Bloggang.com : : IBMgang : ยูเอ็นสั่งคุมสินค้า 500 รายการ สกัดก่อการร้ายทุบส่งออกไทย

ยูเอ็นสั่งคุมสินค้า 500 รายการ สกัดก่อการร้ายทุบส่งออกไทย

ยูเอ็นสั่งคุมเข้มเส้นทางก่อการร้าย บีบสมาชิก 192 ประเทศ ตรวจยิบเส้นทางส่งออก-นำเข้า 9 กลุ่มสินค้าเสี่ยง รวมกว่า 500 รายการที่มีชิ้นส่วนประกอบสามารถนำไปใช้ผลิตอาวุธทำลายล้างสูงได้ต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานรัฐบาลต้นทาง ส่งออกไทยส่อกระอักโดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถานทูตสหรัฐฯ-พาณิชย์เร่งสร้างความเข้าใจก่อนแตกตื่น

จากเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ทำให้โลกมีความตระหนักถึงพิษภัยของการก่อการร้าย และได้แสวงหาความร่วมมือและออกมาตรการป้องกันภัยร่วมกันผ่านมาตรการควบคุมการส่งออก-นำเข้าระหว่างกันมากขึ้น

นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการกฎระเบียบ และการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ล่าสุดคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาติ(ยูเอ็นเอชซีอาร์)ได้มีมติที่ 1540 กำหนดให้ประเทศสมาชิก 192 ประเทศในปัจจุบันได้ออกกฎหมายจัดทำบัญชีรายการสินค้าควบคุมแห่งชาติ(National Control List) เพื่อควบคุมการส่งออก-นำเข้าสินค้าที่สามารถใช้ประโยชน์ได้สองทาง(Dual Use)คือ นอกจากใช้อุปโภค-บริโภคได้แล้ว ยังสามารถนำชิ้นส่วนประกอบของสินค้าไปผลิตเป็นอาวุธสงครามที่มีอำนาจทำลายล้างสูงได้ ทั้งอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมีชีวภาพ และอาวุธที่มีสมรรถนะทำลายล้างสูงอื่นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันและต่อต้านการก่อการร้ายของโลก ซึ่งมาตรการดังกล่าวแม้จะมีเจตนาที่ดีแต่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไปได้

ทั้งนี้กลุ่มสินค้าที่จะอยู่ในบัญชีควบคุมการส่งออก-นำเข้าของแต่ละประเทศครั้งนี้มี 9 กลุ่มใหญ่ รวมทั้งสิ้นประมาณ 500 รายการย่อย ประกอบด้วย

1.กลุ่มวัสดุนิวเคลียร์ โรงงานผลิตและอุปกรณ์
2.การแปรรูปวัสดุ
3.อิเล็กทรอนิกส์
4.คอมพิวเตอร์
5.โทรคมนาคม และการอารักขาความปลอดภัยข้อมูล
6. เครื่องเซ็นเซอร์ และเครื่องเลเซอร์ 7.ระบบอิเล็กทรอนิกส์การเดินเรือและระบบอิเล็กทรอนิกส์การบิน 8.ยานน้ำและอุปกรณ์
และ 9.การขับเคลื่อนของจรวด ยานอวกาศ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับในขั้นตอนการปฏิบัติ หลังจากประเทศสมาชิกออกกฎหมายเพื่อจัดทำบัญชีรายการสินค้าควบคุมแห่งชาติแล้วเพื่อเข้าร่วมความตกลงแล้ว รัฐบาลของแต่ละประเทศจะต้องมีการขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกที่เข้าข่ายผลิตสินค้าใช้ได้สองทาง หากบริษัทใดไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อจะไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศสมาชิกได้ ส่วนในขั้นตอนก่อนการส่งออก เมื่อผู้ผลิตได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศคู่ค้าแล้วจะต้องยื่นเรื่องเพื่อขอใบอนุญาตส่งออกจากหน่วยงานที่รัฐบาลแต่ละประเทศจะจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดสินค้าว่ามีความสุ่มเสี่ยงและสามารถส่งออกได้ตามข้อตกลงหรือไม่

นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบข้อมูลว่า ลูกค้าปลายทางเป็นใคร มีวิธีการชำระเงินค่าสินค้าอย่างไร เช่นหากมีการเปิดแอล/ซี และปลายทางที่ชัดเจนคงไม่มีปัญหา แต่หากปลายทางเป็นประเทศที่เป็นแหล่งกบดานของผู้ก่อการร้าย หรือเป็นประเทศที่มีความสามารถในการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง มีการชำระเงินค่าสินค้าก่อนล่วงหน้า หรือไม่ทราบที่มาของเงินที่โอนมา ซึ่งจะถูกตั้งข้อสงสัยและจะไม่ได้รับใบอนุญาตส่งออกสินค้า

ส่วนในขั้นตอนการส่งออก หากบริษัทได้รับในอนุญาตส่งออกแล้ว ในขั้นตอนพิธีการของศุลกากรสำหรับใบส่งของ(อินวอยซ์) จะมีการระบุพิกัดศุลกาการแยกเป็น 2 รหัสคือ รหัสพิกัดศุลกากรปกติ 8 หลัก และรหัสพิกัดศุลกากรสำหรับสินค้าควบคุม ซึ่งจะได้รับการอำนวยความสะดวกในการนำเข้าที่ประเทศปลายทาง แต่หากเป็นสินค้าต้องสงสัยและไม่มีใบอนุญาตอาจถูกกัก หรือถูกทำลายสินค้าที่ปลายทางได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวขณะนี้ในหลายประเทศได้มีผลบังคับใช้แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป(อียู) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เป็นต้น

ขณะที่ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่รวมทั้งไทยยังไม่ได้บังคับใช้ใช้มาตรการดังกล่าว โดยไทยอยู่ระหว่างการจัดทำบัญชีสินค้าควบคุมแห่งชาติที่ใช้ได้2 ทาง รวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลในการออกใบอนุญาตส่งออกเป็นการเฉพาะ ทั้งนี้จากการที่ยูเอ็นได้ขอความร่วมมือสมาชิกทุกประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงภายในปี 2553 ในส่วนของไทยเชื่อว่าคงดำเนินการไม่ทันเพราะยังมีความล่าช้าในขั้นตอนการดำเนินการอยู่มาก

ด้านแหล่งข่าวจากผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า มาตรการคุมเข้มการส่งออก-นำเข้าสินค้าที่ใช้ได้ 2 ทาง เชื่อว่าจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้มีวัสุดอุปกรณ์ และสารเคมีบางรายการที่สามารถนำไปใช้ผลิตอาวุธทำลายล้างสูงได้ ซึ่งจะมีผลให้ต้องปรับเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตทำให้มีภาระต้นทุนเพิ่ม นอกจากนี้อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าซอฟต์แวร์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เนื่องจากชิ้นส่วนบางรายการเข้าข่ายสินค้าควบคุม ทำให้ต้องเสียเวลาในการพิสูจน์ และอาจมีผลไม่ได้รับอนุญาตส่งออกได้

นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า เรื่องสินค้าที่สามารถนำไปใช้ผลิตอาวุธทำลายล้างสูงที่ไทยต้องปฏิบัติตามมติของยูเอ็นถือเป็นเรื่องที่ผู้ส่งออกไทยยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง และอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ล่าสุดทางสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้เชิญตัวแทนจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าร่วมสัมมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเมื่อวันที่ 22-24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯจะเริ่มเข้มงวดกับสินค้านำเข้าจากไทยมากขึ้น ขณะที่ในปลายเดือนกันยายนศกนี้กระทรวงพาณิชย์ของไทยจะมีการจัดสัมมนาผู้ส่งออกเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความตกลงดังกล่าวเพื่อให้รับทราบในวงกว้าง และเร่งปรับตัวรองรับ

ขณะที่ดร.ขัติยา ไกรกาญจน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดและยังไม่คุ้นชื่อกับความตกลงดังกล่าว ซึ่งจะเร่งติดตามตรวจสอบว่ามีรายละเอียดอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้มากน้อยเพียงใด แต่เบื้องต้นคาดจะมีผลกระทบแน่นอนไม่มากก็น้อย

ขณะที่นายชัยนันท์ อุโฆษกุล รองประธานคณะกรรมการกฎระเบียบ และการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ส่งออกของไทยจะต้องเร่งสร้างความรู้จักและคุ้นเคยกับมาตรการดังกล่าว เพราะจะมีผลกระทบต่อการส่งออก ทั้งนี้มาตรการจะเพิ่มภาระต้นทุนให้กับผู้ส่งออกของไทยอย่างแน่นอนเช่นเดียวกับหลายมาตรการที่ออกมาแล้ว เช่น มาตรการข้อตกลงด้านการรักษาความปลอดภัยสินค้า(CSI)ของสหรัฐฯที่ออกมาหลังเกิดเหตุก่อวินาศกรรมวันที่ 11 กันยายน 2544 สาระสำคัญคือ บังคับให้มีการเอกซเรย์ตู้สินค้าก่อนส่งออกเพื่อสร้างความปลอดภัยให้สหรัฐฯจากการก่อการร้ายโดยการขนส่งอาวุธและเคมีภัณฑ์อันตรายทางทะเล มีผลให้กรมศุลกากรและผู้ส่งออกของไทยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2350 21 ส.ค. - 23 ส.ค. 2551

Create Date : 23 สิงหาคม 2551

Last Update : 23 สิงหาคม 2551 22:46:16 น.

1 comments

Counter : 310 Pageviews.

ขอบคุณคะ

โดย: sysee

วันที่: 24 สิงหาคม 2551 เวลา:0:09:32 น.