|
ตั้งกรรมการสรรหาบริษัทจดทะเบียน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯได้อนุมัติการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสรรหาบริษัทจดทะเบียน โดยมีนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นประธาน มีหน้าที่ในการสรรหาและชักชวนบริษัทที่มีศักยภาพ ทั้งในและต่างประเทศเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมทั้งทำหน้าที่ผลักดันหรือปรับปรุง แก้ไขกฎ ระเบียบหรือข้อจำกัดต่างๆเพื่ออำนวยประโยชน์ต่อการนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียน สิทธิประโยชน์ ด้านภาษียังเป็นแรงจูงใจสำคัญ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการออกพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้บริษัทที่ยื่นขอจดทะเบียนในปี 2550 และนำหลักทรัพย์ เข้าซื้อขายในปี 2551 ได้รับส่วนลดภาษีนิติบุคคล 5% สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และส่วนลด 10% สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นระยะเวลา 3 รอบปีบัญชี นับตั้งแต่ปีที่เข้าจดทะเบียน.
Create Date : 03 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 25 กันยายน 2550 11:21:25 น. |
Counter : 318 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ชงคลายนอต พ.ร.บ.ร่วมทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.วันที่ 4 ก.ย.นี้ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการกิจการของรัฐ (ฉบับที่...) พ.ศ.... ซึ่งเป็นการแก้ไขสาระสำคัญจาก พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2535 โดยกำหนดรูปแบบการร่วมทุนด้วยการปรับมูลค่าขั้นต่ำของโครงการจาก 1,000 ล้านบาท เป็น 3,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของโครงการลงทุนในปัจจุบัน พร้อมทั้งให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทบทวนมูลค่าขั้นต่ำของโครงการทุก 5 ปี โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์ในการประเมินมูลค่าโครงการให้อยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกันโดยออกเป็นกฎกระทรวง ส่วนโครงการที่มูลค่าต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท กระทรวงการคลังจะกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขและวิธีการดำเนินงานโดยออกเป็นกฎกระทรวงเช่นกัน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า การดำเนินโครงการที่ให้เอกชนเข้าร่วมการงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐมักประสบปัญหาด้านความไม่ชัดเจนของกฎหมาย ดังนั้นหลายฝ่ายจึงเห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2535 เพื่อแก้ไขปัญหาการตีความและอุดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการพิจารณากลั่นกรองโครงการ บริหารและกำกับการดำเนินโครงการให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญยังเห็นเป็น พ.ร.บ.ที่ควรแก้ไขโดยเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว
ขณะที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะทำให้กระบวนการกลั่นกรองโครงการ การ บริหารและกำกับการดำเนินโครงการให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเป็นร่างที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่ ครม.เห็นชอบก็ควรส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อนที่จะส่งให้สภานิติบัญญัติพิจารณาต่อไป
Create Date : 03 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 25 กันยายน 2550 11:21:53 น. |
Counter : 255 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รัฐยืนยันได้ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ทุกคน
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน และบริหารทุน สำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงยอดจองพันธบัตรออมทรัพย์ ของ ธปท.ล่าสุด ที่ได้เปิดให้จองซื้อจนถึงเที่ยงของวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า สรุปยอดจองพันธบัตรออมทรัพย์ล่าสุด มีประชาชนและมูลนิธิเพื่อสาธารณะจองซื้อทั้งสิ้น 87,000 ล้านบาท
แม้ว่าจะมากกว่าที่ตั้งเป้าขายที่ 40,000 ล้านบาทถึงเท่าตัว แต่ ธปท.คงสามารถเพิ่มจำนวนการขายเพื่อจัดสรรให้ประชาชนได้ครบทั้งหมด โดย ธปท.คาดว่าจะสามารถบริหารจัดการได้โดยดอกเบี้ยยังเป็นไปตามที่ประกาศไว้คือ อายุ 4 ปี 4.25% และอายุ 7 ปี 5% แต่คงจะเร็วเกินไปที่จะพิจารณาว่า ธปท.จะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ ธปท. เพิ่มเติมจากวงเงินนี้อีกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ธปท.จำเป็นต้องออกพันธบัตร เพื่อดูดซับสภาพคล่องที่เกิดขึ้นจากการแทรกแซงค่าเงินบาทอยู่แล้ว แต่คงต้องพิจารณาว่าจะออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์หรือพันธบัตรปกติ
Create Date : 29 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 30 สิงหาคม 2550 23:48:50 น. |
Counter : 217 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
'ธวัชชัย'ปลอบเอสเอ็มอีได้เงินกู้แน่
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศหลักเกณฑ์ของกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือกองทุนเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าวงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง ได้นำหลัก เกณฑ์ของ ธปท. มากำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อออกระเบียบภายในนั้น ระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนของธนาคาร ลูกค้าเอสเอ็มอีที่ประกอบธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท สามารถยื่นคำขอใช้เงินกองทุนควบคู่กันไปกับขั้นตอนของธนาคารได้ และเมื่อขบวนการเสร็จสิ้น ธนาคารสามารถเสนอคำขอของลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อน ส่งให้ ธปท.ตรวจสอบอีกครั้ง และหากไม่มีอะไรติดขัด ลูกค้าเอสเอ็มอีจะได้เงินกู้ต้นเดือน ก.ย.นี้ ขั้นตอนของธนาคารพาณิชย์ เป็นไปตามการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยังไม่มีอะไรล่าช้า ขณะนี้มีลูกค้าเอสเอ็มอีที่ได้รับความเดือดร้อนยื่นคำขอมายังธนาคารพาณิชย์มากพอสมควร ซึ่งสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) ต้องคัดเลือกผู้ได้รับความเดือดร้อนส่งมาให้ธนาคาร เนื่องจากเงินกองทุนมีจำกัด
นายธวัชชัยกล่าวว่า สำหรับหลักเกณฑ์การปล่อยกู้ยังเป็นไปตามความเห็นชอบของ กกร. ที่มีตัวแทนของ ธปท.เข้าร่วมประชุมด้วย โดยใช้ใบคำสั่งซื้อสินค้า (ออเดอร์) มาพิจารณาร่วมปล่อยกู้ และหากธนาคารพาณิชย์รายใดไม่สบายใจเพราะกลัวเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทำให้ต้องกันสำรองหนี้จัดชั้นและธนาคารต้องประสบปัญหาขาดทุน ในจุดนี้เพื่อความมั่นใจของธนาคาร ก็ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกัน และธนาคารพาณิชย์จะไม่มีการเรียกหลักทรัพย์ ค้ำประกันเพิ่มแต่อย่างไร.
Create Date : 29 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 30 สิงหาคม 2550 23:41:35 น. |
Counter : 278 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เชื่อไตรมาส 4 เศรษฐกิจฟื้น ธปท.แบ่งรับแบ่งสู้ลด ดอกเบี้ยต้องดูปัจจัยรอบด้าน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจรายภูมิภาคประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2550 และแนวโน้ม ภายใต้ความร่วมมือจากสำนักการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่ากรุงเทพฯและปริมณฑล เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2551 หลังการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่ชัดเจนแล้ว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจของภาคกลาง และภาคเหนือ ส่วนภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ คือ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเร็ว และเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 200,000 ล้านบาท จากปกติที่แต่ละไตรมาสเบิกจ่ายเกือบ 400,000 ล้านบาท รวมถึงการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีเงินสะพัดราว 30,000-40,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.2%
เศรษฐกิจทุกภาคจะมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างอ่อนๆ ตั้งแต่ปลายไตรมาส 4 ปีนี้ แต่จะเห็นชัดเจนในไตรมาส 1 และ 2 ของปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การเลือกตั้ง และการบริโภคภาคเอกชน ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินที่อัดฉีดในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 3 จนถึงสิ้นปี ประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาท และเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ระดับ 4.1% ตามที่ศูนย์คาดการณ์ไว้
สำหรับเศรษฐกิจไตรมาส 2 ของปีนี้ ยังมีสัญญาณชะลอตัวลง และจะต่อเนื่องถึงไตรมาส 3 เพราะยังมีปัจจัยลบหลายประการ ทั้งราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ความวุ่นวายทางการเมือง และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เมื่อแยกเป็นรายภูมิภาค พบว่า ภาคเหนือ เศรษฐกิจชะลอลง เพราะการส่งออกของภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคชะลอตัวลงต่อเนื่อง แต่รายได้ของภาคเกษตรยังขยายตัวได้ดี เพราะระดับราคาสินค้าเกษตรยังทรงตัวในระดับสูง รวมถึงได้ประโยชน์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจชะลอลงเพราะผลิตผลทางการเกษตร ทั้งข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดลดลง รวมถึงการชะลอลงของการบริโภคภาคเอกชน
ขณะที่ภาคกลางยังมีสัญญาณเศรษฐกิจชะลอลงต่อเนื่องเช่นกัน เพราะผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอลงจากปัญหาค่าเงินบาท และราคาน้ำมันสูง ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ภาคเกษตรกรรมชะลอตัวลง เพราะผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ส่วนการบริโภค และการลงทุนก็ชะลอตัวลงเช่นกัน สำหรับภาคใต้ ชะลอตัวลงเพราะมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะยางพาราลดต่ำลง ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง อีกทั้งยังมีปัญหาการท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชนลดลงด้วย
ด้านนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่ภาคเอกชนต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% (จากปัจจุบัน 3.25%) ในการประชุมวันนี้ (29 ส.ค.) คงตอบไม่ได้ ต้องให้ กนง.เป็นคนพิจารณา ซึ่งก็คงต้องดูปัจจัยอื่นๆประกอบตั้งแต่ด้านเสถียรภาพ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งผลกระทบจากภายใน และนอกประเทศเป็นสำคัญ
นายไพบูลย์ พลสุวรรณา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เปิดเผยในงานสัมมนาเรื่อง ยกระดับมาตรฐานอาหารไทยก้าวไกลสู่สากลว่า แม้ว่ายอดส่งออกในเดือน ก.ค. จะลดลงมาก แต่เชื่อว่าในอีก 4 เดือนที่เหลือ อุตสาหกรรมอาหารน่าจะขยายตัวเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 12% ในปีนี้หรือมีมูลค่า 600,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการบางรายไม่กล้ารับคำสั่งซื้อที่เข้ามา เพราะกลัวว่าค่าเงินบาทจะผันผวนอีก ที่ผ่านมาก็สูญเสียรายได้ไปแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท
ขณะที่นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันได้สำรวจสถานการณ์ของโรงงานอาหารแปรรูปที่มีอยู่ 9,400 แห่งทั่วประเทศ พบว่าตั้งแต่เดือน ม.ค. จนถึงขณะนี้ มีโรงงานปิดตัวไปแล้ว 60 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเอสเอ็มอี ทั้งนี้ สถาบันอาหารเคยสำรวจค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการควรอยู่ที่ 37-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ขณะนี้อยู่ที่ 33-34 บาท หายไป 3-4 บาท ทำให้เกิดการกดราคารับซื้อสินค้าจากเกษตรกรเพราะโรงงานแปรรูปอาหารมีรายได้ลดลงจากค่าเงินบาท จึงต้องต่อรองลดราคารับซื้อสินค้าเกษตร จึงเกรงว่าหากรัฐบาลยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต่อไป เกษตรกรจะขาดรายได้ และกำลังซื้อลดลง ขณะที่ต้นทุนการเพ
Create Date : 29 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 30 สิงหาคม 2550 23:41:51 น. |
Counter : 259 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|