ถ้าหากวันนั้น
ถ้าหากวันนั้นแม่ไม่ได้แต่งงานกับพ่อ...
ถ้าหากวันนั้นแม่ไม่รีบไปส่งฉันให้ทันสอบ...
ถ้าหากวันนั้นพ่อและแม่ไม่แยกทางกัน...
ถ้าหากวันนั้นฉันไม่มาสอบเข้าโรงเรียนสตรีพัทลุง...
ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี’35 หญิงท้องแก่อายุราว20ต้นๆ ได้ถูกญาตินำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ด้วยเพราะเธอเกิดเจ็บครรภ์ขึ้นมาอย่างรุนแรง ในตอนแรกนั้นแพทย์ได้ให้เธอเข้าพักที่ห้องรอคลอดเพื่อรอดูอาการ แต่จนแล้วจนรอดเมื่อเวลาผ่านไปสองวันเธอก็ไม่มีทีท่าว่จะให้กำเนิดบุตรน้อยออกมา แพทย์จึงตัดสินใจอนุญาตให้เธอกลับบ้านได้ เมื่อมาอยู่บ้านอาการทุกอย่างก็ปกติดี อาจจะมีเจ็บครรภ์บ้าง แต่ก็เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่เกิดจากการดิ้นของอีกหนึ่งชีวิตเท่านั้น จนเมื่อเวลาบ่ายโมงของวันที่ 11 เธอก็เกิดอาการเจ็บครรภ์ขึ้นอย่างรุนแรง ญาติๆจึงแห่กันนำมาส่งโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง สักพักของเหลวที่เคยอยู่ในถุงที่ห่อหุ้มร่างกายของใครคนหนึ่งก็ไหลออกมาจากร่างกายของเธอ เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าใครคนนั้นกำลังจะลืมตาดูโลก และนี่ก็เป็นวินาทีระทึกใจของว่าที่คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย คุณปู่ รวมถึงว่าที่คุณพ่อและคุณแม่
จากวินาทีระทึกที่จะรอดูหน้าหลานคนที่หกของคุณตาคุณยายและหลานคนที่ห้าของคุณปู่ ก็กลับกลายเป็นวินาทีที่น่าหวาดหวั่นว่าหลานคนใหม่อาจจะไม่รอด เพราะตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงบ่ายสามโมงกว่าแล้ว คุณแม่ก็ยังท้องป่องเหมือนเดิม จนแพทย์ออกคำสั่งให้เตรียมห้องผ่าตัด เพราะถ้าหากรออีก 5 นาที แล้วยังไม่คลอด ก็จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อชีวิตเด็กในครรภ์คุณแม่เป็นอย่างมาก ในตอนนั้นไม่รู้ว่าแม่กลัวมีดผ่าตัด หรือเพราะเห็นว่าเพื่อนที่อยู่เตียงข้างๆได้คลอดไปเรียบร้อยแล้วทั้งที่มาทีหลัง จึงรีบรวบรวมกำลังที่มีอยู่น้อยนิดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อส่งให้ใครที่อยู่ในท้องได้ออกมาลืมตาดูโลกสักที และแล้วความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายไปเมื่อพยาบาลบอกว่า “เวลา 15 นาฬิกา 55 นาที คุณแม่ได้ลูกสาวค่ะ” (แม่บอกว่าคำพูดของคุณพยาบาลในวันั้นแม่จำไม่เคยลืม)
พ่อเล่าให้ฟังเสมอว่าที่ตั้งชื่อเล่นว่า “แอะแอ้” เพราะวันที่แม่คลอดเสียงร้อง ‘แอะแอ้’ของฉันนนั้นดังสนั่นราวกับจะปลุกให้คนป่วยลุกขึ้นวิ่งเพราะนึกว่าเป็นเสียงไซเรนไฟไหม้(เว่อน่ะ) ด้วยเหตุนี้เมื่อใครถามถึงชื่อเล่น ฉันมักจะบอกว่าชื่อแอะแอ้เสมอ แม้ว่าเวลาเรียกจริงๆเพื่อนทุกคนจะเรียกเพียงคำหลังว่าแอ้ ก็คงจะมีเพียงพ่อคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเรียกชื่อที่ฉันสุดภูมิใจตลอดมา ว่ามาถึงชื่อที่ฉันภาคภูมิใจแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบรรยายถึงที่มาของชื่อจริงในสำเนาทะเบียนบ้าน อันนี้แม่เป็นนเล่าให้ฟัง แม่บอกว่าในตอนแรกน้าสาวของแม่(ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของยาย)ได้ตั้งชื่อให้ฉันว่า “มนัสนันท์” จนถึงวินาทีที่จะทำใบสูจิบัตรพ่อก็เกิดเปลี่ยนใจ บอกแม่ว่า “ชื่อนั้นน่ะอย่างกะนางเอกนิยายเล่มไม่กี่บาท” พ่อบอกจะเปลี่ยนชื่อเป็น “พฤศจิมาส” ซึ่งคำว่า “มาส” ในที่นี้แปลว่าเดือน สะกดด้วย ส. แทน ศ. ซึ่งโดยรวมแล้วชื่อนี้แปลว่าเดือนพฤศจิกายนตามเดือนเกิดของฉันนั่นเอง จนถึงวันนี้เวลาที่ฉันต้องบอชื่อตัวเองให้คนอื่นเขียนจะต้องย้ำเสมอว่า “มาสสอเสือนะไม่ใช่ศอศาลา” เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่เขียนผิดอย่างที่เคยเจออยู่เป็นประจำ
เมื่อฉันโตขึ้นถึงเวลาที่ต้องไปโรงเรียนเหมือนเพื่อนๆคนอื่น แม่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ฉันไปโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านแต่ฉันไม่ยอมไป ตอนนั้นอยากไปเรียนที่โรงเรียนของคุณตาเพราะรู้สึกว่าอยู่ที่นั่นแล้วจะได้มีที่พึ่ง แต่จนแล้วจนรอดเมื่อได้เรียนที่นั่นฉันได้รู้ว่าไม่มีใครช่วยอะไรได้เลย ฉนจึงเริ่มมีเพื่อนคนแรกที่โรงเรียนนั้นเอง เธอชื่อ “พี่ดาว” เรายังคงเป็นเพื่อนกันจนถึงทุกวันนี้ ฉันรักและเป็นห่วงเพื่อนคนนี้มากแต่ไม่รู้ว่าเธอจะรู้บ้างรึเปล่าเพราะฉันเป็นคนแสดงความรู้สึกไม่เก่ง เป็นแต่ด่า (55+) แต่ก็ช่างเถอะฉันไม่ได้หวังให้พี่ดาวรู้อยู่แล้ว
วันแรกของการไปเรียนแม่แวะรับพี่น้ำหวานลูกของป้าไปโรงเรียนด้วยกัน พอส่งพี่ถึงหน้าอาคารเรียนฉันก็รีบขึ้นรถทันทีเพราะเกิดกลัวเพื่อนผู้ชายของพี่ ซึ่งตอนนันฉันคิดว่าหน้าตาของเขาเหมือนตุ๊กตามากๆ ทั้งที่ฉันเองก็ชอบเล่นตุ๊กตาแต่พอเจอคนหน้าตาอย่างนายท็อปมันก็กลัวขึ้นมาซะอย่างอย่างวนั้น นับเวลามาถึงอีกวัน แม่ปลุกให้ฉันลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมสีฟ้าตามแบบยูนิฟอร์มของนักเรียนอนุบาลที่นั่น พอมาถึงโรงเรียนนายท็อปหน้าตุ๊กตากำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนของเขา ฉันเองใจเริ่มหวั่นร้องไห้ตั้งแต่ยังไม่ลงจากรถ จนแม่ต้องอุ้มแล้วมาฝากฝังไว้กับลูกสาวของเพื่อนแม่ที่ตอนนั้นเรียนอนุบาลสอง และสุดท้ายลูกสาวของเพื่อนแม่คนนี้ก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ฉันรักที่ชื่อพี่ดาวนั่นเอง
ฉันเรียนที่นั่นจนถึงปอสอง วันนั้นเป็นวันสอบเพื่อนเลื่อนชั้นวันสุดท้าย ฉันบอกให้แม่ไปส่งฉันที่โรงเรียนทั้งที่ตากำลังมีอาการหน้ามืด ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าเป็นแค่อาการของคนแก่ๆคนหนึ่งเท่านั้น แม่ไปส่งฉันทันเข้าแถวเคารพธงชาติพอดีทำให้ฉันอายมากพราะทุกสายตาหันมาดูฉันที่มาโรงเรียนสาย พอตกเย็นฉันนั่งรอแม่นานมาก ฉันโกรธแม่ที่ลืมมารับ สุดท้ายฉันต้องกลับบ้านกับน้าคนหนึ่งที่รู้จักกัน น้าพามาที่วัดตอนแรกรู้สึกงงมากที่น้าพามาที่นี่แต่เมื่อเห็นร่างแม่ที่นั่งพิงเสาข้างๆกันนั้นเป็นร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจของตา ฉันได้รูว่าความอาย ความโกรธที่เกิดขึ้นในอารมณ์วูบหนึ่งของวันนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับความเสียใจจากการสูญเสียคนที่รัก ตราบจนวันนี้ฉันยังรู้สึกผิดที่ไม่บอกให้แม่พาตาไปส่งโรงพยายบาลก่อน
ปอสี่ ช่วงนั้นเป็นอีกหนึ่งเวลาที่ฉันเจ็บปวดมาก เพราะพ่อและแม่มักจะทะเลาะกันเกือบทุกวัน จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตคู่ ฉันจำได้ว่าทั้งสองคนทะเลาะกันแรงมาก เป็นครั้งแรกที่ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันน่าจะจบเสียที ฉันตะโกนบอกให้ทั้งสองหยุดแล้วหันไปถามพ่อว่า “อยากไปจากแม่รึเปล่า เดี๋ยวแอ้เก็บของให้” พ่อเงียบฉันเลยสรุปเอาเองว่าคงถึงเวลาที่ครอบครัวเราจะไม่สมบูรณ์แล้ว อาจเป็นเพราะความรักของคนสองคนถึงจุดอิ่มตัววันนั้นฉันจึงต้องเก็บของให้พ่อจากไปทั้งน้ำตา
ปอหกเป็นช่วงเวลาที่นักเรียนทุกคนจะขะมักเขม้นกับการเรียนเพื่อสอบเข้ามอหนึ่ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คนสอบติดโรงเรียนสตรีพัทลุง(ภาคภูมิใจมาก) จนถึงตอนนี้เมื่อฉันได้เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่มอห้าแล้ว แม้จะห่างจากเพื่อนวัยประถมมานาน แต่ฉันอยากบอกพวกเขาเสมอว่า “จะจดจำภาพวันดีๆของพวกรูกศิษย์ครูสมมาตรตลอดไป”
เมื่อวันที่ย่างเข้าสู่รั้วน้ำเงินขาววันแรกอย่างเต็มภาคภูมิ ฉันก็ทำเรื่องให้แม่ต้องอับอาย เพราะตอนรายงานตัวต่อหน้าอาจารย์คนหนึ่ง ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ทันทีโดยไม่ได้ยกมือไหว้ท่านเลย อาจารย์จึงถามทันทีตั้งแต่ยังหย่อนก้นไม่ถึงเก้าอี้ “หนูตัดสินใจดีแล้วเหรอ ที่จะอยู่โรงเรียนสตรีพัทลุง โรงเรียนนี้ขึ้นชื่อเรื่องมารยาทนะจ๊ะ” เท่านั้นแหละฉันจึงต้องรีบพนมมือไหว้ทันทีพร้อมทั้งลงท้ายด้วยคำขอโทษอีกกระบุงโกย ก็คนมันกำลังตื่นเต้นนี่นา ผ่านมอหนึ่ง สอง สาม ด้วยชีวิตที่เต็มที่กับความสุขซึ่งสวนทางกับเกรดที่เริ่มลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ มาจนถึงวันประกาศรายชื่อนักเรียนที่จะรียนห้องต่างๆในชั้นมอสี่ ฉันเริ่มดูจากห้องห้า(ห้องสุดท้ายของสายวิทย์-คณิต) ไล่ชื่อขึ้นมาเรื่อยๆ และ โอ้ว ฉันพบชื่อตัวเองอยู่ในกระดาษรายชื่อนักเรียนห้องหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าสวรรค์ยังมีเมตตาให้เด็กที่สนใจการเรียนน้อยมากอย่างฉันได้อยู่ห้องอันดับต้นๆของสายชั้น และนับแต่นั้นฉันจึงตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียนให้มากขึ้น แม้เกรดที่ได้จะน้อยยังไง แต่จะไม่ทำให้มันน้อยไปกว่านี้อีกแล้ว
ถ้าหากวันนั้นแม่ไม่ได้แต่งงานกับพ่อก็คงไม่มีฉันในวันนี้
ถ้าหากวันนั้นแม่ไม่รีบไปส่งฉันให้ทันสอบวันนี้ฉันอาจจะกำลังนอนกอดคุณตาอยู่ก็ได้
ถ้าหากวันนั้นพ่อและแม่ไม่แยกทางกันครอบครัวเราจะอยู่กัน
พร้อมหน้าพร้อมตา ขาดเพียงอย่างเดียวคือความสุข
ถ้าหากวันนั้นฉันไม่มาสอบเข้าโรงเรียนสตรีพัทลุง ฉันคงไม่รักรั้ว
น้ำเงินขาวและต้นตะแบกเท่าวันนี้



Create Date : 12 มีนาคม 2553
Last Update : 12 มีนาคม 2553 15:44:42 น.
Counter : 1304 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

pan_aeraymond
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เป็นแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง
ที่ได้เปิดใจยอมรับเทคโนโลยีเข้ามาสู่ชีวิตปะจำวัน
ทีแรกช่างเป็นอะไรไม่ตรงกับตัวเอง
เพราะรู้สึกว่าไม่ชอบความสะดวกและสบาย
อยากเป็นคนที่เรียกว่าศิลปิน
แต่ในที่สุดก็มีคนนำทางมาสู่เส้นทางนี้
ฉันได้รู้ว่าโลกไซเบอร์ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ
สามารถนำมาปรับใช้กับตัวเราได้
มีนาคม 2553

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
12 มีนาคม 2553