เมื่อฉันมีโอกาสไปถ่ายรูปการซ้อมใหญ่พิธีเห่เรือ
ช่วงปลายเดือนตุลาคมต่อต้นเดือนพฤศจิกายน ฉันมีโอกาสอันดีที่ได้ไปถ่ายรูปการซ้อมใหญ่พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคการซ้อมใหญ่นี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ครั้งคือวันที่ 26 ต.ค. , 29 ต.ค. , และวันที่ 2 พ.ย.โดยพระราชพิธีนี้ผ่านไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2550 โดยการซ้อมใหญ่จะมีการแต่งกายและจัดกระบวนเรือ พร้อมทั้งกำหนดเวลาหยุดพัก เหมือนวันจริงทุกอย่างตัวฉันเองมีโอกาสได้ไปถ่ายรูปงานนี้ในวันซ้อมใหญ่ครั้งที่ 2 และ 3นั่นก็คือวันที่ 29 ต.ค. และ 2 พ.ย. โดยทั้งสองครั้งได้รับความอนุเคราะห์จากอาจารย์ที่เคารพชวนไปถ่ายรูปด้วยกัน ในครั้งแรกนั้นอาจารย์ได้บัตรของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมา ดังนั้นเราจึงตรงไปที่หอประชุมกองทัพเรือบัตรที่ได้มานั้น เป็นบัตรชมการซ้อมใหญ่พร้อมทั้งเลี้ยงอาหารด้วยที่ชั้น 3 ของหอประชุมกองทัพเรือ ตอนแรกที่ไปถึงเราก็กะกันว่าคงไม่ได้กินอะไรแล้วคงถ่ายรูปอย่างเดียว แต่ทว่าตรงหอประชุมมีจั่วหลังคายื่นออกมาพร้อมทั้งเสาไฟสีแดงอยู่ที่ริมน้ำ ทำให้ถ่ายรูปยังไงก็ติดสองอย่างนี้ ก็เลยต้องทำใจ แถมที่ระเบียงยังมีคนจับจองยืนถ่ายรูปเต็มไปหมด ดังนั้นพวกเราจึงไปนั่งทานโต๊ะจีนอย่างสบายใจกันก่อน พอขบวนเรือเริ่มเคลื่อน เราก็รีบย้ายไปนั่งเก้าอี้ที่ทาง ททท เตรียมไว้ริมผนังกระจกพร้อมทั้งถ่ายรูปผ่านกระจกออกไป ตอนแรกนึกว่ารูปจะต้องออกมาดูไม่ได้ซะอีกเพราะที่เคยถ่ายผ่านกระจกมาไม่เคยดูได้สักที แต่คราวนี้เป็นได้กล้องดีของอาจารย์รูปเลยออกมาได้สวยงาน เมื่อกระบวนเรือไปถึงท่าวัดอรุณจะมีการกลับกระบวน รอรับเสด็จกลับระหว่างนั้นเอง อาจารย์ก็ชวนเดินไปที่นาวิกสภาพเพราะว่าตรงนั้นเป็นจุดที่สวยที่สุดขาไปคนที่เข้าไปได้มีเฉพาะสื่อมวลชนและแขกที่มีบัตรเชิญ แต่ช่วงเรือขากลับ คนเริ่มทยอยกลับ ทางกองทัพเรือเลยให้พวกเราเดินเข้าไปได้เราได้ไปถ่ายรูปกันที่ชั้นสองของราชนาวิกสภา จุดที่ตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวังพอดีเป็นจุดที่สวยมากๆ เมื่อเรือสุพรรณหงส์มาจอดเทียบท่าพระบรมมหาราชวังนั้นจอดอยู่นานมาก พวกเราถ่ายกันได้อย่างจุใจ เสียดายแต่ว่าไม่มีเลนส์เทเลมาด้วยทำให้ถ่ายซูมได้ไม่ค่อยเต็มที่ วันนั้นพวกเรารอถ่ายกันจนฟ้ามืด เพื่อรอถ่ายรูปพระบรมมหาราชวังด้วย แต่เสียดายวันนั้นทางพระบรมมหาราชวัง เปิดไฟเพียงดวงเดียว ทำให้สุดท้ายไม่ได้รูปตามที่ต้องการส่วนการไปดูซ้อมใหญ่ในวันที่ 2 พ.ย. นั้น โชคดีมากที่เราได้ตามไปพร้อมคณะกรรมการจัดงาน ทำให้เราได้เข้าไปอยู่ที่ราชนาวิกสภาตั้งแต่เริ่มแรกอีกทั้งอากาศวันนั้นก็เป็นอย่างมาก ฟ้าสวย เมฆสวย แดดสวยวันนี้กล้องที่อาจารย์ให้ยืมถ่ายเป็นกล้องฟูจิที่ไม่เคยใช้มาก่อนแถมอาจารย์ยังเตรียมเลนส์ไว้ให้สองตัว เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ได้เปลี่ยนเลนส์ด้วยตัวเอง ทีแรกคิดในใจว่าคงไม่ได้เปลี่ยนแน่เลย เพราะมันช้าเราถ่ายด้วยเลนส์ตัวเดียวก็น่าจะพอ แต่ปรากฎว่าพอกระบวนเรือเริ่มผ่านเท่านั้นล่ะเราเปลี่ยนสับเลนส์ไปมาด้วยความสนุก สรุปวันนั้นถ่ายรูปเรือไปเยอะมากทั้งขาไปและขากลับ เป็นวันที่ท้องฟ้าเป็นใจ อากาศเย็นสบายแดดส่งมากระทบที่พระบรมมหาราชวัง และสีทองของเรือได้งามมาก จริง ๆ แล้ว ทั้งเรือพระที่นั่ง เรือประกอบ รวมทั้งกระบวนเรือนั้นงดงามในตัวเองอยู่แล้ว คิดว่าวันนั้นใครที่ได้ไปดูและถ่ายรูปออกมาคงได้รูปที่สวยงามออกมากันทุกคน เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะมีกี่ครั้งคนถ่ายรูปก็ยังอยากถ่ายอยู่เสมอ แล้วก็กดชัตเตอร์กันได้แบบไม่ยังคิดเลยทุกครั้งหวังว่าคงมีโอกาสดี ๆ ที่ได้ไปถ่ายรูปแบบนี้อีก สามารถดูรูปได้ที่ //shorttiger.multiply.com
คู่กรรม เดอะมิวสิคัล
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ไปดูคู่กรรม เดอะมิวสิคัลมาค่ะจริง ๆ แล้วเรื่องนี้ เคยดูมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนที่โรงละครกรุงเทพฯคราวนี้ได้ข่าวว่ามาทำใหม่ที่โรงละครเมโทรโปลิส ที่บิ๊กซี ราชดำริและมีน้องโทรมาชวนไปดูด้วยกัน ก็เลยเอาก็เอา แต่พี่ขอบัตรถูกสุดนะน้อง น้องก็แสนดีจองบัตรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเรามีนัดดูคู่กรรมกัน จนคืนก่อนวันนัดกันโทรไปหาเพื่อยืนยันว่าเราดูพรุ่งนี้กันใช่มั้ยจ๊ะ น้องผู้แสนดีกลับติดธุระไปดูไม่ได้แต่ฝากบัตรไว้กับน้องคนอื่นแทน ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีน้องคนอื่นไปดูด้วยกันไปถึงโรงละครพร้อมกับสายฝนโปรย จริง ๆ น่าจะตกช้ากว่านี้สักสิบนาทีขอเดินเข้าห้างก่อนก็ไม่ได้ ดีที่เราเตรียมพร้อมดี มีร่มติดในกระเป๋าตลอดเวลาแต่กระนั้นก็ยังเปียกอยู่ดี ไปถึงก็โทรถามทางน้องที่ถือบัตร เพราะเคยเข้าห้างนี้ไม่กี่ครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรงละครอยู่ตรงไหน น้องเค้าบอกว่าพี่อยู่หน้าโรงละครแล้วตรงชั้นโรงไหน อ้าว แล้วโรงหนังมันอยู่ชั้นไหนอ่ะจ๊ะ พี่ไม่รู้จักเหมือนกันสรุปอยู่ชั้นห้า ขึ้นไปถึง คนนั่งรอดูละครกันเต็มไปหมด ตอนแรกในเว็บบอกว่าเปิดประตูก่อนเวลาแสดงครึ่งชั่วโมงเราไปถึงตอน 13:45 ยังเงียบกริบไม่มีวี่แววใด ๆ ตอนใกล้ ๆ สองโมงน้องที่ไปด้วยกันเดินไปเข้าห้องน้ำบอกว่า ยังเห็นทหารญี่ปุ่นเดินไปเดินมาอยู่เลยค่ะสงสัยรอทหารญี่ปุ่นทำธุระให้เสร็จก่อนค่อยเปิดประตูและแล้วก็ได้เวลาเปิดประตูโรงละครตอนบ่ายสอง เราต้องขึ้นไปอีกชั้นที่ชั้นหกมีคนคอยตรวจบัตรที่นั่งหน้าประตู แล้วก็ปล่อยให้เข้าไปอ้อ ขอบ่นเรื่องบัตรสักหน่อย บัตรไม่ลงทุนเอาซะเลยไม่มีรูป ไม่มีอะไรเลย ไม่น่าเก็บเอาซะเลยคราวที่แล้วจำได้ว่ามีพิมพ์รูปพระเอก-นางเอกซะสวยงามหรือว่าคราวนี้ดูบัตรถูกสุดเลยได้แบบธรรมดาหรือโรงละครไม่มีงบเลยเอาแบบถูกสุดเพื่อประหยัดงบเข้าไปในโรงละคร โรงเล็กจริง ๆ คงเป็นโรงหนังที่ดัดแปลงเป็นโรงละครพวกเราทั้งหมด 4 คน ได้นั่งแถวบนสุดเกือบ ๆ กลางมองลงไป เห็นหลุมนักดนตรีนั่งอยู่หน้าเวทีชัดเจน (ไม่รู้เรียกว่าหลุมรึเปล่าแต่เห็นมีคนเรียกว่า หลุมนักดนตรี เลยเรียกด้วย) นั่งแถวบนสุดโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ต้องลงบันไดลงไปตรงไหนทั้งสิ้นเพราะดูแล้วขั้นบันไดค่อนข้างแคบเหมือนกัน ระหว่างนั่งรออยู่นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงร้องเฮ้ย หันไปดูตรงกลางปรากฎว่ามีคนตกบันไดค่ะ น้องที่ไปด้วยกัน ที่เห็นเหตุการณ์พอดีบอกว่า สงสัยสะดุดพี่ อยู่ ๆ ดีก็วูบไปเลย คนที่ไปด้วยกันกับคนที่ล้มหันไปมองทางอื่นพอดีเลย คาดว่าจะเป็นผู้สูงอายุค่ะ ล้มไปนานมากไม่ทราบว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า ถ้ายังไงก็ฝากปรับปรุงเรื่องขั้นบันไดด้วยละกันนะคะได้ข่าวว่าจะมีละครเล่นที่นี่อีกหลายเรื่องเรารอกันไม่นานค่ะ ก็ได้เวลาเปิดม่านเริ่มแสดงหันไปมองรอบ ๆ โรงละคร แล้วก็ดีใจที่เห็นคนค่อนข้างหนาตาตอนแรกคุยกับน้อง ๆ กลัวว่าจะไม่มีคนมาดูเพราะไม่มีข่าวประชาสัมพันธ์อะไรเลยทั้งนั้น กลัวคนทำหมดกำลังใจไปซะก่อนถ้าไม่มีคนมาดู คุณน้ำมนต์ร้องเพลงได้ดีตามเคย เสียงดีไม่มีตกเลยแต่ทว่า ฟังไปทั้งเรื่อง คนฟังก็เหนื่อยแทนค่ะ คือเธอร้องโทนเดียวตลอดทั้งเรื่องทำให้เราเหนื่อยตามเธอไปด้วย จริง ๆ น่าจะมีเพลงที่โทนเสียงแบบอื่นให้เธอได้ร้องบ้างคราวนี้พระเอกของเรา คุณเซกิ ร้องเพลงได้ชัดขึ้นมาก ๆ ถึงมากที่สุดค่ะคราวที่แล้วจำได้ว่า ฟังพระเอกร้องไม่รู้เรื่องเลย คราวนี้รู้เรื่องแล้วค่ะ มีไม่ชัดบ้างก็บางที ให้อภัยได้ค่ะในฐานะที่พระเอกน่ารัก เหมาะสมกับบทโกโบริเป็นที่สุด คุณน็อตก็ร้องเพลงได้ดีขึ้นนะคะ สรุปว่านักแสดงโอเคค่ะ ส่วนภาคดนตรีเพราะมาก ๆ ค่ะ ขอชื่นชมค่ะเรื่องฉากนี่ไม่ต้องเปรียบเทียบเลยค่ะ จำของคราวที่แล้วไม่ได้เลยรู้แต่ว่า เวทีคราวนี้เล็กกว่าเดิมเยอะมาก ฉากก็ใช้คุ้มมาก ๆ มีด้านหน้า ด้านหลัง แถมบางช่วงยังให้เห็นเทคนิคการเปลี่ยนฉากด้วยส่วนการแสดงที่ประทับใจมากที่สุด คือตอนที่มีระเบิดลงที่อู่แล้วมีทหารตาย แล้วโกโบริรู้สึกผิดจนคิดจะฆ่าตัวตายตามเล่นกันดีจริง ๆ ค่ะ ดูแล้วสงสารโกโบริจริง ๆ เพราะหัวใจทำให้ต้องละเลยหน้าที่ไป ทำให้ยิ่งไม่ชอบหน้ายัยอังศุมาลินมากขึ้นคนอะไร หัวแข็ง ไร้เหตุผล ไม่ฟังความรอบข้างเอาซะเลยสมแล้วที่ต้องทรมานในภาค 2 ( เราโหดไปเปล่านี่ )สรุป ดูแล้วไม่ผิดหวังเลยค่ะ คุ้มค่ามากค่ะ ไม่รู้ว่าละครเรื่องนี้จะมีโอกาสกลับมาเล่นอีกมั้ยถ้ามีโอกาส ใครที่ยังไม่เคยไปดูก็อย่าลืมไปดูนะคะ ของเค้าดีจริง ๆ