นโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือชาวสวนยาง ยุคราคาดิ่งเหวในอัตราไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 15 ไร่ ยังคงเป็นเรื่องราวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทำนอง เกาไม่ถูกที่คัน ช่วยเหลือไม่ตรงประเด็น หลังมองกันว่า แนวทางแทบไม่แตกต่างจากวิธีคิดของรัฐบาลที่ผ่านมา
ไพรัช เจ้ยชุม ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จ.พัทลุง เห็นว่า นโยบายที่รัฐบาลจะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ ตนไม่เห็นด้วย เพราะไม่สามารถช่วยเกษตรกรได้ ราคาปุ๋ยในท้องตลาด กระสอบสูงถึง 500 บาทแล้ว เงินที่ได้ก็ไม่เพียงพอที่จะนำไปต่อยอดอะไรได้เลย จึงอยากให้รัฐบาลหาวิธีการอื่นๆ มาช่วยเหลือแทน เขาย้ำว่าที่รัฐออกนโยบายนี้มาก็เพียงปิดปากชาวบ้านไม่ให้ออกมาประท้วงมากกว่า
เช่นเดียวกับ ทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัดภาคใต้ ก็ตอกย้ำในเรื่องนี้ไปในทางเดียวกันว่า ภาคีเครือข่ายไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว ซึ่งถ้ามองแล้วมันก็ไม่แตกต่างกับนโยบายของรัฐบาลเก่าที่ได้สนับสนุนงบให้ชาวสวนยางไร่ละ 2,520 บาท ถามว่ามันแตกต่างกันตรงไหน
"เราได้เสนอแนวทางให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาแต่ไม่รับความสนใจ แล้วไปออกนโยบายช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท และอนุมัติงบประมาณให้ อสย.ซื้อยางจากชาวสวนมาเก็บในสต็อก แสดงให้เห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากลแน่นอน ที่สำคัญเราต้องการให้รัฐบาลตรวจสต็อกยางที่เก็บไว้ในตอนนี้ 2.1 แสนตันว่าอยู่อย่างไร ทำไมไม่ทำ แต่มาให้งบ อสย.ซื้อยางมาเก็บ ทำให้สงสัยว่ายางเก่าในสต็อกไม่มี แล้วให้ซื้อยางใหม่มาแทนที่ ใช่หรือไม่"
แกนนำรายนี้ชี้ว่า การเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสต็อกยางเหมือนกับตรวจสต็อกข้าว โดยตั้งคณะกรรมการแล้วให้ตัวแทนภาคีเครือข่ายร่วมด้วย ซึ่งเรียกร้องมา 2 เดือนแล้วแต่เรื่องเงียบ ทำให้เชื่อมั่นว่าไม่มียางอยู่ในสต็อก และยางในสต็อกได้หายไปตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ในเมื่อรัฐบาล คสช.เข้ามาก็ต้องตอบคำถามตรงนี้ให้ได้ว่า มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ ซึ่งเราได้ตั้งข้อสงสัยว่าจะมีการเผาโกดัง เพื่อจะทำลายหลักฐาน ถ้าเผาจริงเชื่อว่านั่นคือการทุจริตแน่นอน
การต่อสู้ต่อไปจะจัดเสวนาเครือข่าย เพื่อเปิดโปงและตรวจสอบรัฐบาลชุดนี้ทุกขั้นตอน ปกป้องอาชีพที่ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษให้ยังคงอยู่ไปจนถึงลูกหลาน และให้เกษตรกรได้รับรู้ว่า ไม่ได้รับการเหลียวแลในเรื่องนี้เลย ซึ่งเรียกร้องกลับไม่ได้รับความสนใจ แต่กลับไปเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุน โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติ ซึ่งเกษตรกรผิดหวังกับรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างมาก
ทศพล ยังกล่าวว่า ตอนนี้นายทุนหรือบริษัทต่างชาติบางราย กุมตลาดเกี่ยวกับสินค้าทางการเกษตรไว้จนหมด จนไม่มีที่เหลือไว้ให้เกษตรกรได้ทำมาหากินกันแล้ว ถ้ารัฐบาลยังเอื้อประโยชน์ให้นายทุนอยู่อย่างนี้
"มั่นใจว่ารัฐบาลจะรู้สึกภายหลัง และเราจะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างใดอย่างหนึ่งตามระบอบประชาธิปไตย โดยจะออกมาต่อสู้ให้ถึงที่สุด แต่จะต่อสู้อย่างไรนั้นยังอยู่ในกระบวนการของชาวสวนยางที่กำลังคิดกันอยู่"
นอกจากนั้น เกษตรกรทั้งชาวนา ชาวสวน และอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเกษตรกรรมจะรวมตัวกันทั้งหมด เพื่อออกมาต่อสู้รักษาอาชีพเกษตรกรรมไว้ให้ลูกหลานได้ทำมาหากินกันต่อไป เงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาทนั้น ถ้านำไปทำโรงงานแปรรูปต่างๆ สามารถทำได้หลายโรง และจัดทำเป็นสหกรณ์หรือสหภาพต่างๆ เพื่อต่อสู้กับนายทุนที่กำลังทำลายอาชีพเรา เชื่อว่าจะทำให้ชาวสวนยางอยู่ได้ แต่ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้เราจะเป็นทาสของนายทุนตลอดไป
สำหรับนโยบายต่างๆ ที่ล้มเหลวที่ผ่านมานั้น เขาเห็นว่า เป็นเพราะมีคนเก่าคนเดิมมาทำงาน และเอื้อประโยชน์แก่นายทุนทั้งนั้น จึงต้องเดินหน้าต่อสู้ปลุกให้ตื่นขึ้นมาร่วมต่อสู้ในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ต่อไป ซึ่งจะรอดูว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ต่อไป
ในมุมของ บุญส่ง นับทอง นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวสวนยางแห่งไทย ยืนยันว่า นโยบายนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจากไม่สามารถทำให้ราคายางพาราดีขึ้นแต่อย่างใด รัฐต้องหันมาแก้ไขปัญหาราคายางทั้งระบบ ให้เป็นรูปธรรมทั่วประเทศ เช่น การแปรรูปยางพาราภายในประเทศ ให้มีอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราภายในประเทศ แทนที่จะมุ่งส่งออกยางพาราไปนอกอย่างเดียว
ขณะที่ อาวุธ เรืองรัตน์ เกษตรกรชาวสวนยางพาราใน จ.กระบี่ ก็ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการช่วยเหลือแบบบรรเทาทุก ไม่ใช่ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางอย่างถาวร อยากให้รัฐบาลแก้ไขเรื่องราคา ให้เหมาะสมกับราคาปุ๋ยเคมี ซึ่งเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่ราคาปุ๋ยเคมีและค่าครองชีพไม่เคยลดลงเลย การที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาแบบนี้ จึงไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหาให้เกษตรกร
ความเห็นของ สุนทร รักษ์รงค์ แกนนำชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน จ.ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ ตอนล่าง ก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพราะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เนื่องจากหากพิจารณาถึงต้นทุนต่างๆ แล้วจะพบว่าเกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนที่นับวันยิ่งสูงขึ้น ขณะที่ราคายางตกต่ำมาร่วม 2 ปีทำให้เกษตรกรอยู่ในภาวะขาดทุน ขณะที่การช่วยเหลือก็ยังไม่ครอบคลุม เพราะช่วยเฉพาะที่มีเอกสารสิทธิ แต่ยังมีชาวสวนยางอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือ จึงอยากฝากบอกไปยังรัฐบาลให้ช่วยแก้ปัญหาที่มีแนวทางที่ชัดเจนกว่านี้และมีประโยชน์จริงๆ
เช่นเดียวกับแกนนำชาวสวนยางรายหนึ่งใน จ.สุราษฎร์ธานี ก็มองในระนาบเดียวกันว่า เคยตั้งความหวังกับรัฐบาล คสช.ไว้สูงในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง แต่นับวันราคายางผันผวนและดิ่งลงทุกวันทำให้เสียความรู้สึกอย่างมาก เคยคิดจะชุมนุมประท้วงหลายครั้ง เมื่อทราบว่ารัฐบาลชดเชยค่าปุ๋ยไร่ละ 1,000 บาท นับว่าน้อยมาก
ในตอนท้าย แกนนำรายนี้แนะนำว่า อยากให้รัฐบาลปรับลดราคาปุ๋ยหรือต้นทุนการผลิตและส่งเสริมคุณภาพ เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาราคายางตกต่ำในระยะยาว แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังไม่เต็มที่กับการช่วยเหลือชาวสวนยาง โดยนำไปเปรียบเทียบกับการช่วยเหลือชาวนาไม่ได้ เพราะต้นทุนการผลิตต่างกันก็ต้องดูจากความเป็นจริง แต่เมื่อผ่านมติ ครม.ไปแล้วก็ดีกว่าไม่ได้อะไรกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
เมื่อเกษตรกรและแกนนำชางสวนยาง ประสานเสียงคัดค้านเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดี และเรื่องง่ายสำหรับรัฐบาล ที่จะปลดชนวนระเบิดที่ค่อยๆ ลุกลามจากปัญหาราคายางตกต่ำ และอาจนำไปสู่เรื่องอื่นที่เกี่ยวกับนโยบายยางพาราก็เป็นได้