<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
27 มิถุนายน 2553
 

รักในม่านเมฆ

ละคร รักในม่านเมฆ


หลังจาก ภาดา อภิรักษ์ภูบาล
จบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อม โฉม พิไล
ภรรยาสาวสวยที่แต่งงานกัน ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งคุณอัมพร มารดาของภาดา
ที่รู้สึกว่าลูกชายของเธอทำสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง
ยิ่งโดยเฉพาะไม่บอกกล่าวให้เธอรู้ก่อน
แต่ด้วยความสวยงามของโฉมพิไลบวกกับพื้นฐานครอบครัวเป็นผู้ดีเก่าที่มีฐานะ
ร่ำรวย ทำให้คุณอัมพรยอมรับลูกสะใภ้คนนี้ได้ทันทีและเต็มใจมาก
ซึ่งต่างจากอำนาจน้องชายของคุณอัมพรที่กลับไม่พอใจและท้วงติงคุณอัมพรใน
เรื่องที่ภาดามีพันธะแล้ว ตามข้อตกลงของภูบาลบิดาของภาดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
กับนายวิน ศิรวิทย์ เพื่อนสนิทของภูบาล และเป็นบิดาของ วาลิกา หรือ
น้องทราย
ซึ่งพันธะนั้นเกิดจากเงินจำนวนสิบล้านบาทที่นายวินให้ภูบาลมาลงทุนทางธุรกิจ
ที่ขาดทุนย่อยยับ ทำให้ภูบาลไม่สามารถใช้หนี้คืนได้
แต่นายวินกลับยกหนี้ให้โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าภาดาจะต้องแต่งงานกับน้องทราย
ซึ่งคุณอัมพรยอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้
เพราะถึงแม้นายวินจะร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐีก็ตาม แต่ก็เป็นเศรษฐีบ้านนอก
ไม่มีสกุล ไม่คู่ควรกับกับสกุลเก่าแก่อย่างอภิรักษ์ภูบาล
หนำซ้ำยังมีลูกสาวเป็นง่อยโปลิโออีกด้วย
คุณอัมพรจึงพยายามหลีกเลี่ยงเงื่อนไขนี้มาตลอดหลังจากที่สามีของเธอเสีย
ชีวิตไปแล้ว อีกทั้งพยายามที่จะไม่ยอมชดใช้หนี้สินอีกด้วย
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ภาดาไม่เคยรู้เรื่องเลยและคุณอัมพรก็มีเจตนาปิดบัง
เพราะตั้งแต่นายภูบาลเสียชีวิตไปร่วมสิบกว่าปีนั้นนายวินไม่เคยมาทวงสัญญา
นี้เลยคุณอัมพรจึงนิ่งเฉยเสีย
จนวันหนึ่งนายวินส่งข่าวว่าจะมาพบคุณอัมพรในสัปดาห์ที่จะมาถึงคุณอัมพรจึงจำ
เป็นต้องบอกภาดาทั้งเรื่องหนี้สินและเรื่องแต่งงานกับน้องทราย
ภาดาจำน้องทรายได้ทันทีพร้อมกับมีใบหน้าอ่อนโยนเมื่อคิดถึงเด็กหญิง
รูปร่างบอบบาง นัยน์ตาโศกที่เปล่งประกายระยิบระยับเมื่อพบเขา
เพราะน้องทรายถือเขาเป็นพี่ชายใจดีมีเมตตาต่อเธอในทุกๆ เรื่อง
น้องทรายยอมรับว่าเธอมีโลกแคบเพียงแค่รถเข็นหนึ่งคันที่พาเธอไปได้เพียงแค่
อาณาเขตของบ้านบิดาเธอเท่านั้น

รักในม่านเมฆรักในม่านเมฆรักในม่านเมฆ


ความจริงแล้วน้องทรายเป็นโปลิโอมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ
ซึ่งนับจากวันนั้นมาเธอก็มีชีวิตที่เงียบเหงาอยู่กับบิดาและพี่เลี้ยงชื่อ
แจ่ม ที่รักเธอยิ่งกว่าชีวิตของตนเองยิ่งนัก
กับพี่ชายที่มากับลุงภูบาลเพื่อเยี่ยมบิดาและตัวเธอที่จังหวัดจันทบุรี
ซึ่งพี่ชายคือผู้เปิดโลกกว้างให้เธอเห็นด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนและแววตาอบอุ่น
ของเขานี้เองที่ทำให้ชีวิตของเธอกลับสดใสมีชีวิตชีวาพร้อมต่อสู้ต่อไป


และแล้วนายวินก็ได้มาพบกับคุณอัมพรและภาดาตามที่ได้นัดไว้แล้ว
โดยคุณอัมพรมีท่าทางไม่ยอมสมาคมกับนายวิน
แม้แต่จะร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
แต่นายวินกลับไม่ถือสาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับกิริยาเหล่านั้นของคุณอัมพร
และเมื่อภาดากับนายวินมีโอกาสได้คุยกันตามลำพัง
ภาดาจึงขอผัดผ่อนเรื่องหนี้สิน
แต่นายวินกลับขอร้องให้ภาดารีบแต่งงานกับน้องทรายด้วยเหตุผลที่ทำให้ภาดาพูด
ไม่ออกนั่นคือนายวินเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายคาดว่าจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 1
ปี ฉะนั้นถ้าหากน้องทรายไม่รีบแต่งงานมีครอบครัวเสียก่อน
เขาก็คงจะนอนตายตาไม่หลับ เป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงอยากฝากฝังน้องทรายไว้กับภาดา
แม้ว่าการแต่งงานจะเป็นเพียงในนามนายวินก็ยอมทั้งสิ้น
เพราะเขามั่นใจว่าภาดาจะดูแลน้องทรายได้เป็นอย่างดี
ภาดาเฝ้าครุ่นคิดว่าจะหาทางออกอย่างไรดีที่จะปฏิเสธนายวินอย่างบัวไม่ให้ช้ำ
น้ำไม่ให้ขุ่น ขณะที่คุณอัมพรเองก็คัดค้านชนิดหัวชนฝา
จะไม่มีวันยอมให้ภาดาแต่งงานเป็นลูกเขยเศรษฐีบ้านนอก
ที่เธอประณามหยามเหยียดว่าเป็นไพร่ไม่มีสกุลรุนชาติอย่างนายวินโดยเด็ดขาด
และเธอก็ยืนยันอีกด้วยว่าจะไม่ยอมเสียบ้านวัชรเวศน์เช่นกันแม้ว่าจะไม่มี
เงินก้อนโตมาใช้หนี้ก็ตาม
ซึ่งทางออกมีประการเดียวคือภาดาต้องหาเงินสิบล้านบาทมาใช้หนี้ให้ได้
โดยภาดาได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทชื่อ อริน
โดยให้หาคนมารับจำนองบ้านวัชรเวศน์แต่ก็ไม่สำเร็จ
คุณอัมพรบอกให้ภาดาขอความช่วยเหลือจากโฉมพิไล
โดยคุณอัมพรก็ไม่รู้เลยว่าครอบครัวของโฉมพิไลอันประกอบด้วย คุณนายเฉลา
มารดา กับ นายเฉลิมชัย
พี่ชายกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าครอบครัวของภาดาเสียอีกเพราะมีหนี้สินล้น
พ้นตัว เนื่องจาก นายภีม บิดาเป็นนักการพนันตัวยง
และสร้างหนี้สินไว้จนแม้แต่บ้านก็หลุดจำนองไปนานแล้ว
เจ้าหนี้หลายรายก็คอยตามทวงหนี้อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามภาดาปฏิเสธที่จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากโฉมพิไล
แต่ยังคงยืนยันที่จะขายบ้านวัชรเวศน์เหมือนเดิมทำให้คุณอัมพรหงุดหงิดกับข้อ
อ้างเรื่องเสียศักดิ์ศรีของลูกชาย ทำให้แม่ลูกต่างมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง
ทั้งสองต่างไม่ยอมกันและกัน
แต่ในที่สุดเมื่อไม่มีหนทางอื่นใดวัชรเวศน์จึงเป็นคำตอบสุดท้ายที่จะจบปัญหา
นี้ได้
คุณอัมพรจึงได้เฝ้าแต่คิดถึงวันที่จะต้องออกจากคฤหาสน์ที่เป็นสิ่งเชิดหน้า
ชูตาของเธอแล้วรู้สึกใจหายทำให้ความเกลียดชังนายวินและน้องทรายเพิ่มพูนขึ้น
เต็มหัวใจหาความปราณีไม่ได้อีกแล้ว


เวลาเดียวกันภาดาก็ไม่ละความพยายามที่จะหาคนมาซื้อวัชรเวศน์ต่อไป
จนวันหนึ่งคุณอัมพรได้มารู้ความจริงจากนายวินว่า
นายภูบาลหมั้นหมายน้องทรายด้วยอุบะเพชรเก่าแก่ของตระกูลที่มีมูลค่ามหาศาล
ถ้าภาดาไม่แต่งงานกับน้องทรายอุบะเพชรของหมั้นก็จะตกเป็นของฝ่ายหญิงตาม
ประเพณีไทย
ความจริงแล้วอุบะเพชรเส้นนี้คุณอัมพรเคยสงสัยมานานแล้วว่านายภูบาลได้เก็บ
ซ่อนไว้ที่ไหน เพราะเธอไม่เห็นมาหลายปีแล้ว
จนกระทั่งนายภูบาลเสียชีวิตเธอก็ยังค้นหาไม่พบ
เธอเพิ่งมารู้ความจริงจากนายวินนี้เอง
และด้วยความเสียดายทั้งบ้านและอุบะเพชรทำให้คุณอัมพรเริ่มคิดแผนการชั่วร้าย
ขึ้นในใจทันที แผนการชั่วร้ายนี้เริ่มต้นที่โฉมพิไลก่อน
โดยคุณอัมพรเล่าเรื่องเพียงสัญญาพิสดารระหว่างเพื่อนรักสองคนคือนายภูบาลกับ
นายวิน โดยเธอไม่เล่าเรื่องหนี้สินแต่อย่างใดทั้งสิ้นเพราะกลัวเสียหน้า
และเมื่อโฉมพิไลฟังจบเธอรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดในความคิดของเธอ
แต่นั่นยังไม่เท่าไรเธอกลับตกใจสุดขีดเมื่อได้ฟังคำพูดสุดท้ายของคุณอัมพร
คือคุณอัมพรขอให้ภาดาแต่งงานกับน้องทรายเพียงในนามเป็นระยะเวลา 1 ปี
เมื่อนายวินตายแล้วคุณอัมพรก็จะให้ภาดาหย่าขาดกับน้องทรายทันที
คำปฏิเสธของโฉมพิไลขาดหายไปทันทีเช่นกันเมื่อคุณอัมพรวางแหวนเพชรน้ำงาม
มูลค่าไม่ต่ำกว่าสองล้านบาทเป็นรางวัลหากเธอตกลง ความโลภไม่เข้าใครออกใคร
โฉมพิไลยินยอมกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอเป็นเวลา 1 ปี
ในที่สุดภาดาแต่งงานกับน้องทราย งานแต่งงานจัดอย่างเรียบง่ายที่สุด
ภาดาไม่ต้องการให้โฉมพิไลเสียใจในการแต่งงานของเขาครั้งนี้
และในคืนวันส่งตัวน้องทรายขอร้องภาดาว่าในระหว่างที่เธออยู่ในฐานะภรรยาของ
ภาดา เธอขอให้ภาดาให้เกียรติเธอโดยไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นๆ
อย่างเปิดเผยเพราะเธอไม่อยากให้ใครมาหัวเราะเยาะเธอ ภาดานิ่งอึ้งไปทันที
ภาดาเริ่มสงสัยและคิดว่าน้องทรายรู้เรื่องโฉมพิไลแล้วหรือ
แต่อีกความคิดหนึ่งคัดค้านเพราะทุกคนถูกสั่งอย่างเด็ดขาดให้ปิดเรื่องนี้
เป็นความลับ แต่ทำไมน้องทรายจึงขอเช่นนี้ อย่างไรก็ตามภาดาก็รับคำขอนั้น
วันเวลาผ่านไปประมาณ 4 เดือนนับจากวันแต่งงาน
น้องทรายแน่ใจแล้วว่าคุณอัมพรเกลียดชังเธอมากเพียงไร
โดยดูได้จากการแสดงออกอย่างชัดเจนทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยเฉพาะคำเรียกแทน
ชื่อเธอว่านังง่อยทุกครั้ง ซึ่งไม่เคยปิดบังในการถนอมน้ำใจของน้องทรายเลย
รวมทั้งคนใช้ต้นห้องของคุณอัมพรด้วย
และที่สำคัญคือสาวใช้ประจำตัวของโฉมพิไลชื่อปลั่ง
มักทำหน้าที่สอดแนมความสัมพันธ์ระหว่างภาดากับน้องทรายโดยรายงานให้โฉมพิไล
รู้ทุกระยะ
และมีเพียงคนเดียวที่น้องทรายเริ่มคลางแคลงและไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของเขา
คือภาดานั่นเอง เนื่องจากความนุ่มนวลอ่อนโยนที่เขาปฏิบัติต่อเธอ
รวมทั้งสายตาห่วงใยที่คอยจับจ้องเธอและกิริยาท่าทีประคับประคองเอาใจใส่ต่อ
เธอ ทำให้น้องทรายพิศวง
พร้อมกันนั้นเธอก็ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเขาห่วงใยด้วยคุณธรรมประจำ
ใจต่อผู้หญิงพิการเช่นเธอเท่านั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ภาดาเท่านั้นที่รู้ดีว่าหัวใจของเขากำลังหวั่นไหวต่อความงามของน้องทราย
ต่อความบริสุทธิ์ในจิตใจ และต่อความอ่อนหวานน่ารักของเธอ
น้องทรายเป็นเด็กสาวที่งดงามทั้งกายและจิตใจ
เธอไม่เคยแสดงกิริยาไม่พอใจหรือแง่งอนตามสิทธิของภรรยาเมื่อเขากลับบ้านดึก
เธอรู้จากคำบอกเล่าของเขาว่าเขาทำงานพิเศษที่บริษัท
ทั้งที่ความจริงคือเขาต้องไปหาโฉมพิไลทุกวัน
ทั้งที่ในจิตส่วนลึกของจิตใจนั้นเขาไม่ยอมรับกับตนเองว่าเขาคิดถึงน้องทราย
อยู่เสมอแม้จะอยู่ในขณะที่เขากำลังมีความรักใคร่กับโฉมพิไลก็ตาม

รักในม่านเมฆรักในม่านเมฆรักในม่านเมฆ




วันที่ภาดาแน่ใจว่าเขารักน้องทรายคือวันที่เขาเห็นสมิต
บุตรชายของนายแพทย์สุเมธ หมอประจำตัวของน้องทรายมาเยี่ยม จริงๆ
แล้วสมิตสนิทสนมกับน้องทรายมาตั้งแต่เด็ก
ภาพของน้องทรายที่ตื่นเต้นยินดีเมื่อเห็นสมิตนั้นคือภาพของทั้งสองคนคุยกัน
อย่างร่าเริง และเหนือสิ่งอื่นใดมือทั้งสองของน้องทรายอยู่ในอุ้งมือของสมิต
ความรู้สึกเริ่มหึงหวงเพิ่งเป็นที่ประจักษ์แก่เขา ณ เวลานี้
แต่เขาก็ยังอดปฏิเสธกับตนเองตลอดเวลาไม่ได้ว่าความรู้สึกเช่นนี้คือความรัก
แต่เป็นเพียงความสงสารเห็นใจและห่วงใยเท่านั้น
แต่เวลานี้เขาตระหนักแน่ชัดแล้วว่าเขารักน้องทราย แม้ว่าเขายังเข้าใจผิดว่า
เขานั้นยังคงรักโฉมพิไลอยู่เต็มหัวใจอยู่เช่นเดิม
เมื่อเขาเริ่มรู้จักหัวใจตนเองเขาจึงดูแลเอาใจใส่น้องทรายมากขึ้น
ซึ่งสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อน้องทรายนั้นหาหลุดพ้นจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของ
ปลั่งสักวินาทีเดียว
จึงทำให้วันหนึ่งน้องทรายต้องประจันหน้ากับโฉมพิไลที่ส่งสายตาดุดันที่จ้อง
หน้าเธอด้วยความอาฆาตมาดร้าย พร้อมทั้งประกาศว่าเธอคือภรรยาคนแรกของภาดา
เวลาต่อมาเป็นความยากลำบากของภาดามากขึ้นนั่นคือปฏิกิริยาเฉยเมยของน้องทราย
ความหึงหวงเอาเรื่องของโฉมพิไล ความจงเกลียดจงชังของคุณอัมพร
การไปมาหาสู่น้องทรายบ่อยขึ้นของสมิต
และเหนือสิ่งอื่นใดอรินเพื่อนรักของเขาก็มีท่าทีพึงใจน้องทรายอย่างเห็นได้
ชัด สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของภาดาว้าวุ่นไม่เป็นสุข
เขาจัดการอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
ไม่ได้แม้แต่จะใช้สิทธิ์ความเป็นสามีเพื่อป้องกันภรรยาจากชายอื่น
ความกลัดกลุ้มเหล่านี้จึงทำให้ภาดาใช้เวลาอยู่คนเดียวตามร้านอาหาร ผับบาร์
และบ้านเพื่อน จนวันหนึ่งในบาร์แห่งหนึ่ง
เขาได้ยินเสียงผู้ชายสองคนคุยกันโดยพาดพิงถึงลูกสาวเศรษฐีเมืองจันท์ที่
พิการทำให้ภาดาตั้งใจฟัง เสียงหนึ่งนั้นคือสมิต อีกเสียงคือ เอกชัย
ญาติห่างๆ ของสมิตที่ถามถึงคู่รักสาวน้อยที่สวยราวเทพธิดาแต่พิการ
คำตอบของสมิตทำให้ภาดาต้องร้อนผ่าวไปทั้งตัวเพราะสมิตตอบว่าเขารักน้องทราย
มาตั้งแต่เด็ก และขณะนี้เขาก็ยิ่งรักน้องทรายมากขึ้น
น้องทรายเองก็ไม่ได้รังเกียจเขาเลย
ซึ่งเขาก็ยินดีรอน้องทรายจนกว่าถึงวันที่น้องทรายเป็นอิสระ
คืนนั้นภาดากลับถึงบ้านด้วยความเมามายจนแทบทรงตัวไม่อยู่
เขาเข้าไปหาน้องทรายและล่วงเกินเธอด้วยพิษรักแรงหึง
แต่น้องทรายไม่ยินยอมต่อสู้จนสุดฤทธิ์จนภาดาต้องจำยอมหยุด
และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาภาดาก็กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับน้องทราย
เธอไม่พูดด้วย ไม่มองหน้าเขา ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนสำหรับเธออีกต่อไป
มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีสนิทสนมกับสมิต อริน
หรือแม้แต่เฉลิมชัยพี่ชายของโฉมพิไลที่พาตัวเข้ามาใกล้ชิดกับน้องทรายเพราะ
หลงรักในความสวยงามของเธอ เฉลิมชัยเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ดีๆ
น้องทรายที่เคยเฉยเมยจนอาจกล่าวได้ว่ารังเกียจเฉลิมชัยอย่างออกนอกหน้า
แต่ตอนนี้กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับเขาเป็นอย่างดี
ภาดาเองก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
ดูเป็นคนเฉยเมยต่อทุกสิ่งเรียกได้ว่าไร้หัวใจ
ทำให้โฉมพิไลครุ่นคิดด้วยความแค้นใจ เพราะเขาเงียบขรึม
ไม่แสดงความรักกับเธอเหมือนอย่างเคย
เธอรู้ว่าเป็นเพราะใครแผนการแก้แค้นจึงเกิดขึ้น
โฉมพิไลรู้ว่าน้องทรายมีแมวที่เธอรักมากชื่อสีเงิน
เธอจึงพาเจ้าซาตานสุนัขพันธุ์ดุของเธอไปที่บ้านวัชรเวศน์
เสียงกรีดร้องดังของเด็กสาวใช้ในบ้านทำให้แจ่มพาน้องทรายออกมาทันเห็นเจ้า
ซาตานกำลังขย้ำสีเงินอย่างมันเขี้ยว
น้องทรายได้แต่ร้องห้ามและทำท่าจะขยับตัวลุกขึ้นไปห้ามแต่แจ่มกดบ่าของน้อง
ทรายไว้ทัน ทั้งสองต่างมองตากัน
สายตาของน้องทรายมีแต่ความแค้นใจเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
คุณอัมพรเมื่อรู้เรื่องทั้งหมดกลับโทษและดุว่าน้องทรายที่ไม่ดูแลสีเงินให้
ดีกลับปล่อยออกมาเพ่นพ่านรู้อยู่แล้วว่าสุนัขกับแมวไม่ถูกกัน
แม้น้องทรายจะชี้แจงเหตุผลว่าเธอขังสีเงินไว้ในห้องนอนตลอดเวลาคุณอัมพรไม่
เชื่อและหาว่าเธอโกหก น้องทรายจำต้องนิ่งทั้งที่ใจสั่นระริกด้วยความโกรธ
น้องทรายตัดสินใจส่งข่าวให้นายวินเดินทางมาที่วัชรเวศน์โดยด่วน
และเมื่อนายวินมาถึง
เธอก็บอกความในใจว่าเธอทนไม่ไหวแล้วที่จะทำตามแผนของพ่อ
เธอขอคำตอบจากพ่อว่าเหตุใดพ่อจึงส่งให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้านที่มีแต่คนใจดำ
นายวินได้แต่ตอบว่าให้น้องทรายอดทนและวันหนึ่งจะรู้ถึงเหตุผลของพ่อ
เธอพูดพลางร้องไห้พลางบอกพ่อว่าเธอจะไม่ทนอีกต่อไป
เธอลุกขึ้นเดินอย่างปราดเปรียวเพื่อจะออกจากห้องนอน
จะไปบอกทุกคนว่าเธอไม่ได้เป็นง่อยอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
เธอหายจากโรคร้ายมานานแล้ว
แต่พ่อขอให้เธอทำอย่างนี้เพื่อเหตุผลอะไรเธอก็จะไม่ขอฟังเหตุผลอีกแล้ว
นายวินได้แต่ปลอบโยนและขอร้องบุตรสาวให้เชื่อพ่ออีกสักครั้งเพราะพ่อรักและ
หวังดีต่อลูกสาวจริงๆ ในที่สุด น้องทรายจึงต้องจำยอมอีกครั้งหนึ่ง อ่านต่อเรื่องย่อละคร รักในม่านเมฆ




Create Date : 27 มิถุนายน 2553
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 13:28:51 น. 0 comments
Counter : 354 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

alonsoman
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add alonsoman's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com