ไม่มีอะไรให้คิดมากมายกายกอง หรือยุ่งยากซับซ้อนเลย

“คิดลด” ลดอะไร ก็ลดรายจ่ายไงล่ะเพ่

หาได้ 100 ใช้ 100 แล้วมาบ่นว่าไม่มีเงินเก็บอันนี้ติงต๊องนะฮะ

100 – 100 = 0 เลขคณิตคิดในใจเด็กคนไหนก็คิดได้

คิดลดครับ หาทางลดรายจ่ายลงให้ได้ หลายคนบอกว่า มันลดไม่ได้แล้วโว้ยยยยย

ถ้าคุณจดค่าใช้จ่ายทุกชนิดจริงๆ แบบจดมันทุกเม็ดเลยนะ เช่นว่า จดแม้กระทั้ง

เดินผ่านร้านไอติม แล้วควักเงินซื้อมาอมๆเลียๆ แท่งละ 5 บาท ก็จด

ถ้าจดระดับนี้ เอารายการใช้จ่ายมากางดูแล้วไล่เช็คแต่ละรายการเลย

มองดูแบบอย่าโกหกตัวเอง คัดรายการที่จริงๆแล้วเราไม่ต้องซื้อก็ได้

ซื้อเพราะแค่มันดีต่อใจ (ซื้อเพราะดีต่อใจ แต่สุดท้ายพากายชิบหายมาเยอะ)

รายการแบบนี้ดึงแยกออกมากองรวมกันไว้ แล้วมาบวกตัวเลข

ไอ้ก้อนเลขนั้นแหละ คือเงินที่คุณไม่ควรเสีย

ลดได้ก็ลดซะ เลิกซื้อได้ก็เลิกซื้อซะ นี่เงินเก็บแท้ๆเชียว ที่คุณเอาไปโยนทิ้งเวลาเผลอ

มีฝรั่งชื่อ David Bach ผู้เขียนหนังสือ The Automatic Millionaire ประเทศไทยเราก็มีเอามาแปลนะ ชื่อว่า “เศรษฐีเงินล้านอัตโนมัติ” เสนอวิธีเก็บเงินจนกลายเป็นเศรษฐีไว้ให้เราทำตาม

เขาตั้งชื่อแนวคิดนี้ไว้ว่า “ลาเต้ แฟกเตอร์” ลาเต้ก็คือ กาแฟลาเต้นี่แหละ (และเป็นตัวแทนของกาแฟชนิดอื่นๆด้วย เดี๋ยวจะพาฮาว่า ฉันดื่มคาปูชิโน่ เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับฉันสินะ บร๊ะ…) ใครที่ทุกเช้าต้องเดินไปซื้อกาแฟกินเขาบอกว่านั่นแหละ เงินทองที่กระเด็นออกไปจากคุณทุกวันเลย

คนส่วนใหญ่มักเสียเงินไปกับสิ่งเล็กน้อย(คนเขียนเขาแค่เลือกหยิบกาแฟมาเป็นตัวแทนเท่านั้น)ที่จ่ายออกไปทุกวันโดยไม่ใส่ใจ จ่ายจนกลายเป็นนิสัยว่าต้องซื้อ คุณลองนำค่ากาแฟ(และอื่นๆจุกจิกๆ) ที่ซื้อมาบวกกันสิ แล้วจะรู้เลยว่าแค่ไอ้เจ้ากาแฟวันละ 1 แก้วเนี่ย มันคือเงินเท่าไหร่ มันเปลี่ยนชีวิตคุณได้เลยนะ เอ้อออ

มาคิดกันเล่นๆ ถ้าแก้วละแค่ราคา 50 บาท (ชีวิตจริงคุณกินราคาเท่าไหร่ 140 -150 บาท โน้นนน)

50 x 30 = 1,500 บาท ต่อเดือนที่หมดไป

1,500 x 12 = 18,000 บาท ต่อปีที่หมดไป เฮ้ยยย ไม่น้อยนะ

มิน่า พี่ๆชาวพม่าคนชงกาแฟ ถึงรวยไม่เกรงใจคนไทยเล้ยยย (แถมพวกนี้ขยันสุดติ่ง คนไทยไม่มีปัญญาไปสู้เลย)

แค่คุณคนเดียวก็เดินมาส่งเงินให้เขาทุกเช้า ปีละ 18,000 บาท

เขามีลูกค้ากี่คนหล่ะ เราตีไปหยาบๆสัก 50 คน

(จริงๆเยอะกว่านี้มาก ลองไปยืนสังเกตดูร้านตามย่านตึกออฟฟิศสิ ลูกค้าเดินเรียงแถว เอาเงินมาปาให้ไม่ขาดสายเลย ช่วง 08:00 – 09:00 ชงมือไม่หยุดอ่ะ)

มาคิดเลขกัน 18,000(บาท/คน/ปี) x 50(คน) = 900,000 บาท บร๊ะเจ้าาาา

เจ้าของร้านชาวพม่า ทำงานวันละแค่ 6 ชั่วโมง (คิดช่วง 06:00 – 12:00 แล้วเข็นรถกลับไปนอนบ้าน)

แต่มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 75,000 บาท เงินสดๆทุกวัน!!

คนไทยอยากได้เงินเดือนเท่านี้ ถ้าไม่เป็นผู้ประกอบการ ก็ต้องเป็นพนักงานระดับซีเนียส์ ตำแหน่งท้อปๆของออฟฟิศ ซึ่งก็ทำงานหนัก หัวฟูชิบหายในแต่ละวัน จริงมั้ยพี่

แล้ว “คิดเพิ่ม” หล่ะ ก็ตรงตัว ในกรณีที่ตัดรายจ่ายทุกอย่างออกไปหมดแล้ว

ก็ยังมีเงินใช้ไม่พอต่อความจำเป็นจริงๆ อันนี้มีทางเดียวครับ ในเมื่อลดรายจ่ายไม่ได้ไปกว่านี้อีกแล้ว

คุณต้องใช้วิธีหาทางเพิ่มเงินแทนแล้ว

คิดเลย มีอะไรที่เรายังพอทำได้อีกบ้าง เรามีความรู้ความสามารถ มีทักษะอะไรที่ยังไม่ถูกดึงออกมาใช้แปลงเป็นเงิน คิดๆๆๆ

แล้วลองทำดูเลย ไม่มีไรจะเสียอยู่แล้วนี่นา เพราะถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีเงินพอใช้อยู่ดี

ให้คิดซะว่าจุดที่คุณอยู่คือจุดแย่สุดล่ะ ไม่มีแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว ก็ลองดูสักตั้ง

มองดูชีวิตเราในแต่ละวัน ยังมีเวลาเหลืออยู่มั้ย ถ้ามี เอาเวลามาทำมาหากินซะ

นอนดึกขึ้นอีกได้มั้ย รับจ้างพิมพ์รายงานได้มั้ย เราพอจะสอนอะไรได้มั้ย เราประดิษฐ์สิ่งของอะไรได้บ้างป่าว

เรามีสิ่งไหนที่ผู้คนมีความต้องการ ที่มีประโยชน์กับคนอื่นๆ เรามีสิ่งของอะไรเหลือใช้ ประกาศขายได้มั้ย

คิดเลยนะ ถ้าคุณมาถึงจุดที่ตัดทุกอย่างแล้วเงินยังไม่พอใช้ ถ้าไม่รีบหาทางเพิ่มรายได้ จุดนี้อันตรายมาก

เพราะมันจะเป็นจุดเริ่มต้นพาไปสู่การสร้างหนี้เลว หนี้เลว คือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามมาในอนาคต มีแต่กัดกินเงินคุณให้ลดลงไปเรื่อยๆ

แล้วมันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู

ทีนี้ละ คุณจะมีชีวิตที่เสมือนยืนอยู่กลางบ่อโคลนดูด

ที่รอวันโดนหนี้สูบคุณให้จมลงไป

ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งขึ้นมายาก ต้องใช้เวลา ใช้แรงมหาศาล

กว่าจะดีดตัวเองให้หลุดบ่อโคลนหนี้ได้ บางคนคิดแล้วใช้เวลาททั้งชาตินี้ก็ไม่พอซะแล้ว เศร้าเลย

ชีวิตนี้ถ้าอยากรวยต้อง “คิดลด” “คิดเพิ่ม” นะจ๊ะทุกคน

ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ เราขอแนะนำ “7 สิ่งที่คนรวยเขาทำกัน” 

โดย กูจะรวย "รวยได้ สนุกด้วย" 

คลิ๊กติดตามข่าวสาร www.gujaruay.com