บันทึกการทำงานสาธารณประโยชน์ถวายเป็นพุทธบูชา วัดท่าซุง ๒


วันที่ ๑๒.๑๑.๑๑

มาต่อกันตอนที่ ๒ ครับ หวังว่าคงยังไม่เบื่อกัน คุยกันฉันท์พี่น้องลูกหลวงพ่อฤาษีเหมือนเดิมครับ

สำหรับวันที่ ๒ หลังจากถึงวัด ผมตื่นเช้ากว่าที่คิด คือตื่นตั้งแต่ตี ๕ ครึ่ง ตื่นแล้วลุกเลย พยายามไม่ทำตัวขี้เกียจ เพราะคิดอยู่ในหัวว่าเรามาช่วยงานพระศาสนา เรามาช่วยงานพ่อ ถ้าเราทำตัวเหลวไหล ก็ไม่สมควรแก่บวรพุทธศาสนา ไม่สมกับการเป็นลูกของพ่อ เผลอๆ จะวิ่งตามไม่ทันรุ่นพี่เสียอีก

หลังจากอาบน้ำ แต่งตัวเรียบร้อย คณะทำงานซึ่งมีหลายคนด้วยกันก็ลงไปทานอาหารที่สวนไผ่เช่นเคย

เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาลุยงานกัน

ขอย้อนเมื่อคืนวานเล็กน้อยนะครับ ก่อนนอน ผม พี่ป็อป และพี่กุ้ง เรานั่งคุยกันถึงเรื่องภายในวัด ที่มีคนบางกลุ่มที่ไม่ประสงค์ดีแฝงตัวอยู่

ผมสังเกตว่า คนส่วนใหญ่มักมีความพยายามในการทำเลวสูง หรือบางทีอาจจะไม่พยายามหรอก แต่ทำเลวมันง่ายกว่าทำดี เลยดูเหมือนมีความพยายามสูง นี่ก็เช่นเดียวกัน

มีหลายคนที่มาอยู่ที่วัด แต่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้น ไม่รู้เจตนาทำลายวัด หรือตัวตนเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เราก็มีหน้าที่ ก็ทำหน้าที่ของเราไป ใครทำอะไรผิดก็ตักเตือนด้วยความเมตตา ผมเพิ่งทราบว่าทางวัดให้โอกาสคนมากจริงๆ บางคนอยู่วัดทำเลวมาได้ ๒๐ ปีถึงจะให้ออกจากวัด ผมคิดว่าไม่ใช่การละเลยปัญหา แต่เป็นความเมตตาที่ลูกหลานหลวงพ่อมอบให้มากกว่า

ฉะนั้น ถ้ารู้จักใครที่ถูกไล่ออกจากวัดท่าซุง ก่อนจะทำความรู้จักก็สมควรจะศึกษากันดีๆ ก่อน เพราะขนาดถูกไล่ออกจากวัดนี่คงเขี้ยวลากดินไม่เบา

ทั้งหมดเพียงอยากจะเตือนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เอาไว้ว่า ในวัดท่าซุงเองก็มีคนที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่เหมือนกัน จะรวมกลุ่มกับใครต้องศึกษานิสัยกันก่อนพอสมควรนะครับ แต่ถ้าถามคณะของพวกเราก็พอจะชี้ตัวได้บ้างเหมือนกันนะว่าใครดีใครเลวอย่างไร

วิธีสังเกตง่ายๆ ก็ดูลักษณะท่าทางคร่าวๆ ไว้ก่อนแล้วกันนะครับ ว่าคนอื่นๆ ปฏิบัติกับเขา-เขาปฏิบัติกับคนอื่นๆ อย่างไร หรือไม่ก็ถามคนที่ไว้ใจได้ดูก่อนครับ

ในสมัยหลวงพ่อก็มีเรื่องทำนองนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการทำคุณไสย เป็นต้น บางเรื่องว่ามากไป ใครอ่านมาเจอเข้าจะกลายเป็นสงครามศาสนาไปเสียก่อน ของดไว้ครับ ไว้คุยกันเป็นการส่วนตัวดีกว่า

วกเข้าเรื่องการทำงานก่อน ช่วงท้ายๆ ของตอนนี้มีเกร็ดเล็กน้อยที่มีความสำคัญ อยากให้พี่น้องได้อ่านกันครับ

การทำงาน เนื่องจากเป็นวันเสาร์ จะมีเด็กจาก รร.วัดสุธรรมยานเถรวิทยามาช่วยกัน ทำให้ได้งานมาก เด็กที่มาก็มีทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย แต่ละคนขยันกันทั้งนั้น สมเป็นเด็กจากโรงเรียนของหลวงพ่อ

นอกจากนั้น น้องๆ ยังเก่งแถมฉลาดกันทุกรุ่น เพราะอะไรหรือครับ ? เพราะโรงเรียนวัดสุธรรมยานเถรมีสถิติสอบเอนท์ติด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ครับ ว่าง่ายๆ คือ เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทุกคน

งานแรกที่พวกเราต้องลุยกัน คือ งานล้างเลนที่ศาลา ๑๒ ไร่ครับ ตอนไปถึงเด็กๆ ก็ช่วยกันล้างไปประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว

สำหรับงานล้างเลนที่สำคัญคือควรจะมีรองเท้าบูทครับ แต่อย่างผมนี่ชอบลุย เลยลงเท้าเปล่า คิดว่าเราไม่กลัวเปื้อน ล้มเป็นล้ม เลอะเป็นเลอะ

แต่ความจริง คือ รองเท้าบูทก็ช่วยให้เรายืนได้มั่นคงขึ้นครับ เท้าเปล่าๆ จะลื่นมาก งานจะไปช้ากว่า

ถุงมือก็มีความสำคัญครับ เพราะเราต้องใช้ไม้กวาดกับไม้ดันเลน สองอย่างนี่สำคัญมากเพราะเราจะใช้เพื่อกวาดเลนลงท่อครับ แต่เลนมีความหนัก ไม่เหมือนน้ำ ก็ต้องใช้ไม้กวาดหรือไม้ดันเลนนี่แหละที่ยัน-ดันเลนลงท่อ ซึ่งถ้ามีถุงมือจะช่วยเซฟและบรรเทาความปวดบริเวณฝ่ามือได้ครับ

สำหรับใครที่อยากไปช่วย อุปกรณ์เอาไปด้วยก็ดีครับ แต่ถ้าไม่สะดวกหรือไม่มีก็ขอเบิกได้ที่วัดครับ

โชคดีที่ศาลา ๑๒ ไร่มีท่อระบายน้ำทิ้ง การไล่เลนลงท่อจึงไม่ลำบากมากนัก จะมีบางระยะครับที่รถน้ำ (คล้ายรถดับเพลิง) จะมา ก็จะใช้สายยางพ่นแรงดันน้ำใส่เลนกระจุยลงท่อ งานก็เบาขึ้นครับ

ภาพประทับใจคือ เด็กๆ ร่วมแรงร่วมใจกันมาก แต่ละคนขยันพร้อมลุยงานหนัก สามัคคีคือพลังเป็นอย่างไร ก็ได้รู้ชัดๆ วันนี้

เทคนิคสำคัญสำหรับการดันเลนคือ การรวมกลุ่มครับ เพราะถ้าต่างคนต่างดัน เลนจะแตกออกข้าง งานจะลำบากไม่หมดเสียที แต่ถ้ารวมกลุ่มตั้งแถวหน้ากระดานแล้วดันพร้อมกัน จะเก็บเลนลงท่อได้เร็วกว่า

หน้าที่ที่แต่ละคนทำได้มีหลายอย่าง เห็นอะไรเอื้อมมือเข้าช่วยได้เลย ไม่จำเป็นจะต้องทำงานใดงานหนึ่งเพียงอย่างเดียว ยิ่งทำตลอดสม่ำเสมอ กำลังใจยิ่งเต็มไวครับ

หลังจากเสร็จงานที่ ๑๒ ไร่ ก็พักทานข้าวที่สวนไผ่กันก่อน

ทานข้าวเสร็จลุยงานต่อที่ศาลา ๔ ไร่ครับ ที่นี่ไม่มีท่อระบายน้ำเหมือนศาลา ๑๒ ไร่ เลนจึงไม่มีที่ให้ระบายออก ต้องใช้พลั่ว/ถังน้ำตักเลนขึ้นหลังรถกระบะ แล้วลำเลียงไปทิ้งอีกที

เด็กๆ รร.วัดสุธรรมยานเถรยังเป็นกำลังหลักเหมือนเดิมครับ ถ้าไม่ได้เด็กๆ งานคงจะไปช้ากว่านี้มาก

พวกเราทำงานร่วมกันรอบศาลา ๔ ไร่ จนเสร็จสิ้นที่เวลาประมาณ ๕-๖ โมงเย็น มองกลับไปมองศาลาที่เรียบร้อยดีแล้ว เกิดความภูมิใจ ปลื้มใจ ที่เห็นสภาพวัดกลับมาสวยงามอีกครั้ง

ยิ่งนึกถึงภาพเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้งานอาคารทั้งสองหลัง ใจเราก็ยิ่งความสุขครับ

พูดถึงเรื่องกวาดเลน อยู่ดีๆ ก็เปรียบไปถึงเรื่องการกวาดเลวลงท่อ ใจก็นึกขำครับ ผมเปรียบอย่างนี้ : พระธรรมคำสอนเปรียบได้กับไม้ดันเลน กิเลสในใจเราก็เหมือนเลน ส่วนเราเกิดมาเพื่อดันเลนลงท่อ พอเลน (เลว) หมดก็เข้านิพพานกัน ยิ่งเห็นพี่น้องลูกหลานหลวงพ่อร่วมมือร่วมใจกันดันเลน (เลว) ลงท่ออย่างนี้ กำลังใจก็มี ว่าไหมครับ?

หลังจากเสร็จงานก็ทานข้าว แล้วเข้าที่พักกันครับ

วันนี้ก็มีช่วงธรรมะก่อนนอนเหมือนเดิม เนื้อหาเข้มข้นขึ้นอีกขั้น ผมจะพยายามคัดเอาส่วนที่จำได้และเปิดเผยได้มาลงให้อ่านกันครับ

ลูกหลานหลวงพ่อหลายคนตามหลวงพ่อมานาน หลวงพ่อปรารถนาพุทธภูมิ พวกเราก็ปรารถนาตาม พอพ่อลา หลายคนก็ลากัน สำหรับคนที่ยังปรารถนาจะไปต่อ มีเกร็ดเล็กน้อยสำหรับผู้ปรารถนาพุทธภูมิให้อ่าน โดยเกร็ดนี้มาจากพุทธภูมิรุ่นพี่ ว่าดังนี้สั้นๆ ครับ :  พุทธภูมิต้องพิจารณาเสมอว่าเราปรารถนาเพื่ออะไร มีจุดยืนเพื่อใคร ที่สำคัญต้องเข้มแข็ง และมีเมตตาบารมีเป็นสำคัญ

นอกจากเรื่องเกร็ดพุทธภูมิ พวกเราก็ได้คุยกันต่อหลายเรื่อง โดยวันนี้เน้นไปทางการใช้ปัญญาในโลกยุคไซเบอร์ครับ

เริ่มจากเรื่องเฟสบุค ที่พวกเรามองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของกลียุค มีทั้งประโยชน์และโทษ ปัญญาในการคัดกรองข่าวสารที่ไปไวมาไวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยอยากรณรงค์ให้ทุกคน หากอยากจะแบ่งบันข้อธรรมของหลวงพ่อ กรุณาอ้างอิงแหล่งสืบค้นที่เชื่อถือได้ประกอบกันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่หวังดีกับสายหลวงพ่ออาจใช้อินเตอร์เน็ตเป็นส่วน หนึ่งของแผนการบ่อนทำลายพระศาสนา เด็กที่พึงเข้ามาใหม่อาจยังไม่รู้จักการคัดกรองข่าวสาร หากได้รับข้อมูลที่ผิดอาจทำให้ไปผิดทางครับ

แหล่งสืบค้นที่เชื่อถือได้ที่ผมว่า คือ หนังสือ และเทปของหลวงพ่อเป็นหลัก ไม่นับข้อมูลจากเวปต่างๆ ที่มีทั่วไปนะครับ เพราะคัดกรองได้ยากเป็นทุนเดิม ยิ่งหากมีผู้ประสงค์ร้ายก็แทรกข้อความใดๆ เข้าไปได้ง่าย ก่อนจะเชื่อข้อมูลใดๆ ก็สอบทานกับพระธรรมคำสอน หรือแหล่งอ้างอิงที่ผมว่า โดยใช้ปัญญาและหลักกาลามสูตรพิจารณาร่วมด้วยครับ

ยกตัวอย่าง การดัดแปลงบิดเบือนข่าวสารที่มองเห็นได้ชัดและแชร์กันทั่วไปในเครือข่าย เฟสบุคในปีนี้ คือ เรื่องคำทำนายนารีขีม้าขาว เป็นต้น

บางเว็บเป็นแหล่งรวมศิษย์สายของหลวงพ่อนะครับ แต่ไม่ใช่รวมธรรมดา รวมทั้งดี และทั้งที่เพี้ยนไว้ด้วยกัน ต้องกลั่นกรองให้มากเข้า บอกชื่อเว็บไปคงรู้จักดีครับ

ถ้าเจออะไรเพี้ยนๆ แล้วเราคัดกรองได้ ก็ช่วยบอกช่วยเตือนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กันต่อไปครับ ส่วนตัวเราหลังจากคัดกรองแล้วก็เลือกเอาส่วนดีที่พึงมีเอาไว้ ส่วนเนื้อร้ายก็ตักเตือนไปครับว่าให้แก้ไขหรืออย่างไรก็แล้วแต่

โดยเฉพาะในปัจจุบัน มีหลายลัทธิผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ส่วนใหญ่ไปผิดทาง ก่อนจะเชื่อก็ต้องคัดกรองด้วยปัญญาให้หนักเอาไว้ อย่าให้มิจฉาชีพใช้ชื่อของหลวงพ่อหลอกเราเพื่อหากิน

นอกจากนั้น ยังคุยกันเรื่องสภาพในวัดกันต่อ การทำงานทั้งหมดตลอดวันยังมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งทำงานเพื่อเอาหน้าและสร้างความ เดือดร้อนให้บุคคลอื่น พี่กุ้งบอกว่า เรื่องทำดี ไม่ต้องมุ่งหวังให้ใครเห็น อย่างน้อยเราเห็น ที่สำคัญพระท่านเห็น หลวงพ่อก็เห็น

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมี คือ อยากให้ทุกคนเตรียมตัวให้ดี ยุคนี้หลวงพ่อบอกเอาไว้ว่าอภิญญาเริ่มเข้ามาแล้ว อภิญญาเข้าเพราะอะไร เพราะภัยพิบัติกำลังจะมาหนักครับ กำลังอภิญญาน่าจะเป็นส่วนที่มีความสำคัญในเวลาไม่นานหลังจากนี้

จบตอนที่ ๒.



Create Date : 01 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2555 10:13:38 น. 0 comments
Counter : 453 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ZenSoki
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2555
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
1 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ZenSoki's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.