ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
23 ธันวาคม 2552
 

[ดูแล้ววิจารณ์] Avatar ... เรื่องราวเดิม แต่ห่างโลกไป 6 ปีแสง

คุณหวังสูงแค่ไหนจาก Avatar !!??

นี่คืองาน Super-Mega Project ของ James Cameron ต่อจาก Titanic เขาทิ้งช่วง 12 ปี เพื่อรอเทคโนโลยีให้สูงพอสำหรับหนังเขา !!! หนังถ่ายทำด้วยทุนสร้าง 310 ล้านเหรียญ พร้อมทุนโฆษณา 150 ล้านเหรียญ เท่านั้น !!!

คงคิดออกนะครับว่าหนังน่าถูกตั้งความหวังไว้สูงแค่ไหน !!

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

Jake Sully ( แซม เวอร์ทิงตัน : คงจำหน้าเขาได้จาก T4 : Salvation ) นายทหารที่พิการเดินไม่ได้จากอุบัติเหตุในสงคราม ต้องมาช่วยสานต่อโครงการวิทยาศาสตร์ของพี่น้องฝาแฝดที่เสียชีวิต ที่สามารถตัดต่อยีนมนุษย์ของตนและชาวนาวี ชนเผ่าพื้นเมืองของดาวแพนโดร่า เพื่อเข้าแทรกซึมชนเผ่าและเรียนรู้ แต่แท้จริง มันคือโครงการ " ปล้น " ทรัพยากรของดาวนี้ เป็นแร่ที่มีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านเหรียญต่อกิโลกรัม เมื่อเขาเข้าร่วมเป็นชนเผ่าและเรียนรู้เกี่ยวกับชาวนาวี เขาเกิดศรัทธา และมีความรักกับ Neytiri หญิงนักรบลูกสาวหัวหน้าเผ่าชาวนาวี แต่เวลาไม่เคยคอย นายทุนล่าเงินกับทหารรับจ้างเริ่มคลืบคลานเขารุกรานทำลายดาวเพื่อประโยชน์ส่วนตน เขาตัดสินใจปกป้องชาวนาวี แต่ยากเหลือเกินที่จะต่อสู้กับทหารที่มีพร้อมด้วยระเบิดและลูกปืน !!!

อวตาร ก้าวข้ามเทคโนโลยีสร้างหนังปัจจุบันไปแล้ว ( ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณ Peter Jackson แรงผลักดันสำคัญในงานสร้างภาพเทคนิคพิเศษ ) หากคุณสามารถดูที่ IMAX หรือ Digital 3D ได้ ขอให้ไปดูเถอะ เทคนิคพิเศษของหนังเรื่องนี้ ก้าวข้ามคำว่า " สมจริง " ไปสู่คำว่า "เหมือนจริง " เรียบร้อย หากคุณตัดสินมันจากตัวอย่างหนังว่า มันคือหนังการ์ตูนจาก Play Station ที่สเกลใหญ่ขึ้นและเป็นสามมิติ ต้องบอกว่าผิดถนัดและเสียใจด้วยหากพลาดการดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะใน IMAX , ผลจากการจับมือกันระหว่างผู้กำกับที่ล่มเรือไททานิคต่อหน้าคนดูกับผู้กำกับที่สร้างนครกอนดอร์ให้เกิดขึ้นประจักษ์สายตาเราในครั้งนี้ ลงเอยด้วยการปรากฎของดาวแพนโดร่า ที่มีภูเขาลอยฟ้าตระการตาแบบที่คนปากว่าตาขยิบทั้งหลายบอกว่ามันก็มีแล้วในเอฟเฟคในการ์ตูนเกม ... แต่ที่เกิดในหนัง มันแสดงออกถึงงาน " คนละฝีมือ " ... เนรมิตสัตว์ 6 ขาหลากหลายพันธุ์ต่างๆบนดาวได้อย่างเหนือจินตนาการ แต่ความเยี่ยมของงานเอฟเฟคตัวจริง คือ การสร้างชาวนาวี สูง 10 ฟุต ตัวสีฟ้า ขี่บนหลังสัตว์ปีกขนาดไหญ่ที่เคลื่อนตัวพลิ้วไหวไหลลื่น และสามารถแสดงสีหน้าได้แนบเนียนเหมือนใบหน้ามนุษย์ Cameron คุ้มค่าที่ไม่เลือก Make up ให้กับนักแสดงทั้งตัว ( ย้อมร่างกายแบบมีสทีค ใน X-Men แล้วทำดั้งใหม่แบบ Star Trek ติดปีกหูแบบ Lord Of The Ring ) และต้องบังคับการแสดงอารมณ์บนใบหน้าผ่านเฉพาะดวงตา แต่ในผลจากการรอคอยเทคโนโลยีเพื่อ Avatar ของเขา ผลลัพธ์คือ รอยย่นที่มุมปากจากการยิ้ม การขมวดคิ้ว จมูกที่ขยับระหว่างตะโกน แววตาที่ดูโกรธ (จากดวงตาที่ผิดรูปกับของมนุษย์ ) การขยับเคลื่อนไหวร่างกายทั้วร่าง การกระดิกหู สิ่งเหล่านี้ มันคือสุดยอดการจำลองภาพไปแล้ว ทำให้หูแหลมๆของ Elf ใน Lord Of The Ring เป็นอดีต ไม่นับการสร้างจินตนาการอื่นๆบนดาวแพนโดร่าให้ไปไกลได้สุดขอบจินตนาการของมนุษย์ การใช้ฟิล์ม IMAX 3 มิติ ยาวสุดม้วนฟิล์มที่ 165 นาที ให้เกิดภาพล่องลอยในฉากที่เครื่องบิน บินผ่านหุบเขา เสมือนเรานั่งบนเครื่องบินลำนั้นตามไปด้วยใจสั่นระรัว สุดยอด !!!!

กระนั้น .... ใช่งานเอฟเฟคจะไม่มีข้อ " ติ "

เรื่องนี้อาจจะไม่น่าจะเรียกว่าติ แต่น่าจะเรียกว่า " แก้ได้ยาก " ในเรื่องของสีและแสง โดยเฉพาะ" สีสะท้อนแสง " ตั้งแต่ดาวแพนโดร่า ต้นไม้เรืองแสงหลากสี บวกกับชาวนาวีตัวสีฟ้า สีสันมันโดดสุดๆในแต่ละส่วน นั่นแหละปัญหา เพราะการโดดสีมากๆ ก่อให้ภาพมันดูออกว่า " เทียม " ได้ง่าย แม้งานเอฟเฟคจะสามารถลบจุดด้อยของเรื่องความละเอียดของภาพจนได้งานที่ละเอียดไร้รอยต่อระหว่างบุคคลและGreen Screen ด้านหลังอย่างหมดจด แต่เรื่องสีนี่แหละ มันแก้ได้ไม่หมดทุกเม็ด หนังเอฟเฟคชั้นหนึ่งก่อนหน้า จะไม่โดดโทนแสงสีมากเท่านี้ ทำให้ภาพเอฟเฟคกลมกลืนเป็นเดียวและสมจริงง่ายกว่า ตัวอย่างคือ Lord Of the Ring 3 ที่การรบในดินแดนกอนดอร์ ที่บังคับโทนสีให้ออก ส้ม-แดง-น้ำตาลกลืนกันตลอดฉาก ทำให้เนื้องานเอฟเฟคเกลี่ยได้เนียน ไร้ตำหนิ หรืออย่าง Tramnsformer ที่แม้หุ่นแปลงกายทั้งหลายจะมีสีสรรมากมายแต่คุมแต่ละสีไม่โดด ไม่สะท้อนแสง ... กระนั้น เมื่อมองย้อนไปถึงว่า หนังเรื่องใดจะกล้าหาญชาญชัยทำงานเอฟเฟคที่สีสันสุดกู่ขนาดนี้ เท่าที่ตนเองเคยดูมา มีแค่ What Dream May Come ( แน่นอน หนังเรื่องนี้จบด้วย Best Visual Effect บนเวที Oscar ) และ Avatar ก็เหนือกว่าเรื่องนั้นอีกระดับ งานนี้หากมองในแง่บวก การใส่สีวิจิตรขนาดนี้ให้ได้ตลอดเรื่องโดยที่ความกลมกลืนยังไม่ขาดตกบกพร่อง ก็น่าจะพอที่จะเรียกว่าเยี่ยม ณ. เวลานี้ ดังนั้น จึงขอไม่เรียกว่า ส่วนที่ควร " ติ " แล้วกัน

เรื่องงานเสียง ไม่มีปัญหา ทั้งการตัดต่อเสียง รวมถึงบันทึกเสียงที่สมบูรณ์แบบและกระหึ่ม โดยเฉพาะของ IMAX ที่มีลำโพงหลังจอ เสียงจึงเหมือนทะลุได้จากจอหนัง เทคนิคเสียงไร้ที่ติจริงๆ งานดนตรีประกอบ เลือกใช้บริการเจ้าเดิมคือ James Horner คู่บุญจาก Titanic ที่ประพันธ์ My Heart Will Go Onให้ดังระเบิด ให้มารังสรรค์ดนตรีบรรเลงแบบชุดใหญ่ พร้อมเพลง I See You จากนักร้องเส้นเสียงระดับ A List ในยุคปัจจุบันอย่าง Leona Lewis

งานเทคนิคของหนังเรื่องนี้ คงไม่มีส่วนใดที่เป็นปัญหา เพราะมันสุดทุกทางในทศวรรษนี้

หากส่วนใดของหนังที่น่าจะเป็น " ปัญหา " ก็คงต้องกล่าวถึงเกี่ยวกับ บทภาพยนตร์ !!!

ประเด็นเกี่ยวกับ มนุษย์ผู้ที่ศิวิไลซ์แต่จิตใจต่ำทราม เดินทางไปยังดินแดนอื่น กอบโกยทุกสิ่งเพื่อประโยชน์ส่วนตน ท้ายที่สุด ผู้เป็นเจ้าบ้าน ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ตัวนำของเรื่องยืนอยู่ตรงกลางและเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง เป็นอะไรที่ว่าน่าเบื่อ ... ก็มีส่วน จะว่าซ้ำซาก ... ก็คงใช่ มันก็คล้ายๆโพคาฮอนทัสเวอร์ชั่นดาวแพนโดร่า แต่เป็นอะไรที่มาพร้อมเทคนิคราคา 310 ล้านเหรียญ ปัญหาของบทที่แท้จริง คือ ไม่มีความสดใหม่ !!! ดูเป็นสูตรสำเร็จ !!! และ ไม่ลุ่มลึกถึงประเด็นทางจิตใจ !!!

เราหวังให้หนังมีบทของ Avatar แบบไหนกัน ?? เล่าเรื่องดั่งมหากาพแห่งมิตรภาพและศรัทธาอย่าง Lord Of The Ring , เต็มไปด้วยปรัชญาและการตีความมากมายอย่าง Matrix , เพลิดเพลินสู้กันมันหยดอย่าง Transformer , มีตอนจบแบบพลิกฟ้าดินอย่าง Shawshank Redemption หรือ เนื้อหาดราม่า บีบน้ำตาอย่าง Titanic !!!!

เปล่าเลย !!! มองอย่างเป็นธรรม Avatar เป็นหนังแอคชั่นไซไฟแฝงอารมณ์ดราม่า เล่าเรื่องไม่ซับซ้อน แต่ต้องลื่นไหลไม่สะดุด มันไม่ใช่หนังดราม่าที่มาพร้อมเทคนิคระดับเทพอย่างไททานิค หรือ เน้นความสนุกสุดอารมณ์แบบ Transformer มันค่อนๆไปทางแนว Terminator II ด้วยซ้ำ Cameron ไม่ใช่คนเขียนบทภาพยนตร์คมกริบเต็มไปด้วยความคิดซับซ้อนให้คนดู แต่เขาเป็นนักเล่าเรื่องง่ายๆบนหนังตระการตาเต็มไปด้วยเอฟเฟคชั้นหนึ่ง เขาไม่ยัดเยียดอะไรให้คนดู แค่ปล่อยให้ตามลุ้นกับตัวละครไปเรื่อยๆ เช่นดูจาก T2 มันก็ไม่ใช่บทที่ยากจะเดาอะไรเลย พระเอกได้มนุษย์หุ่นยนต์มาช่วย ตัวร้ายล่าล้างบาง รอดตายหวุดหวิด สุดท้ายสถานการณ์ช่วยและใช้สมองช่วยอีกนิด จึงสามารถฆ่าตัวร้ายได้ และจบแบบที่ควรจะเป็น !!!

ถ้าคุณคาดหวังให้มันจะต้องก้าวเข้ามาเทียบเคียง Lord Of The Ring ในเรื่องของการเป็นหนังดราม่าที่สรรสร้างด้วยเอฟเฟคบันลือโลก คงต้องเสียใจกับสิ่งที่หวัง แต่ถ้าคิดว่า มันคือหนังแอคชั่นไซไฟเทคนิคยิ่งใหญ่บนงานสร้างมาตรฐานใหม่ ตื่นตาแบบหนังซัมเมอร์ แต่มาฉายช่วงปลายปี ....

คุณก็ไม่มีอะไรให้ผิดหวังแม้แต่น้อย !!

แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่ง James Cameron คือผู้สร้างมหาภาพยนตร์ที่พร้อมมูลทุกสิ่ง อย่าง Titanic มาแล้ว การเขียนบทให้กลมกล่อมกว่านี้ มี Conflict ที่หนักกว่านี้ หรือ ตอนจบที่เข้มข้นกว่านี้ มันเป็นเรื่องที่ควรทำได้ ปัญหาอาจเกิดจากบทที่เล่ากันมาซ้ำซาก หรือ อาจเพราะบทที่ยาวมาก แต่ต้องตัดลงเหลือ 165 นาทีเท่าความยาวของฟิล์มหนังที่ IMAX สามารถมอบให้ได้ งานบทเลยออกมาไม่เต็มอารมณ์เท่าไหร่ แม้พยายามใช้ตัดต่อที่ดีจะช่วยเข้ามาดึงจังหวะหนังให้ลุ้นระลึกได้เป็นระยะๆ ( บางครั้งก็ตัดบทกันไวไปหน่อย ) แต่ก็ปิดรอยด่างจุดนี้ไม่หมด แม้จะด่างเท่ารอยกระบนใบหน้า แต่ว่าระดับเขา ควร " เรียบเนียนและดูมีเนื้อมีหนัง " กว่านี้ซักนิด !!

ทีมนักแสดงหลักของหนัง ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ อยู่ในระดับ " ไว้ใจได้ " ล้วนๆ ... แซม เวอร์ทิงตัน นั้น หลังจากเปิดตัวไปกับ T4 ก็ขึ้นแท่นพระเอกหนังเอฟเฟคแพงระยับ เขาใส่หมดตัวจริงๆ แม้ไม่ได้ให้ฝีมือระดับรางวัล แต่การแสดงออกของเขาทั้งบนร่างคนและร่างอวตาร ไม่มีจุดต้องติติงเลย ออร่าของเขาบนจอเปล่งประกายได้ดีสมราคาหนัง , บทนักพฤษศาสตร์ของ ซิเกอร์นีย์ วีเวอร์ ยังคงมาตรฐานสูง เช่นเดียวกับ จิโอแวนนี่ ริบิซี่ ที่เชื่อกินขนมได้กับบทนักธุรกิจหิวเงิน , มิเชลล์ โรดิเกรซ เล่นบทคุ้นเคยอีกครั้ง , สตีเฟน แลงในบทหัวหน้านายทหารที่ดุ เข้ม และไร้ปราณีได้ใจ สมบทบาทที่สุด , โจเอล มัวร์ จาก Grandma's Boy เจ๋งขึ้นเยอะ , เสียดายที่ โซ ซาลดานา เราคงเห็นเธอเล่นบทนี้ผ่านการ Motion Capture เท่านั้น แต่ก็ถือว่าไม่เลวเลย หากคิดถึงว่า ตัวละครนี้ แสดงออกทุกอย่างตามที่เธอแสดงเป็นหลัก ( ปีนี้ ต้องบอกว่าเธอเป็นรุ่นเยาว์ฝ่ายหญิงที่ " ร้อน " ที่สุดแล้ว เพราะเธอเป็นนางเอกทั้ง Star Trek และ Avatar )

James Cameron คุมงานนี้ได้อยู่หมัด และ มือหนึ่ง สิ่งที่เกิดตรงหน้าตอนดูหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับซักกี่คนที่จะเนรมิตหนังเรื่องนี้ให้เยี่ยมได้เช่นนี้ การสร้างหนังที่มาไกลสุดจิตนาการสุดล้ำ ไม่ใช่เป็นแค่หนังสั้นบนเครื่องเล่น Play Stationที่ขยายใหญ่ แต่คือภาพยนต์แอคชั่นสามมิติ ที่มี Scale ของงานละเอียดยิบตา หากเรานับ Terminator I & II , Aliens และ Titanic คือหนังระดับตำนานที่ประสบความสำเร็จในงานสร้างและเป็นมาตรฐานใหม่แล้ว ตอนนี้ James Cameron ได้สร้าง " มาตรฐาน " ของหนังให้กับโลกขึ้นมาใหม่อีกเรื่องแล้วเช่นกัน

หากเป็นคนอื่นสร้าง ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะไม่ให้ 10 เต็ม แต่ความเป็น James Cameron ที่ทั้งกำกับและเขียนบทหนังเอง ระดับความคาดหวังจากเขาย่อมสูงกว่าคนอื่น ...... 9.8 / 10 คะแนน ไม่น้อยไปกว่านี้ ( อีก 0.2 จะให้เพิ่มกับ Director's Cut ที่ต้องเต็มอิ่มกว่านี้ ) สุดท้าย หนังเรื่องนี้ควรค่าในทุกๆเหตุผลที่จะเรียกว่า

" ภาพยนตรทรงคุณค่าแห่งทศวรรษ "




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2552
0 comments
Last Update : 23 ธันวาคม 2552 15:29:31 น.
Counter : 305 Pageviews.

 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

Angmar
 
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน ... วันละ 10 ชั่วโมง

แต่เที่ยวไปทั่ว มั่วได้ตลอด ..

อย่างนี้ซิ คุ้มค่าชีวิต !! Work Hard Play Hard !!
[Add Angmar's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com