|
ตะกอนความคิดจากการได้ดู Inception
เนื่องจากเป็นหนังที่ดูแล้วต้องความเข้าใจประมาณหนึ่ง และวันที่เข้าไปดูก็ดูแบบสมองกลวงมากๆ ตามทันบ้างไม่ทันบ้าง จนนึกอยากกลับไปดูอีกรอบ (โดน Inception เข้าไปอย่างจัง >.<) จึงขอตกตะกอนความเข้าใจต่อเนื้อเรื่องในรอบแรกไว้ ดูซิว่าถ้ามีรอบต่อๆไปจะยังเข้าใจแบบนี้อยู่หรือเปล่า
แน่ล่ะว่าสปอยล์..เต็มๆ
"Inception"
ฉากเปิดเรื่องเป็นการบอกภูมิหลังของ ดอม คอบบ์ที่เป็นนักโจรกรรมความคิด โดยการบุกเข้าไปยังจิตใต้สำนึก ในขณะที่เป้าหมายกำลังหลับ ทำให้เราได้เห็นเครื่องมือหน้าตาธรรมด๊า ธรรมดาที่มีชื่อว่า "เครื่องแชร์ความฝัน" ทำให้เราค่อยๆทำความเข้าใจว่า เจ้าเครื่องนี่จะทำให้จิตใต้สำนึกของทุกคนที่มาแชร์ถูกผูกโยงเข้าด้วยกัน จิตใต้สำนึก..ที่ที่ทุกอย่างในชีวิตเราถูกเก็บงำไว้ที่นั่น หากเราไม่มีกลวิธีในการป้องกัน ผู้ที่มาแชร์ความฝันก็จะสามารถล่วงรู้ความคิดทุกอย่างของเราได้
ตรงนี้หนังชี้ให้เห็นว่าในโลกอนาคต ความคิดคือสิ่งล้ำค่ามากแค่ไหน ความคิดสร้างสรรค์ แผนการตลาด นวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้สร้างมูลค่าได้ และคุ้มค่ากับการลงมือทำการโจรกรรม
โชคร้ายหน่อยที่งานนี้คอบบ์ต้องเจอกับเป้าหมายที่รู้ตัวและมีกลไกป้องกัน รวมถึงอยู่ๆภรรยาของคอบบ์(ตามเนื้อเรื่องในภายหลัง)ก็โผล่มาขัดขวาง ซึ่งในตอนแรกนี่ก็ยังงงๆอยู่ว่าผู้หญิงคนนี้โผล่มาได้ยังไงกัน..เพียงแต่พอเรื่องเล่าไปถึงตอนหลังจึงเริ่มเข้าใจ
และในฉากเปิดเรื่องนี้ ยังได้เล่าถึงเรื่องราวของความฝันซ้อนความฝันเอาไว้ (คือฝันว่ากำลังฝันอยู่) เพียงแต่ในรายละเอียดยังไม่พูดถึงมากมาย เพียงแค่ปูเรื่องไว้ให้เรารู้ว่ามันมี
กลับมาที่เป้าหมาย ..หากรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ และมีคนกำลังบุกรุกเข้ามาในจิตใต้สำนึกขณะกำลังฝัน เป้าหมายจะสามารถปกป้องความคิดที่ยังต้องการจะซ่อนเอาไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยฝีมือของคอบบ์ก็ทำให้ ไซโตะ..ผู้เกือบจะถูกคอบบ์โจรกรรมความคิดไป เสนองานที่มีผลตอบแทนเป็นสิ่งที่คอบบ์รอคอยมาตลอดชีวิต คือการได้กลับไปใช้ชีวิตกับลูกทั้งสองคนให้
เพียงแต่งานของไซดตะ ไม่ใช่การขโมย แต่เป็นการฝังความคิดเข้าไป ไซโตะต้องการให้คอบบ์ฝังความคิดใหม่ ให้ทายาทบริษัทคู่แข่งเลิกล้มความตั้งใจที่จะสืบทอดกิจการของพ่อที่กำลังจะตาย
การฝังความคิดยากกว่าการขโมยความคิด เพราะหากไม่ได้ฝังให้ลึกลงไปในจิตใต้สำนึกที่ลึกมากๆ เป้าหมายก็อาจจะไม่รู้สึกว่าความคิดนั้นเป็นสิ่งที่มีความหมาย-สำคัญ และอาจจะไม่ปฏิบัติตาม รวมถึงถ้าเป้าหมายนั้นไม่รู้ว่าที่มาของความคิดนั้นมาจากไหน เป้าหมายก็จะเกิดความระแวงแคลงใจ และทำให้จับได้ว่าเป็นผลงานของทีมโจรกรรม
ดังนั้นคอบบ์จึงต้องวางแผนให้รัดกุม และคัดเลือกมาเพียงมือดีที่สุดเท่านั้น ซึ่งในทีมประกอบด้วย
คอบบ์ ผู้ขุดความลับ เป็นหัวหน้าทีมที่จะคอยวางแผนแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ
อาเธอร์ เป็นตัวชี้เป้า ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลของเป้าหมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเป้าหมายเคยเรียนรู้กลไกการป้องกันทางจิตเพื่อต่อต้านการโจรกรรมไหม เพราะจะทำให้งานมีระดับความยากง่ายที่แตกต่างกัน
แอริแอด สถาปนิกผู้ออกแบบความฝัน เป็นผู้สร้างสถานที่ในความฝัน รายละเอียดต่างๆที่เสมือนจริง
อีมส์ นักปลอมแปลง เป็นผู้ล้วงความลับโดยการเลียนแบบ ปลอมแปลงเป็นคนใกล้ชิดของเป้าหมาย ปลอมเป็นนางนกต่อ คือฮีสามารถมากๆ ปลอมเป็นใครก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นนักต้มตุ๋นระดับเทพค่ะ
ยูซุฟ นักเคมีที่ปรุงยานอนหลับที่ทำให้หลับลึกมากๆ แต่ยังสามารถตื่นได้โดยการที่หูชั้นในถูกกระตุ้น เช่นการตกจากที่สูง หรือที่เรียกว่า Kick นั่นเองค่ะ
โดยมีไซโตะ เป็น The tourist ขอติดตามไปด้วยเพื่อให้เห็นว่าการฝังความคิดสำเร็จกับตา เห็นแบบนี้จริงๆมีประโยชน์กับทีมในภายหลังนะเออ ชอบตอนที่เค้าพูดเองว่า "ไม่มีที่สำหรับนักท่องเที่ยว" มากๆ :)
โดยการเจาะลึกเข้าไปยังจิตใต้สำนึกของเป้าหมาย (ฟิชเชอร์) จะค่อยๆทำไปเป็นระดับชั้น ทันทีที่เครื่องแชร์ความฝันทำงาน ทุกคนก็เข้าไปในฝันชั้นแรก ซึ่งเป็นความฝันของยูซุฟ
และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจิตใต้สำนึกของฟิชเชอร์ผ่านการเรียนรู้กลไกการป้องกันทางจิตไว้ (ซึ่งตรงนี้อาเธอร์ไม่สามารถสืบหาข้อมูลมาได้) ทำให้มีกองกำลังติดอาวุธมาต่อต้าน "สิ่งแปลกปลอม" ที่เข้ามาภายใต้จิตสำนึกขณะฝัน เป็นเหตุให้ไซโตะโดนยิงบาดเจ็บ และถ้าหากเสียชีวิตในขณะกำลังฝันภายใต้ฤทธิ์ยานอนหลับที่รุนแรงแบบนี้ จิตจะไม่สามารถหาทางออกไปจากความฝันได้
The show must go on.. ดังนั้นทีมของคอบบ์จึงมีแต่ต้องมุ่งหน้าทำงานให้สำเร็จ (ก่อนที่ไซโตะจะตาย)และกลับออกไป
อีมส์จึงรับหน้าที่ปลอมแปลงไปล้วงความลับความสัมพันธ์ระหว่างฟิชเชอร์ จูเนียร์กับพ่อ เพื่อกำหนดบทของทุกคนที่จะไปต่อ และเพื่อให้รู้ชัดว่าควรจะฝังความคิดให้ฟิชเชอร์ในลักษณะไหน
ซึ่งก็เป็นไปตามที่ทีมคาดเดากันไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างฟิชเชอร์กับพ่อไม่ดีนัก คำสุดท้ายที่พ่อพูดกับเค้าก่อนตายคือ "ผิดหวัง" อีมส์จึงสร้างเรื่องให้ฟิชเชอร์รู้ว่าพ่อมีพินัยกรรมอีกฉบับ ที่หวังว่าฟิชเชอร์จะดำเนินธุรกิจของตัวเอง โดยไม่ต้องพยายามจะเลียนแบบพ่อ
ตรงจุดนี้ ทีมได้ปูพื้นความคิดให้ฟิชเชอร์ไว้เพียงแค่นี้พอ ทั้งเรื่องเซฟ เรื่องพินัยกรรมอีกฉบับ ทั้งหมดทั้งปวงนั้นไม่ได้มีจริง แต่ทำให้ฟิชเชอร์เข้าใจว่ามีอยู่จริง และพยายามหาทางเปิดออกมาให้ได้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าพ่อต้องการจะบอกกับเค้าว่าอย่างไร
โดยที่ความฝันชั้นนี้ ยังไม่ต้องการให้ฟิชเชอร์สามารถเปิดได้ เพราะเป็นความฝันในชั้นที่ตื้นเกินไป เมื่อตื่นแล้วอาจจะนึกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
จึงเพียงแต่เกริ่นเอาไว้ เพียงแค่นี้ ให้ฟิชเชอร์ต้องใช้ความพยายามที่จะเปิด เพื่อที่จะได้เชื่อสนิทใจว่านี่เป็นความคิดที่เกิดจากตัวเขาเองจริงๆ
ก่อนที่จะดำดิ่งไปยังความฝันชั้นต่อไป โดยได้ทิ้งยูซุฟซึ่งเป็นเจ้าของความฝันในชั้นแรกเอาไว้ ให้เค้ายังคงฝันต่ออยู่ในฝันชั้นแรกต่อไป รอปลุกทุกคน รวมถึงเอาตัวรอดให้ได้ จากกองกำลังต่อต้านการโจรกรรม
ส่วนความฝันชั้นที่ 2 -ฉากในโรงแรมนั้น เจ้าของความฝันคืออาเธอร์
และจากการที่สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมาย คอบบ์จึงต้องเปลี่ยนแผน ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่มีอยู่ให้ได้ เพราะจิตใต้สำนึกของฟิชเชอร์เองก็คงเริ่มสงสัยหนักขึ้นว่ากำลังถูกบุกรุก และก็อาจเกิดการต่อต้านตามมาอีกมากมาย
คอบบ์จึงทำให้ฟิชเชอร์รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในความฝัน(แต่ให้เข้าใจว่าเป็นฝันชั้นแรก..มั้ง) และกำลังถูกบุกรุกอยู่ โดยคอบบ์คือผู้ช่วยในการต่อต้านการบุกรุกนั้น เป็นการหลอกล่อให้ฟิชเชอร์ไว้ใจ และช่วยพาทีมเข้าไปยังความฝันชั้นต่อไป (ซึ่งจะยิ่งโดนการต่อต้าน)
ซึ่งคอบบ์ก็ทำได้สำเร็จ และทีมก็ที่เหลือรวมถึงฟิชเชอร์ก็ดิ่งลึกลงไปถึงความฝันชั้นที่ 3 ทิ้งอาเธอร์ เจ้าของความฝันเอาไว้เพื่อรอปลุก รวมถึงรับมือกับกองกำลังในความฝันชั้นนี้
ที่ความฝันชั้นที่ 3.. ความฝันชั้นนี้เป้นของอีมส์ ซึ่งก็คือฉากท่ามกลางหิมะ เป็นที่ที่ฟิชเชอร์ควรจะเจอตู้เซฟที่เก็บพินัยกรรมใหม่ (ตามความเชื่อจากชั้นก่อนๆที่ค่อยๆปลูกฝังเอาไว้)และเปิดมัน ซึ่งทั้งหมดก็เกือบจะสำเร็จแล้ว แต่ในที่สุด "มอล" ในจิตใต้สำนึกของคอบบ์ก็โผล่มาขัดขวาง
เอาล่ะ มาอธิบายถึงมอลกันหน่อยแล้วกัน ซึ่งจริงๆมอลก็โผล่มาให้ชวนสงสัยหลายครั้ง แต่ไม่อยากจะเล่าแทรก เพราะอยากให้เห็นภาพใหญ่ชัดๆก่อนว่าเป็นไง
เพียงแต่ ณ จุดนี้ มอลคือส่วนสำคัญที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้
จริงๆแล้วจะเห็นได้ว่าในขณะที่แชร์ความฝันกันนั้น จิตใต้สำนึกของทุกคนจะถูกผูกโยงเข้าด้วยกันไว้ โดยเจ้าของความฝันจะเป็นผู้กำหนดสถานที่ สถานการณ์ (ฝนตก ฉากเป็นโรงแรม ฉากเป็นแดนหิมะ ฯลฯ) แต่ทีมที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีจะไม่ปล่อยจิตใต้สำนึกของตัวเองมาเพ่นพ่าน ตัวแปรที่จะเกิดตามมาหลังจากเจ้าของฝันกำหนดความฝัน คือจิตใต้สำนึกของเป้าหมาย ที่ถูกจับมาร่วมแชร์ความฝันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้คนต่างๆ หรือกองกำลังต่อต้านการโจรกรรม
ซึ่งทุกคนในทีมก็สามารถบังคับจิตใต้สำนึกของตัวเองไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านได้อยู่หมัด ยกเว้นก็แต่คอบบ์ที่มีความรู้สึกผิดต่อ "มอล" อย่างลึกล้ำ ถึงจะพยายามกักขังความทรงจำที่มีต่อเธอไว้ให้อยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตใต้สำนึกแล้ว แต่บางทีเธอก็ยังออกมาเพ่นพ่าน
เช่นในฉากที่แอริแอดออกแบบความฝันเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงในความทรงจำ และคอบบ์เองก็เคยมีความหลังกับมอลในสถานที่นั้น(ตรงสะพาน) จิตใต้สำนึกของคอบบ์ก็เกิดอาการ "หลุด"และปลดปล่อยมอลออกมา
เราว่าที่มอลตรงรี่มาทำร้ายแอริแอด ก็เพราะ..นะ ถึงจะรักเมียยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้สวย น่ารัก..และฉลาด จิตใต้สำนึกในส่วนที่เก็บภาพมอลไว้ก็คงโดนกระทบและไม่รู้สึกดีกับการที่แอริแอดเข้ามาในชีวิตคอบบ์เท่าไหร่หรอก..อันนี้เห็นได้ชัด
ยิ่งในฉากต่อๆไปที่ยิ่งดิ่งไปในจิตชั้นที่อยู่ลึกลงไปข้างล่าง คอบบ์ก็ยิ่งเข้าไปใกล้มอลในจิตใต้สำนึกของเขาเองมากไปทุกที..
แล้วในที่สุดเมื่อถึงนาทีคับขันคอบบ์ก็คุมจิตใต้สำนึกของตัวเองไม่อยู่ ปลดปล่อยมอลให้ออกมาขัดขวางจนได้ เพราะจิตใต้สำนึกของคอบบ์รู้ว่า ถ้างานนี้สำเร็จเขาจะได้กลับบ้าน และมอลก็จะกลายเป็นเพียงอดีตตลอดไป แต่ลึกๆความรู้สึกผิดในใจก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เขาคิดอย่างนั้น
มอลจึงยังคงมีอิทธิพลเหนือกว่าเสมอ และโผล่มาขัดขวางงานของคอบบ์ได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะในนาทีสำคัญ ที่ฟิชเชอร์กำลังจะเข้าไปเปิดเซฟก็ดันถูกมอลยิง..ตาย -*-
เรื่องที่กำลังจะจบก็เลยไม่จบ เนื่องจากเมื่อฟิชเชอร์ตายจะหลุดเข้าไปในชั้น limbo ซึ่งถ้าหากหาเขาเจอ และทำให้เขาตื่น ก็ยังพอจะทำให้ฟิชเชอร์กลับมาเมื่อถึงเวลาปลุกในแต่ละชั้นได้
คอบบ์กับแอริแอดจึงต้องดิ่งลึกลงไปอีก ทิ้งไซโตะที่ไปต่อไม่ไหวแล้วเพราะบาดเจ้บ กับอีมส์เจ้าของความฝันในชั้นที่สามไว้
ในชั้น limbo.. น่าจะเป็นตะกอนความฝันของคอบบ์เอง และเป็นที่ที่เขากับมอลเคยหลงอยู่ด้วยกัน คอบบ์พาแอริแอดไปตามหามอล เพราะเขาเชื่อว่าฟิชเชอร์จะต้องอยู่ที่นั่น และเขายื่นข้อเสนอกับมอล (จิตใต้สำนึกของตัวเอง)ว่าจะไม่ออกจากความฝัน เพื่อแลกกับการพบตัวฟิชเชอร์และพาออกไป
ซึ่งในตอนนี้เองที่ข้อจำกัดของเวลาได้บีบให้ทุกคนต้องรีบตัดสินใจ ในที่สุดแอริแอดก็ต้องพาฟิชเชอร์กลับ เพื่อให้ตื่นขึ้นในชั้นที่ 3 ให้ทัน
แอริแอดตื่นขึ้นมาก่อนในชั้นที่ 3 --> จากนั้นอาคารกลางหิมะระเบิด --> ทำให้อีมส์ แอริแอด ฟิชเชอร์ตื่นในชั้นที่ 2 --> จากนั้นลิฟท์ระเบิด --> อีมส์ แอริแอด ฟิชเชอร์ และอาเธอร์ตื่นในชั้นที่ 1 --> จากนั้นรถตกสะพาน --> ทุกคน(ยกเว้นไซดตะกับคอบบ์) ตื่นขึ้นเมื่อหมดฤทธิ์ยา
ส่วนคอบบ์.. ก็อยู่ตามหาไซโตะต่อ และกระตุ้นให้เขารู้ตัวว่ากำลังอยู่ในความฝัน นี่คือบทสุดท้ายก่อนนำไปสู่ฉากจบที่ทุกคนถกเถียงกัน ว่าตกลงแล้วคอบบ์ช่วยไซดตะได้จริง ภารกิจลุล่วง และได้กลับไปใช้ชีวิตกับลูกๆ หรือนี่เป็นเพียงอีกหนึ่งความฝันของคอบบ์เอง ที่ยังหลงวนเวียนอยู่ใน limbo ฝัน..ว่าตัวเองทำสำเร็จ
สำคัญไหม ?
โดยส่วนตัวคิดว่ามันไม่สำคัญเท่ากับว่า เราได้เรียนรู้ถึงพลังความคิดที่ส่งผลต่อตัวเราจากหนังเรื่องนี้หรือไม่ เพราะเพียงแค่เราคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยนไป
มันอาจจะเป็นความจริง .. มันอาจจะเป็นความฝัน.. แต่ความคิด ความเชื่อที่เติบโตขึ้นในตัวเรา ในใจเรานั้น ใยมิใช่สามารถทำให้เราสร้างฝันให้เป็นจริงได้ !!
มันขึ้นอยู่กับเรา ขึ้นอยู่กับตัวเรานี่แหละ ว่าจะเลือกฝังความคิดชนิดใดลงไป
คิดว่าเราทำได้ เราก็จะพยายามหาทางทำให้ได้ คิดว่าเราทำไม่ได้ ทุกอย่างก็จบไป โดยที่ยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ
เชื่อมั่นในพลังของความคิด และมาเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงกันเถอะค่ะ :)
Create Date : 19 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 7:50:17 น. |
|
1 comments
|
Counter : 289 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
เ จ้ า ห ญิ งน้ อ ย |
|
|
|
|