Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
31 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 

ปฏิปทาแห่งพรหมโลก...ตถาคตถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่ชักช้าหรือประหม่าเช่นเดียวกัน ดูก่อนมาณพ เราย่อมรู้จักทั้งพรหมโลกและ...

ตถาคตถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่ชักช้าหรือประหม่าเช่นเดียวกัน ดูก่อนมาณพ เราย่อมรู้จักทั้งพรหมโลกและปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก อนึ่ง ผู้ปฏิบัติด้วยประการใดจึงเข้าถึงพรหมโลก เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย


ปฏิปทาแห่งพรหมโลก
โลกคือหมู่สัตว์ คือ สัตวโลก ขันธโลก อากาสโลก ใจของเราคือสัตวโลกที่แท้จริง หากเราหมั่นฝึกฝนอบรมใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ ใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสนั้น จะส่งผลมาถึงขันธโลกคือร่างกายที่ประกอบด้วยขันธ์ ๕  เมื่อขันธโลกสะอาดบริสุทธิ์ ก็จะส่งผลต่อไปถึงอากาสโลกที่อยู่รอบตัวเราให้สะอาดบริสุทธิ์ตามไปด้วย ตัวของเรามีความเกี่ยวเนื่องกับสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ใจที่ใสบริสุทธิ์จะส่งผลออกมาสู่ความคิดที่ดีๆ ความคิดดีๆ ก็จะนำไปสู่คำพูดและการกระทำที่ดีๆ เมื่อเราทำแต่สิ่งที่ดีๆ ความดีนี้ก็ส่งผลไปสู่คนรอบข้าง ถ้าหากเราทำความดีกันเป็นทีมใหญ่ กระแสแห่งความดีอันยิ่งใหญ่ ก็จะแผ่ขยายกว้างไกลออกไป ทำให้โลกและจักรวาลเต็มไปด้วยพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์และความดี  ดังนั้น การฝึกฝนใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งด้วยการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา จึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ทุกๆ คนในโลกที่ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติด้วยตัวเองกันให้ได้
* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สุภสูตร ว่า
"บุรุษผู้เกิดแล้ว ทั้งเจริญแล้วในหมู่บ้านนฬการนั้น ถูกถามถึงทางของหมู่บ้านนฬการ ย่อมไม่ชักช้าหรือเกิดอาการประหม่า ตถาคตถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่ชักช้าหรือประหม่าเช่นเดียวกัน ดูก่อนมาณพ เราย่อมรู้จักทั้งพรหมโลกและปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก อนึ่ง ผู้ปฏิบัติด้วยประการใดจึงเข้าถึงพรหมโลก เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย"
     พระบรมศาสดาทรงเป็นโลกวิทูผู้รู้แจ้งโลกทั้งหมด ทั้งมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก นอกจากรู้จักพรหมโลกแล้ว ยังสามารถไปพรหมโลกได้ และทรงรู้จักปฏิปทาหรือวิธีการที่จะทำให้ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกอีกด้วย ที่ผ่านมาหลวงพ่อได้นำเรื่องของหมู่สัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพมาเล่าให้พวกเราได้เรียนรู้กันเป็นตอนๆ ไป กามภพก็ประกอบไปด้วยอบายภูมิ ๔  ได้แก่ นิรยภูมิ เปรต อสุรกาย และกำเนิดเดรัจฉาน ซึ่งเป็นทุคติภูมิ เป็นดินแดนแห่งการเสวยวิบากกรรมอันทุกข์ทรมานที่ตนได้ทำไว้  ภพภูมิที่สูงขึ้นไปก็มีมนุสสภูมิซึ่งเป็นสุคติภูมิที่อยู่ล่างสุด แต่เป็นดินแดนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นสถานที่แห่งการสั่งสมบุญและการทำบาปอกุศลของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย หมู่สัตว์จะได้ไปเสวยสุขในสวรรค์หรือลงไปบังเกิดในอบายภูมิ ก็วัดกันที่การทำบุญและบาปในขณะที่ยังเป็นมนุษย์นี่แหละ
     ที่ผ่านมาหลวงพ่อได้เล่าถึงโลกสวรรค์ ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการเสวยทิพยสมบัติ ชีวิตหลังความตายของผู้ที่ทำบุญไว้นั้น เมื่อยังไม่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ก็จะมาเสวยสุขอันเป็นทิพย์อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ซึ่งมีอยู่ ๖ ชั้น ตั้งแต่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี สวรรค์แต่ละชั้นจะมีชีวิตและความเป็นอยู่ ที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งภพภูมิเหล่านี้ยังถือว่าจัดอยู่ในกามภพหรืออยู่ในชั้นกามาวจร คือยังข้องแวะอยู่ในเบญจกามคุณ เพียงแต่มีความหยาบและละเอียดประณีตแตกต่างกันเท่านั้นเอง
     ส่วนในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการ เหนือจินตมยปัญญาที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะเป็นภพภูมิที่อยู่สูงกว่าโลกมนุษย์และสูงกว่าสวรรค์ ๖ ชั้นขึ้นไปอีก นั่นคือรูปภพหรือที่เข้าใจกันว่าเป็นพรหมโลก ภพภูมิเหล่านี้เป็นอีกฉากหนึ่งของชีวิตหลังความตาย ที่เราอาจต้องมาบังเกิดหรือมาเสวยสุขสมบัติ เนื่องจากตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส สรรพสัตว์รวมทั้งตัวเราก็ต้องเวียนวนอยู่ในภพทั้งสาม คือกามภพ รูปภพ และอรูปภพ พวกเราเองก็ยังไม่พ้นที่จะต้องตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์และกฎแห่งกรรม ต่างยังต้องอยู่ในสังสารวัฏนี้ด้วย
     ตัวอย่างเกี่ยวกับการกล่าวถึงพรหมโลกในพระไตรปิฎกมีบันทึกไว้ว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี สมัยนั้น สุภมาณพโตเทยยบุตรเดินทางมาทำธุรกิจบางอย่างที่เมืองสาวัตถี จึงมาขออาศัยอยู่ในบ้านของคฤหบดีท่านหนึ่ง สุภมาณพถามคฤหบดีที่อาศัยอยู่ด้วยว่า “ท่านคฤหบดี ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พระนครสาวัตถีไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายเลย วันนี้เราจะพึงเข้าไปนั่งใกล้สมณะหรือพราหมณ์ท่านใดดีหนอ จึงจะเป็นมงคลแก่ชีวิต”
     คฤหบดีตอบว่า “ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านจงเข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเถิด” สุภมาณพเห็นว่าเป็นโชคของตัวที่จะได้พบเห็นพระอรหันต์ จึงรีบเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ และได้ทูลถามปัญหาหลายเรื่อง มีข้อความสนทนาอยู่ตอนหนึ่ง ซึ่งสุภมาณพได้ทูลถามถึงพรหมโลกไว้ว่า
     “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พระสมณโคดมทรงรู้จักหนทางเพื่อความเป็นสหายของพรหมจริงหรือไม่” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า พระองค์ทรงรู้จักหนทางเพื่อความเป็นสหายของพรหมจริง เหมือนคนที่เกิดและเจริญเติบโตในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ครั้นออกจากหมู่บ้านเพื่อไปทำธุระ เมื่อถูกอาคันตุกะถามทางไปบ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่ เขาไม่ชักช้าหรือประหม่า สามารถแนะนำเส้นทางได้ทันที พระองค์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก พระองค์ก็สามารถตอบได้ทันที และยังสามารถแสดงเส้นทางและวิธีการเพื่อให้ไปบังเกิดในพรหมโลกได้อีกด้วย
     สุภมาณพได้ฟังแล้ว บังเกิดความอัศจรรย์ในพระดำรัสของพระพุทธองค์ เพราะตัวเองนับถือศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว จึงอยากรู้ทางไปสู่พรหมโลก เขาได้ทูลถามต่อด้วยความอยากรู้ว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์ช่วยแสดงทางเพื่อความเป็นสหายของพรหมแก่ข้าพเจ้าเถิด” ด้วยพระมหากรุณาพระบรมศาสดาจึงตรัสตอบว่า “ดูก่อนมาณพ ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี ทางเพื่อความเป็นสหายของพรหมคือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศทั้ง ๔ มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ถ้วนทั่วหมู่สัตว์ทุกเหล่า เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในทุกที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความเบียดเบียน เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติอันภิกษุนั้นเจริญแล้วอย่างนี้ กรรมใดเป็นกามาวจรที่ภิกษุทำแล้วกรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ คงอยู่ในกรรมที่เป็นรูปาวจรหรือรูปภพเท่านั้น
     ดูก่อนมาณพ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเป่าสังข์ พึงให้คนรู้ได้ตลอดทิศทั้งสี่โดยไม่ยาก ฉันใด  เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติที่ภิกษุนั้นเจริญแล้ว ก็ฉันนั้น กรรมใดเป็นกามาวจรที่ภิกษุทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ จักพ้นจากกามภพไปสู่รูปภพ แม้ข้อนี้ก็เป็นทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม”
     เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวิธีการที่จะทำให้ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกแล้ว สุภมาณพได้กราบทูลด้วยจิตเลื่อมใสว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่ควํ่า เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้ากับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์ได้โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต” จากนั้นสุภมาณพก็ทูลลาจากไป
     นี่เป็นเนื้อความย่อๆ เกี่ยวกับพรหมโลก และปฏิปทาที่จะทำให้ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกในทัศนะเชิงพุทธ ส่วนว่าพรหมโลกมีกี่ชั้น และมีความเป็นอยู่กันอย่างไรบ้าง หลวงพ่อจะทยอยนำเรื่องราวของพรหมโลกแต่ละชั้นมาเล่าให้พวกเราได้เรียนรู้กัน เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป  ให้ทุกท่านขยันเจริญสมาธิภาวนา และแผ่เมตตาความปรารถนาดีไปยังชาวโลกและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งตัวเราและชาวโลกตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายจะได้มีความสุข ได้พ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรมกันทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* มก. เล่ม ๒๑ หน้า ๒๔๘




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2555
0 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2555 8:18:35 น.
Counter : 1049 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ชบาแก้วริมน้ำ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ชบาแก้วริมน้ำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.