เขียนแต่เรื่องที่อยากให้ดูครับ

 
กันยายน 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
6 กันยายน 2553
 

The Pursuit of Happyness






ตามรอยความสุข

ผมได้ยินชื่อของหนังเรื่องนี้มานานหลายปี มันเป็นหนังที่ลอยไปลอยมาวนเวียนอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวโดยที่ไม่เคยได้สนใจมันอย่างจริงจังสักที ด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่มีอะไรดึงดูดใจให้อยากดูแม้แต่อย่างเดียว แม้กระทั่งชื่อของ Will Smith แต่หลายอย่างในชีวิตก็มักมีจังหวะและที่ทางของมันเอง วันนึงเราอาจไม่ได้นึกใส่ใจ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม เรากลับขวนขวายออกตามมาเพื่อได้ทำความรู้จัก

The Pursuit of Happyness สร้างจากหนังสือชีวประวัติชื่อเดียวกันของ Chris Gardner โบรกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และกลายมาเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนอีกนับพัน เขาสร้างตัวเองจาก “ศูนย์” อย่างแท้จริง แต่กว่าจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักได้นั้น เขาได้ผ่านช่วงชีวิตช่วงหนึ่ง ที่อาจจะเรียกได้ว่า การแสวงหาความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมจริงๆ





Chris Gardner ในวัยหนุ่ม เริ่มต้นกิจการของตัวเองด้วยการขายเครื่องสแกนกระดูกตามโรงพยาบาล การตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาด ประกอบกับเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินไป ทำให้เขาประสบปัญหาทางธุรกิจอย่างรุนแรง สินค้าขายไม่ออก เจ้าหนี้ที่คอยกดดัน สุดท้ายนำไปสู่การแยกทางกับภรรยา จะเรียกว่าชีวิตที่ดิ่งเหวโดยสมบูรณ์แบบก็ว่าได้

สิ่งเดียวที่คริสใช้ยึดโยงไม่ให้ชีวิตแตกสลายก็คือ คริสโตเฟอร์ ลูกชายวัย 5 ขวบนั่นเอง ด้วยความเป็นพ่อที่ไม่อยากให้ลูกต้องมาใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยาก ทำให้เค้าพยายามมองหาลู่ทางใหม่ๆ ให้ตัวเอง


อาจฟังดูตลก ที่ใครสักคนจะเดินเข้าสู่วงการโบรกเกอร์ เพียงเพราะคิดว่าตัวเองเล่นลูกบิดรูบิกซ์เก่ง!!

แต่คริสเชื่อมั่น และลงมือทำจริงๆ!!


และนี่คือเงื่อนไขชีวิตของเค้า – เค้าหาทางทำให้คนสัมภาษณ์งานประทับใจ เพียงเพื่อจะได้รู้ตอนหลังว่า การรับเขาเข้าไปนั้นเป็นเพียงการรับเข้าไปฝึกอบรมเป็นเวลา 6 เดือน โดยที่ไม่มีเงินเดือน และผู้ที่เข้าอบรมทั้ง 20 คน สุดท้ายจะมีเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้ทำงานจริง – เขามีเวลาทำงานในออฟฟิศเพียง 6 ชั่วโมงต่อวัน ก็ต้องออกมารับลูกชายจากเนอร์สเซอรี่ในตอนเย็น – วันหยุดสุดสัปดาห์ ต้องกระเตงลูกชายไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อขายเครื่องมือการแพทย์เลี้ยงชีพ – ถูกหลวงตามหักเงินภาษีจากบัญชีที่มีเงินเหลือแค่ 20 กว่าเหรียญ – และสุดท้าย กลายเป็นคนไม่มีบ้าน ต้องตระเวนเข้าแถวขอเข้าอาศัยตามบ้านพักสังคมสงเคราะห์ และบางครั้งถึงกับต้องขายเลือดเพื่อแลกกับเงินประทังชีวิต





ตัวหนังไม่ได้รีบร้อนที่จะเอาใจคนดูด้วยการให้รางวัลชีวิตแก่คริส ตรงกันข้าม คล้ายจะตั้งใจบอกเราว่า แท้จริงแล้ว จากจุดเริ่มต้นถึงปลายทางของความสุขนั้น ไกลโขอยู่เหมือนกัน ก้อนความสุขนั้น ประกอบขึ้นจากเวลาและระยะทาง แยกออกจากกันไม่ได้ ไม่มีทางลัด ซ้ำร้ายทางที่มีอยู่ยังคดเคี้ยวขรุขระอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่ใช้เป็นแผนที่นำทางคุณได้คือ ความมุ่งมั่น

มีหลายฉากทั้งชัดเจน และบอกเป็นนัย ว่า การทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จนั้น ต้องมีโอกาส แต่โอกาสจะไม่เดินเข้ามาหาเรา หากแต่เราต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหามัน มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่มีโอกาสแล้วละทิ้งมันไป

ส่วนคนดูอย่างผมที่พาลจะถอดใจไปก่อนคริสหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังอดทนต่อสู้ไปกับตัวละคร ก็เพราะได้ความมุ่งมั่นของคริสเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเช่นกัน





ฉากหนึ่งที่ก่อให้เกิดกำลังใจได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นฉากที่พ่อลูกกำลังเล่นบาสด้วยกัน พ่อถามลูกชายว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ลูกชายวัยซนตอบแบบไม่ลังเลว่า โตขึ้นหนูจะเป็นนักบาสเกตบอล ไม่มีคำชื่นชม พ่อกลับตำหนิเด็กน้อยว่า ลูกก็ต้องเหมือนพ่อ พ่อเล่นบาสไม่เก่งเอาซะเลย ลูกก็คงจะไม่มีแววเป็นนักบาสอาชีพได้อย่างแน่นอน เด็กน้อยนึกเสียใจ ขว้างลูกบาสลงพื้น ความสนุกเมื่อครู่ไม่หลงเหลือแม้แต่นิดเดียว แต่ก่อนที่จะเดินกลับบ้าน พ่อก็พูดขึ้นว่า

"Hey. Don't ever let somebody tell you...
You can't do something. Not even me. All right?
You got a dream... You gotta protect it.
People can't do somethin' themselves,
they wanna tell you you can't do it.
If you want somethin', go get it. Period."



บางครั้งบางคราว ความสำเร็จเพียงเล็กน้อย อาจมีราคาเท่ากับความมุ่งมั่นพยายามอย่างแสนสาหัส แต่นี่อาจจะเป็นรสชาติที่แท้จริงของความสุขก็ได้


อารมณ์หลังหนัง ไม่เหมือนการได้ลิ้มรสอาหารที่รสชาติกลมกล่อมอิ่มเอมใจ หากเป็นเพียงการได้ดื่มน้ำเปล่าแค่แก้วเดียว หลังจากไม่ได้ดื่มอะไรเลยมาสามวัน :)



. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

Fun Fact

ตามเนื้อเรื่อง คริสโตเฟอร์อายุ 5 ขวบ ขณะที่ลูกชายของคริสตัวจริงอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอายุตัวละคร ก็เพื่อให้ตัวละครคริสโตเฟอร์สามารถสื่อสารกับพ่อได้มากขึ้นนั่นเอง


หลายคนสงสัยว่าทำไมชื่อหนังจึงใช้ตัวอักษร “Y” ทั้งที่ควรจะเป็น “I”
ถ้าจำกันได้ในตอนต้นเรื่อง มีฉากเล็กๆ ฉากนึงที่คริสบ่นเกี่ยวกับชื่อสถานรับเลี้ยงเด็กที่เขียนผิด คริสเคยให้สัมภาษณ์รายการวิทยุแห่งนึงว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเขาอย่างมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลส่วนตัวที่เค้าอยากจะเขียนคำว่า Happyness แบบผิดๆ ตามชื่อสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนั้นเพื่อแสดงความระลึกถึง


เจ้าของรถเฟอร์รารี่สีแดงที่คริสเดินเข้าไปคุยด้วยในตอนต้นเรื่องนั้น นอกจากจะมีตัวตนจริงๆ แล้ว ยังเป็นคนให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโอกาสในการเป็นโบรกเกอร์ให้กับคริสอีกด้วย





ขอบคุณข้อมูลจาก //www.imdb.com/ //www.wikipedia.org/ //www.chasingthefrog.com




 

Create Date : 06 กันยายน 2553
6 comments
Last Update : 10 กันยายน 2553 16:44:03 น.
Counter : 1012 Pageviews.

 
 
 
 
เป็นหนังที่เยี่ยมมากครับ ใครที่ท้อแท้กับชีวิตอยู่ควรหามาดูอย่างยิ่ง
 
 

โดย: Don't try this at home. วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:22:35:30 น.  

 
 
 
เรื่องนี้ดูแล้วได้กำลังใจในการดำเนินชีวิตขึ้นมาเยอะเลยนะคะ ^^
 
 

โดย: Gwangie วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:7:43:39 น.  

 
 
 
หนังเรื่องนี้ดีจริงค่ะ ชอบตอนที่คริสพูดกับลูกเหมือนกัน
 
 

โดย: ~*Sing Praise*~ วันที่: 8 กันยายน 2553 เวลา:10:01:23 น.  

 
 
 
ดูแล้วก็รู้สึกเสียดายโอกาสดีๆ หลายต่อหลายครั้งในชีวิต
ที่ผมโยนทิ้งไปด้วยความมักง่าย

กว่าจะรู้ว่ามันมีค่าขนาดไหน ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ^^"
 
 

โดย: jarman วันที่: 8 กันยายน 2553 เวลา:10:22:54 น.  

 
 
 
ขอบคุณค่ะ กะลังท้อกะชีวิตอยู่พอดี ต้องไปหามาดูให้ได้ค่ะ ;)
 
 

โดย: Little bear IP: 58.8.122.247 วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:23:19:25 น.  

 
 
 
สู้ๆ นะครับ
 
 

โดย: jarman วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:23:21:19 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

jarman
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เวลาได้ดูหนังดีๆ ก็อยากจะให้คนอื่นได้ดูด้วย
เพราะหนังที่ดีจริงๆ มันไม่ได้ให้แค่ความบันเทิง
หลายครั้งที่ผมผ่านช่วงเวลายุ่งยากของชีวิตมาได้
ก็เพราะได้หนังดีๆ เป็นที่ปรึกษา


บล๊อกนี้ก็เลยจะแนะนำให้รู้จักกับหนังที่ผมดูแล้วชอบ
ส่วนมากจะเป็นหนังเล็กๆ หรือหนังเก่า
หนังดีที่คนไม่ค่อยรู้จัก หรือไม่เราก็หลงลืมมันไปแล้ว
ผมแค่ขุดมันขึ้นมา เผื่อว่าจะมีคนผ่านมาเจอ แล้วนึกสนใจ


ผมคงไม่เน้นหนังที่กำลังเข้าโรงเท่าไหร่นะครับ
เพราะหนังเข้าโรงไม่ต้องแนะนำ คนก็ให้ความสนใจอยู่แล้ว
...เว้นแต่ว่ามันจะคันมือจริงๆ


**สำหรับคนที่เป็นโรคสปอยล์โฟเบีย
หรือกลัวการสปอยล์ขึ้นสมอง ก็สบายใจได้นะครับ
ผมแค่อยากแนะนำ เพื่อให้คุณเกิดความอยากดูเท่านั้นเอง

อย่ามาแอบถามตอนจบหลังไมค์นะครับ ผมไม่บอก
คุณต้องไปหาดูเอาเองครับ ^_^
[Add jarman's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com