญาตเด้อออ


หนึ่งคลาส(ส่วนใหญ่)จะใช้เวลาเรียนทั้งหมด 2 เทอม

แบ่งเป็น 2 ช่วงคือภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วง (เทอม 3 (ปลายกันยายน-พฤศจิกายน) และเทอม 4 (ธันวาคม-ต้นกุมภาพันธ์))

และภาคการศึกษาฤดูใบผลิ (เทอม 1  (เมษายน-พฤษาคม) และเทอม 2 (มิถุนายน-ต้นสิงหาคม))

แต่บางวิชาของป.ตรีที่เด็กญี่ปุ่นเรียน อาจจะมีแค่เทอมเดียวก็ได้

แบบวิชานึงเรียนแค่ 8 คาบอะ น้อยมาก 555 วิชาไหนสอนเทอมเดียวก็เช็คได้ตามเว็บมหาลัยนั่นแหละจ้า


เราเข้าเรียนตอนเทอมฤดูใบไม้ร่วง หรือเรียกอีกอย่างว่าเทอม 3-4

ในคลาสเรียนระดับ D มีวิชาบังคับภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด 6 คาบ

รวมทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน ไวยาการณ์ แล้วเราก็ไปลงลงวิชาของคณะศิลปศาสตร์เพิ่มเติม

คือวิชา English II เป็นวิชาที่สอนเกี่ยวกันการเขียนรายงานวิชาการเป็นภาษาอังกฤษ

ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน

และวิชา Studying Humanities Abroad II เรียนเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนวัฒธรรมเพื่อการไปเรียนต่างประเทศ

สอนเป็นอังกฤษหมดเลย เพราะภาษาญี่ปุ่นตอนนั้นกากมาก 555555

แต่ในห้องก็จะมีเด็กญี่ปุ่นที่เรียนเป็นอังกฤษไหว พวกนี้ก็จะเป็นมิตรกับเด็กต่างชาติมากกก

พอถึงเทอมฤดูใบไม้ผลิ เราได้เลื่อนขั้นวิชาภาษาญี่ปุ่นมาเป็นระดับ E

แต่จากประสบการณ์ 2 เทอมที่แล้วทำให้รู้ว่า อิคาบที่เรียนกับเด็กญ๊่ปุ่นนี่ตัดเกรดโหดมากกกกกก

เราเลยไม่ไปลงวิชากับเด็กญี่ปุ่นอีกแล้ว 55555

ก็เลยเลือกเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นของเด็กป.ตรี(ต่างชาติ) ซึ่งก็โหดมากกกกกก ฟฟฟฟ

เพราะพวกที่มาเรียนป.ตรีก็จะเป็นพวกได้ญี่ปุ่นคล่องกันแล้วอะ ฮือออออ 


ส่วน

การให้เกรด จะแบ่งเป็น S , A+, A, B+, B, C+, C โดยที่ S เท่ากับ 4.00 และ C เท่ากับ 1 ตามลำดับ


.

.

.


หอพัก



ห้องพักเดี่ยว ตึก 2 มีห้องน้ำ ห้องครัว ในตัว


หอพักที่นี่ดีงามมม เป็นห้องเดี่ยว เอาผู้ชายเข้ามานอนได้สะดวก เอ้ยย 5555

ภายในห้องจะมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมอยู่แล้ว ตู้ โต๊ะ  ตู้เสื้อผ้า เตียง ตู้เย็น ห้องครัว ห้องน้ำในตัว ไวไฟ

แต่ชุดเครื่องนอนนั้นจะไม่ได้มีเตรียมไว้ให้น้า เขาจะมีให้เช่าเป็นรายเดือน

แต่เราแบกหมอนผ้าห่มไปจ้า 55  เครื่องครัวเครื่องใช้ไฟฟ้า

เขาจะมีการนำของมือสองจากรุ่นก่อนที่บริจาคไว้ก่อนกลับประเทศออกมาว่างขายในราคาถูก (เริ่มต้นประมาณ 50เยน)

ดังนั้นสิ่งของเครื่องใช้อาจไม่จำเป็นต้องเตรียมไป หรือเตรียมไปแค่ชั่วคราวก็ได้จ้า


หอพักมีทั้งหมด 3 ตึก โดยที่สำนักงานจะอยู่ที่ตึก 1 ระบบรักษาความปลอดภัยเป็นแบบสแกนนิ้วเข้าหอ

เครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า 100 เยน มีอยู่ทุกชั้น เรียกได้ว่าสะดวกสบายไม่ต้องแย่งใครเลยจ้า

อ่อ แล้วหอพักอยู่ติดมหาลัยเลยสะดวกจริงไม่ติงนัง ไม่มีจำกัดเวลาเข้าหอ เหมาะกับสายเที่ยวกลับเช้ามากมาย 555

.

.

.


โทรศัพท์


หลายคนคงกังวลเรื่องโทรศัพท์ จะมีเน็ตไหม ต้องเปิดเบอร์รึเปล่า เราว่าจำเป็นนะ

เพราะมันมีผลต่อการสมัครทำงานพิเศษและทำธุรกรรมต่างๆในประเทศญี่ปุ่น

ส่วนจะเปิดแบบไหนเราจะเขียนคร่าวๆที่เรารู้น้า ของเราเลือกวิธีซื้อซิมของญี่ปุ่นใส่ไอโฟนตัวเอง เป็นทางที่เราแนะนำนะ

เราใช้ซิมการ์ดของยี่ห้อ OCN (สัญญาณ docomo) ซื้อที่ Bic Camera

ใช้เน็ตและโทรออกได้ จ่ายเป็นรายเดือนเราใช้โปร เน็ต 3 Gb 1,890 เยน 

โทรออกนาทีละ 40 เยน การต้องการใช้เน็ตมากกว่า 3 Gb ราคาก็จะสูงขึ้นตามลำดับ

เงื่อนไขของการซื้อริการนี้คือ


1. ต้องผูกเบอร์โทรศัพท์กับบัตรเครดิต(ที่เป็นชื่อคนซื้อ)

หมายความว่าหากมีบัตรเครดิตเป็นของตัวเอง ก็จะไม่มีปัญหา

การคิดเงินก็จะหักบัตรเครดิตของเราตามปกติเช่นเดียวกับบริการอื่นๆ

แต่ถ้าไม่มีบัตรเครดิตเป็นของตัวเอง อาจจะต้องพาผู้ปกครองหรือคนที่มีบัตรเครดิตมาซื้อให้

แต่ในบางร้าน อาจมีการต่อรองกับพนักงานขอใช้บัตรเดบิตธนาคาร(ของไทยหรือญี่ปุ่นก็ได้)

ที่เป็นชื่อตัวเองได้ การตัดเงินก็จะตัดจากบัญชีปกติ แต่เนื่องจากไม่ตรงตามกฎของเงื่อนไข

จึงอาจต้องพูดจาต่อรองกับพนักงานทำตัวน่าสงสารนิดนึง55555

อย่างเพื่อนเรา บอกว่าจะรีบนำบัตรธนาคารของญี่ปุ่นมาเปลี่ยนให้โดยเร็วที่สุด

แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้นำมาเปลี่ยนก็ตาม 5555555 (ก็ตัดเงินบัญชีไทย หักเรตตามเวลานั้นๆแทน)


2. ซิมนี้จะติดสัญญา 6 เดือน เพราะงั้นถ้ามาแลกเปลี่ยนแค่ครึ่งปี คงจะใช้ซิมนี้ไม่ได้

เพราะมันจะมีการติดสัญญา หากยกเลิกก่อน 6 เดือนจะต้องเสียค่ายกเลิกสัญญาแพงมากกก

แต่หากอยู่ถึง 1 ปี ก็ไม่มีปัญหาใดใดจ้า


ดังนั้นถ้ามาอยู่แค่ครึ่งปีอาจลองหาข้อมูลเรื่องการเช่าพอกเก็ตไวไฟรายเดือนดูก็ได้จ้า


.

.

.


เพื่อน


หลายคนอาจจะกังวลเรื่องเพื่อนใช่ป่าว เราว่าเพื่อนที่นี่เยอะมากกกกกก

เพราะมันจะมีชมรมนึงชื่อว่า Try me เป็นชมรมที่ตั้งมาเพื่อให้เด็กญี่ปุ่นกับเด็กต่างชาติไปเที่ยวกัน (หนักไปทางกินเหล้า5555)

คนญี่ปุ่นที่เข้าชมรมนี้ก็จะเป็นพวกอยากมีเพื่อนต่างชาติ ดังนั้นไม่ต้องกลัวโดนเมินเลย

แต่ก็มีางคนนะส่วนน้อย ที่อยากพูดอังกฤษอ่ะ เขาก็จะไม่ค่อยคุยกับคนเอเชีย 55555

ก็ใจเขาใจเราอะเนอะเขาก็อยากฝึกอังกฤษ เหมือนที่เราอยากฝึกญี่ปุ่นอ่ะ

ถ้าใครไม่เก่งญี่ปุ่นก็ไม่มีปัญหาเลย ส่วนใครที่เก่งญี่ปุ่นแล้ว ก็เข้าหาเพื่อนญี่ปุ่นที่อื่นก็ได้

คือจริงๆที่หลายคนบอกว่าคนญี่ปุ่นไม่คุยกับคนต่างชาติอะ แค่เพราะเขากลัวภาษาอังกฤษเว้น

ถ้าเขารู้ว่าเราพูดญี่ปุ่นได้ เขาก็พร้อมเป็นเพื่อนกับเรานะ

อาจจะเพราะว่าไซไดเป็นม.แอบบ้านนอกอ่ะ คนก็จะไม่ค่อยหยิ่ง5555

เพราะงั้นเรื่องเพื่อนนี่ ไม่ต้องห่วงเลยจ้าาา Smiley


เพิ่มเติมนิดนึงสำหรับคนที่ไม่กินเหล้า คือจะว่าไงดี 

เราไม่ได้จะสนับสนุนให้ทุกคนกินเหล้านะ แต่บางที 

ลองถามตัวเองดีๆว่าที่เราไม่กินเหล้าเพราะอะไร เพราะอยู่ไทยแล้วโดนมองไม่ดี 

หรือเราคิดว่ามันไม่อร่อย หรือเรารักสุขภาพมากจริงๆ คือถ้าเป็น 2 ข้อแรกอะ 

เราแนะนำว่า ลองเปิดใจ ออกจากกรอบเดิมๆที่คนไทยบอกว่าคนกินเหล้าเป็นคนไม่ดี 

เพราะที่ญี่ปุ่น เขากินเหล้ากับแบบน้ำผลไม้อ่ะ ชวนไปร้านเหล้าเหมือนไปนั่งคาเฟ่ 


นี่เราพูดจริงๆถ้าอยากมีเพื่อนญี่ปุ่นแต่ไม่ยอมกินเหล้า แอบหาเพื่อนยากนิดนึง 

เพราะเราจะไม่ได้เข้าถึงพวกเขา คนญี่ปุ่นจะเปิดตัวเองยามเมา ถ้าไม่ไปกินเหล้าด้วย ก็จะหาเพื่อนสนิทยากจริงๆ 


ส่วนถ้าบอกว่าเหล้าไม่อร่อย ขอให้ลองมากินเหล้าที่ญี่ปุ่นนนน เพราะเราคือคนที่เมื่อก่อนไม่กินเหล้าเพราะมันไม่อร่อย 

แต่เพราะเราอยากมีเพื่อน เราเลยพยายามไปสังสรรค์บ่อยๆ แล้วก็พบว่าญี่ปุ่นเหล้าอร่อยเยอะมาก

 แบบเหมือนน้ำผลไม้ ไม่รู้สึกเมาสักกะตี้ด 5555 

ใครอยากปรึกษาเรื่องเหล้าที่เอาไว้กินเวลาต้องไปสังสรรค์ ถามได้ 

อย่างน้อยให้มีสักอย่างที่กินได้ก็ยังดีค่ะ 555 


ส่วนคนที่ไม่กินเพราะสุขภาพ อันนี้ก็คงบังคับไม่ได้ เราเข้าใจว่าเหล้ามันไม่ดี 5555555

 แต่อยากบอกว่า ร้านเหล้าญี่ปุ่นอะ ไม่ได้มีแค่เหล้านะ 55555 เพื่อนเรามีทั้งไม่กินเหล้าเพราะแพ้ เพราะกลัวเสียสุขภาพ 

แต่พวกนางก็สามารถไปสังสรรค์โต๊ะเดียวกันเวลาคนญี่ปุ่นชวนกินเหล้าได้ สั่งโค้ก สั่งชา แล้วเมาดิบกันไป 555555 

คืออย่าปิดตัวเอง ไม่ไปสังสรรคกับเพื่อนๆเพียงเพราะต้องกินเหล้า คนอยากมีเพื่อน มันมีวิธีเยอะแยะจ้า 

ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปไหม จะทำลายกำแพงตัวเองรึเปล่า แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องเงิน อันนี้ช่วยไม่ได้เนอะ 

ถ้าอยากไปจริงๆก็ไปเฉพาะงานใหญ่ๆนานๆครั้งก็ได้ หรือเลือกไปงานที่ไม่ต้องหารกัน 

แบบจ่ายของใครของมัน เราก็ทานแก้วเดียว ไม่ต้องไปหารกับคนอื่นเขา มีเยอะแยะจ้า


.

.

.


ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว ยาวมาก 555 ยังไงถ้าใครสนใจมหาลัยที่แสนอบอุ่นนี้ ลองมาคุยกันได้นะคะ

ไว้ว่างๆจะมารีวิวร้านอาหารอร่อยๆละแวกมหาลัย อิอิ ส่วนใครที่สับสนว่าจะไปแลกเปลี่ยนดีไหม จะคุ้มที่ต้องจบช้ากว่าเพื่อนรึเปล่า ลองคิดดีๆว่าสิ่งที่ตัวเองอยากได้คืออะไร

ถ้าคำตอบคือประสบการณ์ที่่จะหาไม่ได้หากไม่ได้มาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน

บอกเลยว่าต้องมาค่ะ เพราะบอกเลยว่า 1 ปีที่อยู่ตรงนั้นเป็น the best year of life จริงๆ :)


แล้วเจอกันบลอกหน้าจ้า Smiley





Create Date : 08 กันยายน 2561
Last Update : 9 กันยายน 2561 1:00:12 น.
Counter : 1531 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

shrkihrk
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Group Blog
กันยายน 2561

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30