กุมภาพันธ์ 2560
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
13 กุมภาพันธ์ 2560
 
 

ตอนที่ 1





1

‘หมอนี่เป็นเจ้าพ่อแนววินเทจหรือไงถึงได้มีของโบราณเยอะแยะขนาดนี้’

ทันทีที่คลื่นยักษ์สูงขนาดตึกบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์[1]10 ตึกต่อยอดกันโถมเข้ามาเรือสำราญหรูสองชั้นก็พลิกคว่ำไปทางขวา เสียงกรีดร้องของผู้โดยสารและลูกเรือกว่าพันชีวิตดังระงมก่อนจะเงียบหายไปใต้ทะเลคาริบเบียนอันบ้าคลั่ง

‘ไหนเจ้าไกด์ปากม่วงบอกว่าทะเลคาริบเบียนเป็นหนึ่งในทะเลที่สวยที่สุดน่าไปที่สุด และสงบที่สุดไง...สงบกับผีน่ะสิ! แล้วไอ้อภิมหาโคตรคลื่นนี่มันคืออะไรกันหา

มิราคิดอย่างโมโหขณะที่พยายามว่ายขึ้นเหนือน้ำแต่ยิ่งตีขาเท่าไหร่ ร่างกลับยิ่งจมสู่ก้นทะเลลงราวกับมีหินถ่วงขาเธอเอาไว้เด็กสาวทรมานแทบขาดใจ ตัวเกร็งไปหมด พยายามจะไม่อ้าปากหรือหายใจเอาน้ำเข้าไปแต่หลังจากผ่านไปเกือบนาที ขาและมือที่ตีน้ำอย่างแรงก็ค่อยๆ ผ่อนลง มีเพียงสร้อยเพชรโพไซดอนที่ลอยขึ้นราวกับพยายามจะบินออกจากคอเธอ

‘ต้องเป็นเพราะเพชรนี่แน่ๆ...ไอ้เพชรบ้า...’ มิราคิดอย่างเจ็บใจไม่น่าเชื่อเลยว่าอาถรรพ์จะมีจริง ทั้งที่ผ่านมาเกือบสี่ร้อยปีแล้วนะ!

เด็กสาวกระตุกสร้อยออกประหลาดที่มันหลุดอย่างง่ายดายราวกับไม่ได้ติดตะขอ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะแงะจะแซะอย่างไรก็แทบไม่หลุดเธอปามันออกไป แต่แรงดันใต้น้ำทำได้แค่ส่งมันขึ้นไปอย่างนุ่มนวล

จังหวะเดียวกันนั้นเองที่ดวงอาทิตย์ผุดขึ้นสาดแสงอรุณกระทบเพชรโพไซดอน แสงสีแดงโชติช่วงพุ่งออกจากใจกลางเพชรทรงหัวใจแผ่ซ่านไปทั่วท้องทะเล

คำพูดของพิธีกรในงานประมูลผุดขึ้นในหัวของมิรา

‘เมื่อใดก็ตามที่เพชรโพไซดอนเรืองรองยามต้องแสงแรกแห่งอรุณกงล้อแห่งเวลาจะหมุนคืน แล้วผู้กล้าต่างภพจะปรากฏ’

...จากนั้นสติของเด็กสาวก็หายวับไป

…

‘ฉันตายหรือยัง’

คำถามผุดขึ้นในหัวขณะที่ได้ยินเสียงคลื่นซัดสาดสายลมหวิว คลอประสานด้วยเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว

‘ใต้ทะเลมีนกด้วยหรือแปลกดีแฮะ แล้วนี่ฉันตายหรือยัง ทำไมยังคิดได้ล่ะ หรือฉันกำลังอยู่ในสวรรค์ แต่มันมืดไปหมดสวรรค์ต้องสว่างไม่ใช่หรือไง สงสัยจะเป็นนรก’

เด็กสาวแว่วเสียงนุ่มทุ้มของบุรุษคนหนึ่งขณะที่พยายามจะขยับตัว

“นางเป็นอย่างไรบ้างทำไมนางจึงยังไม่ฟื้น” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและห่วงหา

“กระผมตรวจดูแล้วนางไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ที่ต้องกังวล ส่วนเหตุที่นางยังไม่ฟื้นคงเป็นเพราะอ่อนเพลียจากการจมน้ำขอรับ”อีกเสียงที่ตอบกลับเป็นเสียงแหบๆ เหมือนชายสูงอายุ

“อีกนานหรือไม่กว่านางจะฟื้น”เสียงนุ่มเสียงเดิมถามอีก

“คงอีกไม่นานขอรับ”

“แล้วข้าต้องทำเช่นไรบ้างเมื่อนางฟื้น”

คราวนี้เจ้าของเสียงแหบอธิบายยาว“นางคงจะหิวท่านต้องคอยหาน้ำและซุปร้อนให้นาง เสร็จแล้วให้นางทานยาที่ผมจัดไว้อย่าให้นางใส่เสื้อผ้าหนาเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายร้อนท่านต้องคอยระบายไอร้อนให้นางขอรับ”

“เข้าใจละขอบคุณมากท่านหมอ ท่านออกไปพักเถอะ”

“ขอรับ”

มิราได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนคนกำลังเดินบนแผ่นไม้

‘ฉันอยู่ที่ไหนผู้ชายพวกนั้นเป็นใคร เขาหมายถึงฉันหรือเปล่า’ ความสงสัยทำให้มิราดิ้นหนักไม่ช้าปลายนิ้วก็เริ่มมีความรู้สึก จากหนึ่งนิ้ว เป็นสองนิ้ว และค่อยๆไล่ไปยังส่วนบนของร่างกาย ซึ่งก็คือเปลือกตาที่บัดนี้ปรือขึ้นแล้ว

สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานไม้สีเข้มแสงระเรื่อส่องมาทางฝั่งซ้ายมือ เมื่อหันไปมองจึงได้เห็นบานหน้าต่างกระจกขอบมนเรียงรายเป็นตับปิดทับด้วยผ้าม่านสีน้ำเงิน เมื่อมองลอดช่องว่างระหว่างผ้าม่านและหน้าต่าง มิราก็เห็นนกหลายสิบตัวที่ล้วนมีลำตัวสีขาวปีกยาวสีน้ำตาลตัดกับเทาสยายออกยามพวกมันบินร่อนไปท่ามกลางท้องฟ้าสีครามใส

‘ทำไมถึงมีนกเพทเร็ลหัวดำเต็มไปหมดเลยล่ะเขาบอกว่ามันแทบจะสูญพันธ์ไปหมดแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ไม่ใช่เหรอ’ มิราขมวดคิ้ว นึกถึงสารคดีเกี่ยวกับนกแถบคาริบเบียนที่เคยดู

“ตื่นแล้วหรือ”เสียงนุ่มทุ้มดังใกล้ๆ ทำให้มิราหันไปมอง

เขาเป็นชายวัยราว 30 ปีใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา คิ้วเรียวสีดำเหนือดวงตาสีฟ้าอ่อนกำลังฉายแววฉงนปนห่วงใยจมูกโด่งเป็นสันยาวตรงหยุดเหนือริมฝีปากสีแดงธรรมชาติ ข้างใบหน้าคลุมด้วยผมสีดำดัดเป็นลอนเหนือใบหูแลบออกจากใต้หมวกสามมุมสีกรมท่า ขอบหมวกคาดด้วยแถบสีเหลืองทอง มีริบบิ้นสีดำติดที่ปีกหมวกฝั่งซ้าย

มิรามองรูปร่างกำยำที่ประดับด้วยเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินเข้มขอบด้านหน้าและตะเข็บเป็นสีทองเหลืองสีเดียวกับกระดุมตามแนวชายเสื้อซึ่งแหวกออกจากกันเผยให้เห็นเสื้อสีขาวขลิบกระดุมทอง 7 เม็ด เรียงจรดลงไปถึงกางเกงสีขาว

‘เครื่องแต่งกายแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ อ้อ...เครื่องแบบทหารอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 17 ว่าแล้วเชียว’ มิราโล่งอกที่นึกออกก่อนจะกลับมาตกใจอีกครั้ง

‘ทำไมหมอนี่ถึงใส่เครื่องแบบนี้ล่ะ!’

“เจ้าคงจะตกใจไม่น้อยแต่ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว” เขาบอกด้วยเสียงอ่อนโยน

“คุณ...คุณ...เป็นใคร”

“ข้าคือเรือโทคริสโตเฟอร์เลอแกน เป็นกัปตันเรือลำนี้”

“เรือโทคริสโตเฟอร์เลอแกน...เหมือนเคยได้ยินที่ไหน...กัปตันเรือ...แสดงว่านี่คงเป็นเรือกู้ภัย”มิรานึกย้อนไปถึงความทรงจำสุดท้าย เธอกำลังร่องเรือสำราญกลางทะเลคาริบเบียนร่วมงานประมูลเครื่องประดับโบราณหายาก พ่อของเธอประมูลเพชรโพไซดอนได้ จากนั้น...

“เจ้าว่าอะไรนะ”เรือโทคริสโตเฟอร์ทวนถาม

ภาพคลื่นโคตรยักษ์หายวับไปมิราสบดวงตาสีฟ้าอ่อนโยนของเรือโทคริสโตเฟอร์ แล้วถามกลับแทนว่า “แล้วพ่อฉันล่ะคะ”

“พ่อของเจ้า?”อีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“ใช่คุณช่วยพ่อฉันได้ไหม คุณคงไม่รู้จักเขาสินะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปตามหาพ่อเองคุณพาฉันไปพบคนอื่นๆ ที่คุณช่วยขึ้นมาที”

เรือโทคริสโตเฟอร์เงียบครู่หนึ่งราวกับกลัวว่าคำพูดของเขาจะทำให้คนฟังสะเทือนใจ “ข้าพบเพียงเจ้าเท่านั้น”

“คุณว่าอะไรนะหมายความว่า...คนอื่นๆ ตายหมดเลยหรือ มะ...ไม่จริง!ไม่มีใครรอดได้ยังไง” หน้าของเด็กสาวซีดเผือดราวกระดาษ

“ข้าไม่รู้หรอกแต่ข้าเจอเพียงเจ้าลอยอยู่กลางทะเลเมื่อสามวันก่อน”

“สามวัน!นี่ฉันหลับไปนานถึงสามวันเลยเหรอ!”

เรือโทหนุ่มพยักหน้า

“เดี๋ยวก่อนแล้วที่ว่าไม่มีใครรอด ไม่จริงใช่ไหม พ่อฉันละ...พ่อ!” มิราสะบัดผ้าห่มผืนบางออกจากกายก้าวพรวดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปยังประตูไม้ที่สลักด้วยลวดลายอันวิจิตรแปลกตา

“เดี๋ยว!อย่าเพิ่งออกไป เจ้ายังไม่ได้...”

เด็กสาวสติแตกจนไม่รอฟังจบรีบผลักบานประตูออกไป ทว่าก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างก็แข็งทื่อประหนึ่งถูกสาป

ภาพตรงหน้าคือใบเรือเหลี่ยมสองเสาขึงสายระโยงระยางพาดผ่านเสากระโดงใหญ่กำลังโต้ลมเหนือบรรดาชายในชุดน้ำเงินขาวราว 100 คน สวมหมวกสามมุมสีทรมท่าตัดขอบขาว มือข้างหนึ่งของพวกเขาถือปืนคาบศิลาและเหน็บดาบคัตลาสส์ไว้ข้างเอว

“ทะ...ทำไมถึงได้มีทหาร...แล้วทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้...แล้วเรือนี่มัน...”มิราขมวดคิ้วราวกับนี่เป็นภาพวาด...ใช่ มันดูเหมือนภาพวาด…ภาพวาดของทหารอังกฤษบนเรือบริแกนทีน...ในศตวรรษที่ 17!

ดวงตาหลายคู่จ้องมองมาที่เธอฉงน ตกตะลึง บางสายตาเลื่อนลงต่ำไปที่ระดับหน้าอกและส่วนแสนบอบบางของสตรี

มิราเอะใจจึงได้ก้มมองตัวเองพบว่าบัดนี้เธอสวมเพียงเสื้อสีขาวตัวโคร่ง ชายเสื้อยาวถึงเข่า...แค่นั้นจริงๆ

ยามลมพัดผ้าจนแนบเนื้ออะไรต่อมิอะไรที่อยู่ภายใต้เสื้อจึงมองเห็นได้ง่ายดาย

มิรากอดอกแล้วก้าวถอยจนชนแผงอกกว้างพอหันไปมองก็เห็นว่าเรือโทคริสโตเฟอร์ เลอแกนที่กำลังถือผ้าคลุมผืนใหญ่ เขากางมันออกแล้วคลุมร่างเล็กจนมิด

“ข้าบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งออกไปเพราะเจ้ายังไม่ได้สวมเสื้อให้เรียบร้อย” เรือโทคริสโตเฟอร์ลดเสียงเบาเพื่อให้ได้ยินกันเพียงลำพังมิรากระชับผ้าคลุมตัวแน่น ก้มหน้างุดอย่างอับอาย

“กลับไปทำงานได้แล้ว”เรือโทคริสโตเฟอร์สั่งเสียงเฉียบแก่ลูกน้องใต้บังคับบัญชา พวกเขารีบสลายตัวราวกับผึ้งแตกรังจากนั้นกัปตันเรือก็ประคองเด็กสาวกลับเข้าด้านใน พาไปนั่งที่เตียง มิราหยุดเท้า แล้วถอยห่างจากเขา

“เสื้อผ้าฉันไปไหนทำไมฉันถึงได้สวมแค่เสื้อตัวเดียว” เธอมองอย่างระแวง

“ตอนที่เราพบเจ้ากลางทะเลเจ้าไม่มีเสื้อผ้าแม้สักชิ้น” กัปตันเรืออธิบาย

“อะ...อะไรนะ!”

“บนเรือลำนี้มีแต่ทหารกะลาสีรับจ้าง พ่อครัว หมอ ล้วนแล้วแต่เป็นชาย ข้าไม่มีเสื้อผ้าสำหรับสตรีท่านหมอบอกข้าว่าเจ้ามีไข้ ตัวร้อน ต้องสวมเสื้อน้อยชิ้นเพื่อระบายไอร้อน ข้าจึงให้เจ้าสวมแค่เสื้อตัวเดียวความจริงข้าก็อยากให้เจ้าใส่กางเกงของข้า แต่ตัวเจ้าเล็กเกินไป”

“หมายความว่า...คุณก็เห็นฉันโป๊ไม่สิ...ฉันเปลือยอยู่กลางทะเล ป่านนี้คนทั้งเรือคงเห็นฉันไปแล้ว!” มิราร้อนฉ่าไปทั้งตัว อายจนอยากจะกระโดดลงน้ำแล้วไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย ฮือ!

“ข้าเป็นคนแรกที่เห็นเจ้ามีผู้ช่วยอีก 2-3 คน ส่วนทหารบนเรือ ข้ากำชับแล้วว่าให้หันหลังเราเป็นทหารมีเกียรติ ไม่ทำรุ่มร่ามต่อสตรีเด็ดขาด เจ้าไปนั่งพักก่อนเถอะเดี๋ยวข้าจะไปรินน้ำให้”

เด็กสาวรู้สึกเหมือนจะหมดแรงปิดตาแน่น มือคลึงขมับ ปวดหัว สับสน งุนงงไปหมด มีคำถามมากมายวิ่งในหัวจนไม่รู้จะให้อะไรออกมาก่อนดี

“เจ้าอยากได้อะไรหรือไม่” เรือโทคริสโตเฟอร์ถามหลังจากส่งแก้วน้ำให้

“ฉันอยากได้มือถือ”

“มือถือ?เจ้าพูดถึงอะไร”

“มือถือไงคะฉันจะโทรหาพ่อ”

กัปตันเรือมองอย่างประหลาดใจ“ข้าจะไปตามหมอมาดูเจ้าบางทีเจ้าอาจต้องการหมอมาดูอาการ”

“เดี๋ยวก่อนคุณบอกว่าไม่เจอคนอื่นๆ เลย แต่จะเป็นไปได้อย่างไร มีคนตั้งพันกว่าคนเชียวนะต้องมีรอดบ้างสิ หรือว่ามีเรือกู้ภัยลำอื่นมาช่วยไปแล้ว”

“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด”

“คุณได้ยินข่าวเรือเฮฟเวนบ้างไหมนั่นเป็นเรือที่ฉันขึ้น”

“ข้าไม่เคยได้ยินเรือที่เจ้าว่า”

“จะไม่มีได้ยังไงก็ฉันนั่งมา แถมเป็นเรือสำราญที่ดังที่สุดอีกด้วย”

กัปตันตอบเสียงแข็งเล็กน้อย“ถึงข้าจะเพิ่งกลับมาประจำการที่นี่แต่ข้าก็รู้จักชื่อเรือทุกลำ หากมีเรือที่เจ้าว่า ข้าคงคุ้นหูบ้างแล้ว”

มิรายิ่งสับสนเรือใหญ่และมีชื่อเสียงปานนั้น อย่างน้อยก็น่าจะเจอซากบ้าง แล้วไหนจะคนอีกนับพันต่อให้ตายหมดก็ต้องมีศพลอยขึ้นมาให้เห็น หรือบางทีพวกเขาคงขึ้นเรือกู้ภัยลำอื่นไปแล้ว

เด็กสาวตัดสินใจหาโทรศัพท์โทรถามใครสักคนคงจะไขปริศนาให้เธอได้ เธอกวาดสายตาดูข้าวของบนโต๊ะไม้แข็งแรงขนาดใหญ่เห็นเชิงเทียนที่ยังไม่ได้จุดไฟ แผนที่ วงเวียนทองเหลือง หมุดเหล็กเล่มยาว เข็มทิศหนังสือสองเล่มวางซ้อนกัน กล้องส่องทางไกลตาเดียวแบบโบราณ สมุด ปากกาโลหะ ขวดหมึก

‘หมอนี่เป็นเจ้าพ่อแนววินเทจหรือไงถึงได้มีของโบราณเยอะแยะขนาดนี้’

ขณะที่กวาดตามองสายตาก็สะดุดอยู่ที่รูปวาดกรอบทองบนฝาผนัง

รูปวาดครึ่งตัวของบุรุษวัยราว50 ผมหยักศกสีทองยาวปกบ่า สวมชุดเกราะสีเงิน ปกคอสีขาวจมูกโด่งคมจรดเหนือริมฝีปากสีส้ม ดวงตาสีฟ้ามองตรงมานี้

“นั่นใครคะ”มิราขมวดคิ้ว คลับคล้ายคลับคลา แต่เหมือนติดอยู่ที่ปลายลิ้น

“ท่านโอลิเวอร์ครอมเวลล์”

มิราบางอ้อมิน่าถึงได้คุ้นๆ เขาคือเจ้าผู้พิทักษ์แห่งยุครัฐในอารักขายุคที่บัลลังก์กษัตริย์แห่งอังกฤษว่างเปล่า ตระกูลครอมเวลล์ครองตำแหน่งเจ้าผู้พิทักษ์ช่วง1649-1659

“ตอนนี้ท่านโอลิเวอร์ครอมเวลล์คือผู้นำประเทศ” เรือโทคริสโตเฟอร์เข้าใจดีว่าสตรีส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือและความเป็นไปทางการเมือง

มิราพยักหน้าเข้าใจไม่คิดอยากจะโอ้อวดว่าเธอรู้ประวัติศาสตร์ดีเพราะตั้งใจจะเข้าคณะอักษรศาสตร์สาขาประวัติศาสตร์ ความจริงเธอสอบติดแล้วนะ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็กำลังจะเปิดเทอม

เด็กสาวดื่มน้ำไปอีกอึกหนึ่งก่อนจะสำลักออกมา “แคก! เมื่อกี้...คุณพูดว่าอะไรนะ”

เรือโทคริสโตเฟอร์ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เด็กสาว“ข้าพูดว่าตอนนี้ท่านโอลิเวอร์ครอมเวลล์คือผู้นำประเทศบริติชใหญ่ รวมทั้งปกครองเวลส์ ไอร์แลนด์ และสกอตแลนด์”

‘ตะ...ตลกน่า!”มิราค้านผ่านดวงตาที่เบิกกว้าง

‘ตอนนี้มันปี2016 อังกฤษปกครองโดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และมีเดวิด แคเมอรอนเป็นนายกรัฐมนตรีส่วนโอลิเวอร์ ครอมเวลล์นั่นครองสมัยเครือจักรภพแห่งอังกฤษในช่วงปี 1653-1658ไม่สิ หลังจากเขาตาย ริชาร์ดครอมเวลล์ซึ่งเป็นลูกชายก็ขึ้นเป็นผู้นำต่อ ก่อนจะถูกปลดในปีค.. 1659…

นั่นมันสามร้อยกว่าปีมาแล้วนะ!’

มิราฝืนหัวเราะแห้งๆ คิดว่าเขาเล่นมุขทว่าดวงตาสีฟ้าที่ฉายแววจริงจังนั้นทำให้เธอค้าง วูบหนึ่งที่คิดว่าเขาพูดจริงแต่จะเป็นไปได้อย่างไร..

จะว่าไปแล้วการแต่งกายของเขา ลักษณะของเรือลำนี้ และข้าวของในห้องนี้...

มิราส่ายหัวรีบห้ามไม่ให้ตัวเองหลงเชื่อเรื่องพิลึกพิลั่น

“เจ้านอนพักเถอะไว้หายดีเมื่อไหร่เจ้าค่อยเล่าเรื่องของเจ้าเผื่อว่าข้าจะช่วยสั่งให้คนตามหาพ่อของเจ้าได้”

“ก่อนจะเล่าเรื่องของฉันฉันขอฟังเรื่องของคุณก่อนได้ไหมคะ”

“เรื่องของข้า”คิ้วสีดำขมวดเข้าหากัน

“ใช่เรื่องของคุณ ของที่นี่ ของยุคนี้”

จากนั้นมิราก็ยิงคำถามมากมายแปลกนักที่เขาตอบอย่างใจเย็นแม้จะสงสัยบ้าง ทั้งที่นอกจากเจ้านายของเขาแล้วเขาแทบไม่เคยพูดคุยกับใครเกิน 10 คำหากไม่ใช่เรื่องงาน แม้แต่กับบิดาของเขาก็ตาม

ยิ่งมิราฟังมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งอยากจะคิดว่าไอ้ที่ได้ยินน่ะเป็นเพราะยังหลับฝันอยู่เพราะแต่ละคำตอบนั้นช่างเหนือจินตนาการเสียเหลือเกิน!



[1] [1](ตึกที่สูงที่สุดในโลก ((2559)) สูง 2717 ฟุตอยู่ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2560
0 comments
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2560 20:06:22 น.
Counter : 612 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

สมาชิกหมายเลข 3689441
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อเบสนะคะ เป็นนักเขียน นักแปล ครูสอนภาษา ติดตามผลงานต่างๆ รวมถึงติดต่องานได้ทั้งทางบล็อกหรือทางอีเมล misshathaichanok.com หรือไลน์ bestybest

ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ^__^
[Add สมาชิกหมายเลข 3689441's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com