ความรักที่แสนยิ่งใหญ่คือความรักของแม่นั่นเอง
 
 

ทริปแรกของนางฟ้าน้อย

ครั้งนี้นับว่าเป็นทริปแรกของโฟกัสในการสำรวจโลกกว้างที่ไม่ใช่ในเมืองที่อยู่ แต่เป็นต่างเมือง ตอ้งนั่งรถไกลไปถึงสองชั่วโมง เป็นการทำสอบความอดทนของหนูในการนั่งอยู่ใน car seat ครั้งแรกนานถึงสองชั่วโมง ไปกลับก็สี่ชั่วโมง ไม่รู้จะหมู่หรือจ่า

ปรากฎว่าก่อนออกจากบ้านแม่ก็เลยให้ลูกกินนมให้อิ่ม แบบว่าหนังท้องตึงหนังตาหย่อนประมาณนั้น และแล้วแผนแม่ก็สำเร็จ พอรถออกปุ๊บโฟกัสหลับปั๊บเลย ไปตื่นอีกทีก็ใกล้ถึงลอนดอน ซึ่งนับว่าไม่เลวทีเกียวสำหรับการนอน และหนูก็ตื่นมาแบบ งง งง มามี้จะพาหนูไปไหนเนี่ย อึดอัดชะมัด และแล้วหนูก็เริ่มทำหน้าบิดหน้าเบี้ยว งอแง แผนสองของแม่ก็คือ เอาจุกนมหลอกให้หนูดูดเล่น หนูก็ติดกับดักแม่อีกเช่นเคย เย้ ในที่สุดหนูก็ทำได้ นอนใน car seat ที่แสนจะอึดอัดจนมาถึงลอนดอน โอ๊ย แม่เริ่มหวั่นๆ นี่ถ้านั่่งเครื่องกลับเมืองไทย 12 ชั่วโมง แม่ไม่ต้องเตรียมแผนสำรองไว้เป็นสิบๆแผนหรอเนี่ย เริ่มวิตก

ช่วงเวลาท่องเที่ยวชมลอนดอนนั้น หนูก็แทบจะไม่สนใจอะไรเลย เอาแต่นอน และก็กิน กินเสร็จ ก็หลับคาอกปาป๊า เพราะ baby carrier ของหนูนี่ช่างเหมาะเจาะ มันแปะที่หน้าอกพอดี ทำให้หนูอบอุ่นได้ที่ และก็ไม่สนใจอะไรเลย ตื่นมาเห็นผู้คนพลุกพล่าน ก็เหลือบมอง แล้วก็หลับต่อ อิอ๊ะ ดี๊ด๊าได้แป๊บๆ ถ้าจะร้องก็นี่เลย ดัมมี่ของหนู เอาไปอมซะให้หายเครียด




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2551   
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 20:20:02 น.   
Counter : 365 Pageviews.  


เช้าวันแรกที่ Leicester

หลังจากที่นอนไม่หลับเพราะไอ้ซ้อมดับเพลิงเมื่อคืน บวกกับแปลกที่ แปลกเวลา เลยนอนไม่หลับ เข้าเนต บ่นๆให้ใครก็ตามที่ออนไลน์อยู่ตอนนั้นฟัง แหมก็ใครจะไปคิดว่าจะเจอแบบนี้ แถมที่หอก็มีแต่ ป.ตรี เด็ก High School เสียงดังยังกะนกกระจอกแตกรัง ไม่หลับไม่นอนกันหรือไงไม่รู้ เลยโทรหาเจมี่แต่เช้า ว่าจะคุยเรื่องหาบ้านให้รู้ดำรู้แดง ไปเจอเจมี่แค่แป๊บเดียว เขาก็บอกว่าจะดูๆให้แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะ Housing Officer ของมหาลัยปิดจะเปิดก็วันจันทร์ กรำ เราต้องทนอยู่กับหอโหวกเหวก ห้องน้ำ สิบต่อหนึ่ง นี่ไปจนถึงวันจันทร์เชียวหรอเนี่ย หลังจากเจอเจมี่เลยนัดกะปอ ไปเดินหาบ้าน หาพวก Agent ในเมือง ปอชวนไปดูบ้านด้วยกัน ก็ไปดู เดินไปไกลนิดหน่อย แต่ก็สภาพแวดล้อมใช้ได้ เสียแต่บ้านโทรมเชียว เลยไม่สนใจอย่างออกนอหน้ากัน


เดินไปก็กะเหรี่ยงสามีก็เก็บภาพไป ไม่ให้ตกหล่น ฟ้างามนี่นา อยู่เมืองไทยไม่ค่อยจะเจอฟ้าเยี่ยงนี้บ่อยนัก

หลังจากนั้นก็เข้าเมืองไปชมเมืองต่อพร้อมกับเดินไปที่สถานีรถไฟ เพื่อดูชะตากรรมต่อไปว่าถ้าเราจะนั่งรถไฟไปลอนดอนจะทำไง จนเย็นได้ที่เราก็กลับมาเก็บภาพรอบๆที่พักกันบ้าง Bede Hall อยู่ใกล้แม่น้ำ เลยมีหงส์ให้ดู




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2551   
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 19:39:48 น.   
Counter : 311 Pageviews.  


วันแรกในUK

ลงจากเครื่องวันแรกกว่าจะผ่าน ตรวจคนเข้าเมือง เราเข้าไปให้เขาดูพาสปอร์ตพร้อมกัน หนอย มาว่านี่ลูกชายหรอ กรำจริงๆน่ากะเหรี่ยงสามียิ่งอ่อนเยาว์อยู่ ไอ้เราขนาดว่าไปทำหน้าใสมาแล้วยังไม่สามารถลดไปได้เท่าเลย พอเราบอกไปว่าไม่ใช่ แม่คนนั้นดันขำกลิ้ง ดีๆๆ จะได้ไม่ต้องถามอะไรมาก เอาแต่ขำไป เลยไม่ค่อยได้ซักอะไรมาก ได้แต่ Stamp อย่างเดียว หลังจากนั้นก็ไปรับกระเป๋าที่สายพานเบอร์สอง แม่เจ้าโว๊ยย กระเป๋าเรานี่เด่นมาแต่ไกล ด้วยใบที่ใหญ่โต ข่มบารมีกระเป๋าชาวบ้านไปทั่ว อิอิ แต่ไม่ไหวมันหนักทำให้เดินถูลู่ถูกังเพราะกระเป๋าที่หนัก ขนาดใส่รถเข็นกันแล้ว แต่ขอบอกว่าแต่ละคนร่างกายบอบบางจะแย่ กว่าจะไปถึงทางที่จะขึ้นรถ Coach ได้ก็เมื่อยแขนเลยเนื่องจากต้องออกแรงในการบังคับรถเข็นมาก



หลังจากนั้นก็ไปต่อรถ Couch ที่ Central Bus Station เดินตามลูกศรไปเรื่อยก็ถึงเองอ่ะ ป่วยการบอกว่า Terminal ไหน เพราะข้อมูลในคู่มือนักเรียนมันไม่อับเดทแล้ว จองรถได้เที่ยวที่ 9.45 ไปถึง St Margaret Market 12.00 น ก็เลยไปหาที่นั่งรอก่อนเพราะขณะนั้นแค่ แปดโมงนิดๆเอง เสียค่ารถไปคนละ 32 ปอนด์ ขอได้อย่าคิดคุณเป็นเงินบาทเชียว จะหนาว แค่ค่ารถเองยังขนาดนี้ รูดปรืดๆ ไปเลยบัตรจะได้ไม่คิดมาก


หลังจากนั้นหาที่นั่ง ด้วยความที่รักในหลวง เลยใส่เสื้อเหลืองมากันเป็นเสื้อทีมทั้งกระเหรี่ยงผัวและกะเหรี่ยงเมีย พอเจอคนไทยที่ไหน ใครจะไม่รู้ก็บ้าไปแล้ว เลยได้รับการทักทายจากคนไทยไปทั้งสนามบิน รวมทั้งเจอน้องคนนึงที่เรียนอยู่ เบอร์มิ่งแฮม ก็มาลำเดียวกัน แต่เพิ่งจะมาคุยกันตอนรอรถเนี่ยหล่ะ จำไมได้หล่ะชื่ออะไร เดี๋ยวต้องไปควานหาก่อนว่าจดที่อยู่น้องเขาไว้ที่ไหน เผื่อว่าจะไปช๊อปปิ้งที่เบอร์มิ่งแฮมสักวันนึงข้างหน้า(ฝันหวานไปก่อน)

รถที่นี่วิ่งตรงเวลาเป๊ะๆ ขอบอกมาถึงที่ก็ตรงเวลาแบบไม่มีช้าไปห้านาทีเลย ก้าวลงจากรถ 12.00 เด๊ะ เยี่ยมจริงๆ สมควรให้มาตรฐาน ISO ไปครอง ลงจากรถก็เอาล่ะจะไปทางไหนดี เดินไปจะโทรหาน้องเกด นักเรียนไทยที่ DMU ก็โทรศํพท์ดันกินเรียญอีก ไอ้บ้าเอ๊ย ดันกินไปตั้ง สองเหรียญ( 140 บาทเชียวนะ ไม่ใช้สองบาทบ้านเรา) ผละจากโทรศัพท์มาด้วยความหัวเสีย แล้วก็เอาล่ะไปแท๊กซี่กันดีก่า ก็เลยเรียกแท๊กซี่ ไปตามคู่มือนี่หล่ะ Inquiries Office ตึก Eric Wood แหมก็คู่มือมันดันบอกว่ามาถึงให้ไปที่ตึกนี้เสียด้วย ให้แท๊กซี่พาไป โหแค่สตาร์ท บ้านเราเริ่มต้นที่ 35 บาท บ้านมันเริ่มต้นที่ 2.2 ปอน์ด ขูดเลือดกันชัดๆ เลี้ยวซ้ายทีมิตเตอร์ขึ้น เลี้ยวขวาทีมิตเตอร์ขึ้น กว่าจะถึงแท๊กซี่พาหลงเสียสองเหลียว ถอยไปถอยมาก็ปาไปเกือบ 5 ปอน์ด เศร้า อะไรๆก็เป็นแพงหูดับไปหมด

มาถึงก็แบบกะเหรี่ยงเข้าเมืองไปถึงตึก ก็เอาหล่ะ ถามดีก่าว่ามาหาใคร ว่าจะถามถึง Jamie ที่เป็นคนดูแลนักเรียนไทยที่ DMU กว่าจะพูดกันรู้เรื่องเพราะ she ที่ฟังแกเป็น อินเดียที่ทำงานอยู่ที่นั่นก็ ต้องเขียนกันล่ะ แล้วก็มีใครไม่รู้ใจดีมาโทรตามให้ หลังจากนั้น เจมี่ พ่อยอดขมองอิ่ม ก็โผล่มา พร้อมกับช่วยลากกระเป๋าไปตึกโน้นตึกนี้ และหาคนมาจัดแจงพาเราเข้าที่พักที Bede Hall ไปแท๊กซี่ฟรี ทีนี้ค่อยโล่งใจ แถมเจอเงินในแท๊กซี่อีก 1 ปอนด์ โอ๊ยดีใจ เมื่อกี้เสียกะโทรศัพท์ไปสองปอน์ด ยังเศร้าไม่หาย ถอนทุนคืนได้ 1 ก็ยังดีอ่ะ

มาถึง Bede Hall ว่าจะไม่โหก็ต้องโห ดันให้กะเหรี่ยงแยกกันอยู่คนละห้อง แถมอยู่ตรงข้ามกัน ก้าวข้ามไปก้าวเดียวก็ถึงประตูอีกห้อง จะให้ตรูอยู่ทำไมฟะเนี่ยแยกกันอ่ะคิดในใจอย่างหัวเสีย เนื่องจาก อาทิตย์ละ ร้อยปอนด์ต่อห้องเชียวนะ ไม่ใช้เล่นๆ เครียดเลย เหงื่อตก แถมแชร์ห้องน้ำ 10 ห้องมีห้องส้วม 1 ห้อง ห้องอาบน้ำสองห้อง โอมายก๊อด จะบ้าตาย ครัวก็แชร์ เศร้า งานนี้คิดได้อย่างเดียวตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ได้ อยู่ที่นี่แค่ สี่คืนพอ แค่นี้ก็แย่แล้ว

หลังจากนั้นตอนเย็นมีนัดกับน้องปอ ชายหนุ่มที่มาเรียน อาร์ตที่ DMU แต่มาถึงก่อนอาทิตย์นึง ก็ไปเดินชมเมืองกัน ปอพาไปกินร้านอาหารจีนเป็นอาหารมื้อแรกที่ Leicester ราคา 3.99 ปอนด์ จานใหญ่มาก เลยสั่งมาจานเดียว กันกันสองคนผัวเมีย อิ่มจะแย่แล้วแค่นั้น

หลังจากนั้นก็เดินชมเมืองสักพัก ไม่อยากจะบอกเลย ทุ่มนึงแล้ว ฟ้ายังสว่าง แบบไม่มีวี่แววว่าพระอาทิตย์จะตกเลยอ่ะ อะไรกันเนี่ย

และก็ไปซื้อซิมโทรศัพท์ อิอิ มาวันแรกก็มีเบอร์โทรศัพท์ใช้แล้ว ค่าซิมแค่ 5.5 ปอนด์ ไปซื้อของ O2 เอา เขาบอกว่าถูกสุดอ่ะ คนที่บอกคือคนที่ขายของอีกยี่ห้อนึง ตอนมันบอกนี่ทำทีกระซิบกระซาบชอบกล 555 เราเลยย้ายร้านไป เสียค่า Top up ไป 10 ปอนด์ รวมเป็น 16 ปอนด์โดยประมาณสำหรับการได้ติดต่อผู้คนในครั้งแรก

หลังจากนั้นก็ไปไหนต่อหนอ อ้อไปหาน้องเกด ช่วยเกดย้ายหอก่อน ขนกันพะรุงพะรัง ไปถึงหอเกด ก็กลับมานอน

คืนแรกที่เหมือนฝันร้ายที่ไม่อยากจำ เราหลับไปก่อนแล้วแต่คุณสามียังนั่งใช้เนตอยู่ ขอบอกว่าห้องตรงข้ามกัน สุดท้ายก็ดอดมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี จะไปแยกอยู่ให้มันเหงาเว้งง้างทำไม เช๊อะ สามีล้มตัวลงมานอนได้ไม่นาน เวลาประมาณ ตีหนึ่ง มีเสียง aLARM ลั่นหอ ประหนึ่งว่าไฟไหม้ โหเรางี้ตกใจ กระเหรี่ยงชายโดดไปห้องตัวเอง เห็นไฟที่เพดานห้องตัวเอง (สัญญาณไฟ)ร้อง ก็คิดว่าไฟมาจากห้องตัวเอง ก็ร้อง Help me Help me แต่ขอโทษ ห้องอื่นหันกลับมามองแบบไม่ค่อยสนใจ ส่วนกะเหรี่ยงเมียหรอ เก็บเงินก่อนเลย ของที่มีค่า อ้อ พาสปอร์ต กระเป๋า โน๊ตบุ๊คหรอเก็บแต่ดันลืมหยิบไป แล้วได้ยินเสียงคนตะโกนบอกว่าให้วิ่งออกไปนอกตัวอาคาร ก็เลยวิ่งตามๆกันไป โชคดีนะที่พักอยู่ชั้นล่างสุด ไม่อยากจะบอกเลยว่า งง กะมันมาก ทำไมผู้คนคืนอื่นวิ่งมาแต่ตัว แถมแต่งตัวกันสบายๆ ไม่ถือแม้แต่กระเป๋าสตางค์ นี่มันเรื่องจริงๆหรือนี่ อยากจะเคาะกบาลตัวเอง หรือว่าเราฝันหว่า ก็ได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่าให้เข้าไปข้างในแล้วเขาก็เชคชื่อ ……….. โอ๊ย อยากจะบ้าตาย สรุปคือเขาซ้อมเสมือนจริงกันหรอ คนที่อยู่มานานเขาชินแล้ว กรำแล้วนี่ไม่บอกสักคำ อายจะตายเป็นยายบ้าหอบของออกมา ดีนะไม่บ้าพลังหอบกระเป๋า ตู้เย็น ออกมาด้วย

ทั้งอาย ทั้งขำ แถมยังรู้สึกว่า นี่ถ้ามันไหม้จริงๆ ไอ้พวกที่คิดว่าซ้อมอ่ะ มันจะเสียดายไหมที่ไม่ได้เอาอะไรออกมาแม้แต่เสื้อใน มันยังไม่ใส่กันออกมาเลย ดูสิ หลังจาก งง กับเหตุการณ์ดังกล่าว ก็นอนไม่ค่อยหลับแล้ว ตีสาม เริ่มสว่างไรๆแล้ว ตีสี่นี่สว่างจ้าเลย โห พระอาทิตย์ไมจะรีบขึ้นนัก เมื่อคืนกว่าจะมืดก็ สี่ทุ่ม ท่าพระอาทิตย์จะทำโอทีอ่ะบ้านเมืองนี้




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2551   
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 19:36:29 น.   
Counter : 250 Pageviews.  


ชีวิตในต่างแดน

ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไร ทำให้ต้องมาตกระกำลำบากอยู่ต่างแดน หรือว่าเป็นเพราะว่าตามหาความฝันของตัวเองก็ไม่รู้เริ่มรู้สึกสับสนตัวเองจริงๆเลย

การใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน ต่างบ้านต่างเมือง ต่างผู้คน ต่างสิ่งแวดล้อม มันไม่ได้ง่าอย่างที่คิดเลย โดยเฉพาะเรื่องอาหารนี่ เป็นสิ่งสำคัญเลย ไม่ว่าจะไปไหนๆ สิ่งสำคัญก็เรื่องอาหารนี่หล่ะ เป็นปัจจัยสี่ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริงๆ เพราะถ้าหาอาหารไทยทานไม่ได้ เมืองนั้นจะกลายเป็นเมืองที่แย่ที่สุดในสายตาของอิฉันไปเลย เพราะร่ำๆแต่จะกลับบ้านอยู่ตลอดเวลาเลย เหมือนตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรก กลับมาถึงเมืองไทย อาหารมื้อแรกตอนลงจากเครื่องบิน ก็ข้าว น้ำพริกปลาทูเลยเจ้าค่ะ

ตอนมาอังกฤษวันแรก ก็ งง อยู่ ทีแรกนึกว่าเครื่องมาตกอยู่ในประเทศอินเดีย เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่แขก ยัง งงหยิกตัวเองไปสามรอบว่าเราฝันไปหรือเปล่า เอเครื่องบินมันตกที่บอมเบย์หรือนี่ที่รัก เอาไงว่ะ ไหนๆก็มาแล้ว The show must go on หลับหูหลับตาทนไปเหอะ เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว เรียนไม่กี่ปีเอง

พอเจอผู้คนแปลกหน้า ก็มาเจอภาษาแปลกหูอีก ไอ้ภาษาอังกฤษปกติก็ฟังยากอยู่แล้ว มาเจอภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาท้องถิ่นไปอีก ยิ่ง ฟังยากจนอยากจะขึ้นเครื่องกลับไทยให้มันรู้แล้วรู้รอด หดหู่เป็นยิ่งหนัก เหมือนว่าเราจะคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะฟังมันไม่รู้เรื่องนี่หล่ะ คิดดูเอาคนใต้มาพูดภาษากลางมันก็จะมีทองแดงร่วงช่ายป่ะ ก็ลองนึกเอาเองว่าถ้าคนเหนือพูดพูดอังกฤษ คนใต้พูดอังกฤษ สำเนียงก็ต่างกัน แล้วมาอยู่ในเมืองที่ไม่ใช่ลอนดอน ก็ต้องเจอปัญหาแบบเดียวกัน อะไรอะไรมันสั้่นๆ อยู่ในลำคอไปหมด ไม่ค่อยจะออกเสียงกันเลย ยังกะกลัวดอกพิกุลร่วงไปหมด บางคำละไว้ในคอไม่ออกเสียง อย่างเมืองที่อยู่ Leicester เราอ่านกันตรงๆก็ ลีเซสเตอร์ แต่มาที่นี ขอโทษค่ะ เขาเรียกว่าเมืองเลสเตอร์ เออ เอากะมันสิ แล้วอย่ามาออกเสียงลีเซสเตอร์ให้มันฟังเชียวนะ มันจะขำกันทั้งบ้านทั้งเมือง มาที่นี่ช่วงแรกเลยเครียดค่ะ ไม่กล้าออกเสียง เพราะว่ากลัวมันจะขำอย่างที่บอกอ่ะ

ฟังก็ยากแล้ว ยังจะทำให้เราไม่กล้าพูดอีก เป็นใบ้อยู่หลายเดือน เหมือนจะติดพวกนี้คือกลัวดอกพิกุลร่วงไปโดยปริยาย ไม่ค่อยกล้าพูดจนเพื่อนๆบอกพูดไปเหอะ ผิดเดี๋ยวจะบอกนั่นหล่ะถึงจะกล้าๆหน่อย พอดีได้รู้จักกับเจ้าชายแขกคนนึงที่มาเรียนหมอเด็กอยู่ที่นี่ ค่อนข้างจะนิสัยน่ารักและเป็นที่รู้จักของคณะ เขาเลยได้พาไปแนะนำเพื่อนๆ และก็ชักจูงเข้าสูวงการ คือให้เป็นกรรมการบริหารพรรค อิอิ แบบว่ากรรมการสมาคมนิสิตป.เอกของมหาลัยโดยดูแลรับผิดชอบ เวบไซด์ขององค์กร ก็เลยตอบรับไปเพราะหนึ่งอยากจะเอาตัวเองเข้าสู่สังคมด้วยเพราะว่าจะได้ฝึกพูดฝึกฟังให้เก่งเร็วๆ และก็ๆได้ประสบการณ์อีกด้วย

ตอนนี้เริ่มมีเพื่อนเยอะ เริ่มชินกับภาษาเริ่มกล้าที่จะพูดแล้วค่ะ กว่าจะชินก็ปาเข้าไปจะสองปีแล้ว แต่ก็ทำให้ไม่เครียดนักเวลาเจอผุ้คน เจอกรรมการชุดต่างๆซักถามเกี่ยวกับงานวิจัยของตัวเอง ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆที่ช่วยกันขัดเกลาด้วยหล่ะ




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2551   
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 18:59:40 น.   
Counter : 498 Pageviews.  


แจ้งเกิดนางฟ้าน้อย

วันนี้พาโฟกัสไปแจ้งเกิดที่สถานทูตไทยอีกครั้งหลังจากที่แจ้งเกิดที่ เมืองเลสเตอร์แล้ว บวกกับทำพาสปอร์ตใหม่ไปในตัว เอกสารที่ต้องเตรียมไปก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก มีดังนี้คือ 1) แบบฟอร์มสูติบัตรที่ดาวน์โหลดมาจากเวบไซด์ของสถานทูต สามเอกสารด้วยกันคือ สูจิบัตร แบบฟอร์มขอทำพาสปอร์ต และก็แบบฟอร์มให้ดำเนินการ 2) สูติบัตรแบบยาวจากเมืองเลสเตอร์ถ่ายเอกสารมา 2 ชุด 3)สำเนาพาสปอร์ตพ่อกับแม่คนละ 2 ชุด 4)สำเนาทะเบียนสมรส 5)สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาทะเบียนบ้านพ่อกับแม่คนละ 2 ชุด

ก่อนที่จะไปทำก็โทรไปนัดก่อนว่าจะได้วันไหน ด้วยนะคะ หลังจากที่ได้วันนัดก็ไปทำ ทำในผู้ใหย่คงไม่ตลกเท่ากับเด็ก เพราะว่าใบขอทำพาสปอร์ตต่างๆต้องเป็นชื่อเด็ก แล้วการเซ็นต์ชื่อเด็กก็ต้องลงชื่อตัวเอง ทีนี้เด็กยิ่งเล้กมากก็คงจะเขียนหนังสือไ่ม่ได้ ต้องใช้ปั๊มลายนิ้วมือเอา นิ้วเด็กก็เล็กมากลองนึกภาพตามต้องมาปั๊มในกล่องหมึก แล้วมาปั๊มบนกระดาษ มันตลกและทุลักทุเลเอาการกว่าจะทำได้

อีกกระบวนการนึงก็ตอนถ่ายรูป ถึงแม้เราจะนำรูปถ่ายหน้าตรงเด็กไปแล้วไปถึงสถานทูกก็ต้องถ่ายอีก ในเด็กเล็กที่ยังยั่งเองไม่ได้ก็ต้องให้ผู้ปกครองนั่งด้วย เอาละสิจะถ่ายไงไม่ให้เห็นคนข้างหลัง ก็ต้องเอากระดาษขาวมากันที่หลังเด็ก แล้ว จะทำอย่างไรให้เด็กมองกล้อง กว่าจะได้ก็ต้องเอาหน้าพ่อหรือแม่ไปหลอกล่อกันหน้าดู ภาพที่ได้ก็ทุกลักทุเล โย้ไปเย้มาก น่าขำจะตาย กว่าจะถ่ายได้โฟกัสน้ำลายยืดเลย หลังจากพิมพ์ลายนิ้วมือก็เช็ดด้วยกระดาษที่เอาไว้เช็ดก้นเด็กเรียบร้อยขัดจน โฟกัสเริ่มรำคาญก็ยังออกไม่หมด ไอ้เราก็เลยปล่อยไว้ เพราะไม่อยากให้ลูกเจ็บมาก เดินไปเดินมาอยู่เป็นชั่วโมงหลังจากออกจากสถานทูตหันไปอีกทอ้าวลูกปากเขียว คล้ำเลย ทีแรกก็คิดว่าลูกหนาวที่ไหนได้พ่อบอกว่าหันไปดูที่นิ้วลูกสิเอี่ยมเชียว ที่แท้ลูกใช้น้ำลายตัวเองล้างออกนี่เอง อิอิ




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2551   
Last Update : 29 พฤษภาคม 2551 20:15:19 น.   
Counter : 318 Pageviews.  


1  2  

นางฟ้าของมารี
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add นางฟ้าของมารี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com