สังขตธรรม-อสังขตธรรม เป็นอนัตตาจริงล่ะหรือ ?
เมื่อพูดถึง สังขตธรรม และ อสังขตธรรม มักมีการถกเถียงข้อธรรมนี้กัน เพื่อค้นหาความจริง โดยต่างฝ่ายต่างก็หาหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ทั้งตัวบุคคลและตำรามาสนับสนุนกัน ต่างคนต่างมีความเชื่อของตน และมักลงกันไม่ได้ เพราะต่างนำเอาทิฐิของตนเป็นตัวตั้ง ไม่ได้คิดพิจารณาโดยแยบคาย โดยเอาพระพุทธพจน์เป็นตัวหลัก จึงลงกันไม่ได้นั่นเอง

ฝ่ายที่เห็นว่า สังขตธรรมและอสังขตธรรมเป็นอนัตตา เพราะมีพระดำรัสของสมเด็จพระสังฆราชฯ ค้ำไว้ ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้น มีพระพุทธวจนะและพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคอยค้ำไว้เช่นกัน

เมื่อถามว่าตกลงใครที่น่าเชื่อถือกว่ากัน ขอตอบแบบเต็มปากเต็มคำว่า "น่าเชื่อถือทั้งคู่" และอันไหนหละที่ถูกต้อง ก็ตอบได้เต็มปากว่า "ถูกต้องกันคนละด้าน"


ขอน้อมนำพระพุทธพจน์ที่มีมาใน "ปสาทสูตร" ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว มาให้เปรียบเทียบ

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด

วิราคะ คือ ธรรม เป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย
ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน
บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในวิราคธรรม
ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ
ก็ผลอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลผู้เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ฯ"


(พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗)

เมื่อดูจากพระพุทธวจนะแล้ว เราสามารถแบ่งออกมาเป็น ๓ ข้อธรรมด้วยกัน คือ
๑.สังขตธรรม
๒.อสังขตธรรม
๓.วิราคธรรม

ที่น่าสงสัย คือวิราคธรรมนั้นมาจากไหน? เก็บความสงสัยนั้นไว้ แต่อย่าปล่อยให้สงสัยนานเกินไป


๑.สังขตธรรม นั้น คือ ธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นให้มีขึ้น

๒.อสังขตธรรม นั้น คือ ธรรมที่เป็นแม่ธาตุทั้งหลาย ที่มีอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่มีเหตุปัจจัยใดๆ มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นให้มีขึ้น เพราะมีอยู่มาก่อนนานแล้ว

อสังตธรรมนั้น ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ หรือก็คือ ธาตุ ๖ ที่มาประชุมคุมตัวกันเป็นรูป-นาม กาย-ใจ รูปร่างกายของคนเรานั่นเอง

แม่ธาตุทั้ง ๖ เหล่านี้ ไม่สามารถอยู่เป็นเอกเทศเฉพาะตัวได้ มักต้องคุมตัวเข้าด้วยกันอยู่ กลายเป็นธาตุผสมหรือสังขตธรรมธาตุไป เมื่อเข้ามาอยู่ในวัฏฏะ โดยเฉพาะมหาภูตรูป ๔ คือ รูป-นาม (ขันธ์๕) จัดเป็นอนัตตา เพราะเข้าหลักเกณฑ์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตน)

ส่วนที่มีการจัดเอา "อสังขตธรรม" ให้เป็น "วิสังขารธรรม" นั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะเหตุว่า

๓.วิราคธรรม "วิสังขารธรรม" นั้นคือความสิ้นไปแห่งการปรุงแต่ง แสดงว่าต้องมีการปรุงแต่งอยู่ก่อนแล้ว และได้มีการทำให้การปรุงแต่งที่มีอยู่นั้นสิ้นสุดลงไป เมื่อการปรุงแต่งนั้นได้สิ้นสุดลงไป จึงเกิด "วิราคธรรม" ขึ้น ในข้อที่สาม

เพราะ อสังขตธรรมนั้น เป็นเพียงแม่ธาตุที่มีอยู่ก่อนนานมาแล้ว ไม่มีการปรุงแต่งใดๆที่เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นมีขึ้น แต่มาประชุมปรุงแต่งคุมตัวกันเข้าเป็นรูป-นาม กาย-ใจ ในภายหลัง


ฉะนั้น คำว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" จึงครอบคลุมเพียงแค่สังขตธรรม (ข้อ ๑) และอสังขตธรรม (ข้อ ๒) ที่ยังไม่ได้รับความบริสุทธิ์เท่านั้น

เมื่อไดัรับความบริสุทธิ์หมดจดจากการปฏิบัติธรรม เพราะได้แยกแล้วจากธรรมทั้งหลาย คือวิราคธรรม (ธรรมที่แยกแล้ว) (ข้อ ๓) จึงจัดเป็นวิสังขารธรรม จะเป็นอนัตตาธรรมไม่ได้อีกต่อไป


มาสรุปกันอีกที่ เพื่อป้องกันความสับสนที่จะเกิดขึ้นได้

๑.สังขตธรรม ธรรมที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมีขึ้น

๒.อสังขตธรรม ธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆมาปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้น มีขึ้นเลย คือไม่มีการปรุงแต่งมาตั้งแต่ต้น จึงจัดเป็นวิสังขารไม่ได้

๓.วิราคธรรม เพราะวิสังขารนั้น ต้องมีการปรุงแต่งอยู่ก่อนแล้ว และมีการกระทำให้การปรุงแต่งนั้นสิ้นไปสุดลงไป จึงเรียกว่า "วิสังขาร" หรือ "วิราคธรรม" ในข้อ ๓


และควรเข้าใจเสียใหม่ด้วยว่า "อสังขตธรรม" นั้นไม่ใช่มีเฉพาะ "พระนิพพาน" เพียงอย่างเดียว มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมากันเองในภายหลัง พระพุทธพจน์ทรงตรัสไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า "สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด" ชัดๆนะว่ามีมากกว่าหนึ่งแน่นอน จากคำว่า "มีประมาณเท่าใด" และ "วิราคธรรม บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น"


การศึกษาธรรม หรือ ถกธรรม ควรเป็นไปเพื่อค้นหาสัจธรรมความจริง ที่สามารถตริตรองตามและนำไปปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่เป็นการเอาชนะคะค้านกันด้วยความเชื่อที่มีตามๆกันมาเท่านั้น เพราะชนะไปทำให้เข้าใกล้มรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่ ควรยืนบนหลักเหตุผลในการสนทนา ตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงให้ชัดเจนหมดข้อสงสัย


ข้อสังเกตที่ควรรู้ในพระไตรปิฎก

เมื่อมีการกล่าวถึง "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" นั้น จะต้องมีบริบทก่อนหน้าทุกครั้งที่กล่าวถึง ว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา" แต่ไม่เคยมีปรากฎว่ากล่าวถึง "สัพเพ วิสังขาร" มาก่อนเลย เพราะ สังขาร กับ วิสังขาร นั้น เป็นธรรมที่ตรงข้ามกัน โดยสิ้นเชิงนั่นเอง


เจริญในธรรมที่เป็นสัจธรรมความจริงทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 17 มิถุนายน 2556
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:05:28 น.
Counter : 1067 Pageviews.

0 comments

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์