# Discretionary และ Mechanical - สองขั้วของการเป็นเทรดเดอร์
ในวันนี้ผมจะมาแบ่งแยกประเภทของเทรดเดอร์ออกเป็นสองแบบด้วยกัน ไม่ใช่แบ่งเป็น Fundamental (สายพื้นฐาน) และ Technical (สายเทคนิค) แบบที่คนไทยรู้จักกันมานาน แต่เป็นแบบ Discretionary และ Mechanical Discretionary trader คือผู้ที่ใช้ข้อมูลบางประเภทหรือทุกประเภทที่มีผลต่อการเทรด อาทิ ข้อมูลพื้นฐานบริษัท, การวิเคราะห์ทางเทคนิค (รวมถึงการดู divergence/convergence, การวางแนวรับแนวต้าน, การลากเส้น trend line, การใช้ fibonacci, รูปแบบแท่งเทียน, chart pattern, ฯลฯ), ข่าว, และอื่นๆ แล้วนำมาเทรดด้วยความเข้าใจของตัวเอง Mechanical trader คือผู้ที่ทำตามระบบแบบแผนทางคณิตศาสตร์และสถิติที่ได้วางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยไม่มีการนำเอาการตัดสินใจส่วนตัวมาเปลี่ยนแปลงการเทรดได้เลย การตัดสินใจจะทำตาม indicator หรือ signal ซื้อขาย ที่โปรแกรมได้ประมวลผลออกมาเท่านั้น -------------------- ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในท้องตลาดส่วนใหญ่มักเป็น Discretionary trader ซึ่งเขาเหล่านี้สามารถที่จะทำกำไรเหนือกว่า Mechanical trader ทุกประเภทได้ ข้อได้เปรียบของการเป็น Discretionary trader คือเขาเหล่านั้นสามารถปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์และรูปแบบการเทรดได้โดยใช้การตัดสินใจส่วนบุคคล สามารถนำเอาประสบการณ์ที่มีมา มาประยุกต์ข้อมูลต่างๆที่ได้รับ แล้วเทรดได้โดยมีรูปแบบที่ไม่แน่นอนตามแต่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถนำเอาข้อมูลอย่างอื่นนอกจากราคา (อาทิ งบการเงินบริษัท, ข่าว) มาปรับปรุงความเสี่ยงได้โดยฉับพลัน ถึงกระนั้นแล้ว สำหรับเทรดเดอร์ทั่วๆไป การทำตามหลักการของ Mechanical trader จะเป็นการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า และเมื่อคุณมีประสบการณ์มากพอ การจะเป็น Discretionary trader ก็จะทำกำไรได้เหนือกว่า Mechanical trader แน่นอน -------------------- สำหรับ Mechanical trader แล้ว ปัจจัยหลักอยู่ที่การเลือก time frame (อาทิ 60min, daily, weekly) การระบุช่วงของเทรนด์ และการคาดคะเนเทรนด์สำหรับอนาคต ระบบของผู้ที่เลือกเส้นทางสายนี้ จะต้องมีการระบุที่แน่นอน และครอบคลุมทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเทรด (ได้แก่ time frame, การเข้า-ออก position, ระดับราคาที่จะ cut loss-take profit, หุ้นหรือสัญญาอนุพันธ์ที่จะเทรด, รวมไปถึงการใช้ money management) เทรดเดอร์แบบ Mechanical จะต้องสามารถทำตามระบบได้โดยไม่มีการเคลือบแคลงใจในระบบที่ตัวเองผลิตมา ข้อดีของการเป็น Mechanical trader นั้น คือการไม่ใช้อารมณ์ในการทำกำไร/ตัดขาดทุน มีกฏที่แน่นอน ตายตัว ไม่มีการนำเอาข้อมูลอื่นๆที่นอกเหนือจากระบบของตนมาใช้ในการตัดสินใจ เช่น หากคุณเทรดโดยใช้ระบบ Moving average crossover 10/50 ก็จะต้องไม่นำเอาปัจจัยพื้นฐานหรือข่าวสารเข้ามาทำให้คุณไขว้เขวเด็ดขาด กล่าวง่ายๆก็คือถึงแม้ในยามที่ทุกคนพูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่ระบบสั่งให้คุณ buy คุณก็จะต้อง buy โดยไม่มีการลังเล ข้อดีอีกประการของการเป็น Mechanical trader คือคุณสามารถเทรดหลายๆสัญญา ในหลายๆตลาดได้พร้อมๆกัน โดยไม่ต้อง 'เฝ้าจอ' คุณสามารถเทรด Set50 Index Futures ไปพร้อมๆกับเทรด Natural Gas + EUR/USD + Cotton, Gold, E-Mini S&P ได้ การทำเช่นนี้ก็จะเป็นการ diversify พอร์ตการเทรดของคุณได้ดีกว่าการเฝ้าจอดูแต่กราฟ Set50 Index Futures เพียงอย่างเดียว การทดสอบระบบย้อนหลัง หรือที่เรียกกันว่า backtest ก็เป็นสิ่งที่ Mechanical trader ได้เปรียบอยู่มาก เนื่องด้วยการมีกฏตายตัว ทำให้วิเคราะห์ออกมาได้ว่า หากใช้แผนการนี้กับข้อมูลในอดีต จะทำให้ได้ผลตอบแทนเท่าไร การคาดการณ์ผลตอบแทนระดับเดียวกันในอนาคตก็จะทำได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน ส่วนการวิเคราะห์ลึกไปถึงระดับ portfolio ก็สามารถทำได้ด้วยผลของการ backtest ในขณะที่ Discretionary trader จะไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนอะไรได้เลย เนื่องจากขึ้นอยู่กับการตัดสินใจสดๆของผู้เทรด -------------------- ตอนนี้ คุณก็พอจะรู้ความแตกต่างของสองแนวทางการเป็นเทรดเดอร์คร่าวๆแล้วนะครับ การจะเลือกแนวทางไหนนั้น ก็แล้วแต่ตัวคุณพิจารณา ไม่มีวิธีไหนถูก วิธีไหนผิด ทั้งนั้นครับ อนึ่ง คุณจะเห็นได้ว่า การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคแบบดั้งเดิมที่คนไทยรู้จักกันดี และ การเป็นนักลงทุน VI นั้น ต่างก็จัดอยู่ในประเภทของ Discretionary trader กันทั้งคู่ ถึงกระนั้น blog ที่ผมจะเขียนไปเรื่อยๆนั้นจะเน้นที่การเป็น Mechanical trader ที่โดยทั่วไปไม่ค่อยมีใครในประเทศไทยพูดถึงในที่สาธารณะมากนักครับ
Create Date : 16 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2555 5:33:22 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1651 Pageviews. |
|
|