|
|
|
|
|
|
7. เทคโนโลยีโทรคมนาคม
ความหมายของเทคโนโลยีโทรคมนาคม
โทร แปลว่า ไกล คมนาคม แปลว่า การสื่อสาร โทรคมนาคม (Telecommunication) หมายถึงการสื่อสารระยะใกล้และไกล โดยการรับส่งสัญญาณเสียง ข้อความและภาพ ผ่านสื่อสัญญาณทางสายหรือไร้สายด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งอาจเป็นไฟฟ้า แสง หรือวิธีอื่นใดที่ทำงานร่วมกัน เช่น โทรสาร ววิทยุติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ต วิทยุกระจายและโทรทัศน์ Remote Control เป็นต้น
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบโทรคมนาคม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบด้วยกัน คือ
หน่วยส่งข้อมูล ------------------------ > หน่วยรับข้อมูล ช่องทางการสื่อสารข้อมูล
1. หน่วยส่งข้อมูล เป็นหน่วยที่ต้องการแจ้งหรือส่งข้อมูลให้หน่วยื่อน ๆ ทราบ เป็นต้นทางของการสื่อสารข้อมูล มีหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสาร อาจจะเป็นคน หรือวัตถุก็ได้ 2. ช่องทางการสื่อสาร คือกระบวนการ ช่องทาง หรือสื่อใด ๆ ที่ทำให้ข้อมูลสามารถส่งไปถึงหน่วยรับข้อมูลอย่างไม่ผิดพลาด เป็นสื่อสัญญาณทางสายหรือไร้สายก็ได้ 3. หน่วยรับข้อมูล เป็นปลลายทางของการสื่อสารข้อมูลที่ทำหน้าที่รับข้อมูลส่งมาผ่านช่องทางการสื่อสาร อาจจะเป็นคนหรือวัตถุก็ได้
ทิศทางการสื่อสารข้อมูล มี 3 ชนิดคือ 1. แบบทิศทางเดียว (Simplex หรือ One-Way) ข้อมูลจะถูกส่งจากทิศทางหนึ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง โดยไม่สามารถย้อนกลับมาได้ เช่น ระบบวิทยุ ระบบโทรทัศน์ การส่งอีเมล เป้นต้น 2. แบบกึ่งสองทิศทาง (Half Duplex) ข้อมูลสามารถส่งสลับกันได้ทั้ง 2 ทิศทางโดยต้องผลัดกันส่งครั้งละทิศทางเท่านั้น เช่น วิทยุสื่อสารแบบผลัดกันพูด 3. แบบสองทิศทาง (Full Duplex หรือ Both-Way) ข้อมูลสามารถส่งพร้อม ๆ กันได้ทั้ง 2 ทิศทางอย่างอิสระ เช่น ระบบโทรศัพท์ การChat Online
สัญญาณไฟฟ้าในระบบโทรคมนาคม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. สัญญาณแอนะล็อก (Analog Signal) เป็นสัญญาณไฟฟ้าในลักษณะคลื่นต่อเนื่อง (Sine wave) สัญญาณไฟฟ้าที่จะใช้เนเสียง หรือรูปภาพ เช่น ระบบวิทยุ โทรศัพท์ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี 2. สัญญาณดิจิทัล (Digital Signal) เป็นสัญญาณไฟฟ้าในลักษณะไม่ต่อเนื่องเป็นระบบ 2 สภาวะ คือ สภาวะที่ไม่มีสัญญาณไฟฟ้าและมีสัญญาณไฟฟ้าโดยแทนสัญญาณข้อมูลด้วย "0" หรือ "1"
วัตถุประสงค์ของการนำการสื่อสารข้อมูลเข้ามาใช้ในองค์กร 1. เพื่อรับข้อมูลและสารสนเทศจากแหล่งข้อมูล 2. เพื่อส่งและกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว 3. เพื่อลดเวลาในการทำงาน 4. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งข่าวสาร 5. เพื่อช่วยขยายการดำเนินงานขององค์กรให้ดีขึ้น 6. เพื่อช่วยปรับปรุงการบริหารองค์กรให้สะดวกมากขึ้น
แบบฝึกหัด 7.1. องค์ประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลมีอะไรบ้าง 7.2. จงยกตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลแบบทิศทางเดียวมา 2 ตัวอย่าง 7.3. จงยกตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลแบบสองทิศทางมา 2 ตัวอย่าง
Create Date : 30 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 10:11:47 น. |
Counter : 9372 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกลใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีการทางคณิตศาสตร์
ที่มา : พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ 4'S 1. Speed ความเร็ว 2. Sure ความน่าเชื่อถือ 3. Storage ความจุ หรือหน่วยเก็บข้อมูล 4. Self Acting ความเป็นอัตโนมัติ
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ - งานธุรกิจ - งานวิทยาศาสตร์ - งานคมนาคมและการสื่อสาร - งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม - งานราชการ - การศึกษา ฯลฯ
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ถูกประดิษบ์ขึ้นครั้งแรก ปี ค.ศ.1946 - ยุคที่หนึ่ง เทคโนโลยีหลอดสุญญากาศ (Vacuum tube technology) ปี ค.ศ. 1951 - 1958 คอมพิวเตอร์ยุคแรกได้แก่ MARK I, ENIAC, UNIVAC - ยุคที่สอง เทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ (Transistor technology) ปี ค.ศ.1959 - 1964 - ยุคที่สาม การรวมแผงวงจร (Intergrated Circuit : IC) ปี ค.ศ.1965 - 1671 - ยุคที่สี่ การรวมแผงวงจรขนาดใหญ่ (Very Large-Scale Intergrated Circuit : VLSI) ปี ค.ศ. 1972 - 1980 - ยุคที่ห้า ยุคปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่ ปี ค.ศ.1980 ถึงปัจจุบัน หรืออาจเรียกว่ายุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)
ประเภทของคอมพิวเตอร์ มี 3 กลุ่มหลัก แบ่งตามหลักการประมวลผล ได้แก่ 1. Analog Computer 2. Digatal Computer 3. Hybrid Computer แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน 1. General - Purposed Computer 2. Special - Purposed Computer แบ่งตามความสามารถในการประมวลผล 1. Super Computer 2. Mainframe Computer 3. Mini Computer 4. Micro Computer
องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ มี 5 ประการคือ 1. Hardware 2. Software 3. People 4. Data/Information 5. Procedure
1. Hardware คือ ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์ คืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ แบ่งเป็น 5 ส่วน คือ 1.1 Input Unit หน่วยรับข้อมูล เช่น แป้นพิมพ์, เมาส์, ปากกาแสง, ไมโครโฟน, เครื่องสแกนเนอร์, เครื่องอ่านรหัสแท่ง ฯลฯ 1.2 CPU : Central Processing Unit ทำหน้าที่ประมวลผลหลังจากที่ได้รับข้อมูลแล้ว แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ - หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic Logic Unit : ALU) มีหน้าที่ในการคำนวณและเปรียบเทียบตรรกะในการคำนวณ - หน่วยควบคุม (Control Unit : CU) มีหน้าที่ควบคุมการรับ - ส่ง คำสั่งและข้อมูลเพื่อประสานงานกับหน่วยต่าง ๆ - หน่วยความจำหลัก (Main Memory) มีหน้าที่จัดเตรียมที่พักในการเก็บข้อมูลแบบชั่วคราว มี 2 ชนิด คือ ROM : Read Only Memory หน่วยความจำหลักที่ไม่ลบเลือน (ไฟดับข้อมูลไม่หาย)
RAM : Random Access Memory หน่วยความจำหลักแบบลบเลือน (ไฟดับ ข้อมูลหาย) 1.3 Output Unit หน่วยแสดงผล เช่น จอภาพ, อุปกรณ์ฉายแสง, ลำโพง, เครื่องพิมพ์ 1.4 Secondary Storage หน่วยเก็บสำรองข้อมูล มี 2 แบบ คือ - หน่วยความจำสำรองที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง (Direct Access Storage Devices) สามารถเข้าไปกระทำกับข้อมูลที่เก็บในอุปกรณ์ชนิดนั้นโดยตรง ได้แก่ จานแม่เหล็ก (Harddisk, Floppy disk), จานแสง (CD-ROM, DVD, WORM Disk, Rewriteable Optical Disk) , Flash Memory - หน่วยความจำสำรองที่สามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียงลำดับ (Sequential Access Storage Devices) เก็บข้อมูลแบบเรียงลำดับกันไปตั้งแต่แรกจนถึงตำแหน่งสุดท้าย ได้แก่ เทปแม่เหล็ก และ เทปรีล
2. Software หมายถึง ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 System Software ซอฟต์แวรระบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 2..1.1 Operating System: OS ซอฟต์แวรระบบปฏิบัติการทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ UNIX, LINUK, MS-DOS, WINDOWS 2.1.2 Utilities Program โปรแกรมอรรถประโยชน์ ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งาน เช่น Disk Defragmenter, Disk Cleanup ,Backup 2.1.3 โปรแกรมแปลภาษา มี 3 ชนิด - Assembler แปลภาษาแอสแซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง - Compiler แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลทั้งโปรแกรม - Interpreter แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลทีละคำสั่ง 2.2 Application Software โปรแกรมประยุกต์หรือโปรแกรมสำเร็จรูป เช่น SPSS, Photoshop, Microsoft Office, PowerDVD, MSN ฯลฯ
3. People บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ผู้บริหารงานคอมพิวเตอร์, นักออกแบบระบบ, นักวิเคราะห์ระบบ, นักเขียนโปรแกรม, นักบำรุงรักษาโปรแกรม, พนักงานคีย์ข้อมูล ฯลฯ
4. Data/Information ข้อมูลและสารสนเทศ
5. Procedure กระบวนการทำงาน เช่น วิธีการเปิด-ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์, วิธีการคัดลอกและวางข้อมูล , วิธีการจัดรูปแบบตัวอักษร ฯลฯ
แบบฝึกหัด 6.1. องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์มีอะไรบ้าง จงอธิบาย 6.2. จงยกตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่เป็น Application Software มาอย่างน้อยคนละ 5 โปรแกรม 6.3. ROM และ RAM มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
Create Date : 27 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 10:08:55 น. |
Counter : 8665 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
5. ลักษณะของสารสนเทศที่ดี
1. มีความถูกต้อง แม่นยำ 2. ทันต่อการใช้งาน (ทันสมัยอยู่เสมอ) 3. ความสมบูรณ์ในตัวเอง 4. มีความกะทัดรัก ชัดเจน 5. ตรงกับความต้องการ
นอกจากนี้สารสนเทศที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้ - มีความลำเอียดแม่นยำ - มีคุณสมบัติเชิงปริมาณ สามารถแสดงออกมาในรูปของตัวเลข - มีความยอมรับได้ - ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็ว - ไม่ลำเอียง - ชัดเจน เข้าใจง่าย
แบบฝึกหัด 5.1. ทันต่อการใช้งาน หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย 5.2. มีความสมบูรณ์ในตนเอง หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย
Create Date : 27 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 10:07:02 น. |
Counter : 26066 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
4. การผลิตสารสนเทศ
การผลิตสารสนเทศจะมีขั้นตอนหรือวิธีการต่างๆ ในการปฏิบัติ ดังนี้ 1. การรวบรวม (Capturing) เป็นการดำเนินการเพื่อรวบรวมและบันทึกข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อการประมวล เช่น การบันทึกไว้ในแฟ้มเอกสาร หรือด้วยคอมพิวเตอร์ การรวบรวมทำได้โดยการสังเกต การสัมพันธ์ การทำแบบสอบถาม การทดสอบและการใช้แบบสำรวจ ข้อมูลที่ได้ต้องมีคุณลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ ตรงตามความต้องการที่กำหนดไว้ และมีความเชื่อถือได้
2. การตรวจสอบ (Verifying) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้รับจากการรวบรวมและบันทึกเอาไว้ถูกต้อง มีวิธีการตรวจสอบ 2 วิธีคือ 2.1 Verification ตรวจสอบว่าข้อมูลที่บันทึกหรือรวบรวมไว้นั้นตรงกับข้อมูลที่ปรากฏบนเอกสารต้นฉบับข้อมูลหรือไม่ 2.2 Validation ตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นสมเหตุสมผลของข้อมูลหรือมีความเป็นไปได้หรือไม่
3. การจำแนก (Classifying) กำหนดหลักการแบ่งประเภทเป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มตามคุณสมบัติข้อมูล ในลักษณะที่เหมาะสม มีความหมายและเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ โดยกำหนดสิ่งที่เหมือนกันไว้ด้วยกัน
4. การจัดเรียงลำดับ (Arranging) เป็นการจัดวางโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลว่า จะจัดเรียงลำดับระเบียบข้อมูลในแฟ้มข้อมูลอย่างไร
5. การสรุป (summarizing) การจัดรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกันหรือแบ่งกลุ่มข้อมูลและรวบยอดของแต่ละกลุ่ม เพื่อเตรียมคำนวณหาค่าดัชนีหรือสารสนเทศในขั้นต่อไป
6. การคำนวณ (calculating) เป็นการจัดการทำข้อมูลโดยอาศัยวิธีการทางคณิตศาสตร์มาจัดกระทำกับข้อมูลในรูปความสัมพันธ์กัน เพื่อให้ได้สารสนเทศตามต้องการ
7. การจัดเก็บ (Storing) จัดเก็บไว้ในสื่อต่าง ๆ ถ้าเป็นการจัดการด้วยคอมพิวเตอร์เก็บไว้ในสื่อบันทึกข้อมูลเช่น แผ่นจานแม่เหล็ก เทปแม่เหล็ก เป็นต้น
8. การเรียกใช้ (Retrieving) เป็นกระบวนการค้นหาและดึงข้อมูลที่ต้องการออกจากสื่อบันทึกข้อมูล การเรียกใช้มี 2 วิธีคือ เรียกใช้เพื่อมาปรับปรุงแก้ไขข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน และเรียกใช้เพื่อนำข้อมูลนั้นมาใช้งานหรือเพื่อให้บริการและคำตอบแก่ผู้ใช้
9. การเผยแพร่ (Dissminating and Reproducting) คือ การเผยแพร่สารสนเทศให้กับผู้ใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ทำในแบบเอกสารหรือรายงาน หรือการเสนอบนจอภาพโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ สิ่งสำคัญคือการกำหนดและออกแบบรายงานสารสนเทศที่สามารถสนองความต้องการของผู้ใช้ได้
แบบฝึกหัด 4.1. ยกตัวอย่างวิธีการผลิตสารสนเทศมาอย่างน้อย 1 ตัวอย่าง
Create Date : 27 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 10:06:02 น. |
Counter : 19082 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
3. ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ด้านการพัฒนาการเมืองการปกครองของประเทศ 2. ด้านสังคม 3. ด้านการคมนาคม 4. ด้านการพัฒนาสาธารณสุข 5. ด้านวงการธุรกิจ 6. ด้านการศึกษา 7. ด้านการบริการสารสนเทศ 8. ด้านวงการบันเทิง ฯลฯ
แบบฝึกหัด 3.1. เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญด้านการศึกษาอย่างไรบ้าง จงอธิบาย 3.2. ยกตัวอย่างความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศที่นอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ คนละ 2 ด้าน (ห้ามซ้ำกัน)
Create Date : 27 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 10:05:35 น. |
Counter : 10633 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|