1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30
Cottage Industry : ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่จากมูลค่าคนของชาติ
ทุกวันนี้แต่ละประเทศพยายามมองหายุทธศาสตร์ใหม่ๆ ที่จะนำมาใช้ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เป้าหมายคือผลักดันให้ประเทศของตัวเองก้าวสู่ความได้เปรียบในการแข่งขัน เมื่อหันมามองประเทศไทย แม้ทิศทางการพัฒนาประเทศจะเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ในการกำหนดยุทธศาสตร์ เราก็ยังได้ยินน้อยมากที่จะพูดให้ชัดว่าประเทศคู่แข่งของเราคือใคร และเขาเตรียมตัวอย่างไร เรารู้แต่ว่าเราอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น เราจะเป็นศูนย์กลางรถยนต์ของเอเชีย เราจะเป็นครัวของโลก เป็นกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น เรารู้แต่ว่าเราอยากให้ประเทศเป็น ฮับ (Hub) เพราะประเทศเราเล็กนิดเดียวในตลาดโลก เราจึงต้องเสนอตัวมาเป็น ฮับ ของเอเชีย เป็นฮับของโลก และเรารู้ว่า ถ้าเป็นเราคนเดียวก็เป็นแค่ ไอ้ตัวเล็ก ที่จะออกไปตลาดโลกคงทำลำบาก จึงคิดจะใช้ ASIAN +3++ คือ การรวมกับคนอื่นๆ ให้เกิดพลัง แต่เอาเข้าจริงเพื่อนบ้านเรากลายเป็นโจรปล้นเราก็มี เผาบ้านเราก็มี ฉะนั้น ASIAN จริงๆ แล้วไม่แน่ใจว่ายังผูกกันดีอยู่หรือไม่ (ปัจจุบัน ในทางยุทธศาสตร์ แยกสิงค์โปร์ ออกไปอยู่ กลุ่ม NIEs) ในมุมมองของผม ถึงเวลาที่เราต้องตั้งคำถามว่า ความรู้ในทางยุทธศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แนวคิดของพอร์เตอร์ (Porter) แนวคิดของ BCG หรือการทำ SWOT Analysis เพียงพอหรือไม่ที่จะนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งในมุมมองของผู้เขียน องค์ประกอบของยุทธศาสตร์ยังต้องการส่วนเติมเต็มอีกมาก !!ความคิดที่ยิ่งใหญ่สำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์ ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ต้องบอกให้ธุรกิจและคนทั้งประเทศรู้ว่า ในสภาพความเป็นจริงแล้ว ใครคือประเทศคู่แข่งที่อยู่ในแผนที่ยุทธศาสตร์ชาติ ส่วนจะใช้กลยุทธ์เป็น ฮับ เป็น พันธมิตรโดยการจับมือเซ็น FTA เป็นคู่ๆ ไปก็ทำไป และภายใต้ประเทศคู่แข่ง มีคลัสเตอร์ของอุตสาหกรรมอะไรที่เขาดีกว่าเราและเราดีกว่าเขา พื้นฐานทางโครงสร้างด้านสมรรถภาพของอุตสาหกรรมและการพัฒนาสู้เขาได้ไหม น่าชื่นชมที่ภาครัฐเราได้พยายามปลุกปั้นให้ OTOP ให้มีโอกาสเกิดขึ้น ตามที่ได้เรียนรู้จากญี่ปุ่นและมีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะให้ โอท็อปโกอินเตอร์ แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ ไต้หวัน จีน และฮ่องกง มีเถ้าแก่หรือผู้ประกอบการจำนวนมากเพราะมี Cottage Industry หรือ อุตสาหกรรมในกระท่อม คำว่า Cottage Industry หรืออุตสาหกรรมในกระท่อม ใช้บรรยายถึงสถานการณ์ที่สร้างให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้บ้านเป็นหลักมากกว่าที่จะใช้โรงงาน ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างของธุรกิจขนาดเล็กในไต้หวัน จีน และฮ่องกง จึงล้วนดำเนินกิจกรรมจากบ้าน ที่ซึ่งมีคุณค่ายิ่งในการก้าวสู่การเป็นเถ้าแก่ใหม่ การทำอุตสาหกรรมในบ้าน ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อหัวจนกระทั่งธุรกิจมีขนาดที่เหมาะสม นอกจากนั้นการทำธุรกิจในบ้านจะทำให้ เด็กๆ หรือลูกหลานของเถ้าแก่หรือผู้ประกอบการ ได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจไปด้วย ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ทั้งสองอย่างข้างต้นเป็นปรัชญาสำคัญของ OTOP ไทยหรือไม่ เพราะเราเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการจัดอบรมทำแผนธุรกิจ (Business Plan) เพื่อขอกู้เงินมาลงทุนโดยมีสารพัดสถาบันการเงินช่วยธุรกิจขนาดเล็กๆ ให้มีโอกาสได้ลงทุน ซึ่งอาจจะถูก เพราะธุรกิจต้องมีทุน ขณะที่สิงคโปร์เพื่อนบ้านและคู่แข่งสำคัญที่เราจะมีโอกาสตามทัน (ได้หรือไม่ยังไม่มีทางรู้) ต่างเปิดโครงการคล้ายๆ ปั้นเถ้าแก่ SMEs ของไทย แต่ของสิงคโปร์กลับปั้นเถ้าแก่แบบใหม่ที่เรียกว่า "เถ้าแก่เทคโน" และเน้นว่าต้องเป็น โฮมออฟฟิศ โครงการนี้เรียกว่า "Technopreneur Home Office" ดังนั้น หากกลับมาพิจารณาที่ประเทศไทย ธุรกิจ OTOP ที่จะผลักดันสู่ธุรกิจ SMEs โดยแนวคิดของการเป็น SMART Enterprises หรือ SMART-Es น่าจะส่งเสริม แต่ต้อง "คิดต่อ" ครับ เช่น เมื่อมีธุรกิจเกิดใหม่ (ไม่ใช่ไปจับธุรกิจที่เขาดำเนินกิจการได้มานับสิบปีแล้วบอกว่า นี่แหละเป็นธุรกิจ OTOP ที่ปั้นขึ้นมา) ที่จัดตั้งขึ้นโดยการช่วยเหลือทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะทาง ควรให้ธุรกิจเหล่านี้ แตกออก (Spin-Offs) ไปจากการดูแลหรือเพาะบ่มจากภาครัฐบาลหรือออกจากโครงการของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ต้องยอมรับว่าเป็นแนวคิดที่ดีในการสร้างผู้ประกอบการให้เกิดขึ้นจากการฟูมฟักหรือเพาะบ่มของภาครัฐและมหาวิทยาลัยต่างๆ และนับเป็นความโชคดีของผู้ประกอบการธุรกิจทั้ง OTOP และ SMEs ที่มีโอกาสมากกว่ายุคอื่นๆ แต่ถ้าประเทศต้องการสร้าง ชาติแห่งผู้ประกอบการ (A Nation of Entrepreneurs) การเติบโตของผู้ประกอบการจำเป็นต้องเป็นวิถีแห่ง "ความมีชีวิต" มากกว่า "ความเป็นโรงงาน" การเติบโตของเถ้าแก่ด้วยวิถีของ "ความมีชีวิต" จะมีศักยภาพในการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการได้มากขึ้น และเป็นการสร้างประเทศแห่งผู้ประกอบการที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงผู้ประกอบการโรงงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น ถ้าจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ประกอบการอยู่ที่ "บ้าน" การสร้างวัฒนธรรมเถ้าแก่ จะต้องเปิดโอกาสให้ใช้บ้านจดทะเบียนเป็นสถานประกอบธุรกิจโดยมีมูลค่าที่เสียต่ำสุดหรือรัฐไม่ควรเก็บอะไรเลย และรัฐควรกำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับผู้ที่จะเป็นนักธุรกิจจากบ้านที่เปิดกว้างมากที่สุด ผู้เขียนอยากฝากให้แนวคิดของ Cottage Industry ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มากกว่ากิจกรรมการขายของตลาดนัดของ OTOP ที่มีขึ้นทุกๆ ปี ส่วนในกรณีของธุรกิจขนาดใหญ่จำเป็นต้องคิดมากกว่านั้นครับ ผู้เขียนเห็นว่า การคิดและทำในระดับโลก (Think Globally, Act locally) มีความจำเป็นและสำคัญยิ่ง เพราะธุรกิจที่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่จะเข้าไปแข่งกับยักษ์ใหญ่ของประเทศคงลำบากทั้งด้านเงินทุน เทคโนโลยี และความได้เปรียบที่รัฐเอื้ออำนวยให้ ดังนั้นคงต้องหากลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะใช้ขับเคลื่อนองค์กร ผู้เขียนได้จำลองภาพการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ขั้นใหม่มาให้ผู้บริหารธุรกิจได้เกิดแนวคิดและถ้ามีโอกาสจะกลับมาขยายความให้อีกครั้งครับ ดร.ดนัย เทียนพุฒ Dr.Danai Thieanphut DNT Consultants
Create Date : 19 เมษายน 2552
Last Update : 19 เมษายน 2552 13:19:54 น.
0 comments
Counter : 2268 Pageviews.
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [? ]
ที่ปรึกษาธุรกิจชั้นนำด้านจัดการกลยุทธ ( ผู้นำและริเริ่มการจัดทำ Balanced Scorecard & KPIs) การบริหาร HR ที่เน้นความสามารถ (Competency Based Approach) การพัฒนา HRD-KM และ การจัดการสมัยใหม่ *************************