การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล
ท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านครับ
ในครั้งพุทธกาลนั้น มีคนตั้งตัวเป็นอาจารย์ก็มากมายหลายท่าน

โดยเฉพาะคณาจารย์บางท่านนั้น
มีลูกศิษย์ลูกหามากมายยิ่งกว่าพระพุทธองค์ของเราเสียอีก
เช่น ท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชก

ขอเรียนถามว่า
ท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชกนั้นเป็นคนดีมั้ย???
ใช่ เป็นคนดี....

ท่านอาจารย์สัญชัยเป็นมีคุณธรรมมั้ย???
ใช่ เป็นผู้มีคุณธรรมในระดับหนึ่ง.....

ท่านสอนให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดีมีคุณธรรมใช่มั้ย???
ใช่ สอนให้เป็นคนดีมีคุณธรรม....

ท่านอาจารย์สัญชัยเคยได้รับการชักจูงให้หันมาศึกษาศาสนาพุทธใช่มั้ย???
ใช่ โดยท่านพระอาจารย์สารีบุตร

ทำไม? ทำไม? ทำไม?
ท่านสัญชัยทั้งๆที่รู้อยู่เห็นอยู่ว่า
คำสอนของพระบรมครูนั้นดี มีประโยชน์ช่วยให้พ้นทุกข์ได้

แต่ทำไมท่านกลับปฏิเสธหละว่า
ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นไม่เหมาะสมกับตน(ดีเกินไป)
ที่ท่านสอนอยู่ทุกวันนี้ดีอยู่แล้ว

ทั้งๆที่ไม่ได้ช่วยให้ใครพ้นทุกข์ได้เลย
เพียงสอนให้เป็นคนดีมีคุณธรรมเท่านั้น

เพราะอะไร???
เพราะง่ายๆสบายๆและลัดสั้น ไม่ต้องลำบากลำบนอะไรมากมาย ดูเฉยๆก็พอ

ไม่แตกต่างไปจากที่มีอาจารย์บางท่านเลียนแบบการสอน
ของ ท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชก ในขณะนี้เลย

โดยพยายามแยกคนเมืองที่มีการศึกษา
ออกจากคนบ้านนอกที่มีการศึกษาน้อยกว่า ว่ามีจริตแตกต่างกัน

โดยชี้นำว่าคนเมืองนั้นเป็นพวกทิฐิจริต มีความคิดฟุ้งซ่านตลอดเวลา
ส่วนคนบ้านนอกเป็นพวกตัณหาจริต มีแต่ความทะยานอยาก

คนบ้านนอกพวกตัณหาจริต
ต้องอบรมด้วยการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเท่านั้น(สมาธินำปัญญา)

ส่วนพวกคนเมืองที่มีแต่ทิฐิจริตนั้น
ต้องอบรมด้วยปัญญาแล้วเกิดสมาธิเอง โดยไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง
เพื่อฝึกฝนอบรมการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา “พุทโธ”มาก่อนเลย

ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และขัดแย้งกับพระพุทธพจน์อย่างชัดเจน

มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่น(สมาธิ) ดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(ปัญญา) ดังนี้”


ดังนั้น จะเห็นได้ว่า อาจารย์บางท่านที่สอนอยู่ทุกวันนี้
ที่สอนธรรมะให้ง่ายๆ สบายๆและลัดสั้นนั้น
ไม่ได้แตกต่างไปจากท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชกที่สอนอยู่ในครั้งพุทธกาลเลย

ถ้าเป็นปริพาชกอย่างท่านสัญชัย เราชาวพุทธก็ยังพอให้อภัยได้
แต่นี่เป็นพุทธบุตรที่ขานนาคเข้ามาเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา
กลับทำตัวเป็นลูกเต่าอกตัญญูต่อคำสอนของพระบรมครู...


ครั้งพุทธกาล ท่านสัญชัย ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายยิ่งกว่าพระพุทธองค์เสียอีก
มีทุกระดับชนชั้น ตั้งแต่ยาจกยันคหบดี และผู้มีการศึกษา ฯลฯ

ทำไมท่านอาจารย์สัญชัยจึงว่าพระพุทธศาสนาไม่เหมาะกับท่าน???
ทั้งที่คำสอนของพระพุทธองค์ ก็กระชับสามารถเข้าถึงได้
๑.ละชั่ว ๒.ทำดี ๓.ชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย.....

พวกเราก็คงพอคะเนได้อยู่แล้วว่า
ไม่ว่าศาสนาหรือลัทธิใดๆในโลกล้วนสอนเฉพาะข้อ ๑ และข้อ ๒ เท่านั้น
ง่ายๆ สบายๆและลัดสั้น ดังมีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

ส่วนข้อ ๓ นั้น มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาของเรา
ที่สอนไว้ว่าต้องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
(โดยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘) ซึ่งศาสนาอื่นๆไม่มี

จะมีก็เพียงแต่พวกที่เข้าใจผิดๆและอ้างว่าที่ตนสอน
เป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งๆที่สอนไม่ถูกต้องว่า


เพียงแค่ดูเฉยๆและรู้ทันก็พอ ไม่ต้องทำอะไร จิตก็จะชำระตัวมันเองได้
โดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แม้แต่การสร้างสติ ก็ให้สติเกิดเอง


เป็นไปได้มั้ย? ขนาดสอนว่าให้รู้ทัน ยังกล้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไร?
ถ้าไม่มีการตั้งจิตเจตนาระมัดระวังที่จะระลึกรู้ จะระลึกรู้ทันมั้ย???


เห็นหรือยังครับว่าคำสอนของอาจารย์บางท่านในขณะนี้
ไม่แตกต่างอะไรกับท่านอาจารย์สัญชัยสอน

ง่ายๆ สบายๆและลัดสั้น ไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากนั่งหลังขดหลังแข็ง
คิดเองเออเองว่าเหมาะกับคนเมืองผู้มีปัญญา เป็นพวกทิฐิจริต



พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเสมอๆถึง ศีล สมาธิ ปัญญา
หรืออริยมรรค ๘ หรืออริยสัจจ์ ๔ หรือสติปัฏฐาน๔

พระองค์ทรงตรัสว่า
ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว (เป็นที่ไปของบุคคลผู้เดียว เป็นที่ไปในที่แห่งเดียว)
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์(ผู้ข้องในอารมณ์)ทั้งหลาย
เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศกและร่ำไร
เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม (ธรรมที่ควรรู้ ธรรมที่ถูก คืออริยมรรค)
เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ทางนี้คือสติปัฏฐาน(ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติอย่างต่อเนื่อง)๔ อย่าง


ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสมานี้ พระพุทธองค์รู้มั้ย?
ต้องรู้สิ

ถ้าไม่รู้ พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ได้หรอก ใช่มั้ย?
ใช่สิ

ถ้าจิตผู้รู้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
พระพุทธองค์ทรงเอาอะไรมาตรัสสั่งสอนหละ?

นั่นสิ


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 06 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 17:26:16 น.
Counter : 620 Pageviews.

85 comments
  
คนเขาไปหาแก่นสาร จขบ.มีแก่นสารอะไรบ้าง คนเขาถึงเชื่อได้

โดย: เออ นะ IP: 118.173.84.9 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:47:29 น.

...................................
ท่านเออ นะครับ
แก่นสารย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะสิ่งที่พูดและสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุและผล ที่พิจารณาตริตรองตามได้
และย่อมแตกต่างจากสิ่งที่พูดและเกิดขึ้นโดยคิดเองเออเอง ขาดซึ่งเหตุและผล ตริตรองตามไม่ได้

บางคนพูดโดยชอบแอบอ้างครูบาอาจารย์เข้าข้างตนเองเพียงอย่างเดียว
เพื่อประโยชน์ตนเองให้คนเข้าใจผิดเท่านั้น
โดยไม่เคยพิจารณาคำนึงถึงเลยว่าธรรมที่พูดนั้นแตกต่างจากครูบาอาจารย์อย่างสิ้นเชิง.....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:16:27 น.
  
มันอยู่ที่สุดท้ายแล้วใครจะได้แก่นสารกลับบ้านไป ใครทำไม่ได้ ก็ถอยหลังไปเอง สุดท้ายแล้วใครๆต่างก็แยกย้ายกันไปไม่เหลือใคร คุณไม่ต้องห่วงคนที่เขาเดินตามหรอก ทำไม่ได้เขาก็ไม่เชื่อเอง ทำได้เขาก็ทำต่อให้ถึงที่สุด แยกย้ายไปทำสิ่งที่คิดว่าถูกดีกว่า
โดย: เออ นะ IP: 118.173.84.9 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:40:37 น.
  
มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่น(สมาธิ) ดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(ปัญญา) ดังนี้”

^

อนุโมทนาค่ะ คุณธรรมภูต

พระสูตรพระวินัยเปรียบเหมือนแผนที่บอกเส้นทางที่เราจะดำเนินไป
ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ชี้นำให้เราเดินตามแผนที่ได้ถูกต้อง ถูกทาง

จะได้ไม่เสียเวลา ไม่หลงเดินผิดทาง

โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2552 เวลา:6:48:16 น.
  
คนสอนไม่มีแก่นสาร อ้างตัวว่าเป็นนักภาวนาตั้งแต่ยังไม่บวช (เพื่อนร่วมงานสมัยโน้นรู้ไส้รู้พุงดี)

พอบวชก็ตรวจสอบตัวเอง คิดเอง เออเอง ว่ามีภูมิธรรม หว่านบทความไปทั่วอินเตอร์เน็ทเป็นใบเบิกทางก่อน เน้นหาตัวยากๆ เข้าไว้ เข้าพบยาก เก็บตัว แถมกุฎิก็มีน้อย ต้องจับฉลากกัน เก่งเรื่องวางแผนจริงๆ ดีมานด์ ซัพพลาย อย่าให้พอดีกัน แล้วจะเจ๋ง

ุทุกวันนี้ ก็อ้างว่าไม่แข็งแรง รักษาธาตุขันธ์ ครูบาอาจารย์องค์อื่นอายุมากกว่านี้อีก ท่านยังเมตตาคนปฏิบัติที่ทุกข์ร้อนตามหาครู เข้าไปเรียนถามท่านไม่ว่าเช้าสายบ่ายเย็น ท่านเมตตาให้พบ แถมตอบให้ แก้ให้ทุกอย่าง ไม่เร่งไม่รีบ ส่งไมค์ ส่งไมค์ รวบรับตัดความ "สงสัย ให้รู้ว่าสงสัย" นี่แหละมุขเด็ดของคนขี้เกียจตอบ หรือไม่รู้จะตอบอะไร

ส่วนเรื่องภูมิธรรม สมัยก่อนครูบาอาจารย์ ท่านช่วยกันตรวจ ช่วยกันทาน เพื่อความจริง องค์ไหนยังไม่จริง ท่านก็ยอมรับ แล้วช่วยกันแก้ไข แนะนำกัน ...นี่สิของจริง


แต่พระรูปนี้ ตรวจเองทานเองหมด ทุกวันนี้ก็ ดีแต่หลอกชาวบ้านไปวันๆ ทำไมไม่กลัวบาปกลัวกรรมก็ไม่ทราบ
โดย: อิสรีย์ IP: 124.120.228.21 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:26:10 น.
  
ท่านอิสรีย์ครับ
ต้องขออนุโมทนา ที่ท่านมาช่วยชี้แจงให้เห็นกระจ่างว่า
เป็นของปลอมเช่นเดียวท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชก นำพาให้พ้นจากทุกข์ไม่ได้

ธรรมที่สอนเป็นเพียงแค่สอนให้คนเป็นคนดีคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้อะไรไปมากกว่านี้
ท่านอาจารย์สัญชัย ท่านยังรู้จักยอมรับความจริงว่า ท่านต้องการเพียงแค่นั้นเอง

ส่วนอาจารย์บางท่านกลับทำตัวน่ารังเกียจ
คำสอนที่ท่านนำมาสอน ก็ไม่ต่างไปจาก ที่สอนให้คนเป็นคนดีคนหนึ่งเท่านั้น
แต่กลับแอบอ้างว่า คำสอนของท่านเหมือนกับของพระบรมครูและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

โดยท่านกลับแกล้งมองไม่เห็น ในส่วนที่ท่านสอนบิดเบือนจากความจริงไป

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:04:50 น.
  
เอ้อ อ่านที่คุณอิสรีย์เขียนมาเนี่ย มึนเลยค่ะ
คล้ายๆจะมีอะไรๆอีกเยอะ แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าเขียนเล่าให้ฟัง
กรรมมีจริง ถึงเวลา ใครทำใครรับค่ะ

มาเป็นกำลังใจให้ จขบ. เผยแพร่การปฏิบัติที่ถูกที่ตรงค่ะ
และขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่ปฏิบัติตรงต่อคำสอนของพระศาสดาค่ะ
โดย: ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ IP: 10.34.10.200, 202.28.180.202 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:51:55 น.
  
ในที่สุดประกาศจากป่าละอู
ก็มิไม่สามารถหยุดปฏิบัติการทำลายคำสอนที่แท้จริงของพวกเขาได้

วิธีแก้ตัวหรือก็ช่างเอาสีข้างเข้าถู
ปิดเว็บไปชั่วข้ามคืน เพื่อทำลายหลักฐาน (เค้าอ่านกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว เอาออกไปทำม้ายยยยย...)

ก็ไม่มีอะไร เพราะบทความนั้นแค่มีคำกล่าวอ้างตั้งแต่บรรทัดแรกว่า "สร้างสวนสันติธรรม เพราะดำริของหลวงพ่อมนตรี..." และอื่นๆ อีกหลายประโยค แถมในซีดีก็พูดถึงอยู่บ่อยๆ ราวกับว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สนิทสนมกันดี (แม้จะออกตัวว่า "รักนะ แตไม่ค่อยได้ไปกราบเยี่ยม")

...ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่มีอะไรท่านผู้ชม ทุกอย่างอยู่ในความสงบ...อย่าคิดมาก อย่าคิดมาก...

ความจริงแถลงการณ์ของท่านก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ภาษาไทยง่ายๆ ตรงตัว ไม่ต้องตีความ อ่านแวบแรกก็เข้าใจได้แล้ว ชอบหาว่าคนอื่นเค้าตีความผิด

เฮ่อ...ทำอะไรกันก็ไม่รู้ มุขน้ำเน่าจัง
โดย: อิสรีย์ IP: 124.122.101.228 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:37:12 น.
  
แหม ถ้าจะแค่ชี้แจงอย่างที่แก้ตัวมา ไม่เห็นต้องใช้คำรุนแรงตัดสัมพันธ์ขนาดนี้ ทำให้คนคิดมากกันไปใหญ่ งงกันไปหลายวัน ถกกันจนหน้าดำ ต้องให้คนนู้น คนนี้ มาแก้ตัวพัลวัน

คนรักกัน เข้าใจกันดีๆ บอกดีๆ พูดกันเพราะๆ ไม่ดีกว่าเหรอ

ปล่อยให้ฆราวาสตาดำๆ คิดมากทำมายยยยยย...

หึ หึ...
โดย: อิสรีย์ IP: 124.122.101.228 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:56:38 น.
  
ประกาศสวนพุทธธรรม ป่าละอู
เรื่อง ความเกี่ยวข้องกับ สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี


เนื่องจากปัจจุบันได้มีพระภิกษุ แม่ชี และญาติโยม ได้ให้ความเมตตาเดินทางหรือติดต่อไปยังสวนพุทธธรรม ป่าละอูบ่อยครั้ง ด้วยความเข้าใจที่ว่า สวนพุทธธรรม ป่าละอู และสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะเป็นวัดสาขา หรือมีความใกล้ชิดกันในลักษณะวัดพี่วัดน้อง โดยมีคำสอน , หลักปฏิบัติ และปฏิปทาในลักษณะเดียวกัน

ความเข้าใจดังกล่าว เป็นเหตุให้พระภิกษุและญาติโยมในสวนพุทธธรรม ป่าละอู มีความจำเป็นต้องชี้แจงความจริงให้ญาติโยม ทราบครั้งละท่าน หรือครั้งละหมู่คณะ เป็นจำนวนบ่อยครั้ง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

สวนพุทธธรรมฯจึงใคร่ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวมา ณ ที่นี้ว่า หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร (สวนพุทธธรรม ป่าละอู) และหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช (สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ. ชลบุรี) มีความรู้จักหรือคุ้ยเคยกันในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องแต่อย่างใด และทางสวนพุทธธรรม ป่าละอู ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ทางส่วนตัว , คำสอน, ปฏิปทา หรือหลักปฏิบัติใดๆ กับ สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ไม่ว่าในด้านใดทั้งสิ้น หากแต่ถือเป็นสำนักสงฆ์ภายใต้พระพุทธศาสนาเดียวกันเท่านั้น

จึงเรียนมาเพื่อความเข้าใจโดยทั่วกัน

สำนักปฏิบัติธรรม สวนพุทธธรรม ป่าละอู
11 พฤศจิกายน 2552


...........................................................

สำหรับท่านใดที่มีข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับประกาศนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
email : kraisorn9945@hotmailcom
หรือที่ สวนพุทธธรรม ป่าละอู โดยตรง
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:33:54 น.
  
มี "พุทโธ" เป็นหลักใจ ทำงานรับใช้ศาสนา เพื่อจรรโลงธรรมแท้ๆ ไม่มีวันเหนื่อย มีแต่กุศลเพิ่มพูน

พวกเรารับกรรมดีทุกวัน เห็นได้ชัดว่าภาวนาได้เจริญก้าวหน้า
อีกหน้าตาก็ผ่องใส การงานเจริญรุ่งเรือง เรี่ยวแรงดี ปัญญาก็นับวันจะเจริญงอกงามทั้งทางโลกและทางธรรม

...ไม่มีสิ่งใดไม่ดีเลย มั่นใจว่าทั้งปัจจุบันนี้ และชาติต่อๆ ไป ตราบจนถึงที่สุดแ่ห่งทุกข์

เอ้าเรื่องจริง ไม่ได้โม้...หุ หุ
โดย: พุทโธ IP: 124.122.164.79 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:23:10 น.
  
ไม่ได้แวะเวียนมานาน... เป็นไงบ้างครับ เหนื่อยมั้ย
เห็นบางห้อง กระทู้ขึ้นหลักร้อยทีเดียว...
มัวแต่วุ่นวายอย่างนี้ จะปฏิบัติได้รึ ละวางบางนะ ผมว่า ความคิดความเห็นอะไรก็ช่างมันเถอะ ที่คุณว่าชำระจิตๆ น่ะ มันขาวขึ้นบ้างรึยัง
เห็นมั้ยล่ะนั่นว่ามันทุกข์จะตาย ทะเลาะกับคนโน้นที คนนี้ที เอาง่ายๆ ไม่ต้องรอชาติไหนก็ตกนรกอยู่แล้ว
แล้วนี่อะไร ไปหาเวรกรรมอะไรมาอีก
สะใจที่เค้าทำอย่างที่คุณคิด อย่างที่คุณต้องการรึ มันมีแต่กิเลสน่ะนั่น พอกเข้าไป

ชคดี...
..ไม่มีในศาสนาพุทธ ทำอะไรไว้ก็ก้มหน้าก้มตารับไปแล้วกันนะครับ ตัวใครตัวมัน กรรมใครกรรมมัน

โดย: ที่นำเจ้าจขบ.ออกจากหายนะ แต่... ช่างเถอะ IP: 125.26.246.217
วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:02:11 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
การทำความดี เพื่อประสงค์ให้คนที่หลงงมงาย หายจากความลุ่มหลงงมงาย
ถึงจะเหนื่อยไปบ้างก็เป็นธรรมดา แต่จิตใจนั้นเป็นสุขที่ได้ชี้ทางที่ถูกต้องให้กับผู้หลงทาง

ท่านไม่ต้องกังวลหรอกว่าจะไม่มีเวลาปฏิบัติ ตราบใดยังมีเวลาหายใจอยู่ ย่อมมีเวลาปฏิบัติ
แล้วท่านหละ เสียเวลาไปกับการดูจิต ท่านรู้จักจิตแล้วหรือ? มีฐานที่ตั้งของสติแล้วหรือ?

เชื่อเถอะ ถ้าอยากจะดูจิตไม่มีใครห้ามหรอก แต่ต้องภาวนา "พุทโธ" ให้รู้จักจิตที่แท้จริงก่อน
ท่านจึงจะดูจิตโดยไม่ติดอาการของจิต(ความคิด) และไม่ปล่อยจิตให้เป็นไปตามยถากรรม

คนที่ถกธรรมกันแล้วทำตามที่แนะนำ ผมคงสะใจที่ได้ช่วยให้ผู้ที่หลงงมงาย ได้พ้นจากความงมงายได้
ถ้าทำตามที่ผมพูด รู้จักภาวนา "พุทโธ" เป็นการพอกบุญ พอกกุศล เพื่อความพ้นทุกข์ได้จริง

สงสารแต่พวกที่ยังหลงงมงาย ที่ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมแห่งความหลงงมงายนั้น

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:25:08 น.
  
เห็นด้วยจัง พุทโธไม่ใช่กฏเหล็ก เพราะมีทางมากมายที่พาเข้าสู่ความสงบ ก็แหม นี่เป็นแค่ตัวอย่างว่ามี พุทโธ เป็นอาทิ เป็นต้น etc. จะให้ร่ายยาวทุกวิธี คงไม่ไหว

แต่กฏเหล็กของจริงมันอยู่ที่ต้องทำความสงบเพื่อเข้าถึงตัวจิตให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาไปพิจารณาสติปัฏฐาน 4

ซึ่งสติปัฏฐาน 4 นี้ ตัวจิตต้องเข้าไปเห็น เข้าไปพิจารณา (ยกตัวอย่างการพิจารณากาย ซึ่งเท่าที่ทราบก็มีหลากหลายอีก...เช่น เห็นกายโดยจิต แบบนี้เข้าข่ายปัญญาวิมุตติ ถ้าเห็นเป็นภาพ เป็นโครงสร้างต่างๆ จะเข้าข่ายเจโตวิมุตติ และการเห็นกายนี้ ก็เห็นมากน้อยต่างกันไปอีก บางคนเห็นทั้งตัว เห็นแค่ข้อ เห็นผิวหน้งส่วนใดส่วนหนึ่ง ฯลฯ หลากหลายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก)

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ทำความสงบให้ถึงตัวจิตก่อนแล้ว ก็ไม่มีวันได้เห็นสติปัฏฐาน 4 จริงๆ ไม่มีวัน และจะกลายเป็นมรรคผลแย่ๆ อย่างที่ว่านั่นแหละ

ที่กล้าพูด เพราะมั่นใจในหนทางที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์พาเดิน คนสอนผิดด้วยเจตนา สังคมต้องช่วยกัน
ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม

ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ อันนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณจริงๆ ก็ไม่ได้บังคับหรือหว่านล้อมอยู่แล้ว มีข้อมูลอะไร คิดยังไง ได้ประสบการณ์กับตัวยังไงก็เสนอไว้ ...เท่านั้น

โดย: พุทโธ IP: 124.122.164.253 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:01:34 น.
  
ขอบคุณค่ะคุณพุทโธ หวังว่าจะมีคนหูตาสว่างมากขึ้นไม่หลงงมงาย
โดย: mon369 IP: 210.203.178.78 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:17:08 น.
  
โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:07:38 น.
  
อ่านดูสิจ๊ะ เรียบง่าย ลัดสั้น ทำในชีวิตประจำวันก็ได้
ไม่ยากหรอก...มีที่ไหน
.................................................

รูปแบบการสนทนาถาม-ตอบระหว่างพระอาจารย์มั่นกับศิษย์ของท่านคือพระอาจารย์จูม พันธุโล

ก. ถามว่า ผู้ปฏิบัติศาสนาโดยมากปฏิบัติอยู่แค่ไหน ?
ข. ตอบว่า ปฏิบัติอยู่ภูมิกามาพจรกุศลโดยมาก
ก. ถามว่า ทำไมจึ่งปฏิบัติอยู่เพียงนั้น ?
ข. ตอบว่า อัธยาศัย ของคนโดยมากยังกำหนัดอยู่ในกามเห็นว่ากามารมณ์ที่ดีเป็นสุข ส่วนที่ไม่ดีเห็นว่าเป็นทุกข์ จึ่งได้ปฏิบัติในบุญกิริยาวัตถุ มีการฟังธรรม ให้ทานรักษาศีลเป็นต้น หรือภาวนาบ้างเล็กน้อย เพราะความมุ่งเพื่อจะได้สวรรค์สมบัติมนุษย์สมบัติเป็นต้น ก็คงเป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่นั่นเอง เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว ย่อมถึงสุคติบ้างไม่ถึงบ้าง แล้วแต่วิบากจะซัดไป เพราะไม่ใช่นิยตบุคคลคือยังไม่ปิดอบาย เพราะยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล

ก. ถามว่า ก็ท่านผู้ปฏิบัติที่ดีกว่านี้ไม่มีหรือ ?
ข. ตอบว่า มี แต่ว่าน้อย
ก. ถามว่า น้อยเพราะเหตุอะไร ?
ข. ตอบว่า น้อยเพราะกามทั้งหลายเท่ากับเลือดในอกของสัตว์ ยากที่จะละความยินดีในกามได้ เพราะการปฏิบัติธรรม ละเอียด ต้องอาศัยกายวิเวก จิตตวิเวก จึ่งจะเป็นไปเพื่ออุปธิวิเวก เพราะเหตุนี้แลจึงทำได้ด้วยยาก แต่ไม่เหลือวิสัย ต้องเป็นผู้เห็นทุกข์จริง ๆ จึ่งจะปฏิบัติได้
โดย: พุทโธ IP: 124.120.219.177 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:19:07 น.
  
ถ้าหนทางง่ายๆ แบบที่ฮิตเรียน ฮิตสอน กันในปัจจุบัน มีอยู่จริง

ทำไม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านไม่บอกไว้ล่ะ
ว่ามีอีกหนึ่งหนทาง เีรียบง่าย ลัดสั้นกว่า

ด้วยการ ดูไปเรื่อยๆ อย่าเพ่ง อย่ากดข่ม ไม่ต้องแทรกแซง ไม่ต้องวิเวกหรอก พวกเราเป็นฆราวาส ต้องทำงาน ไม่มีเวลาทำสมาธินานๆ ให้จิตสงบก่อน มัวแต่ไปรอให้จิตสงบ ไม่ต้องวิปัสสนากันพอดี...แค่นี้แหละ เดี๋ยวก็ละความเห็นผิดได้เองงงงงงงง
โดย: พุทโธ IP: 124.120.219.177 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:24:29 น.
  
การสนทนาถาม-ตอบ ที่คุณพุทโธยกมากล่าวอ้างนั้นจริง ตรงประเด็นที่เดียว ข้าพเจ้าก็เคยศึกษามาแบบนี้เช่นกัน น่าจะมีการเผยแพร่มาก ๆ น่ะ เป็นประโยชน์แก่ผู้ปฎิบัติมากที่เดียว โมทนากับคุณพุทโธด้วย ( ในหนังสือเล่มที่ว่านี้ ยังมีรายละเอียดเกียวกับการปฏิบัติอีกมาก แนะนำว่าต้องอ่านซำซัก 10 จบ น่าจะดี เพราะถ้าไม่เข้าใจ หรือเข้าใจคลาดเคลื่อน อาจตีความหมายเข้าข้างตนเองแบบผิด)
โดย: พราหมณ์ทศ IP: 124.122.227.9 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:0:27:57 น.
  
ผมก็ว่าคุณมีเจตนาดีนะ ไม่ได้ประชดนะ จริงๆ
เพียงแต่ ยังไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่
พุทโธเป็นกรรมฐานที่เยี่ยมมาก กรรมฐานหนึ่งทีเดียว แต่ไม่ใช่กฏเหล็กสำหรับอริยะมรรคนะ ไม่ใช่อะ คุณว่าสมัยโน่นเค้าทำกันอย่างงี้มาตลอดรึ ไม่เห็นมีในบันทึกนะ

โดย: ที่นำเจ้าจขบ.ออกจากหายนะ แต่... ช่างเถอะ IP: 125.26.246.5 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:41:56 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมทุกวันนี้ศาสนาถึงได้สาละวันเตี้ยลงๆ
เพราะคนเข้าใจศาสนาได้น้อยลงนั้นเอง มั่วแต่สนใจธรรมที่ง่ายๆและลัดสั้นเท่านั้น(ขี้เกียจ)

ทำไม "พุทโธ"จึงเป็นกรรมฐานที่เยี่ยมมาก กรรมฐานหนึ่วทีเดียว การภาวนา"พุทโธ"นั้น
ต้องผูกคำภาวนา "พุทโธ"ไว้กับลมหายใจที่เข้าออก ณ.ฐานที่จุดลมกระทบ
เป็นอานาปานสติกรรมฐานภาวนาที่สำคัญ ในการที่ทำให้สติปัฏฐาน๔บริบูรณ์(มีพระบาลีรับรอง)

ในสมัยพุทธกาลนั้นพระอริยสาวกทุกๆท่านล้วนต้องผ่านอานาปานสติกรรมฐานมาแล้วทั้งสิ้น
เพราะทางนี้เป็นทางเดียวเท่านนั้น ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
เป็นไปเพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์(ผู้ติดข้องในอารมณ์)ทั้งหลาย

ผู้ที่ยังไม่เคยผ่านอานาปานสติกรรมฐานภาวนามา จนกระทั่งจิตรวมใหญ่
ย่อมไม่รู้หรอกว่า สภาวะจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร?
เมื่อไม่รู้จักจิตที่แท้จริง ก็ได้แต่วิ่งตามเงาของจิตไปวันๆเท่านั้น โดยไม่รู้จักจิต แล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร?

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:07:35 น.
  
เอาเถอะครับ ผมจะไม่มานั่งสรรหาโน่นนี้มาคัดค้านมาอะไรกับคุณแล้วผิดอย่างนั้น ผิดอยางนี้ ไม่รู้จะมาเถียงกันทำไม โดยหลักการในการเจริญสติแล้ว คุณก็ไม่เชื่อผม ผมก็ไม่เชื่อคุณ ก็สุดแล้วแต่เวรกรรมของใครของมันจะพาไป อย่างนี้แฟร์มั้ย

โดย: ที่นำเจ้าจขบ.ออกจากหายนะ แต่... ช่างเถอะ IP: 125.26.246.5 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:41:56 น..
......................................
ท่านหายนะครับ
ท่านคิดว่าแฟร์ แต่ผมว่าไม่แฟร์นะ ท่านไม่เชื่อผม ผมไม่เชื่อท่านนั้น
เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ห้ามกันไม่ได้ ไม่ใช่อยู่ที่แฟร์หรือไม่แฟร์
ถ้าจะให้แฟร์จริงๆ ต้องนำมาเปรียบเทียบกับพระสูตรและระวินัยว่าลงกันได้มั้ยก่อน
เมื่อได้ผลสรุปออกมาว่าใช่หรือไม่ใช่? และยอมรับซะ จึงจะเรียกได้ว่าแฟร์

แต่ท่านต้องเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าของเราชาวพุทธสิ
มีที่ไหนสอนธรรมเอาตามความชอบใจของตนเอง แต่อ้างพระศาสดาบังหน้า

หลักการเจริญสติปัฏฐานนั้น พระบรมครูพระองค์ท่านทรงตรัสไว้ชัดเจนแล้ว
ไม่รู้จักศึกษาให้ถ่องแท้เอง แต่กับเอาคำกล่าวของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาผสมปนเปให้มั่วไปหมด
โดยเอาความรู้ที่ตนเองศึกษามาจากอภิธรรมมาผสมปนเปเข้าไปตามความชอบใจ
แล้วนำมาสอนว่า เป็นคำพูดของตนเอง และยังชอบแอบอ้างว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านรับรอง

ตามตรงๆเถอะ เคยนำไปเปรียบเทียบว่าลงกับพระสูตรหรือพระวินัยหรือไม่???
ไม่เคยเลยใช่มั้ย??? อย่างนี้สิเรียกว่าไม่แฟร์ เล่นพูดเอง เออเองคนเดียวหนิ

ส่วนเรื่องเวรกรรมนั้น ย่อมชัดเจนอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ลบหลู่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เสมอๆ....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:29:48 น.
  
ผมเองยังไม่ใช่ลูกศิษย์แท้ๆ ของครูบาอาจารย์ผม ถึงได้มาโหวกเหวกอย่างนี้
แต่สิ่งสำคัญที่ผมยังไม่พอใจ และขอตำหนิคุณ คือเรื่องกล่าวฟาดพิงนี่ เมื่อไรจะเลิกซะที ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ทางของผู้เจริญสติแน่ๆ กล่าวหาวิธีซิ ว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก อย่างนี้ไม่ถูก ไม่ใช่ พูดอย่างนั้นไม่ถูก หน้าไม่อายอย่างนั้นอย่างนี้ นี่มันปรามาสที่ตัวบุคคลชัดๆ พูดตรงๆ เถอะครับ ไม่บอกชื่อ ก็รู้ว่าคุณนึกถึงใครในใจ

โดย: ที่นำเจ้าจขบ.ออกจากหายนะ แต่... ช่างเถอะ IP: 125.26.246.5 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:41:56 น..
......................................
ท่านหายนะครับ
ผมขอตำหนิท่าน ครั้งที่หนึ่ง
ผมขอตำหนิท่าน ครั้งที่สอง
ผมขอตำหนิท่าน ครั้งที่สาม

ที่ต้องตำหนิท่าน เพราะว่าท่านมัวแต่สนใจที่ตัวบุคคลเท่านั้น โดยไม่ยอมมองที่เนื้อธรรมเลย
ทั้งที่เนื้อธรรมของพระบรมครูนั้น เป็นของสากลไม่มีลิขสิทธิ์ ใครที่เป็นพุทธบุตรที่ดียอมชี้แจงได้ทั้งนั้น

เมื่อเนื้อธรรมที่มีบุคคลคนหนึ่งบุคคลใดแอบอ้างว่า เป็นของพุทธศาสนา แต่พูดไม่ตรงต่อจอมศาสดา
ย่อมเป็นที่น่าตำหนิได้ทั้งนั้น ผมจะยอมเลิกต่อเมื่อ ผู้นั้นยอมรับความจริงว่า ตนเองไม่ภูมิธรรมขั้นหลุดพ้นเลย...

ผมเองก็ไม่เคยนำเอาจริยาของท่าน ที่ท่านคิดว่าใช่ มาตำหนิติเตียนเลย ทั้งที่มีหลายเรื่องที่น่าตำหนิแท้....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:48:03 น.
  
ผมและกัลยาณมิตรร่วมทาง พบผู้ปรารถนามรรคผลมากมายที่ไม่ได้เดินเหมือนเรา ส่วนนึงเห็นได้ชัดว่าผิดที่ผิดทาง อีกส่วนนึงไม่รู้ว่าใช่ไม่ใช่ แต่โมทนาไว้ก่อนว่าน่าจะใช่ เพราะเราไม่ใช่พระอริยะ ที่จะพอรู้ว่าทางไหนควรเดินไม่ควรเดิน
แต่ไม่มีใครเลย ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล่าวดูหมื่นผู้อื่นที่คิดว่าเดินผิดทาง... ไม่มีเลยจริงๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรามาสถึงครูบาอาจารย์ของเขา
ไม่มีจริงๆ
ได้แต่ลองค่อยๆ พูด ค่อยๆ สะกิด ให้รู้สึกว่าที่ทำน่ะผิด ถ้าเริ่มฟังบ้าง ก็ค่อยๆ เพิ่ม ค่อยๆ คุย แต่ไม่ฟังแล้วหันมาตาเขียวใส่ก็แล้วไป ก็ผ่านไป
ไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่แน่ๆ
ไม่ขอแล้ว ผมขอคุณมา 3 ครั้งแล้ว
ผมขอตำหนิแทน ว่าคุณเป็นผู้เดินทางสู่มรรคผลที่แย่มาก แย่มากๆ
ตอนนี้ ที่นี่แหละ ที่คุณกำลังทำลายศาสนา ทำให้เกิดความแตกแยก ไม่ต้องคิดถึงขั้นที่จะปกป้องคำสอนที่คุณคิดว่าถูกหรอก ไม่มีตั้งแต่ในสมันพุทธกาลแน่ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านจะไปดูหมิ่นเหยียดหยามใครว่า เธอช่างหน้าไม่อายเหลือเกินที่คิดอย่างนี้ เธอหน้าไม่อายเหลือเกินที่ทำอย่างนี้
ไม่มีแน่ๆ ไม่มีทาง
โดย: ที่นำเจ้าจขบ.ออกจากหายนะ แต่... ช่างเถอะ IP: 125.26.246.5 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:41:56 น..
......................................
ท่านหายนะครับ
ที่ท่านไม่กล้าพูดตักเตือนใคร ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่ทาง เพราะท่านไม่แน่ใจและไม่รู้ ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

สำหรับผมแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เพราะผมได้พิจารณาด้วยความรอบคอบ
และมีความเชื่อมั่นในตนเองว่า มีภูมิธรรมเพียงพอว่า ควรตำหินคำสอนเหล่านั้นหรือไม่

มีที่ไหนเห็นศาสนาพุทธ เป็นเรื่องของการตลาดไปได้ ใหม่ก็เข้าหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพื่อปูทางให้กับตนเอง
โดยแอบอ้างว่าท่านเหล่านั้นเป็นอาจารย์ของตน และยังกล้าพูด โดยแกล้งไม่อยากพูดจริงๆว่า
ท่านพระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งเป็นที่เคารพรักของเราชาวพุทธ ได้รับรองภูมิธรรมให้กับตัวท่านเอง

พอได้บวชเป็นพระและเริ่มโด่งดัง ก็เริ่มออกลายกล่าวหาว่า ครูบาอาจารย์กล่าวธรรมคลาดเคลื่อนไป

และยังกล้าสอนธรรมแบบขัดแย้งกับของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่เคยนำมาแอบอ้างรับรองให้กับตนเองอย่างสิ้นเชิง

โดยไม่ยอมเข้าหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์อีกเลย แถมยังมีการพูดแบบเต็มปากเต็มคำอีกว่า
ธรรมคำสอนของที่อื่นนั้นไม่ถูกต้อง สู้ที่ตนรู้ตนสอนไม่ได้ ง่ายๆและลัดสั้น เห็นผลเร็ว(จังค์ฟูด)
เพราะที่มีสอนอยู่นั้น ทำให้เนิ่นช้างบ้างหละ เป็นเพียงแค่สมถะบ้างแหละ อีกเยอะฯลฯ

ท่านเคยลองคิดพิจารณาบ้างมั้ยว่า ทำไมผมถึงต้องทำเช่นนี้
เพราะได้ลองสกิดก็แล้ว เตือนกันก็แล้วฯลฯ สารพัดวิธี เจอแต่แรงต้าน
ใช้วิธีต่างๆนานา แต่ผลที่ได้กลับมา ทำให้ได้รู้ว่า สิ่งที่ได้ลองพยายามนั้น สูญเปล่า

เมื่อต้องเผชิญกับพวกที่หลงงมงาย โดยที่ไม่ยอมรับเอาเหตุผลและข้อเท็จจริงที่นำเสนอไปเลย
มีแต่ความเชื่อ ความศรัทธา กับการตลาดที่สร้างภาพลักษณ์กับภาษาสร้างสรรค์ขึ้นเท่านั้น

ท่านครับ ถึงท่านขอมาอีกสักร้อยครั้งก็เป็นไปไม่ได้
การที่ท่านจะมาให้ผมยอมรับในสิ่งทีไม่ถูกต้องเพียงฝ่ายเดียว โดยสิ่งที่อีกฝ่ายยังกล้ากระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ต่อไป

เชื่อผมเถอะ อย่าลำเอียงเพียงเพราะความไม่รู้ของตนเองเป็นหลักเท่านั้น
หัดควรคิดพิจารณาด้วยใจเป็นธรรม ไม่เอาอคตินำอย่างเช่นที่ทำอยู่
เพื่อธำรงไว้ซึ่ง พระศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความพ้นทุกข์ ให้ยังยืนต่อไปเถิด

ท่านไม่ต้องห่วงว่าผมจะแย่นะ ผมไม่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
ถ้าผมยังเป็นอยู่โดยธรรมแน่นอน ท่านควรห่วงพวกที่หลงงมง่ายแบบไม่ลืมหูลืมตาจะดีกว่า

ท่านครับ ใครที่ทำให้แตกแยกกันแน่ครับ ที่พยายามแยกสมถะออกจากวิปัสสนาให้ได้
ใครกันแน่ที่พยายามแยกคนเมือง ออกจากคนบ้านนอก
ใครกันแน่ที่พยายามจะแยกการปฏิบัติออกจากกัน
คนเมืองไม่มีเวลา คิดฟุ้งซ่านต้องปฏิบัติแบบนี้
คนบ้านนอก ที่ไม่คิดฟุ้งซ่าน มีแต่ความทะยานอยากต้องปฏิบัติแบบนี้
ที่ผมกล่าวมานี้ ไม่เรียกว่าสร้างความแตกแยกจะให้ผมเรียกว่าอะไร???....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:02:13 น.
  
2 คอมเม้นท์แรกผมไม่สนแล้ว อย่าจะว่ายังไงก็เชิญ


เมื่อเนื้อธรรมที่มีบุคคลคนหนึ่งบุคคลใดแอบอ้างว่า เป็นของพุทธศาสนา แต่พูดไม่ตรงต่อจอมศาสดา
ย่อมเป็นที่น่าตำหนิได้ทั้งนั้น ผมจะยอมเลิกต่อเมื่อ ผู้นั้นยอมรับความจริงว่า ตนเองไม่ภูมิธรรมขั้นหลุดพ้นเลย...

ผมเองก็ไม่เคยนำเอาจริยาของท่าน ที่ท่านคิดว่าใช่ มาตำหนิติเตียนเลย ทั้งที่มีหลายเรื่องที่น่าตำหนิแท้....

ธรรมภูต


ท่านครับ ใครที่ทำให้แตกแยกกันแน่ครับ ที่พยายามแยกสมถะออกจากวิปัสสนาให้ได้
ใครกันแน่ที่พยายามแยกคนเมือง ออกจากคนบ้านนอก
ใครกันแน่ที่พยายามจะแยกการปฏิบัติออกจากกัน
คนเมืองไม่มีเวลา คิดฟุ้งซ่านต้องปฏิบัติแบบนี้
คนบ้านนอก ที่ไม่คิดฟุ้งซ่าน มีแต่ความทะยานอยากต้องปฏิบัติแบบนี้
ที่ผมกล่าวมานี้ ไม่เรียกว่าสร้างความแตกแยกจะให้ผมเรียกว่าอะไร???....

ธรรมภูต



2 อันนี้ก็เหมือนเดิม ผมไม่สนใจสิ่งซึ่งเป็นเนื้อหาสาระของคุณ อยากจะคิดอย่างไร อยากจะทำอย่างไรก็เชิญ ไม่ขอด้วย คนอย่างคุณมันดื้อเกินกว่าจะฟังคนอื่น บอกแล้วว่าทางใครทางมัน วุ่นวายจริง



เรื่องแตกแยกนี่ก็อีก มั่วไปเรื่อย พูดพล่ามมีแต่น้ำไรสาระ แยกคนเมือง แยกสมถะ มันแตกแยกตรงไหน(ฟะ)


แล้วฟังบ้างมั้ย มีใครเค้าไปดูหมิ่นคนอื่นอย่างนี้บ้าง ไม่มีเลย มีแต่ไอ้คนหัวดื้อ อย่างคุณนี่แหละ...


เอางี้ดีกว่า ผมรู้แล้วล่ะว่าคุณคิดยังไง ไม่ใช่ซิ คุณและคนอย่างพวกคุณคิดยังไง...



เพียงแค่ว่า ท่านไหนสอนไม่เหมือนที่คุณเชื่อ คุณก็หมายหัวเอาเลยว่าสอนผิด แล้วคิดฝัวหัวตัวเองว่ากูถูก พวกกูนี่แหละถูก และบางท่านที่มีลูกศิษย์เดินตามเยอะ ก็ยิ่งไม่พอใจหนักว่าคนพวกนั้น ไม่คิด ไม่ทำอย่างที่พวกกูทำ เพราะงั้น ถึงได้เป็นอย่างนี้ มาดวยวายอย่างนี้


ไม่งั้นจะมาปักหลัก งัดขนาดนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อ "กู" และ "พวกกู" จะได้ถูก


บางเว็บด่าทอแรงกว่านี้อีกไม่รู้กี่เท่า ไอ้เว็บมาสเตอร์ก็สุดๆ คน post ที่ไม่ใช่สมาชิก ต้องตรวจสอบข้อความก็ลงให้ แล้วมันก็เลือกลงแต่อีนที่ด่าทอ หยาบคาย อันที่เถียงที่ชี้แจ้ง ก็ไม่ลงให้...


เพื่อพวก "มึง" จะได้ผิด จะได้ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม แล้ว "พวกกู" ก็จะเป็นที่ยอมรับแทน


ของคุณก็ขออนุโมทนาที่ไม่ด่าทอร้ายแรงขนาดนั้น แต่ก็ไม่ดีกว่ากันซักเท่าไรนะ ผมว่า


มี "กู" มี "มึง" งี้ ...คุณว่าอะไรนะ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงพระอริยะเหรอ... เหอะๆ เหอะๆ มีแต่อัตตาตัวตน ฝังเข้าไป มันคงจะได้หรอกน้า...




ท่านหายนะครับ
ที่ท่านไม่กล้าพูดตักเตือนใคร ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่ทาง เพราะท่านไม่แน่ใจและไม่รู้ ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

สำหรับผมแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เพราะผมได้พิจารณาด้วยความรอบคอบ
และมีความเชื่อมั่นในตนเองว่า มีภูมิธรรมเพียงพอว่า ควรตำหินคำสอนเหล่านั้นหรือไม่




เหอะๆ ผมไม่มายกหางตัวเองอย่างนี้หรอก วันๆ ดูตัวเองอย่างเดียวก็มีความสุขแล้ว ผมว่าถึงผมได้โสดา ผมก็ไม่พูดงี้อีกแหละ เพราะไม่มีเราแล้ว ไม่รู้จะยกหางใคร

มีแต่พวกคุณนี้แหละ เฮอะๆ ไร้สาระ


มาโวยวายด้วยนี่เพื่อพระอาจารย์เท่านั้น ซึ่งจริงๆ ท่านก็คงด่าเอาว่า ไปยุ่งกับเค้าทำไม ทำไมไม่ดูตัวเอง แต่อดไม่ได้จริงๆ แล้วก็ขอคุณมากเป็นลำดับๆ


ในเมื่อทำถึงที่สุดแล้ว อยากจะทำอะไรก็เชิญ


ผมเป็นเพียงผู้เดินตามพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์... จริงๆ ผมน่ะไม่สนหรอกว่าคุณจะไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหน อยากจะดื้อ อยากจะเชื่ออะไรก็เชิญ แต่เพราะคุณดูหมิ่นครูบาอาจารย์ ผมถึงโวย ด่าก็แล้ว พูดดีๆ ก็แล้ว ไม่ได้กระดิกเลย...





ผมแค่รู้ว่าวันๆ จิตใจเป็นไง สุขทุกข์ดีชั่ว

ทางโลก ผมใช้ชีวิตตามประสาคนทั่วไป มีปัญหาก็แก้ไข ใกล้จะมีเหตุต้องป้องกัน ทำสิ่งซึ่งควรทำ ละสิ่งซึ่งควรละ เจออุปสรรคเคราะห์กรรม ก็รับไป ก็รู้ไป

ทางธรรมก็รู้ไปเรื่อย เหนื่อยก็ทำสมถะ เหนื่อยมากก็ไปกราบพระอาจารย์ หลงทางก็ไปสอบถาม เดินเองต่อได้ก็เดิน เห็นคนสนใจ ก็ให้ข้อมูลตามสมควร ไม่สนก็ไม่ว่าอะไร ดู รู้ตัวเองไปเรื่อย

ซักพักก็เริ่มเป็นกลางมากขึ้น เริ่มมีความสุขมากขึ้น โสดาจะได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น ทุกวันนี้ มีสติ เกิดปัญญา ก็มีความสุขเอ่อๆ ทั้งวันอยู่แล้ว จะมอง จะมัวบ้าง ก็รู้ไป

2-3 วันเหนื่อยๆ ก็ทำสมถะ...

ที่เจ๊พุทโธว่า ผมก็ทำเป็น ไม่เห็นมีอะไร ผมน่ะใช้ลม ไม่ได้พุทโธ สงบแล้ว พอมาเดินจงกรมก็พิจารณากาย ก็เห็นกายมันเดิน จิตมันเกิดดับ แว๊บไปมา เท่านี้ก็เริ่มมีปีติ มีความสุข ดูกายใจแสดงไตรลักษณ์ไปเรื่อย มีความสุขจะตาย... ยิ่งพักหลังยิ่งเห็นว่าจิตมันฟุ้ง มันคิด มันวุ่นวายเอง ก็เริ่มไม่อิน ไม่ทุกข์กับมัน กายยิ่งชัดว่า ทุกข์ร้อนอ่อนแข็งของมันเอง

ไม่เห็นจะมีเรา

ยิ่งไม่เห็น ยิ่งไม่ทุกข์ มันทุกข์ เราไม่ทุกข์ เรื่องของมัน เราไม่เกี่ยว

ยิ่งกิเลส ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้จะทำไปทำไม จิตมันอยาก จิตมันโกรธ มันเกลียด เรื่องของมันทั้งนั้น


สบายจะตาย


ไม่เห็นต้องมาวุ่นวาย คอยทะเลาะกับคนอื่น เอาดีเข้าตัว โดยเฉพาะกับคุณ ผมไม่เห็นคุณพูดมีประเด็นอื่นเลย งงไป งงมา น้ำเยอะเข้าว่า ไม่รู้พูดเพื่ออะไร เห็นมีแต่โต้แย้งพระอาจารย์เท่านั้น หาหลักฐานอ้างอิง มั่วซั่วไปหมด แต่อะไรไม่รู้ล่ะที่ดูขัดแย้งกับท่าน นิดๆ หน่อยๆ ก็เอา... เฮ้อ ไร้สาระ...

แต่ผมว่าตอนนี้คุณคงไม่เข้าใจแล้วล่ะ ว่าคุณมีปัญหานี้ ผมว่าความคิดขัดแย้งนั้น มันฝังลงไปในจิตคุณจนดูไม่ออกแล้วล่ะ ว่าที่ทำๆ อยู่เนี่ย มีแรงขับอะไร ทำเพราะอะไร ทำเพื่ออะไร มันคงละเอียดจนคุณไม่เห็นสาเหตุของพฤติกรรมปัจจุบัน รู้สึกแค่ว่าต้องทำอย่างนี้ โดยอ้างโน่นอ้างนี่...

ไร้สาระ...

ไร้สาระจะมาเสียเวลาด้วย

เจ๊พุทโธ ก็ดูเหมือนคุณนั่นแหละนะ งัดพระอาจารย์ไว้ก่อน พอกัน แต่รายนั้นยังดูมี point เดินสมถะก่อน เข้าใจอยู่...


เสียเวลา

ไรสาระ

อยากทำอะไรก็เชิญ

ถ้าคิดว่าได้ธรรมเมื่อไร บอกหน่อยนะครับ ผมว่าคุณมิสิทธิอยู่นะ แต่ชาตินี้คงไม่ใช่ คงยากมากๆ เพราะงดื้อรั้น ไร้เหตุผล ใช้แต่กิเลส ส่งเสริมแต่ "กู" โอกาศพลิกกลับพอมี แต่กรรมที่ทำไว้คงขัดขวางอย่างหนัก... เพราะงั้น บางที ชาตินี้ คงได้แต่คิดเอาเอง เลยบอกไว้ว่า คิดว่าได้เมื่อไรบอกด้วย...


เหอะๆ
โดย: คนเดิม IP: 118.174.65.220 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:23:19 น.
  
ท่านหายนะเอย
ถามตรงๆเฮอะ ปฏิบัติมานานหรือยัง??? ทำไมจิตออกอาการฟุ้งซ่านถึงไม่รู้ตัว
ปากก็บอกว่า พอหละ ไร้สาระบ้างหละ เตือนถึง๓ครั้งแล้วนะ
และที่พูดมั่วซั่ว พูดพล่ามมีแต่น้ำ ไร้สาระอยู่นี่น่ะ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าสติแตกแล้ว

ไหนขี้โม้ว่า ดูจิตมีสุขจะตาย นี่หรืออาการของคนที่สุกจนตาย โดนไฟคือกิเลสเผาอยู่ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ
ก็บอกแล้วว่า ให้สนใจแต่เนื้อธรรมและนำพาไปปฏิบัติตามแบบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ซะ

จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน พูดมั่วไปหมด "จิตมันอยาก จิตมันโกรธ มันเกลียด เรื่องของมันทั้งนั้น"
นี่ขนาดเรื่องของมันนะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของมัน สงสัยหยาบคายกว่านี้อีกเยอะ

ในเมื่อชอบพูดว่าไม่มีเรา คำก็ไม่มีเรา สองคำก็ไม่มีเรา
แล้วที่บอกว่า "วันๆ ดูตัวเองอย่างเดียวก็มีความสุขแล้ว" พูดมั่วขัดกันเองก็ได้
ไม่มีเรา แต่กลับพูดว่า มาดูตัวเอง มีตัวเองได้ไงหละ ถ้าตนเองไม่ใช่เราแล้วตนเองเป็นใครหละ???

ท่านหายนะที่พร้อมจะตกนรกหมกไหม้ที่ไหนก็ได้ ผมใช้คำพูดท่านคืนท่านไง
ใจเย็นๆดูแต่เนื้อธรรม อย่านำพาตัวบุคคล แล้วท่านจะกระจ่างเอง อคติมันพาให้มืดบอดรู้มั้ย???

เห็นท่านพูดเรื่องสมถะแล้ว รู้ได้เลยว่า ทำไปยังไม่ถึงไหน มีที่ไหนเห็นจิตเกิดดับ พูดมั่วไปได้!!!
ถามว่าใครเห็นจิตที่เกิดดับ??? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพยายามแยกระหว่างสมถะและวิปัสสนาออกจากกัน
เพราะไม่รู้เรื่องนี่เอง ทั้งสมถะและวิปัสสนาเป็นของที่แยกออกจากกันไม่ได้ ต้องทำงานร่วมกันตลอดเวลา......

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:13:08 น.
  
อืมม... ประมาณ 2 ปีครับ


ฟุ้งซ่านนั้นจริงครับ แต่รู้ครับ แต่รู้บ้าง ฟุ้งบ้าง จริงๆ จะว่าฟุ้งไม่เชิง บอกว่าหลงน่าจะตรงกว่า หลงไปโกรธ หลงไม่พอใจ แล้วเดี๋ยวก็รู้ พักนึกก็หลงใหม่ เป็นช่วงแรกๆ ตอนพิมพ์ครับ แต่ประมาณครึ่งหลัง สติเริ่มเยอะขึ้น หลงน้อยลงหน่อย


อืมม คนไม่รู้เรื่อง คงดูเหมือนพูดมั่วซั่ว แต่นั่นคือสภาวะที่เกิดขึ้นครับ จริงๆ บอกไว้แล้วว่า ไม่มาเถียงเนื้อหาสาระกับคุณอีก แต่เห็นว่าผมปฏิบัติไม่เป็น ไม่แน่ใจ เลยเล่าให้ฟังว่าวันๆ เป็นอย่างไร ตอนนี้ถึงไหน


ไม่ได้โม้ครับ ตอนรู้ตัวน่ะมีความสุข แต่ตอนที่พิมพ์ช่วงแรกนั้นทุกข์จริงๆ โดนกิเลสครอบเอาจริงๆ ไม่ใช่พระอริยะครับ รู้บ้าง หลงบ้าง โดนกิเลสเล่นงานบ้าง ธรรมดาครับ


ใช่ครับ ตอนมีสติน่ะ เรื่องของมัน แต่ตอนหลงน่ะ ก็เป็นผมโกรธ ผมเกลียดนี่แหละ ยืนยันครับ ไม่ใช่พระอริยะ ยังคงเห็นกายใจเป็นของผมอยู่


เอ่อ เรื่องคำหยาบนี่ ตกใจเหมือนกันว่า ผมพิมพ์อะไรผิดเหรอ blog ถึงให้เจ้าของเช็คก่อน... ถ้าเรื่องกูมึงนี่ ไม่ได้ต้องการสื่อในทางหยาบคายแต่อย่างใดนะครับ ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัยด้วย ต้องการสื่อเพียงว่า พวกคุณมีความเป็นตัวตนเยอะ แรง เท่านั้น ไม่ได้ใกล้ความไม่มีตัวตนเลย นั่นแปลว่า เดินผิดครับ ไม่ได้เข้าใกล้มรรคผลเลย


ยังมีเราครับ ถึงต้องยังดูตัวเอง อย่างง ผมไม่ใช่พระโสดา ยังมีเราอยู่ ไม่ได้ขัดกัน เพียงแต่เป็นทางที่ควรเดิน แต่ยังไปไม่ถึง


ทำไมผมต้องตกนรกล่ะ ผมไม่ได้ด่าว่าพระอริยะที่ไหน มีโวยวายกับคุณที่ไม่ใช่พระอริยะ จริงๆ ก็ลงนรกอยู่ตอนเผลอไปโกรธ ตอนรู้ไม่ทันก็ลงนรก รู้ทันก็จบ ว่าแต่คุณน่ะรู้รึเปล่าล่ะ


จิตเกิดดับซิครับ ไม่ได้มั่ว ผมผ่านตรงนี้มาเป็นปีแล้ว จิตอีกดวงเห็นจิตอีกดวง ต่อๆ กัน แต่ไม่ตลอด บางทีก็หลงบ้าง ไม่ได้มั่ว เห็นจริงๆ


สมถะกับวิปัสสนา ไม่จำเป็นต้องเกิดพร้อมกันเสมอไป บางทีผมจำเป็นต้องกดข่มให้ทำสมถะบ้าง เพราะจิตไม่ชอบ แต่เดินวิปัสนาอย่างเดียวมันหมดแรง มันดูอะไรไม่ออก ไม่ใช่แก่นสารที่จะมาหาข้อสรุปในเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ว่า เดินพร้อมกันหรือเดินแยกกัน ระดับคุณเอาแค่ให้รู้เรื่องก่อนเถอะ ว่าพระโสดา คืออะไร เดินไปไหนไม่รู้




แล้วคุณน่ะ รู้มั้ยว่ากำลังโกรธ มีทั้ง ! ทั้ง ? แสดงอารมณ์เยอะแยะ


กล้ายืนยันมั้ย ว่าที่ผมถามน่ะ ไม่ได้ทำจริง

ไม่ได้ดูหมิ่นผู้อื่น เพื่อทำให้ตนเองถูก

ไม่ได้สรรหาพระคัมภีร์ สรรหาคำสอน บรรทัดเล็กบรรทัดน้อย มาอ้างอิงเพื่อตนเองถูก

ต่อให้ผมเห็นสมีตรงหน้า ผมก็ไม่ด่าเค้า ได้แต่เบือนหน้าหนี... นี่อะไร ไม่รู้เรื่อง เที่ยวดูหมิ่นครูบาอาจารย์คนอื่นไปทั่ว... อย่าพูดเลย ว่าเป็นชาวพุทธน่ะ

อย่าพูดเลย
โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.244.66 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:13:48 น.
  
ยังมีเราครับ ถึงต้องยังดูตัวเอง อย่างง ผมไม่ใช่พระโสดา ยังมีเราอยู่ ไม่ได้ขัดกัน เพียงแต่เป็นทางที่ควรเดิน แต่ยังไปไม่ถึง

โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.244.66 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:13:48 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
ท่านรู้จัก "สมมุติ"บัญญัติรึเปล่า มีไว้เพื่อเรียกหากันเท่านั้นใช่มั้ย???
จะยึดสมมุติก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ยึดสมมุติก็เป็นอยู่อย่างนั้น
แต่เรา(ปุถุชน)ดันไปยึดมันเองใช่มั้ย???
ส่วนพระอริยสาวก ไม่ยึดมันแล้วใช่มั้ย???

เราได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์๕ได้แล้ว
จะยึดหรือไม่ยึดก็ยังต้องแทนตนเองว่า "เรา"อยู่ดี ใช่มั้ย???

การเป็นพระโสดาบันหนะ เค้าเป็นกันที่ไหน???
ที่กายอันเน่าเปื่อยผุพังนี้ หรือ จิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว???

ท่านครับ การที่ท่านยังไปไม่ถึงไหน ไม่ใช่เพราะไปทางที่ควรเดิน แต่เป็นเพราะหลงทางต่างหาก

ปล. อย่าลืมตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาหละ ใช่หรือไม่ใช่

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:08:33 น.
  
จิตเกิดดับซิครับ ไม่ได้มั่ว ผมผ่านตรงนี้มาเป็นปีแล้ว จิตอีกดวงเห็นจิตอีกดวง ต่อๆ กัน แต่ไม่ตลอด บางทีก็หลงบ้าง ไม่ได้มั่ว เห็นจริงๆ

โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.244.66 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:13:48 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
ท่านยังไม่รู้ตัวอีกหรือครับว่า ที่ตอบมานั้นหนะ มั่วไปหมดรู้มั้ย???

ประการแรกที่บอกมาได้ไงว่า จิตเกิดดับ รู้ได้ยังไงว่าจิตเกิดดับ
ถ้ายังมีรู้อยู่ ก็แสดงว่ายังมีจิตอยู่ใช่มั้ย เกิดดับตอนไหน???
คำว่า "เกิด" คือ สิ่งนั้นไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นมา เรียกว่าเกิด
คำว่า "ดับ" คือ สิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วดับไป เรียกว่าดับ

ท่านครับ ท่านไม่รู้จริงๆหรือแกล้งโง่เพื่อเอาชนะกันแน่ว่า
จิตมีดวงเดียวเท่านั้น แต่ท่านกับพูดว่าจิตดวงหนึ่งเห็นจิตอีกดวงหนึ่ง
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ท่านอรรถกถาจารย์เองยังกล่าวไว้ว่า
จิตเกิดขึ้นได้ขณะละดวงเดียวเท่านั้น มีพร้อมกันที่เดียวสองดวงไม่ได้
ท่านรู้แล้วใช่มั้ยว่า ท่านตอบแบบมั่วๆ คิดเอง เออเองมาตลอด

ผมเองเชื่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านกล่าวว่า จิตมีดวงเดียว ที่เกิดดับคืออาการของจิต
เมื่อผมนำไปปฏิบัติตามแล้วเห็นจริง เป็นเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ผู้ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามา ย่อมเห็นเป็นเช่นนั้นทุกทั่วตัวคน

แต่สำหรับคนที่ยังเห็นว่าจิตเกิดดับอยู่นั้น แสดงว่าไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง
ได้แต่คิดเอง เออเองไปตามตำราที่เรียกรู้มาหรือฟังๆมา โดยไม่รู้จักพิจารณาให้เห็นข้อเท็จจริงเลย

ผู้ปฏิบัตินั้น เมื่อจิตแส่ออก ส่งออกไปหาอารมณ์ก็รู้ ว่าจิตหวั่นไหวไปตามอารมณ์
เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถยกจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาก็รู้ชัด จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
อะไรที่เกิดขึ้น ใช่อารมณ์ที่จิตแส่ออก ส่งออกไปหา ก็รู้ใช่มั้ย???
เมื่อยกจิตออกจากอารมณ์ อารมณ์ดับ กลับมาสู่องค์ภาวนาก็รู้ใช่มั้ย???
ท่านพอรู้แล้วนะว่าอะไรเกิดขึ้นที่จิตและดับออกไปจากจิต

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:47:40 น.
  
* ของจริง ผู้มีวาสนาน้อย ยากจะเข้าใจ
ธรรมแท้ ลึกซึ้งนัก ผู้มีกรรมบัง มักตีตัวออกห่าง เพราะของอย่างนี้เป็นสายบุญ สายกรรม

* ของจริง คนมักไม่สนใจเข้าหา แต่มักไปเห่อเหิมของ
ที่คนนิยมมากๆ ราวกับวัดค่ากันด้วยโพล

...............................................................

รูปแบบการสนทนาถาม-ตอบระหว่างพระอาจารย์มั่นกับศิษย์ของท่านคือพระอาจารย์จูม พันธุโล

ก. ถามว่า ผู้ปฏิบัติศาสนาโดยมากปฏิบัติอยู่แค่ไหน ?
ข. ตอบว่า ปฏิบัติอยู่ภูมิกามาพจรกุศลโดยมาก
ก. ถามว่า ทำไมจึ่งปฏิบัติอยู่เพียงนั้น ?
ข. ตอบว่า อัธยาศัย ของคนโดยมากยังกำหนัดอยู่ในกามเห็นว่ากามารมณ์ที่ดีเป็นสุข ส่วนที่ไม่ดีเห็นว่าเป็นทุกข์ จึ่งได้ปฏิบัติในบุญกิริยาวัตถุ มีการฟังธรรม ให้ทานรักษาศีลเป็นต้น หรือภาวนาบ้างเล็กน้อย เพราะความมุ่งเพื่อจะได้สวรรค์สมบัติมนุษย์สมบัติเป็นต้น ก็คงเป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่นั่นเอง เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว ย่อมถึงสุคติบ้างไม่ถึงบ้าง แล้วแต่วิบากจะซัดไป เพราะไม่ใช่นิยตบุคคลคือยังไม่ปิดอบาย เพราะยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล

ก. ถามว่า ก็ท่านผู้ปฏิบัติที่ดีกว่านี้ไม่มีหรือ ?
ข. ตอบว่า มี แต่ว่าน้อย
ก. ถามว่า น้อยเพราะเหตุอะไร ?
ข. ตอบว่า น้อยเพราะกามทั้งหลายเท่ากับเลือดในอกของสัตว์ ยากที่จะละความยินดีในกามได้ เพราะการปฏิบัติธรรม ละเอียด ต้องอาศัยกายวิเวก จิตตวิเวก จึ่งจะเป็นไปเพื่ออุปธิวิเวก เพราะเหตุนี้แลจึงทำได้ด้วยยาก แต่ไม่เหลือวิสัย ต้องเป็นผู้เห็นทุกข์จริง ๆ จึ่งจะปฏิบัติได้
ก. ถามว่า ถ้าจะปฏิบัติเพียงภูมิกามาพจรกุศล ดูไม่แปลกอะไร เพราะเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นภูมิกามาพจรอยู่แล้วส่วนการปฏิบัติจะให้ดีกว่า เก่าก็ต้องให้เลื่อนชั้นเป็น ภูมิรูปาวจรหรืออรูปาวจรแลโลกอุดร จะได้แปลกจากเก่า?
ข. ตอบว่า ถูกแล้ว ถ้าคิดดู คนนอกพุทธกาล ท่านก็ได้บรรลุฌานชั้นสูง ๆ ก็มี คนในพุทธกาลท่านก็ได้บรรลุมรรคแลผลมีพระโสดาบันน์แลพระอรหันต์โดยมาก นี่เราก็ไม่ได้บรรลุฌาน
เป็นอันสู้คนนอกพุทธกาลไม่ได้ แลไม่ได้บรรลุมรรคผล เป็นอันสู้คนในพุทธกาลไม่ได้
ก. ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จักทำอย่างไรดี ?
ข. ตอบว่า ต้องทำในใจให้เห็นตามพระพุทธภาษิตที่ว่า

มตฺตาสุขปริจฺจาคา
ถ้าว่าบุคคลเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย์

ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ
เพราะบริจาคซึ่งสุขมีประมาณน้อยเสียไซร้.

จเช มตฺตาสุขํ ธีโร
บุคคลผู้มีปัญญาเครื่องทรงไว้ เมื่อ

สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ
เล็งเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย์ พึงละเสียซึ่งสุขมีประมาณน้อย

โดย: พุทโธ IP: 124.120.221.9 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:58:26 น.
  
สมถะกับวิปัสสนา ไม่จำเป็นต้องเกิดพร้อมกันเสมอไป บางทีผมจำเป็นต้องกดข่มให้ทำสมถะบ้าง เพราะจิตไม่ชอบ แต่เดินวิปัสนาอย่างเดียวมันหมดแรง มันดูอะไรไม่ออก ไม่ใช่แก่นสารที่จะมาหาข้อสรุปในเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ว่า เดินพร้อมกันหรือเดินแยกกัน ระดับคุณเอาแค่ให้รู้เรื่องก่อนเถอะ ว่าพระโสดา คืออะไร เดินไปไหนไม่รู้
แล้วคุณน่ะ รู้มั้ยว่ากำลังโกรธ มีทั้ง ! ทั้ง ? แสดงอารมณ์เยอะแยะ
กล้ายืนยันมั้ย ว่าที่ผมถามน่ะ ไม่ได้ทำจริง
ไม่ได้ดูหมิ่นผู้อื่น เพื่อทำให้ตนเองถูก
ไม่ได้สรรหาพระคัมภีร์ สรรหาคำสอน บรรทัดเล็กบรรทัดน้อย มาอ้างอิงเพื่อตนเองถูก
ต่อให้ผมเห็นสมีตรงหน้า ผมก็ไม่ด่าเค้า ได้แต่เบือนหน้าหนี... นี่อะไร ไม่รู้เรื่อง เที่ยวดูหมิ่นครูบาอาจารย์คนอื่นไปทั่ว... อย่าพูดเลย ว่าเป็นชาวพุทธน่ะ
อย่าพูดเลย
โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.244.66 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:13:48 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
ท่านกำลังแกล้งโง่หรือไม่รู้จริงๆว่า สมถะและวิปัสสนานั้น ถึงจะไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันก็จริง
แต่สมถะและวิปัสสนาเป็นสิ่งที่เนื่องด้วยกัน แยกออกจากกันไม่ได้ โดยทำหน้าที่แยกออกจากกัน

สถมะเป็นผู้นำเสนอ และวิปัสสนาเป็นผู้ตัด เมื่อวิปัสสนาเป็นผู้ตัด และสมถะเป็นผู้รับ
ท่านครับใครกันแน่ที่ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ยังมีหน้าบอกว่าปฏิบัติมา
คนไม่รู้เรื่องอย่างท่าน ย่อมหาหนทางไม่เจอหรอก...ได้แต่เดาสวดเอาตามตำรา

ถ้าผมไม่รู้ว่าพระอริยสาวกระดับพระโสดาบัน ท่านทำงานทางจิตอย่างไร?
ผมคงไม่กล้าที่จะเอาเนื้อธรรมที่ท่านที่ชอบพูดจามั่วๆเพื่อให้ดูดี
แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น มาวิพากษ์วิจารณ์ให้ผู้หลงผิดได้รู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย

ผมไม่ทำหรอก การเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ไม่ใช่วิสัยพุทธบุตรที่ดี
รู้ได้ยังไงว่า ผมกำลังโกรธและดูหมิ่นคนอื่น ทำแล้วผมได้อะไร มรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่

ท่านหายนะ ท่านอย่าเอาตนเองเป็นบรรทัดฐานสิ คนที่ทำเพื่อเห็นแก่ศาสนาพุทธที่แท้จริงจะหายไป

พวกสมีทั้งหลายผมเห็นว่ายังดีกว่า พวกที่ชอบสร้างภาพ เอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์บังหน้า
สมัยเป็นฆารวาสก็นำเอาธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ มานำเสนอว่าเป็นของตนเอง
พอเป็นพระ กลับลืมตัว กล่าวหาว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์กล่าวธรรมคลาดเคลื่อนไปจากสภาวะธรรม

การสอนของท่านแบบนั้น ผู้รู้ที่ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาพอสมควร
ย่อมรู้ว่าคนสอน ที่ชอบแอบอ้างและสร้างภาพ ไม่มีภูมิธรรมจริง แค่เรื่องจิตเรื่องเดียวก็สอบตกแล้ว

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:40:31 น.
  
ท่านหายนะครับ
ท่านรู้จัก "สมมุติ"บัญญัติรึเปล่า มีไว้เพื่อเรียกหากันเท่านั้นใช่มั้ย???
จะยึดสมมุติก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ยึดสมมุติก็เป็นอยู่อย่างนั้น
แต่เรา(ปุถุชน)ดันไปยึดมันเองใช่มั้ย???
ส่วนพระอริยสาวก ไม่ยึดมันแล้วใช่มั้ย???

เราได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์๕ได้แล้ว
จะยึดหรือไม่ยึดก็ยังต้องแทนตนเองว่า "เรา"อยู่ดี ใช่มั้ย???

การเป็นพระโสดาบันหนะ เค้าเป็นกันที่ไหน???
ที่กายอันเน่าเปื่อยผุพังนี้ หรือ จิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว???

ท่านครับ การที่ท่านยังไปไม่ถึงไหน ไม่ใช่เพราะไปทางที่ควรเดิน แต่เป็นเพราะหลงทางต่างหาก

ปล. อย่าลืมตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาหละ ใช่หรือไม่ใช่

ธรรมภูต



อืมมม กว่าจะเข้าใจ...

ไม่เกี่ยวอะไรกับสมมุติครับ ที่ผมว่าไม่มีเราหมายถึงปรมัตถ์ ถ้าจะพูดให้เข้าใจ ขยายความได้ว่า "ผมรู้สึกว่าไม่มีความเป็นตัวเรา ในบางครั้ง" ...ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีคำเรียกแทนตัวเองว่าเรา แต่ไม่มีความรู้สึกเป็นเรา ไม่ยึดในปรมัตถ์ว่ามีความเป็นเรามีอยู่จริงครับ

ถูกต้องครับ ก็ต้องแทนตัวเองว่าเราหรือสรรพนามแทนตัวอื่นๆ หรือชื่อที่เรียกแทนเรา เพื่อใช้สื่อสารในทางสมมุติกับโลก ว่าหมายถึงขันธ์๕ กองนี้ แต่ในความรู้สึกของพระอริยะท่าน จะไม่รู้สึกว่ามีเรา แม้จะพูดอยู่ว่าเราอย่างนั้น เราอย่างนี้ก็ตาม บางครั้งผมก็เป็นนะครับ มันสักแต่พูดว่าผมอย่างนั้น ผมอย่างนี้ แต่มันว่างๆ ไม่รู้สึกว่ามีเรา แต่เผลอๆ ก็มีเราขึ้นมาในอกอีกเหมือนเดิม

ถูกอีกแหละครับ เป็นที่จิตไม่ใช่กาย

ก็ไม่ผิดนี่ครับ ผมว่าผมมาไกลแล้วทีเดียว เดินปัญญาไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง รู้สึกว่า ค่อยๆ ละความรู้สึกเป็นเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ใกล้มรรคผลขั้นแรกเข้าไปเรื่อยๆ ไม่เห็นว่าผิดทางตรงไหน



ท่านหายนะครับ
ท่านยังไม่รู้ตัวอีกหรือครับว่า ที่ตอบมานั้นหนะ มั่วไปหมดรู้มั้ย???

ประการแรกที่บอกมาได้ไงว่า จิตเกิดดับ รู้ได้ยังไงว่าจิตเกิดดับ
ถ้ายังมีรู้อยู่ ก็แสดงว่ายังมีจิตอยู่ใช่มั้ย เกิดดับตอนไหน???
คำว่า "เกิด" คือ สิ่งนั้นไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นมา เรียกว่าเกิด
คำว่า "ดับ" คือ สิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วดับไป เรียกว่าดับ

ท่านครับ ท่านไม่รู้จริงๆหรือแกล้งโง่เพื่อเอาชนะกันแน่ว่า
จิตมีดวงเดียวเท่านั้น แต่ท่านกับพูดว่าจิตดวงหนึ่งเห็นจิตอีกดวงหนึ่ง
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ท่านอรรถกถาจารย์เองยังกล่าวไว้ว่า
จิตเกิดขึ้นได้ขณะละดวงเดียวเท่านั้น มีพร้อมกันที่เดียวสองดวงไม่ได้
ท่านรู้แล้วใช่มั้ยว่า ท่านตอบแบบมั่วๆ คิดเอง เออเองมาตลอด

ผมเองเชื่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านกล่าวว่า จิตมีดวงเดียว ที่เกิดดับคืออาการของจิต
เมื่อผมนำไปปฏิบัติตามแล้วเห็นจริง เป็นเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ผู้ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามา ย่อมเห็นเป็นเช่นนั้นทุกทั่วตัวคน

แต่สำหรับคนที่ยังเห็นว่าจิตเกิดดับอยู่นั้น แสดงว่าไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง
ได้แต่คิดเอง เออเองไปตามตำราที่เรียกรู้มาหรือฟังๆมา โดยไม่รู้จักพิจารณาให้เห็นข้อเท็จจริงเลย

ผู้ปฏิบัตินั้น เมื่อจิตแส่ออก ส่งออกไปหาอารมณ์ก็รู้ ว่าจิตหวั่นไหวไปตามอารมณ์
เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถยกจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาก็รู้ชัด จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
อะไรที่เกิดขึ้น ใช่อารมณ์ที่จิตแส่ออก ส่งออกไปหา ก็รู้ใช่มั้ย???
เมื่อยกจิตออกจากอารมณ์ อารมณ์ดับ กลับมาสู่องค์ภาวนาก็รู้ใช่มั้ย???
ท่านพอรู้แล้วนะว่าอะไรเกิดขึ้นที่จิตและดับออกไปจากจิต

ธรรมภูต



ไม่ได้มั่วครับ เห็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้เอาชนะครับ ถามมาก็ตอบไป คิดว่าไม่รู้อะไรก็เล่าให้ฟัง ว่าเจออะไรบ้างในการปฏิบัติ

ครับ มีดวงเดียว เกิดแว๊บไปมา เต็มไปหมด อันโน่นดับ อันนี้ก็เกิดใหม่ทันที คนละดวงกัน ต่อกัน ไม่ทับซ้อนกัน

ที่ผมเห็นว่าจิตเห็นจิตอีกดวงดับ มันก็ต่อกันครับ ผมไม่ได้เห็นว่ามันมีอยู่ แต่ผมเห็นว่ามันดับไปหยกๆ แล้วก็มีจิตอื่นมาต่อทันที ต่อกัน ไม่ซ้อนทับกัน ไม่พร้อมกัน

ไม่ครับ ผมไม่เห็นอย่างคุณ และผมก็ไม่ได้ยกคำสอนพระอาจารย์มาเถียง ผมพูดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ถ้าจิตเที่ยง ไม่เกิดดับ แล้วทำไมคุณถึงจะละความรู้สึกในปรมัตถ์ว่า มีเราอยู่จริงๆ ได้ล่ะ...

ที่บอกว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง... คุณน่ะ ไม่ได้ใกล้โสดาเลย

ไม่เลย

คนละทาง

ไกลลิบ

เห็นจิตเป็นอัตตา ไม่ใช่อนัตตา ไม่ใช่ไตรลักษณ์...

วัฏสงสารของคุณ ก็ยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ถ้ายังเห็นว่าจิตเที่ยง... ยังอยู่กับจิต ยังยึดจิต

หึ หึ ตัวใครตัวมันนะครับ



ท่านหายนะครับ
ท่านกำลังแกล้งโง่หรือไม่รู้จริงๆว่า สมถะและวิปัสสนานั้น ถึงจะไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันก็จริง
แต่สมถะและวิปัสสนาเป็นสิ่งที่เนื่องด้วยกัน แยกออกจากกันไม่ได้ โดยทำหน้าที่แยกออกจากกัน

สถมะเป็นผู้นำเสนอ และวิปัสสนาเป็นผู้ตัด เมื่อวิปัสสนาเป็นผู้ตัด และสมถะเป็นผู้รับ
ท่านครับใครกันแน่ที่ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ยังมีหน้าบอกว่าปฏิบัติมา
คนไม่รู้เรื่องอย่างท่าน ย่อมหาหนทางไม่เจอหรอก...ได้แต่เดาสวดเอาตามตำรา

ถ้าผมไม่รู้ว่าพระอริยสาวกระดับพระโสดาบัน ท่านทำงานทางจิตอย่างไร?
ผมคงไม่กล้าที่จะเอาเนื้อธรรมที่ท่านที่ชอบพูดจามั่วๆเพื่อให้ดูดี
แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น มาวิพากษ์วิจารณ์ให้ผู้หลงผิดได้รู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย

ผมไม่ทำหรอก การเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ไม่ใช่วิสัยพุทธบุตรที่ดี
รู้ได้ยังไงว่า ผมกำลังโกรธและดูหมิ่นคนอื่น ทำแล้วผมได้อะไร มรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่

ท่านหายนะ ท่านอย่าเอาตนเองเป็นบรรทัดฐานสิ คนที่ทำเพื่อเห็นแก่ศาสนาพุทธที่แท้จริงจะหายไป

พวกสมีทั้งหลายผมเห็นว่ายังดีกว่า พวกที่ชอบสร้างภาพ เอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์บังหน้า
สมัยเป็นฆารวาสก็นำเอาธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ มานำเสนอว่าเป็นของตนเอง
พอเป็นพระ กลับลืมตัว กล่าวหาว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์กล่าวธรรมคลาดเคลื่อนไปจากสภาวะธรรม

การสอนของท่านแบบนั้น ผู้รู้ที่ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาพอสมควร
ย่อมรู้ว่าคนสอน ที่ชอบแอบอ้างและสร้างภาพ ไม่มีภูมิธรรมจริง แค่เรื่องจิตเรื่องเดียวก็สอบตกแล้ว

ธรรมภูต


คุณกำลังทำอยู่...

คุณกำลังเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น

คุณเป็น "ผู้ที่อ้างว่า นับถือศาสนาพุทธที่เลว" ผมคงไม่ใช่คำว่าพุทธบุตร มันไม่สมควรกับคุณ

ไร้สาระจะมาถกเถียงเอาเรื่องสมถะวิปัสสนา ตราบใดที่คุณเห็นว่าจิตเที่ยง

คุณไม่ใช่ผู้ที่นับถืบศาสนาพุทธ เป็นเพียงผู้ที่อ้างว่านับถือศาสนาพุทธเท่านั้น ถ้ามองด้วยเหตุผล คุณเป็นเพียงผู้ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ละเมิดคำสอน และทำลายศาสนาเสมออย่างสมี เพราะฉะนั้น ผมยอมรับว่าคุณดีกว่าสมี คุณเป็นเพียงเดียรถีย์ผู้เข้ามาแอบอ้างทำลายศาสนาเท่านั้น


คุณกล่าวหาว่าท่าน แย่กว่าสมีงั้นรึ... กล้าดียังไง หึ กล้าดียังไง

ต่อให้คุณคิดว่าคำสอนท่านผิด(ซึ่งจริงๆ นั้น ถูกต้อง) ท่านที่สอนผิดนั้น ไม่มีทางมีความผิดเสมอกับสมี ไม่มีทาง

นี่แหละกิเลสของคุณ

มีหลักฐานอะไรมากล่าวหาท่าน มีแต่กิเลสทั้งนั้น



นี่แหละ "เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" ชัดๆ

...ชัดๆ
โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.247.171 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:44:45 น.
  
อืมมม กว่าจะเข้าใจ...

ไม่เกี่ยวอะไรกับสมมุติครับ ที่ผมว่าไม่มีเราหมายถึงปรมัตถ์ ถ้าจะพูดให้เข้าใจ ขยายความได้ว่า "ผมรู้สึกว่าไม่มีความเป็นตัวเรา ในบางครั้ง" ...ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีคำเรียกแทนตัวเองว่าเรา แต่ไม่มีความรู้สึกเป็นเรา ไม่ยึดในปรมัตถ์ว่ามีความเป็นเรามีอยู่จริงครับ

ถูกต้องครับ ก็ต้องแทนตัวเองว่าเราหรือสรรพนามแทนตัวอื่นๆ หรือชื่อที่เรียกแทนเรา เพื่อใช้สื่อสารในทางสมมุติกับโลก ว่าหมายถึงขันธ์๕ กองนี้ แต่ในความรู้สึกของพระอริยะท่าน จะไม่รู้สึกว่ามีเรา แม้จะพูดอยู่ว่าเราอย่างนั้น เราอย่างนี้ก็ตาม บางครั้งผมก็เป็นนะครับ มันสักแต่พูดว่าผมอย่างนั้น ผมอย่างนี้ แต่มันว่างๆ ไม่รู้สึกว่ามีเรา แต่เผลอๆ ก็มีเราขึ้นมาในอกอีกเหมือนเดิม

ถูกอีกแหละครับ เป็นที่จิตไม่ใช่กาย

ก็ไม่ผิดนี่ครับ ผมว่าผมมาไกลแล้วทีเดียว เดินปัญญาไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง รู้สึกว่า ค่อยๆ ละความรู้สึกเป็นเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ใกล้มรรคผลขั้นแรกเข้าไปเรื่อยๆ ไม่เห็นว่าผิดทางตรงไหน

โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.247.171 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:44:45 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
ท่านกำลังสับสนนะ ถ้าไม่มีสมมุติก็ไม่มีปรมัตถ์
คำว่า"ปรมัตถ์"หมายถึง ความจริงแท้แน่นอน
ถ้าไม่มี"เรา"ในที่ทั้งปวง แล้วในพระบาลีทั้งหลายยังมีใช้อยู่หละ
"เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว"

ท่านพูดว่า"ผมรู้สึกว่าไม่มีความเป็นตัวเรา ในบางครั้ง"
ผมถามว่าใครๆๆๆที่รู้สึกว่าไม่มีความเป็นตัวเราในบางครั้ง???

ส่วนในพระอริยสาวกนั้น ท่านรู้อยู่เห็นอยู่ว่า ขันธ์๕ไม่ใช่เรา เราไม่เป็นขันธ์๕ ขันธ์๕ไม่ใช่ตนของเรา
จิตก็เกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เมื่คลายกำหนัด จิตก็หลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย

ท่านยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่า ที่ว่ามาไกลหนะ ที่แท้หลงมาไกลมากกว่า
ที่ท่านพูดว่า ค่อยๆ ละความรู้สึกเป็นเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ขอถามว่าใครๆๆๆๆๆที่ละความรู้สึกว่าเป็นเราได้มากขึ้นเรื่อย???

ท่านครับ ท่านอย่าเพื้อฝันไปเลยว่าเข้าใกล้มรรคผลนิพพาน
แค่เรื่องจิตเรื่องเดียวยังไม่รู้จัก แต่ไพล่ไปพูดถึงมรรคผลนิพพาน....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:8:05:59 น.
  
ความเข้าใจเรื่องพระอภิธรรม พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

อภิธรรม คัมภีร์นี้ ถ้าจะเรียนกันโดยลำดับให้ครบถ้วนก็จะต้องใช้เวลานาน
เพราะมีข้อความที่สลับซับซ้อนพิสดารมาก

ฉะนั้น ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปอยู่ในขนาดพันปี
ได้มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อท่าน อนุรุทธะ ได้ประมวลเนื้อความของอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้
มาแต่งไว้โดยย่นย่อ เรียกว่า คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ
แปลว่า สงเคราะห์ คือ สรุปความแห่งอภิธรรม
ยกหัวข้อเป็นสี่คือ
๑. จิต
๒. เจตสิก แปลว่าธรรมะที่มีในใจ
๓. รูป
๔. นิพพาน
ท่านแต่งเป็นคาถาสลับร้อยแก้วแบ่งออกเป็น ๙ ปริจเฉท คือ ๙ ตอนฯลฯ

พิจารณาดูตามหัวข้อที่ท่านว่าไว้เป็นสี่นี้ ตามความเข้าใจ
จิตนี้เป็นตัวยืน โดยปรกติจิตก็มีดวงเดียว
จิตจะเป็นต่างๆก็เพราะมีเจตสิก

แปลว่าธรรมะที่มีในใจ มีเจตสิกเป็นอย่างไรจิตก็เป็นอย่างนั้น
เจตสิกจึงเป็นสิ่งที่มีผสมอยู่ในจิต
เทียบเหมือนดั่งว่าน้ำกับสีที่ผสมอยู่ในน้ำ

น้ำโดยปรกติก็เป็นอย่างเดียว
แต่เมื่อใส่สีลงไปน้ำจึงเป็นน้ำสีนั้น น้ำสีนี้

ฉะนั้น ในอภิธรรมที่แจกจิตไว้ถึง ๘๙ ดวง ก็ด้วยอำนาจของเจตสิกนี้เอง
แยกเจตสิกออกแล้ว จิตก็เป็นอันเดียวเท่านั้น แจกออกไปเป็นอย่างไรมิได้ ฯลฯ

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:8:55:28 น.
  
ไม่ได้มั่วครับ เห็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้เอาชนะครับ ถามมาก็ตอบไป คิดว่าไม่รู้อะไรก็เล่าให้ฟัง ว่าเจออะไรบ้างในการปฏิบัติ
ครับ มีดวงเดียว เกิดแว๊บไปมา เต็มไปหมด อันโน่นดับ อันนี้ก็เกิดใหม่ทันที คนละดวงกัน ต่อกัน ไม่ทับซ้อนกัน
ที่ผมเห็นว่าจิตเห็นจิตอีกดวงดับ มันก็ต่อกันครับ ผมไม่ได้เห็นว่ามันมีอยู่ แต่ผมเห็นว่ามันดับไปหยกๆ แล้วก็มีจิตอื่นมาต่อทันที ต่อกัน ไม่ซ้อนทับกัน ไม่พร้อมกัน
ไม่ครับ ผมไม่เห็นอย่างคุณ และผมก็ไม่ได้ยกคำสอนพระอาจารย์มาเถียง ผมพูดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ถ้าจิตเที่ยง ไม่เกิดดับ แล้วทำไมคุณถึงจะละความรู้สึกในปรมัตถ์ว่า มีเราอยู่จริงๆ ได้ล่ะ...
ที่บอกว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง... คุณน่ะ ไม่ได้ใกล้โสดาเลย
ไม่เลย
คนละทาง
ไกลลิบ
เห็นจิตเป็นอัตตา ไม่ใช่อนัตตา ไม่ใช่ไตรลักษณ์...
วัฏสงสารของคุณ ก็ยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ถ้ายังเห็นว่าจิตเที่ยง... ยังอยู่กับจิต ยังยึดจิต
หึ หึ ตัวใครตัวมันนะครับ

โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.247.171 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:44:45 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
แบบนี้ท่านยังบอกว่าไม่มั่วอีก เมื่อท่านยอมรับเองว่าจิตมีดวงเดียว
ไอ้ที่เกิดดับแว๊บๆหนะ เป็นอาการของจิตที่เป็นไปตามชนิดของอารมณ์เท่านั้น
การที่มีอารมณ์ของจิตเข้ามาตลอดเวลา ทำให้จิตสังขารเกิดดับไปตามอารมณ์เหล่านั้น
แต่เมื่อมีสติระลึกรู้เกิดขึ้น จิตย่อมรู้อยู่เห็นอยู่ว่า
ที่เกิดดับอยู่นั้นเป็นอาการของจิต ที่เกิดดับไปตามชนิดของอารมณ์ต่างๆ
ไม่ใช่ตัวจิต เพราะเรา(จิต)ยังรู้อยู่ตลอดเวลาที่มีเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น

ทำไมจะละไม่ได้หละ ในเมื่อจิตของเรารู้อยู่เห็นอยู่ว่า นั่นไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา
เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ จงละสิ่งที่ไม่ใช่นั้นเสีย แสวงหาสิ่งที่ใช่ที่เป็นที่พึ่งที่อาศํยได้สิ
ไม่ใช่ให้เราละทิ้งสมมุติทั้งหลายและปรมัตถ์ทั้งหลายเสียเมื่อไหร่ เราเพียงละความยึดมั่นถือมั่นต่างหาก
สิ่งที่เราละความยึดมั่นถือมั่นได้แล้ว สิ่งก็ยังอยู่ แต่ต่างคนต่างอยู่โดยอาศัยกันเท่านั้น

ขอถามว่า โลกุตรจิต เที่ยงหรือไม่เที่ยงหละ???
ถ้าจิตเกิดดับ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเกิดดับ???
จิตที่อบรมดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ใช่มั้ย???

ส่วนผมไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนั้น ท่านไปต้องมาทำรู้ดีไปกว่าผมหรอกว่าใกล้เคียงขนาดไหน???

ผมบอกที่ไหนว่าจิตเป็นอัตตา ขอหลักฐานด้วย อย่ามั่วคิดเอง เออเองได้โดยไม่มีหลักฐาน
ผมพูดเสมอๆว่า จิตที่อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นที่พึ่งที่อาศัยที่แท้จริง
ไม่ยังงั้นแล้ว จะมีศีล สมาธิ ปัญญา เพื่ออบรมจิตไปทำไม???

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:9:53:10 น.
  
คุณกำลังทำอยู่...
คุณกำลังเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น
คุณเป็น "ผู้ที่อ้างว่า นับถือศาสนาพุทธที่เลว" ผมคงไม่ใช่คำว่าพุทธบุตร มันไม่สมควรกับคุณ

ไร้สาระจะมาถกเถียงเอาเรื่องสมถะวิปัสสนา ตราบใดที่คุณเห็นว่าจิตเที่ยง
คุณไม่ใช่ผู้ที่นับถืบศาสนาพุทธ เป็นเพียงผู้ที่อ้างว่านับถือศาสนาพุทธเท่านั้น ถ้ามองด้วยเหตุผล คุณเป็นเพียงผู้ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ละเมิดคำสอน และทำลายศาสนาเสมออย่างสมี เพราะฉะนั้น ผมยอมรับว่าคุณดีกว่าสมี คุณเป็นเพียงเดียรถีย์ผู้เข้ามาแอบอ้างทำลายศาสนาเท่านั้น
คุณกล่าวหาว่าท่าน แย่กว่าสมีงั้นรึ... กล้าดียังไง หึ กล้าดียังไง
ต่อให้คุณคิดว่าคำสอนท่านผิด(ซึ่งจริงๆ นั้น ถูกต้อง) ท่านที่สอนผิดนั้น ไม่มีทางมีความผิดเสมอกับสมี ไม่มีทาง
นี่แหละกิเลสของคุณ
มีหลักฐานอะไรมากล่าวหาท่าน มีแต่กิเลสทั้งนั้น
นี่แหละ "เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" ชัดๆ

...ชัดๆ
โดย: มาอีกแล้ว IP: 125.26.247.171 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:44:45 น.
......................................
ท่านหายนะครับ
ท่านกำลังสับสนนะ เรากำลังถกกันที่เนื้อธรรม ไม่ใช่มาเขียนด่าผมอยู่นี่
ผมก็บอกแล้วว่าให้มองที่เนื้อธรรมเท่านั้น แต่ท่านดันไพล่ที่จะเอาตัวบุคคลเข้ามาเกี่ยว

ใครกันแน่ที่เป็นเดียรถีย์ ตัวจริงเสียงจริง? แอบอ้างสารพัดเพื่อให้ตัวเองโด่งดังขึ้นมาได้
โดยไม่เลือกวิธีที่ใช้ เลวยิ่งกว่าพวกที่ถูกเรียกว่าเป็นสมีเสียอีก พวกนั้นเลวเฉพาะตัว
แต่นี่ไม่ใช่เลวได้ใจมากๆ โดยเฉพาะเรื่องจิตคือพุทธะ ที่แอบอ้างว่าเป็นธรรมของหลวงปู่ดูลย์มอบให้ตน
ที่ไหนได้ คัดลอกเอามาจากหนังสือคำสอนของท่านฮวงโปชัดๆ โดยเอามาตัดแปะ ไม่ให้เครดิตท่านเสียด้วย
การทำแบบนี้เข้าไม่เรียกว่พระหรอก เค้าเรียกว่าพวกเดียรถีย์ชัดๆ ทำลายชื่อเสียงครูบาอาจารย์ของตนเอง...

ปล. ถ้าจะถกธรรมกันก็มาว่าเฉพาะเนื้อธรรม ไม่ใช่เอาตัวบุคคล...

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:10:16:00 น.
  
คุณ หายนะ คนเดิม มาอีกแล้ว

เค้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าที่เล่ามาทั้งหมดนั้น
สะท้อนให้เห็นชัดเจนเลยว่าเค้าคือคนที่ภาวนาไม่เป็น
เป็นห่วงมาก จากใจจริงเลย
โดย: ต้นหอม IP: 202.176.92.8 วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:11:47:41 น.
  
ใช่ภาวนาไม่เป็นแล้วซ่าสสส์ มั่วตัวพ่อเลยล่ะ
มิจฉาทิฐิของจริง เที่ยวแช่งเค้าไปทั่ว
ถ้าหากพวกเราผิดจริง กรรมจะจัดสรรให้เองอย่างยุติธรรมที่สุด เราขออ้าแขนรับกรรมนั้นด้วยความเต็มใจ (เอ้า ทำเองก็ต้องรับๆ กันไป)
ไม่ต้องมานั่งแช่งชักหักกระดูกเราหรอก ว่าไม่มีวันได้มรรคผล (เราไม่สะเทือนเลยสักนิด ของจริงหัวใจมั่นคง)

มันแสดงให้เห็นถึงความ "ต่ำ" ในหัวใจของเค้า เพราะไม่ได้รับการขัดเกลาใดๆ อย่าว่าแต่นักภาวนาเลย คนดีเป็นได้หรือเปล่า

อ่านคอมเมนท์เแล้ว ช่างเหมือนกับใครบางคนที่ไม่มีภูมิ แต่อุตริมาสอน ทำตัวเป็นเจ้าสำนัก เอ...หรือเป็นคนคนเดียวกันหว่า คริ คริ ...
โดย: พุทโธ IP: 124.120.223.170 วันที่: 14 ธันวาคม 2552 เวลา:11:29:52 น.
  
ผมสนใจประวัติพุทธศาสนาน่ะครับ เห็น blog นี้เลยมาอ่าน ตกลงว่าท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชกท่านสอนว่าอะไรบ้างครับ ที่เขียนมานี่อ้างอิงมาจากไหนครับ

ขอบคุณครับ
โดย: ผ่านมา IP: 192.168.182.15, 124.122.150.119 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:11:49:43 น.
  
โดนโทสะ พาไปหมดเลย
รวมถึงผมด้วย

ตื่นจากฝันกันเร้ว
โดย: OjO IP: 58.11.80.141 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:13:20:39 น.
  
การมีจิตคิดไม่ดีและหมิ่นพระอริยะนั้น ปิดกั้นความเจริญในธรรม

ปรากฏการหลวงพ่อตอนนี้เป็นการแยกคน แยกสภาวะธรรม

คนที่มีปัญญานำ จะเป็นคนได้ธรรมและเห็นธรรม

ระวังจิตของเราให้ดีว่าตอนนี้เป้นจิตที่ประกอบด้วยปัญญาเห็นธรรมตามจริง

หรือเป็นจิตอัตตาที่ละเอียดแฝงอยู่และขับเคลื่อนให้เราปรุงแต่งไปตามอำนาจมัน

ขออโหสิกรรมจิตต่อทุกรูปนามด้วยครับ
โดย: นางคำกู่ IP: 61.7.169.134 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:17:12:50 น.
  
โกรธให้รู้ว่าโกรธ

สงสารให้รู้ว่าสงสาร
โดย: bb IP: 110.164.112.192 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:20:30:35 น.
  
อยากถามเหมือนคุร..ผ่านมา...ถาม ว่าสัญชัยปริพาชกเขาสอนอะไรหรือ

ขอละเอียดละเอียดหน่อย
ไม่ใช่อนุมานเอาเอง
โดย: daryl_jr IP: 203.155.229.187 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:3:35:36 น.
  
ผมสนใจประวัติพุทธศาสนาน่ะครับ เห็น blog นี้เลยมาอ่าน ตกลงว่าท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชกท่านสอนว่าอะไรบ้างครับ ที่เขียนมานี่อ้างอิงมาจากไหนครับ
ขอบคุณครับ
โดย: ผ่านมา IP: 192.168.182.15, 124.122.150.119 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:11:49:43 น.
.........................................
ท่านผ่านมาครับ
ผมอ้างอิงมาจากท่านพระอาจารย์สารีบุตรและท่านพระอาจารย์โมคคัลลานะทั้งสองท่าน
เพราะท่านทั้งสองเคยอยู่ในสำนักของท่านสัญชัยมาก่อน ก็ยังไม่เข้าใกล้มรรคผลนิพพานเสียที

สืบเนื่องจากท่านพระอาจารย์สารีบุตร ได้พบกับท่านพระอาจารย์อัสสชิ
เห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสในปฏิปทาของท่านพระอาจารย์อัสสชิ
และถามว่าใครเป็นศาสดาของท่านและท่านสอนอะไรบ้าง?

ท่านพระอาจารย์อัสสชิจึงกล่าวโศลกธรรมให้ท่านพระอาจารย์สารีบุตรฟังดังนี้
"ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดแต่เหตุ ย่อมดับเพราะสิ้นเหตุแห่งธรรมนั้น"

ก็เป็นอันชัดเจนแล้วว่า ต้องชำระจิตให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
เหตุเพราะอะไร? จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัยใช่มั้ย?
เมื่อปฏิบัติอริยมรรคมีองค์๘ ทำให้จิตเห็นจิต
ผลอันเกิดจาก(การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา)จิตเห็นจิต เป็นนิโรธ

(ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องการชำระจิตให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง
อันเป็นคำสอนที่มีในพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น)

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:8:17:32 น.
  
เรียน คุณธรรมภูต

ไม่ทราบได้เห็นรึยัง
เมื่อวาน ๑๗/๑/๒๕๕๓ บล็อกคุณธรรมภูตมีสหธรรมิกโคจรมาเยี่ยมเยียนเยอะมาก



สงสัยจะเป็นผลพวงจากกระทู้ที่บอร์ดพลังจิตและพันทิพ

"พระป่าหรือพระโกหก" เทศน์โดย หลวงพ่อสงบ วันที่๓๑ธ.ค.๕๒

ประกาศมูลนิธิบ้านอารีย์
โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:8:48:04 น.
  
//www.buddhism-online.org/Section02A_05.htm

อย่างนี้จะ จขบ. อธิบายว่าอย่างไร
โดย: daryl_jr IP: 203.155.228.214 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:8:52:24 น.
  
แล้วเจ้าของ Blog นี้
ต่างอะไรกันพวก "เดียรถี" ในสมัยพุทธกาล
ไม่มีดีจะอ้วด
แต่เที่ยวทำตัวระรานผู้อื่น
เปรต หรือ อสุรกาย หรือ สั..T Na id
กลับชาติมาเกิดวะ ครับ
โดย : ไอ้กวน ตeen วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา: 18:02:14 น.
.........................................
ท่านไอ้กวน ตeen ครับ
ชื่อท่านเองก็บอกชัดอยู่แล้วนะว่าเป็นพวก"เดียรถี" พันธ์แท้ไม่แปรผัน
และยังชอบอวดดี เที่ยวทำตัวระรานผู้อื่นเขาไปทั่วมั่วไปหมด
เปรต หรือ อสุรกาย หรือ สั..T Na id กลับชาติมาเกิดแท้ๆวะ ครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:9:41:18 น.
  
การมีจิตคิดไม่ดีและหมิ่นพระอริยะนั้น ปิดกั้นความเจริญในธรรม
ปรากฏการหลวงพ่อตอนนี้เป็นการแยกคน แยกสภาวะธรรม
คนที่มีปัญญานำ จะเป็นคนได้ธรรมและเห็นธรรม
ระวังจิตของเราให้ดีว่าตอนนี้เป้นจิตที่ประกอบด้วยปัญญาเห็นธรรมตามจริง
หรือเป็นจิตอัตตาที่ละเอียดแฝงอยู่และขับเคลื่อนให้เราปรุงแต่งไปตามอำนาจมัน
ขออโหสิกรรมจิตต่อทุกรูปนามด้วยครับ

โดย: นางคำกู่ IP: 61.7.169.134 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:17:12:50 น.
.........................................
ท่านนางคำกู่ ครับ
ท่านรู้ได้ยังไงว่า ผมหมิ่นพระอริยะ ถ้าเป็นพระอริยะจริงต้องไม่แอบอ้างคำสอนนะ
ปรากฏการที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นการแยกของแท้กับของเทียมออกจากกันนั่นเอง

ผมถามนะ"คนที่มีปัญญานำ" ปัญญาที่ว่ามานี้เป็นปัญญาทางโลกหรือปัญญาทางธรรม???
เห็นที่เอามาคุยอ้างนั้นล้วนแต่เป็นปัญญาทางโลก(สัญญา)ทั้งนั้น

ยังสร้างสัมมาสติไม่เป็นอย่ามาอ้างปัญญานำเสียให้ยากเลยนะ หลอกลวงกันทั้งนั้น
ไม่มีสติที่ไหนในโลกที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่เพียรสร้างให้เกิดขึ้นมาหรอก

เห็นท่านพูดเรื่อง"จิต" ท่านรู้จักจิตที่แท้จริงหรือยัง???
ถ้ารู้เพียงอาการของจิต ก็ไม่ผิดไปจากลูกศิษย์ท่านอาจารย์สัญชัยดีๆนี่เอง

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:9:55:55 น.
  
//www.buddhism-online.org/Section02A_05.htm

อย่างนี้จะ จขบ. อธิบายว่าอย่างไร
โดย: daryl_jr IP: 203.155.228.214 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:8:52:24 น.
.......................................
ท่านdaryl_jrครับ
ไปอ่านตามลิ้งเลยนะ ผมได้อธิบายไว้แล้ว

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=nujoy&date=09-08-2009&group=2&gblog=9

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:9:59:03 น.
  
ความจริงวันนี้ มาแล้วนี่
ถ้ายังเยิ้มกันอยู่ ก็กรรมของแท้ล่ะ (วะ) คริ คริ
โดย: พุทโธ IP: 115.87.90.140 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:11:51:53 น.
  
ประกาศความพ่ายแบบระนาวกราวรูด ตอนนี้ต้องใช้ยุทธวิธีใต้ดิน ถูกจำกัดบริเวณ
ธรรมแท้อาจหาญเกรียงไกรไม่มีวันโดนแบบนี้หรอก กรรมจัดสรรให้แบบเบาะๆ นะนี่ ถ้ายังไม่เลิกอาจมากฝ่านี้
ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า จะซ่าส์ไปได้อีกกี่หยดกัน
พวกมาร...
โดย: พุทโธ IP: 115.87.90.140 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:11:55:20 น.
  
คนในนี้ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฮะ

ถ้าคุณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจริง ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าใครว่าอะไร เราก็มีหน้าที่แค่ตามดูของเราไปไม่ใช่หรอครับ จะไปเถียงกะเขาทำไม

เขาก็ทำ ก็อ่านมาไม่เหมือนเรา ถ้าเค้าทำมาเหมือนเราเค้าก็คง get ไปตั้งแต่อธิบายครั้งแรกละ ถ้าเค้าฟังซีดีมากเท่าเราเค้าก็ไม่ว่าหลวงพ่ออย่างงี้หรอก ตอนที่คุณพิมพ์ว่าเค้าคุณก็ลืมกายลืมใจตัวเอง แล้วจะไปว่าคนอื่นได้ยังไง

ดูตัวเองก่อนสิ
โดย: ผมยังอ่อน IP: 208.59.161.208 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:16:25:19 น.
  
รู้ได้งาย ว่าฟังไม่เท่า จะบอกให้ว่าฟังมามากเชีย เพราะครั้งนึงก็เคยหลงผิดเสียนานนนน เริ่มตั้งแต่ครั้งมีคนไปแค่ 30 คนเอง นานพอยังล่ะ แถมได้รับคำชมด้วยนะ ว่าภาวนาเก่งมาก

ช่วงนั้นซีดียังมีไม่มาก ฟังวนไปวนมาเป็นร้อย เป็นพันครั้ง เอ้าเรื่องจริง ไม่ไก่กา

แต่ อนิจจา ฝึกไปฝึกมา หลงไปเล่นขายของเสียนี่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไม่เห็นเคยสอนแบบนี้เลย โถ...วิบากกรรมของเรานั่นเอง ต้องซัดเซพเนจรไปให้คนหลอก ก่อนได้เจอธรรมแท้ในวันนี้ั


โดย: พุทโธ IP: 124.120.222.124 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:17:09:49 น.
  
คนในนี้ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฮะ
ถ้าคุณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจริง ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าใครว่าอะไร เราก็มีหน้าที่แค่ตามดูของเราไปไม่ใช่หรอครับ จะไปเถียงกะเขาทำไม
เขาก็ทำ ก็อ่านมาไม่เหมือนเรา ถ้าเค้าทำมาเหมือนเราเค้าก็คง get ไปตั้งแต่อธิบายครั้งแรกละ ถ้าเค้าฟังซีดีมากเท่าเราเค้าก็ไม่ว่าหลวงพ่ออย่างงี้หรอก ตอนที่คุณพิมพ์ว่าเค้าคุณก็ลืมกายลืมใจตัวเอง แล้วจะไปว่าคนอื่นได้ยังไง
ดูตัวเองก่อนสิ
โดย: ผมยังอ่อน IP: 208.59.161.208 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:16:25:19 น.
.........................................
ท่านผมยังอ่อนครับ
ท่านก็ยังอ่อนอยู่จริงๆ เพียงท่านเข้ามาเขียนก็แสดงว่าท่านยังอ่อนไหวอยู่ที่ความจริงถูกเปิดเผย

ท่านรู้ได้ยังไงว่า คนอื่นเค้าทำมาไม่เหมือนท่าน แต่เค้าไม่หลงงมงายเช่นท่านเท่านั้น
หลายท่านในนี้ ที่ผ่านการดูจิตและฟังของท่านป.มาไม่น้อยกว่าท่านแน่นอน
แต่เค้าฉลาดกว่าท่านเล็กน้อย ตรงที่รู้จักแยกแยะของแท้และของเทียมออกจากกันได้

เมื่อท่านป.เทศน์สอนหนะ ท่านป.เคยดูตัวเองมั้ย??? เห็นเที่ยวเพ่งโทษการปฏิบัติสายอื่นผิดหมด
ของตัวเองเท่านั้นที่ดีเลิศประเสริฐศรี ถูก ลัดสั้น ง่ายๆเอาสบายๆเค้าไว้
ถ้ามีแบบที่ว่านี้จริงๆ พระบรมศาสดาท่านทรงสอนเองแล้ว ไม่ต้องให้ใครก็ไม่รู้มาสอนแทนท่านแบบง่ายๆ ลัดสั้น

ผมขอเตือนท่านทั้งหลายที่ยังหลงงมงาย ตาสว่างได้แล้ว อย่ามัวเดินหลงทางอยู่เลยนะ

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:17:13:25 น.
  
ธรรมภูตตอบท่านนางคำกู่

นมัสการครับท่านธรรมภูต
ท่านนางคำกู่ครับ เช่นกันนะ

ลีลาและทักษะในการพลิกเเพลงเรื่องราวและสภาวะของท่านนั้นช่างล้ำเลิสจริงๆ
ลีลาและทักษะผม ยังเป็นรองท่านทีสอนดูจิตอยู่ในขณะนี้หลายขุมนะ

ต้องยกให้ท่านว่าท่านนั้นเป็นเลิศทางด้านธรรม ด้านจิต และปัญญา
ผมยังเป็นผู้ที่ต้องสดับและต้องกระทำให้ตื้น ไม่อาจรับความเลิศเพราะน้ำคำเท่านั้น

ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยนะครับ
ขอให้ท่านได้มีปัญญาและความเห็นแบบนี้เรื่อยๆไป
ไม่ต้องขอหรอกนะ ปัญญานั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกอบเพียงอย่างเดียว

ท่านถูกแล้วในความเป็นท่าน และก็จะเป็นเยี่ยงนี้อีกนานเท่านาน
ท่านคงภูมิใจกับสิ่งที่ท่านกระทำขณะนี้ทั้งกาย วาจา ใจ
ผมจะไปภูมิใจเพื่ออะไร ใกล้มรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่ แต่พอใจที่ได้ทำหน้าที่พุทธบุตรที่ดีต่างหาก

ด้วยจิตที่คิดปรุงแบบพิสดาร
ท่านมั่นใจกับจิตของท่านที่ปรุงแต่งและพิจารณา จนออกมาเป็นการกระทำเช่นนี้
ลองนั่งภาวนาอย่างจริงๆจังๆดูสิครับ
ทุกวันนี้จิตของท่านยังปรุงแต่งพิสดารไม่พออีกรึ?
การที่ผมออกมาชี้สัจจธรรม ที่มีคนสอนผิดอยู่ทุกวันนี้เสียหายตรงไหน?
ผมเองนั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาจริงจังมาไม่น้อยกว่า๑๕ปีเข้าไปแล้วจ้า


ดูลงไปในรู้ธาตุนามธาตุ
นั่งแล้วดูรูปนามที่เกิดดับไป อาการทั้งสี่ ไม่ใช่เข้าสมาธิแล้วปิดกั้นรูปนามที่เกิดดับไว้
ใครนะที่นั่งดูรูปนามที่เกิดดับ??? อย่าคิดเองเออเองสิว่าเป็นการปิดกั้นเท่านั้น?
จิตเมื่อเข้าสู่ความสงบเพราะ"ปล่อยวาง"อารมณ์ต่างๆลงได้ต่างหาก เพราะสภาวะไตรลักษณ์ของรูปนาม


ท่านครับ อะไรเป็นของเราบ้าง
ใครทำอะไรก็ได้เช่นนั้น
ท่านครับ ถ้าไม่มีอะไรเป็นของเรา จะมัวเสียเวลาอบรมไปเพื่ออะไร???
ถ้าอะไรๆก็ไม่มี พระพุทธองค์จะออกค้นหาอมตะธรรมไปเพื่ออะไรหละ???


ไม่อยากมาเกาะแกะท่านเท่าใด แต่เพราะผมรู้ว่า
นี่ขนาดไม่อยากเกาะแกะเท่าใดนะ ถ้าอยากขึ้นมา หูชาแน่

ผมนั้นมีอัตตาอยู่ อัตตามันบอกว่าสงสารคุณนะ
ก็ปล่อยวางอัตตา(ขันธ์๕)ลงเสียสิ ก็เพราะปล่อยให้อัตตา(ขันธ์๕)ครอบงำจิตอยู่นะสิ
อัตตาจึงเที่ยวสงสารคนโน้นคนนี้ รู้จักสงสารตัวเองที่ยังเดินหลงทางอยู่บ้างเถอะนะ


สงสารจับใจเลยในทิฐิที่คุณยึดเอาไว้
เหมือนคนที่ขายเนื้อแต่กินถั่วเน่า ไม่เคยได้ชิมรสเนื้อ
เช่นกันนะ ผมเองก็สงสารท่านจับใจจนหนาวสั่น คนอะไร"หลงไม่รู้ว่าหลง"

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:9:42:22 น.
  
ธรรมภูตตอบท่านนางคำกู่

ท่านคงจะเป็นคนห่มผ้าเหลืองต่อไปอีกนานแสนนานนับกัปกัลป์
ท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดๆอยู่นะ

จิตของท่านคงมุ่งสู่การปรุงแต่ง คะคาน ตัดสิน ออกนอกตลอดเวลา
ท่านครับ อย่ามามัวนั่งเดาอยู่เลย ว่าจิตของผมมุ่งไปทางไหน แต่พอบอกได้ว่าจิตมุ่งสู่ความหลุดพ้นให้ได้

ธรรมจริงนั้นคือการไม่เบียดเบียน ปฏิบัติแล้วสุขสงบ
ใช่ครับธรรมที่แท้จริงนั้น ไม่เบียดเบียน ปฏิบัติแล้วปล่อยวางสุขสงบ
แต่เมื่อมีใครก็ไม่รู้ มาเบียดเบียนพระบรมครูและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายอยู่
ผมในฐานะพุทธบุตรที่ดีนั้น ก็ต้องออกมาท้วงติงบ้างเป็นธรรมดา


อาการ รูปนามที่เป็นอยู่ของท่านก็ดูร้อนๆนะครับ(ผมก็ร้อนนะตอนนี้) ^_^
ก็ดีแล้วนิ ที่รู้ว่าร้อน ร้อนก็รู้ว่าร้อนปล่อยวางซะ

ลองนั่งแล้วปิดตามเนื้อดูนามใจที่ปรุงแต่งรู้สึกของคุณสิครับ จริงๆแล้วถ้าไม่เอาสมาธิข่ม เขาจะดิ้นรนมาก
ทำไมต้องเอาสมาธิเข้าข่มหละ??? สมาธิมีไว้เพื่อเป็นกำลังให้จิตมีพลังปัญญา(ไม่ใช่สัญญา)ปล่อยวางอารมณ์

ดิ้นรนไปกับอัตตา และทิฐิของคุณเอง
มันดับลงหรือเปล่าครับ
หรือว่ามันคุกรุ่น ส่งออกนอกตลอดเวลาเหมือนตอนนี้ที่คุณเป็นอยู่
ใช่ครับ ทุกวันนี้ดิ้นรนดูแลอัตภาพ(อัตตา)ร่างกายนี้ เพื่อเอาไว้ใช้สอยในกิจอันควร
เมื่อใช้สอยแล้วก็ปล่อยวางซะ มันจะดับลงอะไร? ในเมื่อมันก็อยู่ของมัน เรา(จิต)ก็อยู่ของเรา
แบบนี้คนที่ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามา เค้าเรียกว่า"รู้อยู่ที่รู้" ส่งองส่งออกอไรกัน อย่าเดาสวดเอาสิ


พี่น้องผู้ภาวนาทุกท่านครับ
พี่น้องกัลยาณมิตรผู้เจริญวิปัสสนาที่แท้จริง
วิปัสสนาอันเป็นปัญญาของพระพุทธศาสนา
ปัญญาสัมมาทิฐิและปัญญาสัมมาสังกับปะ
ท่านครับ หลงผิดคนเดียวก็น่าจะพอควรแล้วนะ อย่าเที่ยวชักชวนพี่น้องให้หลงผิดด้วยเลย
ในอริยมรรคมีองค์๘ มีตรงไหนที่พระพุทธองค์ท่านทรงกล่าวถึงคำว่า"วิปัสสนา"บ้าง อย่ามั่วสิ
สัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปะนั้น เป็นปัญญาที่เกิดจากการจิตปล่อยวางอารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์นั้นนะ
ไม่ใช่อย่างที่ท่านพูดซะหน่อย ที่ท่านพูดมานะ สัญญาล้วนๆนั่นเอง


ควรพิจารณาดูท่านธรรมภูตด้วยความมีเมตตาจิตนะครับ
แต่ถ้ามีโทสะละเอียดรู้ว่ามีโทสะ แล้วใช้ท่านธรรมทูตนี้แหละ เป็นอารมณ์ในการภาวนาเจริญสติ
ท่านครับ ถ้าเมตตาผมจริงๆ อย่าใช้ผมเป็นอารมณ์เลย ใช้อารมณ์ในสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ในการภาวนาเจริญสติเถอะ

ถ้าเกิดความคิดใดๆต่อท่านตนนี้ ก็ขอให้ใช้ปัญญาเห็นว่า
ท่านธรมทูตก็เป็นรูปนามหนึ่งเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา
ถ้าไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาจริงๆ จะมาสนใจกับรูปนามนี้ทำไมให้เสียเวลาหละ?
ในเมื่ออะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ แล้วต้องปฏิบัติอบรมไปเพื่ออะไร??? งง


ความคิดของเราต่อท่านธรรมทูตเองก็เหมือนกัน บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนเราเขา มันเป็นอนัตตา
ถ้าความคิดบังคับไม่ได้ แล้วที่เขียนมานี่ ใช่บังคับให้เขียนมาใช่มั้ย??? อย่าบอกนะว่ามือมันเขียนของมันเอง

วางให้ได้ ถ้าวางไม่ได้เราก็จะมาโต้เถียงกับคนแบบท่านธรรมทูต ที่มีปัญญาแก่กล้าทางปริยัติ จะเห็นว่าท่านเกิดมาเพื่อการนี้
ถามหน่อยที่บอกว่าวางหนะ ใครวาง??? ก็เพราะวางไม่ได้ ท่านจึงคิดเข้ามาโต้เถียงเพียงอย่างเดียว
ส่วนผมนั้นการถกธรรม ก็เพื่อค้นหาสัจจธรรมที่แท้จริง จึงจะได้ไม่หลงทางอย่างทุกวันนี้


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:10:30:16 น.
  
ธรรมภูตตอบท่านนางคำกู่

การเขียนข้างต้นเป็นเพราะอัตตาผมเองที่สั่ง
ถ้าผมไม่มีอัตตา ผมก็ไม่ต้องมาเขียนดอก
อ้าว!!! ไหนเพิ่งบอกว่าบังคับไม่ได้ ใครสั่งให้เขียนจ๊ะ???

แต่เพราะความห่วงใยต่อทุกรูปนาม
ใช่ห่วงใยเขา(รูปนาม) เรา(รูปนาม) ท่าน(รูปนาม) ใช่มั้ย???

โดยเฉพาะท่านผู้ใดที่หลงมาเถียง มาแย้งกับท่าน
ธรรมภูตผู้นี้ เกรงว่าจะเสียเวลา
เพราะเส้นทางของท่านท่านภูตกับผู้ที่เข้าใจต่างกับท่านธรรมภูต นั้นต่างกัยมากเหลือเกิน คนละสภาวะ
ท่านครับ ที่ต่างกันนั้นเพราะอไร??? ใช่มีที่ถูกกับที่ผิดใช่มั้ยที่ต่างกัน
ถ้าไม่แน่ใจก็ให้เทียบว่าลงกับพระสูตรและพระวินัยมั้ย??? พระพุทธองค์ท่านทรงสั่งไว้อย่างนั้น


เรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องของส่วนบุคคลแต่ละคน
ใช่ แต่ต้องลงที่รสเดียวกันรอยเดียวกันจึงจะถูก แต่ที่ท่านกล่าวมานั้นไม่ใช่นี่
อะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ แล้วมีพระอริยบุคคลมั้ย??? แล้วที่ใช่มีมั้ย???


ขอให้ท่านมั่นใจในแนวทางของท่านเอง อย่าหวั่นไหว
ที่ท่านพยายามออกมาปกป้อง ก็แสดงความหวั่นไหวออกมาชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องกลบเกลื่อนเลย

ท่านธรรมภูตเองก็คงมั่นใจในความเห็นและตัวตนของท่าน
แน่นอนจ้า เพราะผมเอาผลการปฏิบัติมาเทียบเคียงแล้ว ลงกับพระสูตรและพระวินัย

ท่านจริงสร้างเรื่องราว ความคิดต่างๆตามมาเช่นนี้
ผมจะต้องสร้างและคิดเรื่อวราวต่างๆขึ้นมาทำไม ความจริงที่เกิดเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

ขอให้เข้าใจท่าน และเข้าใจจิตของเราเองที่มีต่อท่านผู้นี้
ขอให้พื้นที่นี้มีแต่ความคิดแบบเขาเถอะ
ท่านครับ ท่านรู้จักจิตแล้วรึ ผมถามไปท่านก็ไม่ตอบ
หลายท่านที่เข้ามาตอบนั้น ท่านเหล่านั้นรู้จักจิตเป็นอย่างดี ผิดกับท่านนางคำกู่ ที่ติดอยู่กับอาการของจิตเท่านั้น


เว้นแต่ว่าท่านผู้มีปัญญาบารมีมากจะมาโปรดเขาเหล่านี้ให้พอตื่นขึ้นบ้าง
ท่านครับ ท่านไม่รู้สึกตัวหรือว่า ผมกำลังโปรดท่านอยู่ ก็ท่านเล่นไม่รับของท่านอื่นเลยแบบนี้ก็แย่สิ

ขอให้ทุกท่านรีบเร่งภาวนาเพื่อให้ได้ธรรมและปิดทางอบายภูมิเถอด
ปล่อยท่านธรรมภูตเขาไปเถอะ
ดีแล้วครัย ที่ปล่อยผมไป ถึงไม่ปล่อยผม ผมก็ไม่มีทางร่วมเดินทางที่ผิดไปกับพวกท่านหรอก
ถ้าไม่รู้จักจิตที่แท้จริง ถึงเร่งรีบไปก็ไปติดอยู่ที่อาการของจิตก็เท่านั้น"ติดดีในดี"


ขอให้เข้ามาเยี่ยมเขาด้วยความเมตตา แล้วช่วยกันแผ่เมตตาให้เขาทั้งหลาย เพื่อจะได้พ้นทุกข์วิบากครั้งนี้
ดีครับ ที่ได้รับความเมตตาจากทุกท่าน แต่ท่านทั้งหลายจงแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อนเถอะ จะได้ไม่หลงติดอยู่กับอาการของจิต

ถ้าท่านภาวนาแบบไหนแล้วรูสึกว่าท่านดีขึ้น เบาขึ้น สว่างขึ้นภายใน น่นก็๔กทางแล้ว
แต่ถ้าท่านภาวนาแล้ว ยังมีโกรธ มีความรู้สึกทุกข์ทั้งหยาบและละเอียดนั่นอาจจะต้องพิจารณา
ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ขออโหสิกรรมกับทุกรูปทุกนามที่ได้อ่าน หากว่าได้ล่วงเกินทั้งกายวาจาใจ
ปล ต่อให้ท่านเขียนโต้ท่านธรรมภูตเท่าใด ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดท่านได้ดอก อาจจะต้องหลายอสงไขย
ฉะนั้นเอาเวลาไปภาวนาดูกาย ดูใจของเราให้ละลดอัตตา ด้วยปัญญาปรมัตถ์ดีกว่า
จะกลับมาอ่านนะครับ แต่จะไม่ตอบโต้

พูดดีครับ หัดดูแบบอย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระแท้ ท่านสอนภาวนายังไง ก็สมาทานตามนั้น
ส่วนที่เป็นของเทียม จะพอกตัว ย้อมตัว เคลือบตัวยังไงก้เป็นของเทียมอญยู่วันยังค่ำ


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:11:12:43 น.
  
แม่นางคำกู่

แน่ใจเหรอว่านั่นคือสภาวะที่ได้จากการภาวนา
เพ้อเจ้อง่ะ

เราเคยดูจิตมาหลายปี
หลวงพ่อสัญชัยคอนเฟิร์มว่าถูกแล้ว
ขำก๊าก เราเคยถูกหลอกออกไมค์เลยล่ะ

งมงายอยู่ได้ ออกมาเต๊อะ
อะไรจะปล่อยให้ชีวิตตัวเองด้อยวาสนาขนาดน้าน
ซื้อของยังต้องเลือกของที่ดีที่สุดเลย
ปฎิบัติธรรมไม่ใช่เรืองเล่นๆ
ทำไมไม่เลือกครูดีๆ พระอริยะเจ้าก็ยังมีอยู่หลายองค์
ดั๊นไปเลือกของปลอม

บอกอะไรก็ไม่ฟัง กำเวง
โดย: ต้นหอม IP: 202.176.92.62 วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:12:03:36 น.
  
คุณท่าจะเป็น นางคำกู่ (ไม่กลับ) ตัวจริงแล้วล่ะ

งั้นก็ดูไปเถอะ เกิด-ดับ น่ะ ขอร้อง ไหว้ล่ะ อย่าเิลิกดูเลยนะ ดูไปเลยทุกภพทุกชาติ เห็นซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ไปเรื่อยๆ นะ กอดของวิเศษของคุณไว้อย่าให้หลุดมือเชียว มีฟามสุข โอ้...แล้วนิพพานจะแหวกออกมาเอง 1-2-3 ขณะ ต่อหน้าต่อตา แล้วก็ถูกกลบไปอย่างเดิม อุ๊ย ตาย ว้าย กรี๊ด...

เอ มีแหวก แล้วกลบ เหมือนอะไรดีน้า...หุ หุ





โดย: พุทโธ IP: 124.120.222.124 วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:14:21:41 น.
  
ทุกท่านในที่นี้ ต่างก็เป็นผู้หวังให้พระธรรมนำทาง แสวงหาทางพ้นทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น เหตุใด หลายๆ ท่านในที่นี้ (ไม่ใช่ทุกท่าน) กลับใช้คำที่มีแต่การส่อเสียด เหยียดหยาม ดูถูกเพื่อความสะใจและเพิ่มอัตตาตัวกูกันทั้งสิ้น (ความหวังดี ปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมทุกข์อย่างแท้จริงไม่มีเลย)

เรียน คุณ " ที่นำเจ้าจขบ.ออกจากหายนะ แต่... ช่างเถอะ" ที่ จขบ. เรียกว่า ท่านหายนะ และ คุณนางคำกู่

ข้าพเจ้าขอยกย่องคุณที่กล้าหาญมาตักเตือน ท้วงติงให้ผู้อื่นเลิกการกระทำที่ไม่สมควร จนเมื่อเตือนหรือติงกันไม่ได้ ก็สมควรอย่างยิ่งแล้วที่จะมีการตำหนิ โดยเฉพาะคุณธรรมภูต (จขบ) การที่คุณเรียกว่าเขาว่า ท่านหายนะ ก็บ่งบอกถึงจิตใจที่มืดบอด ปราศจากเมตตา เป็นอย่างดี

อยากฝากไว้...เมื่อได้ข้อมูลใดๆ มา ควรที่จะ...

1.สอบถามหาแหล่งข้อมูลที่แท้จริงก่อน ถ้าเป็นข้อมูลที่บอกต่อๆ กันมา ก็ให้รับฟังไว้ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อทันที (ตามหลักกาลามสูตร)

2.เนื้อหาเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ก็ต้องหาข้อมูลเสียก่อน ที่จะด่วนตัดสินสรุป โดยเอาทิฏฐิของตัวเองเข้าไปร่วมด้วย
(การเอาข้อมูลธรรมะหรือข้อมูลใดๆ เพียงบางส่วนมาเปรียบเทียบ เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรง ส่งผลเสียมามาก มีตัวอย่างให้เห็น แต่คุณก็ยังทำ การฟังธรรมต้้องฟังให้ต่อเนื่อง ให้นานๆ ให้เข้าใจเจตนาของผู้สื่อสารอย่างลึกซึ้ง ของทั้งสองฝ่ายให้ดีเสียก่อน ไม่ใช่รับมาเพียงบางส่วนเห็นว่าไม่ตรงกัน ก็สงสัย แต่ไม่สืบหาความจริงให้แน่นอน ก็ชิงตัดสินด้วยทิฎฐิตน คิดหรือว่า ทิฎฐิของตนจะถูกต้องเสมอ กิเลสหลอกเอาอีกแล้ว...แต่ไม่รู้)

3.เมื่อยังไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง ก็ควรที่จะอยู่ในความสงบและสำรวม กาย วาจา ใจ ไว้ (ควรรู้เท่าทันกิเลสในใจตัวเอง)
ถ้าอดทนไม่ได้ ก็แสดงว่า กิเลสยังชนะคุณอยู่เสมอ...แต่ไม่เคยรู้ตัว เรื่องนี้ควรปรับปรุง ไม่ใช่ติเตียนผู้ท้วงติง

อีกอย่าง เอาเวลาอันมีค่าใฝ่หาความรู้ทางธรรมเพิ่มเติม เป็นการเพิ่มกุศลแก่ตนเอง จะเป็นการดีกว่า เพราะว่าถ้าคิดจะเผยแผ่ธรรมะ นั่นเป็นเรื่องดีและสำคัญ ผู้เผยแผ่ก็ควรที่จะศึกษาและปฏิบัติให้รู้มากๆ รู้จริงๆและตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์ จะประเสริฐยิ่งและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมาก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าคำใดของข้าพเจ้าที่เป็นเหตุให้ท่านทั้งหลายยอมรับไม่ได้ เกิดโทสะ ก็ขออโหสิกรรมด้วยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ /\\

โดย: ยังหวังดี IP: 118.172.197.166 วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:19:41:04 น.
  
ท่านแน่ใจนะว่ายังหวังดีครับ
แบบนี้ชาวบ้านเค้าไม่ได้เรียกว่ายังหวังดีนะ เค้าเรียกว่าดูเหมือนว่ายังหวังดี แต่แอบเหน็บเล็กๆ
ที่ผมเรียกท่านหายนะนั้นคงไม่ผิดหรอกนะ เพราะเค้าบอกว่าจะนำจขบ.ออกจากหายนะ
แสดงว่าเค้าต้องเข้าไปที่หายนะมาก่อน และคุ้นเคยกับหายนะดีเอามากๆ จึงสามารถเอาผมออกมาได้
แบบนี้ไม่ให้ผมเรียกว่าท่านหายนะ จะให้ผมเรียกว่าอะไรดีหละ

ท่านเองก็ยังแอบเหน็บผมเลยตามนิสัยถาวรของท่านว่า
"โดยเฉพาะคุณธรรมภูต (จขบ) การที่คุณเรียกว่าเขาว่า ท่านหายนะ
ก็บ่งบอกถึงจิตใจที่มืดบอด ปราศจากเมตตา เป็นอย่างดี"


๑.ท่านครับอย่าเข้าใจสับสนว่า ข้อมูลฟังๆกันมา ข้อมูลมาจากเจ้าของที่แอบเขียนเองกับมือเลย

๒.ท่านเองไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้เพราะศรัทธาบังตา
คนเขียนบทความเอง พยายามที่จะสื่อให้เห็นความเหนือกว่า พระบรมครูและพ่อแม่ครูบาอาจารย์
โดยที่ตนเองพยายามบอกแล้วบอกเล่าว่าเคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์
แต่กลับพูดหน้าตายว่า ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์กล่าวธรรมคลาดเคลื่อน

๓.ท่านครับ จะไม่ให้ผมติเตียนได้ไงหละ ในเมื่อกล้าเข้ามาสนทนา ควรเอาเนื้อธรรมมาว่ากันสิ
ไม่ใช่มาพูดแบบอ้อมไปอ้อมมาว่า ผมกำลังหลงผิด ใครกันแน่ที่กำลังหลงผิดอยู่???

ท่านเองก็รู้นิว่า เวลาเป็นของมีค่า เคยหันกลับมาพิจารณาตัวเองบ้างมั้ยว่ากำลังเดินหลงทาง
ไปกับภาพลักษณ์ที่มีคนสร้างขึ้นมา เพื่อให้เห็นเป็นเช่นนั้นเอง(ข้างในกลวง)

ก่อนที่ผมจะเอาธรรมเนื้อมาวิพากษ์วิจารณ์นั้น
ผมเองได้สมาทานการดูจิตแบบที่สอนอยู่ มาก่อนแล้วอย่างจริงจัง
แต่เมื่อเห็นแล้วว่า ไม่ใช่ทาง อย่างมากก็แค่ทำให้รู้อารมณ์เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ปล่อยวางอารมณ์ไม่เป็น
ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ฝึกมาทางด้านนี้ หลงตนเองว่าดีกว่าชาวบ้านชาวช่องทั่วไป
เพราะสามารถรู้อารมณ์ได้เร็วขึ้นและเปลี่ยนมาเป็นการกดอารมณ์ให้รู้เฉยๆในขณะที่ภายในยังครุกรุ่น

ความคุ้นชินกับอารมณ์เพราะชอบคลุกคลีกับอารมณ์ทำให้เก็บอาการเก่งกว่าชาวบ้านเท่านั้นเอง
ไม่ได้รู้จักวิธีปล่อยวางอารมณ์ออกจากจิตเลย คุ้นชินแต่อาการของจิตเท่านั้น

ด้วยความปรารถนาดี กลับตัวกลับใจนะ ยังทัน จะได้ไม่เนิ่นช้าเพราะติด"ดีในดี"

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:22:03:32 น.
  
ขอบคุณ
คุณ ยังหวังดี มากๆ และขอบคุณคุณต้นหอม คุณพุทโธ
ที่ช่วยเตือนรูปนามนี้

สาธุๆ ขออนุโมทนาบุญในจิตใจที่ดีงาม

ขอบคุณที่เข้ามาโปรดทุกรูปนามในนี้

ทั้งคนธรรมดา และคนห่มผ้าเหลือง****

มีทางเดียวที่เราจะรู้ได้คือ การปฏิบัติด้วยตนเอง

รู้แต่ว่าคนที่ได้ธรรม รู้ธรรมจะไม่กล่าวทำร้ายกันแบบในนี้

แต่ผมก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่ กำลังเดินทาง หากผิดพลาดประการใดก็ขออโหสิกรรมด้วยครับ

ครูอาจารย์ท่านแนะนำมาว่า

- คนดีไม่ตีใคร

- เหล็กแท้ไม่ครูการทุบตี เพชรแท้ไม่กลัวการเจียระไน ทองแท้ไม่กลัวการเผาไฟคนดีแท้ๆ ไม่กลัวการ
พิสูจน์
- จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัวไว้เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น (แต่ที่ต้องมายุ่งเพราะครั้งนี้ยอมรับว่ามันมีอัตตาและโทสะน้อยๆที่วางไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าวางไม่ได้)


ขอให้กุศลที่ทุกๆคนได้สั่งสมมาได้หนุนนำให้ได้พบธรรมจริง พบธรรมที่มี ในกายใจของตนเอง

ขออโหสิกรรมหากการเขียน ที่อาจจะกระทบกับกายวาจาใจของทุกๆท่าน
โดย: นางคำกู่ IP: 110.77.145.238 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:11:46:54 น.
  
ท่านเองก็ยังแอบเหน็บผมเลยตามนิสัยถาวรของท่านว่า
"โดยเฉพาะคุณธรรมภูต (จขบ) การที่คุณเรียกว่าเขาว่า ท่านหายนะ
ก็บ่งบอกถึงจิตใจที่มืดบอด ปราศจากเมตตา เป็นอย่างดี"

ธรรมภูต
----------------------------------------------------------
เรียน คุณธรรมภูต

เพื่อไม่ให้เป็นความขุ่นเคืองติดอยู่ในใจ ก็ถือโอกาสขออโหสิกรรม อีกครั้งนะคะ

ที่เจตนาเข้ามาแสดงความเห็น เพียงแค่ไม่อยากเห็นใครปรามาสใครโดยที่ยังไม่รู้ความจริง ซึ่งคุณเองก็น่าจะทราบแก่ใจว่า มันเป็นบาปอกุศลทั้งสิ้น

แต่จะแสดงความเห็นเฉพาะเนื้อหาธรรมะในมุมมองที่คิดว่า แตกต่าง ตรงนั้นก็ไม่แปลกอะไร เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ
โดย: ยังหวังดี IP: 118.172.198.45 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:16:29:04 น.
  
บังเอิญรู้จริงเห็นจริงชนิดที่น้ำลายกระเด็นใส่ หน้าแทบจะถูกเท้ายันครับ
หูแทบดับเพราะโดนตะคอกใส่ ชัดเจนยิ่งกว่าดูอวตานสามมิติอีกครับ
บังเอิญว่ามีคนรู้เห็นเป็นพยานในเหตุการณ์ด้วยครับ

โทสะเพียบ โมหะเพียบ ผรุสวาจาเพียบ ปิสุณาวาจาเพียบ ฆราวาสยังมีสติเสียกว่าอีกครับ
นี่ยังไม่รวมเรื่องการลบหลู่คุณท่าน อิสสา สาเถยยะ โอ้อวดอวดตน ที่กระผมไปพบไปประสบด้วยตนเอง

กิริยาอาการมันสร้างภาพกันได้ (ภาพหลอน) ใครเห็นภาพหลอนแล้วชื่นชม หรือใครจะยกใครอย่าเชื่อง่ายครับ
ลองไปถามข้อธรรมที่ขัดกับทิฏฐิมานะของผู้นั้นดูครับ จึงจะเห็นได้ ไปนั่งฟังเฉย เหมือนโดนสะกดจิตนี่ไม่เอานะครับ

อย่าว่าแต่ใครยกใครพูดเลยครับ ถ้าไม่ได้ประจักษ์ด้วยตนเองอย่าเชื่อ อย่าเชื่อในนิมิต ในอนุพยัญชนะ
แต่ให้เชื่อสิ่งที่ปรากฏจริง ๆ เช่นปวดอึ หิวข้าว ร้อนหนาว อ่อน แข็ง ตึงไหว จิตใจที่เกิดสภาวะใด ๆ รู้ลงไปตรง ๆครับ
นี้เขาเรียกว่าปรมัตถ์ธรรม
ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ ใด ๆ มันเป็นบัญญัติครับ อย่าเชื่อแม้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า
แต่เชื่อพระธรรม

ท่านอาจารย์ท่านหนึ่ง เคยสอนผมด้วยการมาจับที่แขนผม ถามว่ารู้สึกมั๊ย ครับผมรู้สึก (ผมตอบ)
ถ้าพระพุทธเจ้ายืนตรงหน้า แล้วบอกว่าไม่รู้สึก จะเชื่อมั๊ย ไม่เชื่อครับ(ผมตอบ)
ใครรู้แทนเราได้มั๊ย ไม่ได้ครับ (ผมตอบ)

ไปตรองดูครับ

ปล. ผมไม่ได้เอ่ยชื่อใครสักคนนะครับ พูดถึงสภาวะล้วน ๆ ที่ไม่มีคนไม่มีสัตว์
ยืมบัญญัติมาใช้ให้เข้าใจเฉย ๆ
............................................................................

คนๆ นี้ เคยไปพบหลวงพ่อสงบมา กะจะเอาความโง่เอาชนะท่านเต็มที่ พอท่านว่าว่าโง่ ก็เลยแค้น... นี่คือความสำเร็จของการดูจิต หุ หุ

และนี่แหละคือธาตุแท้ของลูกศิษย์หลวงพ่อสัญชัย คริ คริ
ไม่น่าจะนานนะ คนแบบนี้...เดี๋ยวแผ่เมตตาให้
สงสาร...น่าสงสาร...



โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.140 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:17:59:19 น.
  

คุณแม่นางคำกู่และคุณยังหวังดี

อยากขอโทษคุณทั้งสองด้วยนะคะที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ
ความผิดพลาดในการสอนธรรมของผู้สอนดูจิตนั้น
ในบล็อคนี้อธิบายกันไปมากแล้ว เราจึงไม่ได้พูดถึงอีก

ยังไงก็อยากยืนยันค่ะ เส้นทางนี้เราเคยเดินมาก่อน
ไม่อยากให้ใครเสียเวลาอย่างนั้นอีก
เพราะความเข้าใจผิดที่โปรแกรมอยู่ในจิตแบบข้ามภพข้ามชาตินั้นน่ากลัวยิ่งกว่าการไม่บรรลุธรรมเสียอีก

อย่าเชื่อในปริมาณ และอย่าเชื่อในความงดงามค่ะ

โดย: ต้นหอม IP: 202.176.93.170 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:21:27:43 น.
  
บังเอิญรู้จริงเห็นจริงชนิดที่น้ำลายกระเด็นใส่ หน้าแทบจะถูกเท้ายันครับ
หูแทบดับเพราะโดนตะคอกใส่ ชัดเจนยิ่งกว่าดูอวตานสามมิติอีกครับ
บังเอิญว่ามีคนรู้เห็นเป็นพยานในเหตุการณ์ด้วยครับ

โทสะเพียบ โมหะเพียบ ผรุสวาจาเพียบ ปิสุณาวาจาเพียบ ฆราวาสยังมีสติเสียกว่าอีกครับ
นี่ยังไม่รวมเรื่องการลบหลู่คุณท่าน อิสสา สาเถยยะ โอ้อวดอวดตน ที่กระผมไปพบไปประสบด้วยตนเอง
...................................................

เอาสมองเท่าเมล็ดถั่ว กรังไปด้วยโลกียะมาตัดสินภูมิธรรม บาปมหันต์ สวยๆ งาม ๆ พูดเพราะล้วนแล้วแต่เคลือบยาพิษ
ท่าทางชีวิตจะมีแต่ความจอมปลอมเคลือบไว้ จนแยกแยะผิดถูกไม่ได้แล้ว

ปกติธรรมแท้ๆ ที่ออกมาจากปากท่านจะเข้าไปสั่นสะเทือนและชำระล้างใจของผู้ฟังได้เสมอ (แต่นั่นหมายถึงผู้มีวาสนา และจิตได้ถูกอบรมมาดีแล้วระยะหนึ่ง...แต่อนิจจา สิ่งที่ท่านอธิบายคนๆ นี้ เข้าไปได้เพียงธาตุภายนอก อาิท แก้วหู และมันสมองเท่าเมล็ดถั่ว แสดงว่าอย่างหนา บัวจมเลนเจงๆ นะเนี่ย

ขี้เกียจเข้าไปล็อคอิน
ขออนุญาตยืมบล็อคคุณธรรมภูติ จัดการกับบัวไม่มีเหล่าหน่อยนะคะ

โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.140 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:12:03:20 น.
  
ท่านพุทโธครับ จัดการตามสบายเลยครับ สำหรับพวกบัวไม่มีเหล่า
คนพวกนี้เป็นพวกที่หลงเชื่อและงมงายไปกับสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อเท่านั้น
โดยเฉพาะพวกรูปสวย แสง สี เสียงที่ถูกใจ(จริต)ด้วย ถึงไม่มีเหตุผลก็จะเชื่อ เพราะชอบ

ทั้งๆธรรมที่ท่านอาจารย์สัญชัยนำมาสอนอยู่นั้น
เป็นธรรมที่แอบอ้างว่าง่ายๆ สบายๆ และลัดสั้นเพื่อเข้าถึงพระนิพพานได้นั้น
เป็นการกล่าวตู่ทั้งนั้น ถ้ามีแบบง่ายๆ สบายๆ และลัดสั้น แบบนั้นจริงๆแล้ว
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนเองแล้ว ไม่ต้องปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาสอน โดยการแอบอ้างชัดๆ

ท่านพุทโธครับ ทำใจเถอะครับ สำหรับคนพวกนี้ เมื่อหลงเข้าไปจนหน้ามืดตามัวแล้ว
ถอนยากครับ แยกไม่ออกหรอกครับว่า อันไหนของแท้ อันไหนของเที่ยม
เพียงเพราะเจอน้ำคำที่หวาน เคลือบไปด้วยยาพิษก็ยังไม่รู้ตัว เสพเข้าไปเต็มที่เลย

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:16:42:45 น.
  
ผมยังอ่อนหัดจริงครับ

ขออภัย

;D
โดย: ผมยังอ่อนจริงครับ IP: 208.59.161.208 วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:9:37:39 น.
  
//yuttapobmemo.blogspot.com/2010/01/8.html
โดย: หวังดี IP: 118.173.224.35 วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:15:28:50 น.
  

มรรคจะสมังคีครั้งแรก เป็นพระโสดาบัน
////นั่นหมายความว่า ต้องเข้าออกฌาน ๔ จนชำนาญ////
..
ธรรมภูต


และยังมีอีกในหลายๆพระสูตรกล่าวไว้ชัดเจนเช่นกันว่า
/////"จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต" //////////
...
ธรรมภูต

-------------- ข้อความด้านบนไม่ถูกต้อง

1. ท่านผู้เป็น พระอรหันต์ แบบสุกปัสโก ท่านไม่ได้ทำสมาธิ จนได้ณาน(ณาณ 1-4 หรือ อรูปณาน) มาก่อน
และความแน่วแน่ของจิต เป็น ลักขณูปนิชณาน ( ความแน่วแน่แบบเพ่งลักษณะ เช่น วิปัสสนาญาน มรรค ) ไม่ใช่สมาธิแบบนิ่ง(สมถะ) ความแน่วแน่เทียบเท่าเณาน1 เมื่อเป็นวิปัสสนาญานหรือมรรค มี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกคัตตา เทียบเท่าน ณาน 1 แต่ไม่ใช่แบบ สมถะ
ลองศึกษาดู

2. เรื่องจิต เกิด ดับ นั้น มีในพระสูตร ชัดเจนแล้ว

โดย: ผู้ตามลิงก์ที่คนทำไว้ IP: 118.174.0.230 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:18:06:15 น.
  
การดูจิตในปัจจุบันนั้นผมบอกไม่ได้นะว่า ดีหรือไม่/ถูกหรือผิด
แชร์ประสบการณ์ ไม่ปิดบังครับ
1.เริ่มปีแรกปฎิบัติโดยนั่งสมาธิควบคุมให้ใจไม่หนีไปไหน ยอมรับนะแรกๆก็ทุกข์คิดมากคิดไปต่างๆนานาหยุดไม่ได้เลยหล่ะ
แต่พอทำให้บ่อยเข้าทุกๆคืน รู้สึกได้ว่าทำการงานอะไรก็ดีขึ้นมีสติอยู่กับตัวดีมาก
2.ทำมาอยู่ช่วงนึงต่อมาเจอเวป wimutti เพราะจากการเล่นอินเตอร์เน็ต
ผมฟังตั้งแต่แผ่นแรกเลยนะตั้งแต่นั้นก็ฟังมาตลอด ผมยอมรับนะว่าแรกๆที่ได้ฟังก็รู้สึกแปลกๆและขัดๆอยู่นะ
แต่ฟังแล้วก็เออท่านอธิบายธรรมะได้น่าฟังเป็นเรื่องง่ายดีนะเลยทำตามที่ท่านสอนดู
ฟัง CD แทนเพลงเลยนะ ไฟล์หนังสือไฟล์เสียงของท่าน save เก็บหมดทุกอย่าง
แล้วก็เลิกการนั่งสมาธิไปเลย ดูมันลูกเดียวทุกวันไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ดูเลยหล่ะ
เผลอแล้วก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง ความคิดไม่ดีมันก็ดับได้เร็วกว่าเดิมนะ
แต่ผลที่ได้คือ รู้สึกว่าการงานมันไม่ดีเหมือนเดิมหล่ะสิ คนรอบข้างสังเกตได้ว่าผมเปลี่ยนไปในทางไม่ดีหน่ะสิ
ฝึกอย่างงี้มาประมาณ 2 ปีได้แล้วหล่ะ บ้านอารีย์ก็ไปมาแล้ว
3.เจอประกาศยุติคำสอนทั้งหลายของท่านจากเวป baanaree
ค้นไปเรื่อยๆก็เจอประเด็นที่เค้าคุยกัน แรกๆก็งงแล้วก็รู้สึกว่าอาจารย์ที่เราเชื่อถือมากล่าวหาได้ยังไง
หลับไปด้วยอาการงงงวยมาก ต่อมา 1-2 วันก็ทำใจให้เป็นกลางๆแล้วก็ทบทวนหาข้อมูลทุกอย่าง
4.เข้าใจแล้วว่าที่ทำมาตลอด 2 ปี เพราะคิดว่ามันง่าย
สรุปคือไม่จริงเลย เพราะรู้ว่าการฆ่ากิเลสมันต้องปฎิบัติกันจริงๆจังๆ ไม่มีง่าย
แรกๆก็รับไม่ได้หว่ะพูดตามตรง รู้สึกเสียใจมาก
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าผิดทาง อันนี้เล่ามาจากใจของผมจริงๆครับ
ขอผู้ค้นหาเส้นทางธรรมจงกลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องเถิดครับ

ขอน้อมลงกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยใจที่ทำให้ผมกลับมาในเส้นทางที่ต้องใช้ความเพียรอย่างแท้จริง
และผู้ใดที่กลับตัวมาสู่เส้นทางธรรมขออนุโมทนาด้วยแล้วกันครับ
โดย: คนภูเก็ต IP: 125.27.163.208 วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:3:08:47 น.
  
ขอแชร์คุณคนภูเก็ตด้วยคนหนึ่ง
ของเพื่อนชาย ดูจิตแล้วแฟนมันบอกว่านิสัยแย่ลง หงุดหงิดมากขึ้น

ของคุณแม่เพื่อน ดูจิตแล้วเพื่อนเราบอกว่าแม่เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น ควบคุมอารมณ์น้อยลง

ของเรา นิสัยดีขึ้น แต่ความจำเสื่อมเป็นพักๆ เพราะติดกับการดู พอใจส่งออกไปคิด มันจะหยุดคิดโดยอัตโนมัต เกิดว่างเล็กๆ แบบจุดไข่ปลา ปัญหาคือกำลังคิดธุระการงานอยู่ มันหยุดคิดกระทันหัน จำไม่ได้แล้วว่ากำลังจะทำอะไรต่อ เหมือนกับเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วนึกไม่ออกว่าจะมาเอาอะไรในตู้เย็นน่ะค่ะ น่ากลัวมาก

พอเปลี่ยนมาพุทโธตลอดเวลาที่ว่าง สติกลับแจ่มใสคมชัดขึ้น คุณภาพจิตดีกว่าเดิมมากอย่างเห็นได้ชัด

ดีใจที่มีคนตาสว่าง อนุโมทนาค่ะ
โดย: ต้นหอม IP: 203.144.144.164 วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:9:57:32 น.
  
ตาสว่างกันเยอะๆ หน่อยเถิด
พุทโธ จะได้สะเทือนสามแดนโลกธาตุ
แบบที่หลวงตามหาบัวกล่าวไว้
ถ้าใครที่ได้อ่านคำสอนของท่านจะรู้ได้ชัดเจน และไม่ต้องคิดมากเลยว่า ไอ้ที่สอนๆ กันอยู่น่ะ มันช่างขัดกันสิ้นดี...หลอกศรัทธาคนกินไปวันๆ ด้วยความเรียบง่ายลัดสั้น คนยุคดิจิตอลเลยชอบ
หารู้ไม่ว่านั่นน่ะเป็นกรรมฐานของมหาโจร มหาภัยแห่งกรรมฐานโดยแท้
อนุโมทนากับคุณคนภูเก็ตด้วย ใครที่กลับตัวได้แล้ว ช่วยๆ กันมาบอกเล่าเก้าสิบไว้เป็นหลักฐานให้คนมาทีหลังได้มีข้อมูลไว้เพื่อการตัดสินใจกันเถอะ
โดย: พุทโธ IP: 203.144.144.164 วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:12:45:39 น.
  
//yuttapobmemo.blogspot.com/2010/01/8.html

โดย: หวังดี IP: 118.173.224.35 วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:15:28:50 น.

......................................

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8802474/Y8802474.html

เนื้อความบางส่วน

-มีลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ที่เก่าแก่ก่อนท่านบวชท่านหนึ่ง ท่าทางจะบ้าหนังจีน
หาชื่อไม่ยากหรอก มีล็อกอินอยู่ในพันทิพนี่แหละ ได้ประพันธ์เรื่อง บันทึกยุทธภพ ตอน ศิษย์ล้างครูขึ้นมา
ฉันอ่านแล้วก็ทราบเกือบหมดว่า ตัวละครที่อ้างถึงนั้นคือใครบ้าง มีการส่งต่อเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน
ใคร่ขอท่านทั้งหลายที่อยู่วงนอก ช่วยพิจารณาเถิด การเขียนส่อเสียดเช่นนี้ เหมาะสมหรือไม่อย่างไร


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:20:01:29 น.
  
มรรคจะสมังคีครั้งแรก เป็นพระโสดาบัน
////นั่นหมายความว่า ต้องเข้าออกฌาน ๔ จนชำนาญ////
..
ธรรมภูต

และยังมีอีกในหลายๆพระสูตรกล่าวไว้ชัดเจนเช่นกันว่า
/////"จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต" //////////
...
ธรรมภูต


-------------- ข้อความด้านบนไม่ถูกต้อง

1. ท่านผู้เป็น พระอรหันต์ แบบสุกปัสโก ท่านไม่ได้ทำสมาธิ จนได้ณาน(ณาณ 1-4 หรือ อรูปณาน) มาก่อน
และความแน่วแน่ของจิต เป็น ลักขณูปนิชณาน ( ความแน่วแน่แบบเพ่งลักษณะ เช่น วิปัสสนาญาน มรรค ) ไม่ใช่สมาธิแบบนิ่ง(สมถะ) ความแน่วแน่เทียบเท่าเณาน1 เมื่อเป็นวิปัสสนาญานหรือมรรค มี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกคัตตา เทียบเท่าน ณาน 1 แต่ไม่ใช่แบบ สมถะ
ลองศึกษาดู

2. เรื่องจิต เกิด ดับ นั้น มีในพระสูตร ชัดเจนแล้ว

โดย : ผู้ตามลิงก์ที่คนทำไว้ วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา: 18:06:15 น.
……………..

ท่านผู้มาตามลิงค์ที่คนทำไว้ครับ
๑.ท่านกำลังเข้าใจผิดๆอยู่นะ ท่านพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา
ถ้าท่านไม่เคยผ่านสัมมาสมาธิฌานที่๔ มาอย่างคล่องแคล่วแล้ว มรรคจะสมังคีได้หรือ?

มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า อริยมรรคมีองค์๘ มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาของเราเท่านั้น
จึงทำให้เกิดสมณะ๔จำพวก(อริยบุคคล)ได้

ส่วนฌานที่ท่านยกมาอ้างนั้น เป็นฌานที่พระพุทธองค์ท่านทรงปฏิเสธไปแล้วตั้งแต่ต้น
เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ทำได้เพียงแค่ให้กิเลสเบาบางเท่านั้น

เมื่อพระพุทธศาสนามีพระอริยมรรคมีองค์๘ จึงทำให้มีพระอริยะเจ้า๔จำพวกเท่านั้น
การจะก้าวเข้าสู่ความเป็นอริยะได้นั้น จำเป็นที่มรรคต้องสมังคีเท่านั้น
ถ้าขาดองค์ใดองค์หนึ่งไป ย่อมทำให้มรรคไม่ครบองค์ มรรคจะสมังคีได้อย่างไร?

มีแต่พวกเกียจคร้านเท่านั้น ที่ชอบอ้างว่าไม่ต้องผ่านฌาน

จำไว้นะ สัมมาสมาธิในองค์มรรคนั้น เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว
แยกออกจากกันไม่ได้นะ

๒. เรื่องจิตเกิดดับ ในพระสูตรที่กล่าวถึงนั้นล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น
ในมหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่าจิตไม่เกิดดับ
มีพระสุตรไหนหละที่ตรงต่อการปฏิบัติเท่ามหาสติปัฏฐานสูตร

“ราคะเกิดขึ้นที่จิตก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ จิตไม่มีราคะก็รู้ชัดว่าจิตไม่มีราคะ”

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:21:53:35 น.
  
เปิดบล็อกใหม่ตามคำเรียกร้องของ

พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:9:21:16 น.
  
ผมอ่าน "บันทึกยุทธภพ ฉบับศิษย์คิดล้างครู"
แล้ว พบว่า "ปราชญ์เพียงหญ้า" นั้นไม่ใช่ น่าจะเป็น หมาจิ้งจอก คลุมหนังราชสีห์ เพราะใช้เหตุผลแบบหมาจิ้งจอก จาก "จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๘๖" //www.dharmamag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=171&Itemid=40 นั้นบอกว่า "ตอบ - แสงเทียนในความมืดนั้น
จะส่องสว่างได้ดีเมื่อคุณอยู่ไกลออกมาในระยะห่างหนึ่ง
แต่ถ้าอยู่ใกล้เกินไป บางทีเงาร่างของคุณเองอาจบดบังแสงเทียนไว้จนมิด
ทำให้รู้สึกคล้ายเปลวเทียนไม่มีแสงสว่าง หรือสว่างเพียงริบหรี่ได้" ถ้าเหตุผลนี้ถูกต้อง "พระพุทธเจ้าก็สอนผิด" อานนท์ ! เราจะไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม,
เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียกยังดิบอยู่,
อานนท์ ! เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด,
อานนท์ ! เราจะชี้โทษแล้วชี้โทษอีกไม่มีหยุด,
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจะทนอยู่ได้,
ภิกษุทั้งหลาย ! เราประพฤติพรหมจรรย์นี้,
มิใช่เพื่อหลอกลวงคนเพื่อให้คนบ่่นถึง, เพื่อผลคือลาภสักการะและชื่อเสียง,
เพื่อเป็นเจ้าลัทธิ หรือเพื่อให้คนทั้งหลายรู้จักเราก็หามิได้,
ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ที่แท้แล้วเราประพฤติพรหมจรรย์นี้,
เพื่อความสำรวมระวัง เพื่อละกิเลส, เพื่อคลายกิเลสและเพื่อดับกิเลสเท่านั้น,
คนเราควรมองผู้มีปัญญาใด ๆ
ที่คอยชี้โทษและกล่าวคำขนาบอยู่เสมอไป
ว่าผู้นั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์ละ
ควรคบหาบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เพราะเมื่อคบหากับบัณฑิตเช่นนั้นอยู่
ย่อมมีแต่คุณอันประเสริฐส่วนเดียว ไม่มีเสื่อมเลย


โดย: ชาติสมดุล IP: 124.157.147.71 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:9:22:48 น.
  
พระพุทธเจ้าให้เข้าอยู่ใกล้กัลยณมิตร
แต่ นายบางคนบอกให้อยู่ห่างพอดี
มันจะถูกหรือครับ
โดย: ชาติสมดุล IP: 124.157.149.66 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:11:20:29 น.
  
จากใจบอกอ
เป็นบทความที่บอกความในใจชัดเจนมาก
ว่า
อดีตเคยคิดอย่างไร
และอนาคตจะวางท่าทีแบบไหน

แปลก ที่นักดูจิต กลับมองไม่ออก
เข้าไปอวยบทความนี้ใหญ่เลย
โดย: ต้นหอม IP: 203.144.144.165 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:08:06 น.
  
เอาให้ตรงประเด็นเลยนะครับ มีพระรูปหนึ่งบอกว่าพวกคุณ(พระและบอกอ) ยังได้ มรรคผล ดังนั้นที่พวกคุณสอนและเขียนตำรามาก็เป็นโมฆะ เพราะพวกคุณทำแล้วยังไม่ได้ผลเลย ถ้าพวกคุณแน่ใจว่าถูกต้อง พระท่านก็พร้อมจะชี้ให้พวกคุณและทุกคนเห็น ในที่สาธารณไหนก็ได้ พวกคุณ(พระก็จบระดับปริญญาโท บอกอก็ระดับ Best Seller)น่าจะมีเห็นผลมาโต้แย้งกับพระท่านได้นะครับ
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อบอกอ ยังไม่ได้ มรรคผล หนังสือที่เขียนก็เป็นการหลอกลวงคนไม่รู้ รายได้ที่ได้มามันก็ไม่บริสุทธิ์ ก็พิจารณาเอาเองว่าจะได้รับผลขนาดไหน
โดย: ชาติสมดุล IP: 172.16.2.250, 124.157.147.182 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:36:31 น.
  
ต๊าย...ตายยยย

ระวังสาวกเค้าเข้ามาอ่านจะกรี๊ดแตก สลบเหมือด...
ไปว่าเค้าด้ายงายยยย...เบสท์ เซลเลอร์ เชียวนะยะ
รวยส้มหล่นจนซื้อบ้านเป็น 10 ฝ่าล้าน
แต่งภรรยาหมอไปอีกคนเมื่อปีก่อน

นี่ก็เปิดสำนักพิมพ์เอง เห็นว่าจะโกอินเตอร์แปลธรรมะปลอมๆ เป็นภาษายาวี โบฮีเมี่ยน เอกวาดอร์ ซิมบับเว สุรินัม
ปาปัวนิวกีนี เวียดนาม กำปะดึ๋ย...คงกะรวยอีกซิท่า...ฝันไปเหอะ หมดเวลาเสวยสุขของพวกเจ้าแล้ว บุญที่ทำไว้เกลี้ยง เหลือแต่กรรมล้วนๆ จากการหลอกลวงเขียนธรรมะมั่วถั่วบนศรัทธาของสาธุชน...

ไม่รู้เหมือนกันว่าแกรู้ตัวป่าวว่าตัวเองน่ะ ข้างในกลวง จับไอ้นู่นมายำใส่ไอ้นี่แบบมั่นใจไร้สติว่าถูกต้อง
ตั้งตัวเป็นอาจารย์หน้านิ่ง (ไหลลึก) ให้ผู้คนกราบไหว้เพราะเข้าใจว่าได้ธรรม คนหลงใหลได้ปลื้มมมมมม เยิ้มกันเชีย
เอ...หรือว่าาาาา...ตั้งใจฉ้อฉลมาตั้งกะแรก
โดย: พุทโธ IP: 203.144.144.164 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:56:14 น.
  
คราย คราย บังอาจมาว่ายังไม่ได้ธรรม

เค้าน่ะมีฉายาว่า โสบันเดา เชียวนะ หึ หึ
โดย: พุทโธ IP: 203.144.144.164 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:59:11 น.
  
พุทธพจน์

ภิกษุกลืนกินก้อนเหล็กลุกแดง ยังดีกว่าเป็นผู้ทุศีล ไม่สำรวม
แล้วกลืนกินก้อนข้าวของชาวบ้าน

ผู้ใด มีปัญญาทราม อาศัยทิฐิอันลามก
คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีปกติเป็นธรรม
พฤติกรรมของผู้นั้นย่อมเป็นไปเพื่อฆ่าตน เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่

ควรตักเตือนกัน ควรพร่ำสอนกัน
ควรห้ามกันจากธรรมของอสัตบุรุษ
ผู้ที่ทำดังนี้ ย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษ แต่อสัตบุรุษย่อมชัง

โดย: ชาติสมดุล IP: 172.16.2.250, 124.157.147.182 วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:8:52:05 น.
  
ผมอ่านไม่หมดนะแต่คร่าวๆว่า ทั้งท่านและหลวงพ่อปราโมชช์ สอน 2 ฝ่ายแหล่ะ แต่พูดกันคยละช่วงกัน

**ที่ท่านสอน คือ พท-โธ จนได้ ได้ฌาน อย่างน้อย ฌาน 2 เพื่อที่จะรู้ควมคิดได้เอง อย่างอัตโนมัติ

**แต่หลวงพ่อปราโมชช์ ท่านพูด พื้นฐานเลยว่า ใครที่ทำฌานไม่ได้ ให้ เจริญดูความคิด เลย โดยใช้ขนิกกะสมาธิ ไปเรื่อย จนกว่า สติตัวจริงเกิด

คือ เขาจะทำงานของเขาเอง เปรียบเหมือนคุณมีลูก 100 คน และตัวคุณแค่นั่งดู พี่เลี้ยง คุณ ดุลูกคุณไม่ให้เล่นอะไรที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ พี่เลี่ยงคุณจะทำงานได้เองอัตโนมัติ โดยที่คุณไม่ต้องสั่งเลย แต่เมื่อก่อน คุณต้องคอยสั่ง ว่า นี่เธอต้อง ทำอย่างนี้ นี่เธอต้องทำอย่างนั้น บางที พี่เลี้ยงคุณทำไม่ทันเลยเพราะลูกคุณมี ตั้ง 100 คน

แต่พอคุณปฎิบัติแบบหลวงพ่อปราโมชช์ไปเรื่อย คุณจะได้พี่เลี้ยงที่ดีมากๆ และไม่ต้อง สั่งเลย แค่คุณนั่งดู เขาคอยระวังลูก คุณ100คนไม่ให้เล่นอะไรแผลงๆ พี่เลี่ยงคุณจะเป็นซุปเปอร์แมน

**แต่วิธีของคุณนั้น คุณฝึกโดย จับ ลูกคุณมัดไว้ก่อน แล้วคุณมาติวพี่เลี้ยงคุณให้เก่ง แล้วค่อยปล่อยลูกคุณ 100คน ให้พี่เลี้ยงที่เก่ง จัดการ



***ถูกทั้ง 2 คนแหล่ะ แต่คนละช่วงในการปฎิบัติ ****
***อย่างหลวงพ่อเทียน ท่านฝึกสมถะ มา 42 ปี และมาดูจิต แค่ 3-4 วันท่านก็จบกิจ

**หลวงพ่อธีร์ท่านฝึกสมถะมา ร่วม 50ปี มาดูจิต แค่ 10กว่าวันก็จบกิจ

***แต่หลวงพ่อปราโมชช์ท่านสอนให้ ดูจิตเลย เพราะการฝึกสมถะนั้นมันยาก มันต้องใช้ความอดทน มันไม่เหมาะกับคนเมือง


ท่านก็ถูก หลวงพ่อก็ถูก
โดย: ท่าหลวง IP: 222.123.166.151 วันที่: 12 มีนาคม 2553 เวลา:21:22:22 น.
  
ประกาศสวนสันติธรรม โกหกล้วน

ดูหลักฐาน พระปราโมทย์ อวดอุตริ ได้ที่

//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_xwd_xutri1.html

ดูหลักฐาน พระปราโมทย์ พยากรณ์ ได้ที่

//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_phyakrn_1.html



เปิดโปง พระ ปราโมทย์ ปราโมชฺโช อวดอุตริ พยากรณ์ ใส่ร้าย คุณไสย แอบอ้างหลวงพ่อมนตรี พระปราโมทย์ ดังตฤณพยากรณ์ด้วย ไม่ใช่ต้วเองพยากรณ์คนเดียว

ดูความจริงได้ที่ //www.antiwimutti.net
โดย: พระโกหก IP: 209.107.217.10 วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:3:17:11 น.
  
ผมอ่านแล้วผมว่าคุณธรรมภูต ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมาคิดเอาเอง
แล้วลงทุนทำ web antivimutti เลยทีเดียว ผมว่าถึงจะผิดจะถูก
อย่ายึดมันเลยครับ ทุกอย่างไม่มีเขาไม่มีเรา ชาวพุทธทุกคนน่าจะ
มาช่วยกันดีกว่ามา anti กัน อย่าจองเวร จองล้าง จองผลาญกันเลย
ผมว่ามันไม่ดีหรอกครับ
โดย: บุรี IP: 58.9.58.172 วันที่: 28 มีนาคม 2553 เวลา:7:21:11 น.
.............................
คุณบุรีครับ
ถ้าคุณอ่านอะไรแล้วไม่รู้เรื่องเอง คุณก็อย่าคิดเองเออเอง
ว่าคนอื่นฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมาเขียน ถ้าไม่ถูกต้องตรงไหน ควรชี้นะ

ส่วนเรื่องทำเวบ แอนตี้วิมุตตินั้น คุณรู้ได้ยังไงว่าผมทำ
นิสัยชอบมั่วแล้วกล่าวร้ายคนอื่นไว้ก่อนนี้อะ เหมือนต้นแบบจริงๆ
ผมกล้าทำ ผมย่อมกล้าเปิดเผยให้คนอื่นรู้ว่าผมทำ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง

ที่คุณบอกว่า ถึงจะถูกผิดก็อย่าไปยึดมันเลยนั้น
คุณกำลังสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า ถูกผิดควรแยกแยะ
เมื่อรู้ว่าผิดก็ควรแก้ไขให้ถูกต้อง จึงจะพ้นทุกข์ได้
เมื่อรู้ว่าตนเองผิดแล้วก็ปล่อยเลยตามเลยช่างหัวมันนั้น
แบบนี้ไม่เรียกว่าไม่ยึดมั่น แต่เป็นพวกไม่ได้เรื่องไม่รับผิดชอบ

การศึกษาธรรมนั้นควรต้องมีการเปรียบเทียบ เทียบเคียงกับพระพุทธพจน์ด้วย
ไม่ใช่เที่ยวสอนลูกศิษย์ลูกหาว่า อย่าอ่านพระพุทธพจน์เพราะเป็นคำสอนล่วงเลยมานานแล้ว
คุณกำลังเข้าใจผิดว่าผมจองเวร คนที่จองเวรก็คือคนที่สอนว่า"เจอพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย"

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:8:05:17 น.
  
คุณธรรมภูต ตื่นได้แล้วกรรมหนักไม่เบาน่ะ อย่ามัวแต่ฝันอยู่เลย

โดย: น่าสงสาร IP: 58.9.145.173 วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:17:00:56 น.
...........................................................................

คุณน่าสงสารอย่างยิ่งครับ
คุณน่าสงสารสมชื่อจริงๆเลยนะครับ ที่ยังงมงายมัวเมาโดยไม่รู้จักแยกแยะว่า
อันไหนของจริง อันไหนสิ่งจอมปลอม
อย่ามัวงมงายอยู่เลยครับ กรรมหนักกำลังรออยู่ข้างหน้านะครับ
ตื่นเถอะครับอย่ามัวฝันหวานกับคำพูดเพราะๆเลยครับ

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:20:27:50 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์