เที่ยวโตเกียว ตอนที่ 2 โตเกียว ดิสนีย์แลนด์
24 พฤษภาคม 2556

 สำหรับวันที่สองนี้ ในทีแรกตอนวางแผนทริปนี้ ไม่ได้มีแผนจะไปดิสนีย์แลนด์ เพราะเคยไปที่อื่นมาแล้ว แต่เมื่อศึกษาดูดีๆแล้ว ดิสนีย์แลนด์โตเกียวมีความพิเศษกว่าที่อื่นตรงที่ “ปราสาท” ครับ มีดิสนีย์แลนด์เพียง 2 ที่ในโลกเท่านั้นที่มีปราสาท Cinderella นั่นคือ Disney World Resort ที่ฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา และ Tokyo Disneyland Resort แห่งนี้นี่เอง ซึ่งปราสาท Cinderella นี่เองที่ใช้ต้นแบบมาจากปราสาท Neuschwanstein ของบาวาเรีย และ Alcázar of Segovia ของสเปน ส่วนดิสนีย์แลนด์แห่งอื่นๆ เช่นในแคลิฟอเนีย ในยุโรป และฮ่องกง จะเป็นปราสาทเจ้าหญิงนิทราซึ่งจะอ้วนกว่า และสูงน้อยกว่าครับ เหตุผลง่ายๆว่าอยากไปดูปราสาทที่เป็น Logo ของ Walt Disney นี่แหล่ะ ก็เลยตัดสินใจซื้อ 2 Days Passport ในราคา 10,700 เยน (เข้าได้ 2 park คือ Land และ Sea โดยเข้าได้เพียงวันละ Park และต้องเข้าติดกัน 2 วัน ถ้าซื้อ 1 Day Passport จะเข้าได้แค่ Park เดียว และต้องซื้อในราคา 6,200 เยนครับ)



เช้า ยังปรับเวลาไม่ได้ตื่น 8 โมงครับ ร้องจ๊าก!เลย (จริงๆเทียบกับเวลาไทย 6 โมงเช้าเนี่ย ยังเช้าอยู่เลยนะ) ก็เลยรีบจัดการอาบน้ำแปรงฟันให้เสร็จ เช็คสภาพอากาศ มีฝนตกตอนครึ่งวันหลัง แต่ไม่กลัว (เพราะไม่ได้เอาร่มมา) ออกจากที่พักที่ Khaosa Tokyo Ninja เดินมาขึ้นรถไฟใต้ดินของ Toei  สาย Asakusa Line ที่สถานี Asakusabashi นั่งยาวไปลง Metro สถานี Shin-kiba สนนราคา 290 เยน หลังจากนั้นก็ออกมายืนเอ๋อมองป้าย Keiyo Line เพื่อจะไปลงสถานี Maihama แต่เล่นเขียนแต่ตัวคันจิเลยยืนเอ๋อไปสักพัก App แปลคันจิก็ลืมโหลดมา สุดท้ายก็งมจนเจอว่าต้องนั่งไป 2 ป้ายก็ถึงแล้ว ค่าเดินทางไปอีก 150 เยน กว่าจะถึง Maihama ก็เกือบ 10 โมงเข้าไปแล้ว (ดิสนีย์แลนด์เปิด 8 โมงเช้า) ลงสถานีมา ไม่ต้องนั่งรถไฟของดิสนีย์รีสอร์ทนะครับ เดินไปทางขวา ไปที่ทางเข้าแบบในรูป







เดินลอดผ่านซุ้มนี้ไป



เดินลงมาจะพบกับช่องขายตั๋วครับ เนื่องจากเวลาที่ไปค่อนข้างสายมากแล้ว เลยไม่ต้องต่อคิวซื้อเลย เดินเข้าไปบอกว่า 2 Day Passport พร้อมระบุเลยว่า วันนี้จะเข้าแลนด์ พรุ่งนี้ค่อยเข้าซี หรือ จะเข้าซีก่อนแลนด์ หรือจะเข้าแลนด์ทั้งสองวัน หรือจะซีทั้งสองวันก็เล่าแจ้งแถลงไขให้เรียบร้อย สำหรับผม วันนี้เข้าแลนด์พรุ่งนี้เข้าซีครับ



หลังจากซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็มาถึงด่านที่สอง ท่านต้องฝ่าด่านคนตรวจกระเป๋าครับ พวกของกินเล็กๆน้อยๆอย่างข้าวปั้น แซนด์วิช น้ำขวด เอาเข้าไปได้ แต่อย่าให้ถึงขั้นแบกตะกร้าปิกนิกเข้าไปเลยนะครับ (อาหารข้างในอร่อยอยู่ในราคาที่ไม่ได้แพงเกินไปสักเท่าไหร่) พวกขาตั้งกล้องก็เหมือนจะไม่ให้นำเข้าไปนะครับ (จากการเข้าไปดูก็ไม่พบว่ามีใครตั้งกล้องถ่ายรูปเลย) หลังจากนั้นก็ด่านที่สามครับ คือประตูเข้านั่นเอง เพียงแค่นำบัตรเข้าไปสแกนบาร์โค้ดที่ประตูก็เข้าได้เรียบร้อย



เข้ามาถึงท่านก็จะเห็นตัวดักคนไม่ให้รีบเข้าไปแย่งพื้นที่เครื่องเล่นครับ วันนี้มาถึงก็เจอหนึ่งในลูกหมูสามตัวอ้วนกลมน่าถี... เอ๊ย! น่ากอด เป็นที่สุด



สารภาพว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกมีส่วนร่วมกับ โตเกียวดิสนีย์แลนด์เป็นอย่างมากก็คือ ปีนี้เขาฉลองครบรอบ 30 ปี โตเกียวดิสนีย์แลนด์นั่นเอง โดยโตเกียวดิสนีย์แลนด์ตั้งขึ้นในปี 1983 ครับ (ไม่ใบ้ต่อแล้วว่ารู้สึกมีส่วนร่วมยังไง 555) ปีนี้พี่มิคกี้ และมินนี่จัง (จริงๆต้องเรียกปู่และย่า) ก็ใส่ชุดสีทองมาฉลอง The Happiness Year ด้วย





เดินผ่านเข้ามา ตามร้านค้าก็ประดับประดาไปด้วยการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี



และนี่ก็เป็นแผนที่คร่าวๆที่เราจะไปผจญภัยในปีแห่งความสุขนี้


เดินผ่านร้านค้ามาอย่างไม่สนใจใยดี ออกมาก็จะพบท่านวอลท์ ดิสนีย์ กำลังชี้โพรงให้มิคกี้อยู่





มาถึงปราสาทซินเดอเรลล่า สิ่งก่อสร้างเอกของ Disneyland แล้ว แน่นอนว่าตัวปราสาทก็มีการประดับประดาเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี โตเกียวดิสนีย์แลนด์เช่นกัน พอเข้าไปดูใกล้ๆแล้ว ปราสาทมีรายละเอียดเยอะกว่าที่คิด สวยกว่าที่คาดฝัน







เรามาลอดท้องปราสาทกัน (ฟังดูเหมือนลอดท้องช้าง) ภายในก็คล้ายๆปราสาทยุโรป (นึกถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ขึ้นมาเลย)





ผนังอีกข้างประดับด้วยกระเบื้องโมเสค เป็นภาพนิทานเรื่องซินเดอเรลล่า



ว่าด้านหน้าปราสาทสวยแล้วนะ ข้างหลังปราสาทสวยกว่าอีก





เอาแต่เชยชมปราสาท หารู้ไม่ว่า บัตร Fast Pass ต่างๆ ณ เพลานี้จะได้เข้าตอน 1 ทุ่มแล้ว!?! พอวิ่งเข้าสู่ Tomorrow Land เครื่องเล่นที่เจอด่านแรกคือ Monster Inc. ครับ เครื่องเล่นนี้ให้เอาไฟฉายส่องโลโก้บริษัทบนหมวก และสัตว์ประหลาดก็จะโผล่ขึ้นมาเอง (ต่อคิวโลด บัตรฟาสต์พาสนี่ให้เข้า 1 ทุ่มก็ช่างมันแล้ว)





ดิสนีย์แลนด์แดนฝรั่ง พูดอังกฤษกันมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ดิสนีย์แลนด์ที่นี่สปีคเจแปนนีสกันไม่ยั้ง “ไม้คุ วาโซสุกี้” อย่างงี้ “สติ๊ดจิ” อย่างงั้น “มินนี่จัง” อย่างโง้น น่ารักกันไปอีกแบบ (แต่การอธิบายวิธีการเล่นด้วยภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวก็ดูจะเป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน สำหรับคนที่ภาษาไม่แข็งแรงอย่างผม)





ต่อไปก็ Star Tour จากเรื่องสตาร์วอร์สครับ เครื่องเล่นอันนี้ เดาเอาเองว่าเคยเล่นที่แคลิฟอเนียแล้ว แถวยาวมากและออกแดดร้อนๆ เลยข้ามไปไม่ได้เล่น (อ่าว!)



มาเล่นนี่ดีกว่า อันนี้ก็เคยเล่นแล้วแต่ติดใจครับ มันคือ Space Mountain ไม่มีอะไรมาก เป็นแค่รถไฟเหาะสำหรับเด็กๆ ที่เหาะผ่านดวงดาวระยิบระยับดูเด้กเด็ก ด้วยความเร็วประหนึ่งความเร็วแสง ของกินกลางวันที่เพิ่งยัดลงกระเพาะ ก็ช่วยย่อย ช่วย Shake ในกระเพาะจนแทบกระอักล่องลอยสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น (สรุปว่ามันไม่เหมาะกับเด็กเล็ก และผู้ที่เป็นโรคหัวใจและความดันครับ)





เราข้าม บัซ ไลท์เยียร์กันไปก่อน ขอไปสังเกตการณ์ที่แลนด์อื่นๆกันบ้าง เข้าไปในโซนแฟนตาซีแลนด์ ซึ่งมี It's a Small World เป็นหุ่นกระป๋องนานาชาติขยับไปมาน่ารักน่าชัง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า บางตัวที่ขยับอยู่นั้น จริงๆแล้วระบบไม่ได้เซ็ตให้มันขยับหรือเปล่า แต่มันขยับได้เอง ... ก็เป็นได้ (แถมภาพที่ถ่ายไม่ชัด ดูแล้วหลอนๆมาให้ด้วย)







เอ่อ... ป้านางฟ้า นางซินอยู่ในปราสาทฮะ เดินไปข้างหลังโน่นนะฮะ แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปเลย (ป้าหลง)



ต่อกันที่ตูนทาวน์ ซึ่งเป็นเมืองที่พวกมิคกี้เม้าส์ และผองเพื่อนอาศัยกันอยู่นั่นเอง เมืองแห่งนี้ ท่านสามารถเข้าไปถ่ายรูปกับคุณปู่มิคกี้ คุณย่ามินนี่จัง และตัวการ์ตูนดิสนีย์คนอื่นๆที่ออกมาจาก City Hall ของเมืองได้ นอกจากนี้ยังมีรถไฟเหาะเล็กๆสนุกๆด้วย













ในตูนทาวน์นี้ มีร้าน Hot Dog อร่อยๆขายด้วย เป็นไส้กรอกพันกระดูก มีเฟร้นฟรายกับน้ำ ทั้งหมดนี้ก็ราวๆ 830 เยน อิ่มอร่อยได้อีก 1 มื้อหน้าศาลากลางแห่งตูนทาวน์



เวลาราวๆบ่ายสามโมงครึ่งของวันก็มีขบวนพาเรด The Happiness Year มาแสดงด้วย











หลังจากชมพาเรดแล้ว ก็ได้เวลาเข้าไปภายในตัวปราสาท ซึ่งก็ต้องเล่าถึงนิทานเรื่องซินเดอเรลล่านั่นเอง









ซินดี้ เหวอ...



ก่อนออกจากปราสาทก็มีห้องโถงกลาง มีเก้าอี้ประทับของเจ้าชาย และรองเท้าแก้วไซส์เด็ก 7 ขวบ ไว้ให้เด็กสาวเอาหัวแม่โป้งเท้าใส่ถ่ายรูปอย่างเอียงอาย (ก็รองเท้ามันเล็กมากจริงๆ)



ที่แฟนตาซีแลนด์ยังมีบ้านผีสิงอันลือเลื่องแห่งนี้



และหน้าทางเข้าไม่มีคิวต่อแถว มีแต่สาวเมดชุดเขียว ยืนพูดพึมพำอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ออก แต่ดูจากอากับกิริยาของคนญี่ปุ่นที่ยืนฟังแล้ว น่าจะได้ความว่า “ขณะนี้ผียังหลับอยู่ค่ะ รอมันมืดกว่านี้อีกสักหน่อยนะคะ เดี๋ยวผีตื่นมาเซอร์วิสจัดเต็มแด่ทุกท่านหลังพระอาทิตย์ตกแน่นอนค่ะ”





สรุปก็ยังไม่ได้เล่นบ้านผีสิง ไม่เป็นไร ไปล่องเรือเล่นที่โซน Critter Country ก็ได้ เรือลำใหญ่ มีสามชั้น ล่องเรือรับอากาศเย็นๆ สบายดีเหมือนกัน





ต่อด้วยเดินเล่นที่ Western Land



และไปดูน้อง สติ๊ดจิ (Stitch) เต้นระบำกันที่ Adventure Land ก่อนเข้าไปชมโชว์สติ๊ดจิระบำฮาวาย เจ้าหน้าที่แต่งชุดซาฟารีเดินออกมาสอนทำท่า “อะโลฮ่า!” (ยกนิ้วเป็นท่าคาราบาวสองมือ แล้วสะบัดไปมา พร้อมทักทายว่า “อะโลฮ่า! คาราบาว! (ข้างหลังเติมเอง)” แอดเวนเจอร์แลนด์มีเครื่องเล่น Pirate of the Caribbean ด้วย แต่ปิดปรับปรุงอยู่ครับ



เห็นสัตว์เลี้ยงหนูไหม?



เดินกลับมาเก็บตกที่ Tomorrow Land ตอนฝนตกปรอยๆ เราไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นกันต่อที่ Star Command (คะแนนที่ยิงโดน ... ห่วยแตก!)





และกลับไปเก็บตก Splash Mountain ล่องท่อนซุงชมเจ้ากระต่าย ก่อนจะดิ่งลงเหวตกสู่ท้องน้ำ และแล้วก็ได้พบกับความจริงที่แสนเจ็บปวดจากเจ้าหน้าที่ว่า “ถ้าคุณมาคนเดียว คุณเดินเข้าไปช่อง Fast Pass แล้วบอกว่ามาคนเดียว คุณก็จะได้ลัดคิวนั่งเล่นกับคนที่เขามาเป็นกลุ่มแล้วมีเศษค่ะ” – จบข่าวครับ – จริงๆแล้วผมก็แค่อยากได้ประสบการณ์ต่อคิวยาวเหยียดกะเขาบ้างเท่านั้นเอง





ก่อนกลับก็ไม่ลืมไปต่อคิวเล่นบ้านผีสิง ตอนที่ไปเล่นอีกที่นึง แม้จะเป็นบ้านผีสิงเปิดเพลงเฮฮาปาจิงโกะ แต่คราวที่เคยไปเล่นนั้น เครื่องเล่นเกิดหยุดกลางคันกลางสุสาน นั่งจ้องหน้ากับโครงกระดูกมันก็หลอนอยู่นะ ก็เลยอยากรู้ว่า ดิสนีย์แลนด์ที่นี่ เครื่องเล่นแกล้งหยุดกลางคันเหมือนกันหรือเปล่า (ซึ่งปรากฏว่าไม่) แต่ก็เป็นบ้านผีสิงที่เฮฮาจริงอะไรจริง ก่อนกลับก็แวะถ่ายรูปปราสาทแสน ... เบลอ... ยามค่ำคืนมาเสียหน่อย ก่อนนั่งรถไฟกลับในเวลา 2 ทุ่มครับ (จริงๆปิด 4 ทุ่ม แต่กลัวคนเยอะ) ขากลับก็นั่ง Keiyo Line กลับไป 2 สถานี ถึง Shin-Kiba แล้วต่อไปยัง Asakusabashi นอนหลับสบาย รอวันต่อไป เพื่อการผจญภัย 7 ย่านน้ำใน โตเกียว ดิสนีย์ซีครับ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ







Create Date : 16 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 20:20:16 น.
Counter : 1556 Pageviews.

0 comment
เที่ยวโตเกียว ตอนที่ 1 เทศกาลชิบะซากุระ
23 พฤษภาคม 2556

 เพิ่งกลับมาจากไปญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 14-20 พค. 56 ที่ผ่านมาครับ เป็นการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเองครั้งแรก ด้วยความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่มีเล็กน้อย กับการตามความฝันเมื่อครั้งยังเด็ก สนนราคาค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ คือ
- ค่าวีซ่า 1,120 บาท (Single Visa)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 14,520 บาท (Air Asia ซื้อตั๋วล่วงหน้าแค่ 1 เดือนก่อนไป – หลังทำวีซ่าเสร็จ)
- ค่าที่พัก 5 คืน 4,200 บาท (Khaosan Tokyo Ninja – Cabin Room คืนละ 840 บาท)
- ค่ารถไฟฟ้า 5,400 บาท (แพงไปหน่อยในวันแรกที่ไปชมชิบะซากุระ รวมค่าเข้าชมชิบะซากุระไปแล้วในนี้)
- ค่าของกิน 2,160 บาท (ฝากท้องไว้กับ 7-11, Lawson และ Combini ทั้งหลาย เฉลี่ยมือละ 120 บาท)
- ค่าเข้าชมสถานที่ 3,210 บาท (ดิสนีย์แลนด์ + ดิสนีย์ซี)

รวมได้ 30,610 บาท ครับ

สำหรับสถานที่ที่ไป
วันที่ 14 เดินทางทั้งวัน นอนบนเครื่องบิน
วันที่ 15 ไปชมชิบะซากุระ ที่คาวากุจิโกะ, ยามานาชิ
วันที่ 16 ดิสนีย์แลนด์
วันที่ 17 ดิสนีย์ซี
วันที่ 18 โตเกียว สกายทรี, อะซาคุสะ, อุเอโนะ
วันที่ 19 สถานีโตเกียว, พระราชวังอิมพีเรียล, อาคารที่ว่าการมหานครโตเกียว (ชินจุกุ), หอคอยโตเกียว, ฮาราจุกุ, ชิบูย่า
วันที่ 20 อะซาคุสะ (อีกรอบ), รปปงงิ ฮิลล์

สำหรับบทความนี้ ขอเล่าถึงเหตุการณ์ในวันแรกแต่เพียงอย่างเดียวครับ



ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นจุดมุ่งหมายที่หลายๆคนอยากไปเที่ยวให้ได้สักครั้งหนึ่ง ตั้งแต่เด็กๆ การ์ตูนญี่ปุ่นก็เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันอยู่มากมาย เขี่ยไพ่ดราก้อนบอลบ้าง ใส่เข็มขัดพี่มดแดงบ้าง... (ฟังแล้วแก่ไปนะ) เอาใหม่... เทิร์นการ์ดยูกิบ้าง เล่นรถแข่งทามิย่าบ้าง เกมต่างๆที่ให้ตั้งชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นนั่นก็อีก สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเองใฝ่ฝันอยากจะไปญี่ปุ่นให้ได้สักครั้ง แต่เหมือนว่ายิ่งโตขึ้น ความฝันก็ยิ่งริบหรี่ลงไปทุกขณะ ได้แต่ดูชาวบ้าน เพื่อนๆ บินไปเที่ยวไปเรียนกันด้วยความตาร้อน

และแล้วสายการบินแอร์เอเชียก็มีโปรตั๋วเครื่องบิน ในราคาไปกลับแค่ 13,500 บาทเท่านั้น แล้วเราจะรอช้าไปทำไมกัน ขอวีซ่าโดยฉับพลันทันที ด้วยเงินเก็บอันน้อยนิด แต่พลังความฝันอันยิ่งใหญ่ ก็ทำให้สามารถขอวีซ่าได้อย่างราบรื่น แม้จะต้องรอวีซ่านานกว่าชาวบ้านก็ตาม (สถานกงศุลฯเชียงใหม่ปิดสงกรานต์) หลังจากที่ได้วีซ่า และซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็หาข้อมูลท่องเที่ยว ด้วยความตั้งใจแต่แรกว่า จะไปแต่โตเกียวและภูเขาไฟฟูจิเท่านั้น

เมื่อวันเดินทางมาถึงหลังจากที่ต้องนอนบนเครื่องบินมาทั้งวัน ตั้งแต่ เที่ยวบิน เชียงใหม่ – กัวลาลัมเปอร์ จนถึง กัวลาลัมเปอร์ – ฮาเนดะ ทำให้พอมาถึงสนามบินฮาเนดะเวลา 22.30 น. ก็ตาสว่างมานั่งจิ้มมือถือเล่นที่สนามบินชั้น 1 (หน้าร้าน Lawson เผื่อหิว) เช็คเวลาเดินรถไฟเที่ยวแรกของ Keikyu Line ที่มุ่งตรงจากสนามบินฮาเนดะไปสู่ JR Yamanote Line แล้ว ปรากฏว่ามีรอบ 05.30 น. ดังนั้น ตี 4 ก็เตรียมตัวซื้อตั๋วรถไฟฟ้ากัน

วันแรกนี้อย่างที่เกริ่นมาแล้วว่าจะไปที่ คาวากุจิโกะ จังหวัดยามานาชิ เพื่อไปชมดอกชิบะซากุระกัน ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่ทันได้ชมดอกซากุระบาน ดังนั้นเพื่อปลอบใจตัวเองก็เลยไปดูชิบะซากุระแทนเสียเลย ชิบะซากุระก็คือดอก Moss Phlox ที่มีหลากหลายพันธุ์ หลายสี ปลูกปูเป็นพรมสลับสีกันอย่างสวยงาม และความพิเศษของ Fuji Shibazakura Festival ก็คือเบื้องหลังของพรมดอกไม้นั้นก็มีท่านภูเขาไฟฟูจิตั้งตระหง่านค้ำฟ้าอยู่เบื้องหลังนั่นเอง สำหรับงานในปีนี้ จัดขึ้นในช่วงวันที่ 20 เมษายน 56 – 2 มิถุนายน 56 ครับ ช่วงที่ผมไปนี้ดอกไม้กำลังออกเต็มที่เลย

หากจะเดินทางไปชมชิบะซากุระ จะต้องไปขึ้นรถไฟ JR Chuo Express Line ที่สถานีชินจุกุเสียก่อน ดังนั้น ต้องซื้อตั๋ว Keikyu Line ไปลงสถานี Shinagawa (JR Yamanote Line) แล้วต่อ Yamanote Line ไปลงสถานี Shinjuku (ซื้อตั๋วรอบเดียวแล้วไปเปลี่ยนสายเอง) ซึ่งตั๋วจากสนามบินฮาเนดะ ไปลงถึงชินจุกุเลยนั้น สนนราคา 190 เยน ครับ



สอดบัตรผ่านประตู รับบัตรเรียบร้อยก็ลงลิฟท์ไปถึงชานชาลาได้



บางทีรถไฟที่มาจอดเทียบชานชาลาเดียวกันก็ไม่ได้ไปปลายทางเดียวกัน ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบวิ่งขึ้นรถไฟจนลืมดูสถานีปลายทางของรถไฟขบวนนั้นนะครับ เวลาของแต่ละขบวนจะค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้ว แล้วเราก็ไปเปลี่ยนเป็น JR Line ที่สถานี Shinagawa กัน



มาถึงชินจุกุแล้ว เสียบบัตรออกไปตั้งหลักเล็กน้อย ไปยืนเอ๋อมองว่า Chuo Express Line มันไปทางไหนกี่เยน อยู่นานสองนาน หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยไปถามเคาท์เตอร์ขายตั๋ว ฉลาดขึ้นมาทีเดียว (ก็ซื้อตรงนั้นแหล่ะ ไม่ต้องไปกดตู้) บอกเขาว่านั่ง Chuo Express Line ไปลงสถานี โอ๊ตสึกิ - Otsuki (ราคาโหดเล็กน้อย 2,690 เยนครับ)



เข้าชานชาลาที่ไปทาง Azusa ขึ้นรถไฟให้ตรงสาย ของผมบนตั๋วเขียนว่า Azusa 3 โบกี้ 1 ที่นั่ง 11A





แต่ด้วยความเปิ่นที่ไม่เคยเจือจางจากสายเลือด เลยไม่ได้ดูโบกี้ เห็น Azusa 3 ปุ๊บวิ่งขึ้นปั๊บ ปรากฏว่า ถามคุณป้าที่นั่งตรงข้ามแล้ว ป้าบอกว่า “ป้าคิดว่า ตั๋วของเธอมันเป็นโบกี้ 1 นะ ซึ่งโบกี้ที่ป้านั่งอยู่นี้มันโบกี้ 9 ป้าขอโทษนะ สุมิมาเซ็น” เอ่อ... คุณป้าครับ มาขอโทษผมที่ผมขึ้นโบกี้ผิดเนี่ยนะ หรือ สุมิมาเซ็นของป้าแปลว่า “ป้าเสียใจที่เธอต้องเดินข้ามไปอีก 8 โบกี้ล่วงหน้าด้วยนะ” เท่านั้นไม่พอ พอเดินไปถึงประตูทางเชื่อมโบกี้ เปิดประตูไม่ออก ยืนงัดอยู่นานสองนานจนคนญี่ปุ่นใกล้ๆประตูทนอดสูไม่ไหว เดินมาเอาอุ้งมือแตะเหนือที่จับประตูเบาๆ แล้วประตูก็เปิดออกอัตโนมัติ T-T หลังจากที่เดินข้ามไปแปดโบกี้ ก็มาถึงที่นั่งตัวเองด้วยหน้าที่ชาและซีดเผือด



ระหว่างทาง ก็เริ่มออกจากตัวเมืองมากขึ้น ได้อารมณ์ประหนึ่งเข้าไปในเกม boku no natsuyasumi มาก (เกมจับแมลงหน้าร้อน) บางทีรถไฟก็ลอดอุโมงค์ อุโมงค์แรกนึกสนุก กลั้นหายใจอธิษฐาน พอลอดอุโมงค์ที่สองไม่กลั้นแล้ว แล้วก็คิดถูกเพราะอุโมงค์ยาวประมาณ 5 นาทีได้ (ถ้ากลั้นคงหมดสติตรงนั้น) หลังจากนั้นก็เจออุโมงค์เล็กใหญ่บ้าง ผ่านไปสักสี่สถานีได้ (ถ้าจำไม่ผิด) ก็ถึงสถานี Otsuki เสียบบัตรเดินออกมาท่านก็จะได้พบกับเมืองที่สวยงาม เดินไปตามทางเสาไฟฟ้าดำในรูปเลย



จะเจอกับทางเข้าสถานีต้นทาง Otsuki ซึ่งก็ต้องซื้อตั๋วอีกรอบเพื่อไปลงสถานี Kawaguchiko



(ไม่ต้องไปดูอะไรมาก สุดสายเลยครับท่าน แพงสุด 1,110 เยน)



ต้นสถานีก็จะพบกับขบวนนี้จอดอยู่ (แต่ไม่ได้นั่งขบวนนี้หรอก)



รถไฟมาแล้ว ยังไม่มีคนขึ้นเลย สบโอกาสขอแชะภาพในรถไฟว่างๆนิดนึง



แน่นอนว่า รถไฟขบวนนี้มุ่งสู่คาวากุจิโกะ ดังนั้น อาจจะเห็นท่านฟูจิซังโผล่มาทักทาย ซ้ายที ขวาที หน้าที หลังที ก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าพลาดที่จะชะโงกมอง สำหรับผมที่เพิ่งเคยมาญี่ปุ่นครั้งแรก Mission ชะโงกท่านฟูจิซังจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่สำหรับคนญี่ปุ่นที่ขึ้นขบวนมาด้วยคงจะเอือมระอานักท่องเที่ยวประเภทนี้พอสมควร ฉับพลันแรกที่เห็นท่านฟูจินั้น ช่างสวยงา... อ่าว! อุโมงค์บัง ไม่เป็นไร ฉันพลันที่สองที่เห็นท่านฟูจินั้น ช่างสวยงามน่าขนลุกยิ่งนัก ได้แต่กล่าวปลอบประโลมตนเองว่า “ฉัน (รูปสุภาพ) มาถึงญี่ปุ่นแล้วเฟร้ยยย”



ขากลับต้องนั่งขบวนนั้นนะ จำใส่หัวของเจ้าไว้ (บ่นกับตัวเอง คนญี่ปุ่นข้างๆมองหน้าเช่นเดิม)



ท่านฟูจิไกลๆอีกรูป



สถานีปลายทาง Kawaguchiko



สิบโมงแล้ว เพิ่งมาถึงคาวากุจิโกะ เรายังต้องไปต่อกันอีก ด้วยการซื้อตั๋วเข้าชมงานเทศกาลชิบะซากุระ พร้อมตั๋วรถบัสไปกลับในราคา 1800 เยน เราจะได้บัตรมา 3 ใบ เก็บไว้ให้ดี 1 ใบเป็นตั๋วไป อีกใบคือตั๋วเข้างาน และอีกใบคือตั๋วขากลับมาที่เดิม นอกจากนี้ก็มีโปสเตอร์แนะนำงาน (ภาษาญี่ปุ่นล้วนครับท่าน) และให้โปสการ์ดมาไว้ส่งในงานอีก 1 ใบ



ตั๋วนั้นต้องเดินออกมาซื้อด้านตรงข้ามกับตัวสถานีคาวากุจิโกะที่เห็นธงสีชมพูตรงนี้ ซื้อแล้วก็รอรถตรงนี้ได้เลย



รถจะขับวนอ้อมไปอีกด้านของท่านฟูจิ ใช้เวลานั่งรถเกือบ 1 ชั่วโมงได้ แต่ในระหว่างทางเราก็จะได้แชะภาพท่านฟูจิในอิริยาบถต่างๆ (หมายถึงลายหิมะบนหัวท่านฟูจิ)



มาถึงแล้วก็เดินไปเข้างานเลยครับ จะมีแผนที่ภายในงานบอกไว้ ว่าห้องน้ำไปทางไหน ร้านอาหารอยู่ตรงไหน



เดินเข้าไปแรกๆจะไม่เห็นท่านฟูจิ แต่ดอกไม้ก็ชวนให้ขนลุกได้อย่างงดงาม



บางส่วนก็เป็นสีม่วง



เมื่อเดินวกมาอีกด้านก็จะเห็นทางขึ้นชมวิวที่ต้องต่อแถวขึ้นครับ แต่เมื่อขึ้นไปแล้วก็หายเหนื่อยเลย เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า



เอากล้องไอโฟนถ่ายบ้าง สีแจ่มขึ้นเยอะเลย







อีกนิด







เดินถ่ายรูปได้สัก 2 ชั่วโมง ขาก็เริ่มจะล้าแล้ว ก็ได้เวลากลับกันเสียที



ขากลับก็ไปเดินขึ้นรถบัสที่จอดลงได้เลย รถบัสจะพามาส่งที่ Kawaguchiko เช่นเดิม (ไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม แต่ตั๋วชมพูต้องมีอยู่)





แล้วก็ซื้อตั๋วกลับไปลงสถานี Otsuki เช่นเดิม ในราคาเดิมสุดสาย (1,110 เยน) ทีนี้พอถึง Otsuki ก็ออกจากสถานีมาก่อน เดินกลับมาซื้อตั๋ว JR Chuo Line ปกติเพื่อกลับไปยังสถานี ชินจุกุ (ค่าตั๋วจะถูกลงกว่าขามาเกือบครึ่ง ไม่ต้องตกใจ พอขึ้นรถไฟกลับเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาเดินปรับราคาตั๋วเพิ่มให้อีกอยู่ดี (แต่รวมแล้วก็ถูกกว่าขามา)

สำหรับวันแรกก็ไปเพียงเท่านี้นะครับ ผมกลับไปเช็คอินที่พักในเวลา 17.00 น.ได้สบายๆ สำหรับทริปโตเกียวนี้ก็พักที่นี่ตลอดทริปครับ Khaosan Tokyo Ninja บล็อกหน้ามาต่อกันวันที่ 2 กับโตเกียวดิสนีย์แลนด์ครับ







Create Date : 15 เมษายน 2557
Last Update : 15 เมษายน 2557 23:21:02 น.
Counter : 1030 Pageviews.

0 comment
สิงคโปร์ ... บางมุมที่คุณอาจไม่เคยเห็น
29 เมษายน 2555

   ผมเพิ่งไปสิงคโปร์มาด้วยตั๋วหางแดงบินจากเชียงใหม่ในราคาย่อมเยา ไปกลับสองพันบาทเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ก่อนไปก็ได้หาข้อมูลสถานที่ที่ unseen สำหรับตัวเองที่ตั้งใจว่า ที่ไหนที่เคยไปมาแล้วก็จะไม่ไปทริปนี้ ก็เลยได้สถานที่ท่องเที่ยวที่อาจจะแปลกหูแปลกตาไปบ้างมาฝากครับ (แต่ถ้าไม่แปลกก็ขอโทษล่วงหน้านะครับ -_-)

ก่อนอื่นเลยไปถึงสิงคโปร์ตอนกลางคืนแล้วก็มีเวลาเหลือครับ เลยขึ้น skytrain ไปสำรวจ Terminal 3 เล่น มาเจอเมอร์ไลอ้อนต้นไม้ พ่นไฟ(ฟ้า)ซะด้วย




   บรรยากาศใน Terminal 3 ที่ไม่ค่อยมีผู้คนในยามดึกครับ



เช้ามาก็รีบตื่น เพราะเช้านี้ต้องเดินชมโบสถ์ชมวิหารหลายจุด (ผมเป็นชาวพุทธครับ แต่อยากได้อารมณ์แบบเที่ยวยุโรปบ้างเลยไปเที่ยวโบสถ์ครับ) ถ้าแดดแรงจะร้อนแย่ ว่าแล้วก็เดินออกจากโรงแรม Fragrance Bugis ไปชมเมืองกันเลย จุดแรกที่ไปก็คือที่นี่ครับ โบสถ์ St. Joseph เดินจากโรงแรมผ่านตึก National Library ไปก็เจอแล้วครับ



เดินทะลุไปหลังโบสถ์ จะเจอถนนควีนเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนควีนไปอีกหน่อย มองฝั่งตรงข้ามจะเจอโบสถ์ St.Peter & St.Paul ครับ (อยู่ด้านหลังของ Singapore Art Museum ครับ)



หลังจากนั้นเดินกลับมาถนนควีน เดินมาจนเห็นสถานี MRT - Bras Basah แล้วมองทางซ้ายสักหนึ่งช่วงถนน ก็จะเจอป้ายของโบสถ์ไชมส์ (C.H.I.J.M.E.S) ซึ่งปัจจุบันเป็นย่านร้านอาหารยามค่ำคืน แต่ที่มาตอนเช้าเพราะต้องการบรรยากาศแบบไม่ค่อยมีผู้คนครับ ตัวป้ายหน้าตาประมาณนี้ (ในรูปเป็น
ป้ายที่อยู่หน้าโบสถ์จริงๆครับ)





ยอดโบสถ์ไชมส์ มองผ่านรั้ว แหะๆ



ส่วนรูปนี้เป็นตัวโบสถ์ครับ




   รูปนี้เป็นมุมมองตอนที่เดินไปด้านหลังโบสถ์ไชมส์ครับ



   แล้วก็กดกล้องลงมาด้านล่างจะพบกับโซนโต๊ะอาหาร ในบรรยากาศแบบยุโรปครับ




ไหนๆก็ผ่าน Art Museum แล้ว ขอสักรูปนะครับ



   และไปตบท้ายทริปโบสถ์ประจำวันนั้นด้วยมหาวิหาร St. Andrew ครับ




เห็นว่าข้างในสวย ก็เลยเข้าไปชมด้านในครับ ทางเข้าจะอยู่ด้านข้างของตัวโบสถ์ครับ



มหาวิหาร St. Andrew อีกสักรูปครับ



หลังจากเดินครึ่งวันเช้าแล้ว ก็พักทานข้าวพักเหนื่อยที่โรงแรมก่อนครับ แล้วช่วงเย็นๆก็ออกมายัง
แถวมาริน่าเบย์ แต่จะให้ไปลงที่เมอร์ไลอ้อนเลยก็จะซ้ำทริปเก่า ก็เลยไปลงสถานี
MRT- Marina Bay เลยครับ เดินอีกนิดนึงก็จะมาถึงวิวอ่าวมาริน่าในอีกฝั่งหนึ่ง




   รูปแถวๆนี้คงจะเห็นกันในรีวิวคนอื่นแล้ว ก็ลงรูปคร่าวๆแล้วกันนะครับ มองเวิ้งน้ำผ่านห้างหลุยส์



   ArtScience Museum ครับ



   พรีวิวเล็กๆของนิทรรศการ Titanic ในย่านร้านค้าของ Marina Bay Sand ครับ (ค่อยมารอดูตอน
มาจัดแสดงที่ไทยดีกว่า)




เช้าวันถัดมา ก็ไปเกาะเซ็นโตซ่าครับ (รูปช่วงนี้ก็คงเคยเห็นกันแล้วก็ลงรูปผ่านๆเหมือนเดิมครับ) ริม
หาด Siloso




ริมหาด Siloso



   แมวชายหาด



   ในเมืองสิงคโปร์หามันบดเซเว่นยาก ก็เลยมาชิมที่เกาะเซ็นโตซ่าซะเลย



   ร้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่ง Check Point ที่ต้องมาถ่าย แต่ก็ไปถ่ายหลังร้านซะงั้น



   เกมจ้องตา



หลังจากนั้นก็กลับเข้าเมืองไปท่าเรือ Clark Quay ถ่ายรูปต่อ แล้วก็กลับโรงแรมนอนครับ



เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ไปเดินดูด้านหน้าของตึก Parkview Square ครับ ตึกนี้จะอยู่หลังโรงพยาบาลราฟเฟิลครับ ถ้าออกจากสถานี MRT – Bugis กลับหลังหันแล้วเดินกึ่งลัดสนามไปก็จะเจอครับ ตึกสูงมาก





หน้าตึกจะมีรูปปั้นบุคคลสำคัญของโลก รวมทั้งรูปปั้นแปลกๆสวยๆอื่นๆครับ อ่านในเว็บอื่นๆดู
เขาว่าเพื่อแก้ฮวงจุ้ยที่โดนตึกรูปใบมีดข้างๆพุ่งใส่ครับ (บางเว็บก็บอกเล่นๆว่าเป็นตึกเมือง
Gotham ในหนังเรื่องแบทแมน)




เฉพาะด้านหน้าก็มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลยครับ




จากตึก Parkview Square เดินผ่านโรงพยาบาลราฟเฟิล ไปอีก 2 สี่แยก ก็จะเจอโบสถ์อีก
แห่งนึงครับ ชื่อโบสถ์ Chruch of our Lady of Lourdes ดูภายนอกเป็นสีขาวเหมือนโบสถ์ที่ไป
ดูวันก่อน แต่ภายในโบสถ์สวยมากครับ



อีกฝั่งของโบสถ์



ภายในโบสถ์ครับ



ต่อกันที่ไชน่าทาวน์ครับ เดินขึ้นมาจาก MRT – China Town มองร้านด้านซ้ายจะเจอร้าน
Tin Tin Shop ครับ ข้างในถ่ายรูปได้ (ถามคนเฝ้าร้านมาแล้ว) แต่จะมาส่วนที่ห้ามถ่ายรูป
คือพวกของในตู้กระจกครับ (ผมถ่ายแค่ตัวใหญ่ก็พอแล้ว เกรงใจครับ 55)




ต่อด้วยวัดพระทันตธาตุครับ



   ปิดท้ายด้วยย่านถนน Club st. ข้างๆ Food Center ในไชน่าทาวน์ครับ



ร้านรวงใน Club st. ครับ ร้าน K Ki & Little Dorm Store เข้าถนน Club st. เดินตรงไปอีกหน่อยจะถึงทางแยก ถนน Ann siang ร้านอยู่ตรงแยกนั้นเลยครับ ภายในมีขายเค้ก และของเก่าน่ารักๆ



   ร้าน K Ki อีกรูป



ละแวกใน Club St. ครับ จะจีนก็ไม่เชิง จะยุโรปก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่าผสมกันแล้วก็ดูฮิปดี 555



   รูปเก็บตกครับ ป้าย
Victoria Bar แถว Bugis ครับ (แถวที่พัก) ป้ายสวยดี แหะๆ



   กลับแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ ถ้าใครต้องการข้อมูลละเอียดกว่านี้ลองเข้าสอง blog นี้ดู
นะครับ รูปถ่ายไม่สวยทำสถานที่ท่องเที่ยวเสียของ หรือผมไปบดบังวิวก็อย่าว่ากันเลยนะครับ แหะๆ
พบกันใหม่ เมื่อมีโอกาสได้เที่ยวอีกนะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=adaytrip&month=21-07-2010&group=10&gblog=4
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=chubbylawyer&group=16




Create Date : 15 เมษายน 2557
Last Update : 15 เมษายน 2557 22:42:57 น.
Counter : 1149 Pageviews.

0 comment
1  2  

taewon
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



Blog นี้เอาไว้เก็บรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่เคยรีวิวไว้ในพันทิปครับ อัพเดททุกครั้งที่ไปเที่ยวครับ อิอิ