|
|
|
|
|
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
8 พฤศจิกายน 2552 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
โฟลิค...เตรียมตัวก่อนมีตัวน้อย
กรดโฟลิก สำคัญต่อการสร้างตัวอ่อน
กรดโฟลิก เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่สามารถละลายได้ในน้ำ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ทั้งดีเอ็นเอ ดังนั้น ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิงที่แต่งงานและเตรียม จะมีเจ้าตัวเล็ก ควรได้รับกรดโฟลิกเพื่อนำไปใช้ในการสร้างตัวอ่อน
ซึ่งหากเปรียบกระบวนการสร้างตัวอ่อนเหมือนกับทองม้วนแผ่นบางๆ พอม้วนเสร็จจะกลายเป็นท่อกลม (คือหลอดประสาท) มี 2 ปลาย ตรงกลางคือลำตัว ปลายท่อด้านหัวจะเป็นสมอง ส่วนปลาท่อด้านท้ายจะเป็นไขสันหลัง เมื่อม้วนเสร็จต้องปิดหัวปิดท้าย
* ถ้าแม่ท้องขาดกรดโฟลิกจะทำให้ตอนม้วนๆ ได้ไม่สมบูรณ์เป็นเหตุให้เกิดความพิการ เช่น ความผิดปกติของปากและเพดานความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
* แต่ถ้าตอนม้วนหากส่วนหัวส่วนท้ายไม่ปิด จะส่งผลให้เกิดความพิการได้เช่นกัน
ถ้าเป็นส่วนที่หัว ก็จะมีความพิการของสมอง ระบบประสาทส่วนกลาง และกะโหลกศรีษะไม่ปิด
ถ้าเป็นที่ส่วนท้าย จะทำให้กระดูกสันหลังแหว่งหรือปิดไม่สนิทความพิการที่เกิดขึ้น เช่น จะมุงน้ำที่ไขสันหลัง เอว หรือกระดูกก้นกบปูดออกมา ซึ่งความรุนแรงมีหลายระดับ บางรายถ้าเป็นมากก็ถึงขั้นเสียชีวิต ถ้าเป็นน้อยก็สามารถรักษาให้หายและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
กรดโฟลิกกินก่อนท้อง 1-3 เดือน
สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและกำลังคิดจะมีลูก อย่าปล่อยให้ความคิดดีๆ นั้นผ่านไปโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ เพราะสิ่งสำคัญก่อนที่คุณจะมีลูก ก็คือการวางแผนครอบครัว ซึ่งเป็นการวางแผนเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ
โดยเฉพาะการกินกรดโฟลิกเสริมก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1-3 เดือน และกินต่อไปอีก 3 เดือนหลังจากตั้งครรภ์แล้ว จึงจะได้รับประโยชน์และช่วยลดความพิการของโรคได้ แม้ความเสี่ยงเหล่านี้จะมีเพียง 1:1,000 ของการตั้งครรภ์ก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่เรานั้นไม่ควรเสี่ยง จริงไหมคะ
ส่วนการเริ่มต้นกินกรดโฟลิกขณะตั้งครรภ์จะไม่มีผลต่อการป้องกันความพิการแต่กำเนิดแต่อย่างใด เพราะการปิดหัวปิดท้ายของหลอดประสาทนั้นจะปิดเสร็จภายใน 28 วัน หลังจากปฏิสนธิ (ปฏิสนธิช่วงกลางรอบเดือนที่มีไข่ตก) ซึ่งกว่าจะรู้ว่าประจำเดือนไม่มาหรือท้องก็เลยช่วงนี้ไปแล้ว เพราะในแต่ละวันกลไกธรรมชาติของร่างกายคนเราจะถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าควรจะสร้างอะไร เมื่อผ่านไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาสร้างซ้ำได้อีก
สำหรับคุณแม่ที่ไม่ได้เสริมกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ก็ไม่ต้องตกใจ นะคะ เพราะกรดโฟลิกจะมีในอาหารที่เรากินทุกวันค่ะ ถ้าคุณไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงก็ไม่ต้องกังวล และอีกอย่างหนึ่งคือ ความผิดปกติเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน และไม่ได้เกิดขึ้นจากการขาดกรดโฟลิกอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกถึง 50% คือ
* ความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับไข่ของแม่มากกว่าน้ำเชื้อ ของพ่อ เพราะไข่จะมีการแบ่งโครโมโซมไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ตั้งแต่อยู่ในมดลูกเพื่อรอปฏิสนธิ อีกนับสิบปี จึงอาจจะมีการแตก หัก หลุด และไปจับกันใหม่จนผิดที่ผิดทาง หรือหายไปบ้าง พอผสมกับอสุจิทำให้ไม่ครบคู่บ้าง เกินบ้าง ยิ่งอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย
* ได้รับเชื้อบางชนิดระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ไวรัสหัดเยอรมันก็มีส่วนทำให้สมองพิการได้เหมือนกัน เช่น ปัญญาอ่อน สมองลีบเล็กไม่โต
* การกินยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์ เช่น ยาขับประจำเดือนและยาอื่นๆ ซึ่งเข้าไปรบกวนการสร้างอวัยวะเป็นต้น
* อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น พี่เลี้ยง โดนรังสีเอกซเรย์ได้รับสารเคมีบางอย่าง เป็นต้น
กรดโฟลิก กินแค่ไหนจึงจะพอ
แม่กลุ่มทั่วไป คือกลุ่มที่ไม่เคยมีประวัติว่าลูกหรือญาติมีความพิการแต่กำเนิด เมื่อตั้งครรภ์กรดโฟลิกในตัวแม่จะลดลง เนื่องจากถูกดึงไปใช้ในการสร้างตัวอ่อน ดังนั้นควรได้รับอย่างน้อยวันละ 400 ไมโครกรัม (0.04 มิลลิกรัม) จึงจะช่วยลดอุบัติการณ์ความพิการแต่กำเนิดได้มากกว่า 50% แต่ถ้าไม่ได้รับกรดโฟลิกก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดความพิการแต่กำ เนิดมากกว่า 50% เช่นกัน แม่ในกลุ่มเสี่ยง คือกลุ่มที่มีประวัติว่าลูกหรือญาติเคยมีความพิการเกิดขึ้นอย่า งชัดเจน เช่น ความพิการของกะโหลก ระบบประสาทส่วนกลาง สมองพิการแต่กำเนิด โรคปากแหว่งเพดานโหว่ หรือแม่เป็นโรคโลหิตจาง เป็นต้น แม่กลุ่มนี้จะต้องได้รับกรดโฟลิกเพิ่มเป็นวันละประมาณ 40,000 ไมโครกรัม (4 มิลลิกรัม) คือมากกว่าแม่กลุ่มปกติประมาณ 100 เท่าค่ะ
กรดโฟลิก หาง่าย & สูญสลายง่าย หาง่าย บ้านเรามีอาหารที่มีกรดโฟลิกให้เลือกมากมาย เพราะมีอยู่ในผักใบเขียวเกือบทุกชนิด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี ปวยเล้ง ผักกาดหอม หน่อไม้ฝรั่ง บล็อกโคลี ถั่วลันเตา ธัญพืชต่างๆ ผลไม้ตระกูลส้ม ที่สำคัญหากได้รับกรดโฟลิกแบบครบคุณค่าควรกินแบบสดๆ หรือถ้าจะลวกก็ต้องทำด้วยความรวดเร็วค่ะ สูญสลายง่าย - การปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนนานๆ จะทำให้กรดโฟลิกสูญสลายได้ง่าย - หากมีอาการตัวร้อนและเป็นไข้หลายวัน ด้วยอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทำให้ระดับกรดโฟลิกในร่างกายลดลงไ ด้เช่นกัน - การได้รับยารักษาโรคลมชัก คนที่เป็นโรคลมชักและต้องกินยาเป็นประจำ ยาตัวนี้จะเข้าไปต่อต้านการสร้างโปรตีนและลดการดูดซึมของกรดโฟล ิก ดังนั้น คุณแม่ที่มีภาวะลมชักอยู่จะต้องกินโฟลิกให้มากขึ้นประมาณ 10 เท่าจากที่กินอยู่เดิมค่ะ การวางแผนกินกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ 1-3 เดือน เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และคุ้มเวลาแห่งการรอคอยของคนเป็นแม่แน่นอนค่ะ
ข้อมูลจากนิตยสาร : ฉบับที่ 299 เดือนธันวาคม พ.ศ.2550
Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552 |
|
9 comments |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2552 18:37:13 น. |
Counter : 26216 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Dear (O_O) (patchar_ii ) 16 พฤศจิกายน 2552 20:54:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: kook IP: 118.173.178.84 24 มีนาคม 2554 18:19:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: น้องมล IP: 1.47.193.59 27 มิถุนายน 2554 20:27:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: หนึ่ง IP: 205.203.169.12 20 กรกฎาคม 2554 8:05:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ple IP: 110.164.146.105 22 พฤษภาคม 2556 8:11:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทราย IP: 115.67.231.18 14 กรกฎาคม 2556 21:28:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: หน่อย IP: 88.91.146.68 14 กันยายน 2556 19:59:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: ออม IP: 125.25.77.173 24 เมษายน 2557 10:38:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: Mar IP: 1.47.226.242 11 มกราคม 2558 22:40:22 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
วิตามิน Z-bec
ด้วยซิค่ะ