อยากเป็นแม่ที่น่ารักที่สุดในโลก

แม่มือใหม่ฝากใจกับหมอสูติฯ

แม่มือใหม่ฝากใจกับหมอสูติฯ
เรื่อง : แม่ตาแป๋ว
//////////////////////////////////////

กว่าคุณแม่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ซึ่งมักจะมีอายุครรภ์ประมาณสัปดาห์ที่สี่ พอประจำเดือนเริ่มขาดหาย ก็ต้องรีบไปหาซื้อแผ่นเทสต์มาตรวจ คู่ไหนรอเจ้าตัวน้อยมานานก็ตบมือแปะแปะดีใจจัง คู่ไหนยังอยากใช้ชีวิตอิสระก็เตรียมทำใจ สมาชิกใหม่กำลังก่อร่างสร้างตัวแล้วเอิงเอย แต่เมื่อเจ้าตัวน้อยในพุงเริ่มก่อเกิด สัญชาตญาณความเป็นแม่ก็พุ่งปรี๊ด เราจะต้องดูแลรักษาลูกอย่างดีที่สุด ย่ายายสมัยก่อนมีหมอตำแย แล้วแม่เทรนดี้อย่างเราล่ะ
สมัยนี้นะคะ ร้อยทั้งร้อยเมื่อรู้ตัวว่าท้องก็ต้องไปฝากท้อง แล้วที่ไหน อย่างไร ยังเป็นคำถามคาใจของแม่รุ่นใหม่อยู่เสมอ ตาแป๋วขอนำประสบการณ์ทั้งของตัวเองและเพื่อนแม่ๆมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อเป็นแนวทาง สำหรับคนที่กำลังเตรียมตัวหรือเพิ่งรู้ตัวว่ามีลูก

อันดับแรกดูฐานะทางการเงินก่อนเลยค่ะ การฝากท้องจนถึงการคลอดใช้เงินไม่ใช่น้อยๆนะคะ สมัยนี้ข้าวยากหมากแพง อะไรประหยัดได้ก็ควรทำ เมื่อประเมินกระเป๋าตัวเองแล้วก็ดูโรงพยาบาลค่ะ มีให้เลือกกว้างๆสองแบบคือโรงพยาบาลของรัฐกับโรงพยาบาลเอกชน ราคาค่าบริการต่างกันลิบ รัฐบาลนี่ถูกถึงถูกที่สุด ส่วนเอกชนก็มีหลายระดับ มีตั้งแต่แพงถึงแพงมาก ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐนอกจากถูกแล้วยังมีการบริการตรวจที่หลากหลาย ละเอียดรอบคอบ บุคลากรมีมาตรฐานเชื่อถือได้ แต่รอคิวตรวจนานมาก ขอย้ำ นานมาก แถมตรวจกับหมอไม่ซ้ำหน้าถ้าไม่ได้ฝากพิเศษ ยิ่งเป็นโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์แล้วล่ะ บางครั้งจะมีนักศึกษาแพทย์มาทำการตรวจแทนหมออีกแน่ะ ถ้าคุณฝากท้องที่โรงพยาบาลเอกชน คุณจะไม่เจอปัญหาเหล่านี้ หมอคนเดียวตั้งแต่ฝากท้องจนคลอดลูก ไม่ต้องรอคิวนาน มีการบริการจ๊ะจ๋าคะขา บรรยากาศงดงาม ความสะดวกสบายพร้อมสรรพ แลกกับแบงค์ในกระเป๋าปลิวว่อน ถูกใจแบบไหนลองเลือกดู และอย่ามองข้ามความสะดวกในการเดินทางนะคะ ถ้าโรงพยาบาลใกล้บ้านก็ย่อมสะดวกกว่าไกลแน่นอน รถติดเมืองกรุงไม่ใช่เล่นๆ ถ้าคุณฝากท้องไกลบ้านมากอาจมีสิทธิ์คลอดบนรถได้นะ

ชื่อเสียงของสูตินารีแพทย์ก็มีส่วนค่ะ เพื่อนแม่หลายคนต่างใช้วิธีปากต่อปากว่าหมอคนนั้นดีคนนี้เจ๋ง อันนี้ตาแป๋วคิดว่าหมอท่านไหนก็จบมาตำราเล่มเดียวกัน การวินิจฉัยคงไม่ได้ต่างกันมาก น่าจะอยู่ที่อุปนิสัยของหมอแต่ละท่านมากกว่า แม่บางคนชอบหมอผู้หญิงด้วยกัน บางคนชอบหมอแก่หน่อยดูน่าเชื่อถือ ขณะที่บางคนชอบหมอที่คุยง่ายให้รายละเอียดเยอะๆ ส่วนใหญ่เวลานัดตรวจครรภ์หมอก็จะซักถามอาการทั่วไป ตรวจหน้าท้อง บางครั้งอาจมีตรวจภายในด้วย การเลือกหมอขึ้นอยู่กับความสบายใจของคุณแม่ทั้งหลายค่ะ เมื่อคุณพบหมอในครั้งแรกแล้วคิดว่าหมอคนนี้พูดคุยให้คำแนะนำดี ปรึกษาได้อย่างสะดวกใจ ก็ฝากต่อไปให้คุณหมอทำคลอดให้เลย มีปัญหาสงสัยอะไรก็ซักถามให้กระจ่าง คนที่เป็นแม่มือใหม่ ทุกคนต้องการคำแนะนำในทุกเรื่อง การมีคุณหมอเป็นที่ปรึกษาย่อมมั่นใจกว่าค่ะ
เพื่อนแม่บางคนที่ตาแป๋วเจอมา ไปฝากท้องกับหมอชื่อดังโรงพยาบาลชื่อกระฉ่อน แม้ไกลบ้านก็ไม่หวั่น ปรากฎว่า หมอชื่อดังต้องรอคิวนานมาก บางทีแบบว่ารอสองชั่วโมงตรวจสองนาที พอตอนนัดผ่าคลอด คุณหมอคิวทองยังต้องนัดล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ สุดท้ายเจ็บท้องคลอดก่อนวันนัด ก็ต้องรีบมาโรงพยาบาลใกล้บ้านอยู่ดี เพราะฉะนั้น เผื่อกรณีฉุกเฉิน ตาแป๋วแนะนำว่าให้คุณเก็บสมุดตรวจครรภ์ไว้กับตัวนะคะ ยิ่งใกล้คลอดนี่ พกติดตัวไว้เลย เวลาเจ็บท้องคลอดจะได้ไม่ต้องวุ่นวายหา เพราะถึงตอนนั้น คุณแม่จะเจ็บสติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วล่ะค่ะ

การเลือกสูตินารีแพทย์เป็นสิทธิของคุณแม่นะคะ ซึ่งต่างคนก็มีปัจจัยหลายๆอย่างแตกต่างกันไป เอาเป็นว่า สะดวกใจสบายกายที่จะฝากท้องกับหมอท่านใดโรงพยาบาลไหน ก็ลองเลือกดู ถ้าเลือกแล้วไม่ถูกใจ จะเปลี่ยนใหม่ก็ไม่มีปัญหา คนท้องต้องการการดูแลอย่างดี ลูกน้อยก็เช่นกันค่ะ และคนที่จะดูแลแม่ลูกคือคุณหมอนั่นเอง อ้อ ไม่ลืมค่ะ คนสำคัญที่สุดที่คุณแม่ต้องการ คือคุณพ่อสุดที่รักไงล่ะคะ อย่าลืมดูแลเอาใจใส่ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์นะคะ เพราะเธอ คือผู้ให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณ

MOM tips การไปฝากครรภ์ทุกครั้งควรชวนคุณพ่อไปด้วยนะคะ จะได้ติดตามการเจริญเติบโตของลูกน้อยในพุงโตไปพร้อมๆกัน สร้างสัมพันธ์อันหวานชื่นให้แก่ชีวิตครอบครัวค่ะ




 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 9:49:13 น.   
Counter : 542 Pageviews.  

การเดินทางของครอบครัว

การเดินทางของครอบครัว
เรื่อง : แม่ตาแป๋ว
ภาพ : พ่อตากล้อง
///////////////////////////////////
อากาศร้อนจังเลยค่ะคุณๆขา พลอยทำให้ตาแป๋วใจร้อนหงุดหงิดงุ่นง่าน ร้อนตามอากาศไปด้วย อยากมีบ้านไฮโซเปิดแอร์เย็นฉ่ำ อนิจจา ทำได้แค่พัดลมเป่าฟิ้ว ฟิ้วสองตัว เจ้าลิงที่บ้านก็ซนรับความร้อนได้น่าโมโหจริงๆ ทั้งรื้อหนังสือลงมากองกับพื้น ละเลงข้าวกับแกงจืด เอาน้ำยาซักผ้ามาเทเล่น ช่างสรรหางานให้แม่ทำจริงๆเลยลูกรัก ฮึ่ม
สามีสุดที่รักก็ช่างกระไร เช้ามานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ไปทำงานกลับบ้านดึกดื่น ว่างก็นั่งเล่นเกมบอล สนุกตรงไหนเนี่ย ช่วยดิฉันเลี้ยงลูกบ้างเถอะค่ะคุณสามี ให้ดิฉันได้หายใจหายคอมีเวลาอาบน้ำนานๆบ้างได้มั๊ยเนี่ย
สมัยสาวๆ ตาแป๋วอ่านนิยายมักจะลงท้ายด้วยการแต่งงาน ก็เลยวาดฝันถึงชีวิตคู่ไว้สวยหรูตามประสา หารู้ไม่ว่าในชีวิตจริง การแต่งงานคือการเริ่มต้นใช้ชีวิตต่างหาก ตอนเป็นแฟนกับเป็นสามีภรรยานี่ต่างกันลิบโลก ยิ่งถ้ามีลูกด้วยแล้ว ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ลองอ่านนิยายสั้นๆ เรื่องนี้ดูมั๊ยคะ
“ ก่อนแต่งงานดิฉันเป็นผู้หญิงทำงานหนักคนหนึ่งที่รักอิสระมากๆ ชอบใช้ชีวิตตัวคนเดียว จนเพื่อนๆเป็นอันรับรู้กันว่า ชาตินี้ดิฉันคงไม่มีวันแต่งงานมีครอบครัวเหมือนใครๆ เวลาผ่านไป ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง ดิฉันแต่งงานเป็นคนแรกของรุ่น พร้อมคำถามยอดฮิต “ ท้องก่อนแต่ง ? ” ดิฉันไม่สนใจเสียงรอบข้าง เพราะมั่นใจในตัวเองและตัวเขาที่กำลังจะเป็นสามี ดิฉันถามตัวเองว่า ผู้ชายคนที่ฉันรักคนนี้ วันหนึ่ง ถ้าเขาประสบอุบัติเหตุ เป็นคนพิการ ฉันจะดูแลเขาไปตลอดได้ไหม คำตอบคือได้ ไม่ว่าเขาจะตกอยู่ในสภาพใด ยากดีมีจน ทุกข์หรือสุข ฉันพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเขาหรือเปล่า คำตอบคือ ใช่ วันหนึ่งถ้าเขาทำผิดต่อดิฉัน ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ดิฉันพร้อมที่จะให้อภัยเขาเสมอหรือไม่ คำตอบคือ ใช่ เมื่อฉันมั่นใจในตัวเขา และเขาก็มั่นใจในความรักของเรา คำถามเหล่านั้นจึงกลายเป็นคำปฏิญาณในวันแต่งงาน และเราก็เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน
จากวันนั้นหนึ่งปี ฉันตั้งครรภ์ เพื่อให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของฉัน กับคนที่ฉันรัก เขาดูแลเอาใจใส่ฉันอย่างดี เขาไม่เคยทำให้ฉันเสียใจ และผิดหวังในการแต่งงานกับเขา เราต่างรับรู้ความทุกข์และความสุขของกันและกัน เราพูดคุยกันด้วยความรัก ความเข้าใจ แม้กระทั่งวันที่ฉันให้กำเนิดลูกน้อย เขาจับมือฉันไว้ตลอดเวลา
เมื่อมีลูก ฉันทุ่มเทความรักให้แก่เธออย่างสุดหัวใจ เธอช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน ดวงตาไร้เดียงสามองฉัน และฉันตกหลุมรักเธอนับตั้งแต่นั้น ฉันให้น้ำนมแก่เธอยามเธอหิว โอบกอดเธอเมื่อเธอร้องให้ เฝ้าดูเธอเติบโตด้วยดวงใจอันเปรมปรีด์ ฉันลาออกจากงานเพื่อมาทำงานอันยิ่งใหญ่ งานของการเป็นแม่ งานที่ไม่มีวันหยุด วันลา งานที่หนักยิ่งกว่างานใดๆในโลก และเขา ก็อยู่เคียงข้างฉันเสมอ คอยให้กำลังใจฉัน เขาทำงานหนักเพื่อครอบครัว ให้ฉันและลูกสุขสบาย ฉันขอบคุณเขาเหลือเกิน และอยากบอกว่าฉันรักเขา รักลูก รักอย่างหมดหัวใจ......”
ปิ๊งป่อง............ กลับมาสู่โลกของความจริงค่ะ


ทุกวันนี้เธอคนนั้นเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกหัวฟู หน้าตาผ้าผ่อนไม่ได้ใส่ใจให้ดูดีเหมือนแต่ก่อน รูปร่างเริ่มมีไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ เข้าใกล้คำว่าพะโล้เข้าไปทุกที ลูกก็อยู่ในวัยกำลังซน รื้อข้าวของกระจายเต็มบ้านให้เธอตามเก็บ สามีก็ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงิน กลับบ้านดึกดื่น ยิ่งลูกโตภาระค่าใช้จ่ายยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไหนจะค่ากินใช้จ่าย ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หนี้ต่างๆ ที่ต้องชำระ แถมแม่สามียังมีปัญหากับลูกสะใภ้เข้ากันไม่ได้ กลับบ้านมาภรรยาก็บ่น กลับดึกผิดเวลา เธอนั่งร้องไห้ ระแวงว่าสามีแอบไปมีชู้ ความตึงเครียดในครอบครัวสะสมเพิ่มขึ้นตามวันเวลา สามีภรรยาไม่มองหน้าไม่พูดคุย ต่างเบื่อและรำคาญซึ่งกันและกัน กระทบแม้กระทั่งเรื่องบนเตียง สุดท้าย.....
ตาแป๋วขอให้คุณลองหลับตานับหนึ่ง ..สอง..สาม..สมมติว่าถ้าเป็นครอบครัวของคุณ สุดท้ายจะเป็นอย่างไร
เชื่อว่าคำตอบคงไม่เหมือนกันเลยล่ะค่ะ

แค่อยากจะบอกว่า ชีวิตคู่ ชีวิตครอบครัวของแต่ละคน ต่างกันไปนานาค่ะ เราต่างที่มา ต่างปัจจัย ครอบครัวหนึ่งเริ่มต้นจากคนสองคน การประคับประคองชีวิตคู่ให้ราบรื่นนั้น แม้ในความเป็นจริงอาจดูยาก เมื่อเกิดปัญหา ทุกเรื่องอาจดูเลวร้าย หากแต่เรามองเห็นสิ่งดีๆ ที่มี มองแต่เรื่องที่ดี คงไม่ยากที่จะเปิดใจยอมรับและให้อภัยซึ่งกันและกัน อย่างน้อย สิ่งที่ทำให้เกิดคำว่า ครอบครัว คือ “ ความรัก ” ฉะนั้น คงไม่ยากเกินไปหากจะรำลึกถึง และประทับไว้ในใจ
การแต่งงานมีครอบครัว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย อยู่ที่ตัวเรานะคะ ว่าจะยอมรับและปรับตัวอย่างไร โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบแม้กระทั่งตัวคุณเอง เหรียญมีสองด้าน ขอให้มองแต่ด้านที่ดี การใช้ชีวิตคู่นั้น ต้องอดและทน อดใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน ทนใจไม่ให้หวั่นไหว นึกถึงลูก นึกถึงคำว่าครอบครัวให้มากๆ เมื่อผิดก็คือผิด สำนึกแล้วขอโทษ ให้อภัยต่อกัน อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจในกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา คนที่เราเลือกเค้าเป็นสามีหรือภรรยานั้น นั่นคือเราเลือกแล้ว จงพอใจในตัวเค้า พอใจในชีวิตที่เรามี
เวลาผ่านมาพร้อมความเปลี่ยนแปลงค่ะ ครอบครัวของคุณๆ กำลังเดินทางไปตามเวลาอย่างช้าๆ อาจมีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเปลี่ยนชีวิต มีปัญหา มีอุปสรรคบ้าง เราควรยอมรับและแก้ไขไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตเดินทางไปด้วยกันอย่างมีสติ คนเราอยู่ด้วยกันไม่นานก็ต้องจากกัน ไม่จากเป็นก็จากตาย ขอเพียงใช้ชีวิตด้วยความสุข อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะคะ

( เขียนในวันที่สถิติการหย่าร้างในโลกสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ )




 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 9:47:41 น.   
Counter : 224 Pageviews.  

how to ถ่ายรูปหนูน้อย

โฟโต้หรรษา
เรื่อง : แม่ตาแป๋ว
ภาพ : ริน
///////////////////////////////
1.. 2.. 3.. แอคชั่น ชีสสสส เจ้าลิงน้อยหันมายิ้มปากกว้างประมาณจูเลีย โรเบิร์ตมาเอง ตอนนี้ลูกสาวตาแป๋วเริ่มรู้ประสาแล้วล่ะ ก็เป็นวัยกำลังเลียนแบบ สอนอะไรเธอทำได้ ละม้ายเจ้าชิมแปนซีแถวเขาดินเข้าไปทุกที ตาแป๋วก็เลยสนุกสนาน สอนให้ทำหน้าหมู หน้าอูฐมู่ทู่ หน้าลิงจ๋อ อู๊ย ได้ทุกอย่าง ที่ไม่ได้สอนยังจำไปทำให้แม่ดู เช่น ท่าแคะจมูก แคะหูนี่ เธอชอบมาก เล่นเอาแม่ขำกลิ้งไปหลายรอบ
ด้วยความทะเล้นของลูกสาว ช่วงนี้ตาแป๋วก็เลยกลับมาเห่อถ่ายรูปลูกอีกครั้งล่ะค่ะ หลังจากยกหน้าที่ให้ตากล้องประจำบ้านมานาน อันที่จริงตอนลูกเกิดใหม่ๆ ตาแป๋วก็เห่อไปแล้วรอบนึง แต่ท่าทางจะไม่มีเซนต์ทางด้านนี้ ถ่ายร้อยรูปดูได้สองรูป หมดกำลังใจไปเลย
เชื่อว่าคุณๆที่มีลูกคงไม่ต่างกับตาแป๋วหรอกค่ะ ใครๆ ก็อยากบันทึกภาพถ่ายของเจ้าตัวน้อยไว้ โตมาจะได้หยิบมานั่งดู ชื่นใจ ชื่นใจ สมัยตาแป๋วเด็กๆ ต้องหวีผมประแป้งนั่งเก้าอี้หวายถ่ายรูป ถือเป็นไฟล์บังคับต้องถ่ายกันทุกคน เวลาเอามาดูทีไรรู้สึกตัวเองหน้าตาตลกจัง มาดูรูปถ่ายเด็กน้อยสมัยนี้ ส่วนใหญ่เริงร่าอยู่ท่ามกลางลูกโป่งสารพัดสี หรือไม่ก็เป็นนางฟ้าอยู่บนเมฆขาว บางทีก็แปลงร่างเป็นเสือเป็นกระต่าย ด้วยฝีมือช่างภาพสตูดิโอชื่อดัง
จริงๆแล้วการถ่ายรูปลูกนี่ไม่ได้เป็นเรื่องยากหรอกค่ะ ยิ่งเทคโนโลยีสมัยนี้ พ่อแม่อวดฝีมือกันเองได้สบายบรื๋อ ตาแป๋วว่าครอบครัวเทรนดี้ต่างมีกล้องดิจิตอลกันทุกครัวเรือน จะกล้องเล็กกล้องใหญ่ไม่เกี่ยง ตาแป๋วมีเทคนิคคูลๆ จากคุณแม่ตากล้องคนสวย ที่ใครเห็นภาพถ่ายเด็กน้อยฝีมือเธอแล้วต้องอู้ อ้า อื้อ ฮือสวยจัง

ก่อนอื่นต้องท่องคาถาใจเย็น ใจเย็นๆ ถ่ายรูปเด็กต้องใจเย็นๆ ค่ะ เพราะเด็กเค้านิ่งไม่เป็น ( ยกเว้นเป็นเบบี๋เพิ่งเกิดได้สองวัน ) ถ่ายรูปน้องน้อยอ่อนเดือนนี่ไม่ยากเท่าไหร่ ถ่ายแบบให้น้องนอนหรือพ่อแม่อุ้มก็ได้ ถ้าเด็กน้อยโตมานิด จะยากขึ้นมาหน่อย ก็ปล่อยให้เค้าเล่นให้เพลินๆ แล้วเราจับจังหวะถ่ายเค้า รูปจะออกมาน่ารัก เป็นแบบที่เค้าเรียกว่าแคนดิด หรือรูปทีเผลอ เด็กจะดูเป็นธรรมชาติ ยิ่งวัยเตาะแตะยิ่งสนุกค่ะ ลูกเดินไป พ่อแม่ดักหน้าดักหลัง อ้าว หกล้มซะแล้วลูกเรา และถ้าอยากถ่ายแบบมองกล้องหน่อยลูกจ๋า แนะนำให้แม่หรือพ่อมาชูวับ ๆ แถวๆ กล้องค่ะ ทำให้เค้าสนใจหันมา แล้วก็แชะ ยิ่งถ้าล่อหลอกเก่งๆ ชั้นเซียนต้องระดับเดียวกับเลนส์ค่ะ เพราะรูปออกมาจะได้ eye contect พอดี

ถ้าจะให้รูปออกมาสวยเช้งวับ แนะนำถ่ายเอาท์ดอร์สถานเดียว ( แหม ตาแป๋วกระแดะจัง ) คือถ่ายรูปนอกบ้านน่ะค่ะ ตรงระเบียงชั้นสอง หรือสนามหญ้าหน้าบ้าน ให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้าสู่รูรับแสงกล้องเรา เท่านี้ลูกน้อยก็จะส่องประกายแว้บวับ หล่อสวยไปตามๆ กัน แต่แค่แสงรำไรนะคะ ใช่ว่าเที่ยงร้อนเปรี้ยงเอาลูกไปเล่นสนามหญ้าถ่ายรูปสวย อย่างนี้ไม่แนะนำค่ะ ลูกจะไม่สบายตัวร้อนเป็นไข้แดดทันใจเลยล่ะ

ถ้าบ้านคุณไม่มีสนามหญ้า ตาแป๋วขอเสนอสนามหญ้าแบบพกพา อ้าวไม่ใช่ ลืมตัวไปหน่อยค่ะคุณขา สวนสาธารณะใกล้บ้านก็เป็นทางเลือกที่ดี ยิ่งเวลามีจัดกิจกรรมต่างๆสำหรับเด็กยิ่งดี เพราะจะมีพรอบหรือองค์ประกอบเยอะ แบบที่บ้านเราไม่มี อาทิเช่น สวนดอกไม้ ลูกโป่งสวรรค์ ของเล่นเด็ก แม้แต่เด็กคนอื่นๆ มาประกอบรูปถ่ายลูกเรา ในบางกอกมีสวนยอดนิยมอยู่หกแห่ง วันว่างของครอบครัวลองชวนสามีกับลูกน้อยไปปิคนิค ทำอาหารใส่ตะกร้าหวายปูเสื่อนั่งทานใต้ร่มไม้ แต่งตัวสวยหล่อ ถ่ายรูปกิ๊วก๊าว ถ้าคุณอยากได้บรรยากาศแบบครอบครัวใหญ่ลองขับรถไปรับปู่ย่าตายาย อากงอาม่ามาปิคนิคด้วยกัน จังหวะเหมาะฝากท่านดูแลหลาน เรากับสามีแวบไปถีบเรือลอยวนสวีทหวานแหว เติมน้ำผึ้งให้ชีวิตคู่แถมไม่ต้องทิ้งลูกไว้ให้ไกลตัว หรรษาสุดๆค่ะ

ถ้าลูกน้อยของคุณเป็นวัยซนเหมือนตาแป๋วล่ะก็ สวนสาธารณะเป็นโลกใบใหม่ที่เค้าจะเรียนรู้ ( ด้วยการซนคึกคักสุดๆ ) เค้าจะแฮปปี้ดี๊ด๊ามาก และคุณก็จะได้ภาพถ่ายที่เป็นธรรมชาติของเด็กจริงๆ ไม่ใช่จับลูกโป่งยิ้มหวานในสตูดิโอ และถ้ามีโอกาส อย่าลืมขอช่วยคนใกล้ตัวถ่ายรูปครบครัวคุณไว้ด้วยนะคะ หรือถ่ายรูปคู่ไว้บ้าง เป็นโอกาสพิเศษที่ได้มาพักผ่อนกัน

การถ่ายรูปใช่จะจำกัดแค่เวลาไปเที่ยวเพียงอย่างเดียวนะคะ กิจวัตรประจำวันของเด็กน้อย เช่นอาบน้ำต๋อมแต๋ม ทานข้าวเลอะเทอะ เล่นของเล่นชิ้นโปรด แม้แต่ตอนร้องไห้โยเยหิวนม หรือพัฒนาการใหม่ๆ หัดคว่ำ หัดคลาน เกาะยืน เกาะเดินของเค้าก็น่าบันทึกภาพไว้เช่นกัน แม้แต่ตอนคลอดใหม่ๆ ตัวย่นๆ ก็ควรถ่ายรูปเอาไว้ ถ่ายคู่กับแม่จ๋าพ่อจ๋ายิ่งดี ( ถึงแม้หลังคลอดแม่จะอ้วนฉุก็ตาม ) เพราะเวลาที่ผ่านไปนั้น เราเรียกคืนมาไม่ได้ เด็กโตขึ้นทุกวันนะคะ ไม่นานลูกก็พ้นอ้อมอกเราไปซะแล้ว เก็บเกี่ยวความสุขสันต์ของครอบครัวในยามที่ลูกเรายังเล็ก ไว้ชื่นใจยามเราแก่ตัว ว่างๆ นั่งดูรูปลูกเราตอนเด็กๆ แสนสุขอย่าบอกใคร ไม่เชื่อลองถามพ่อแม่ของคุณดูซีคะ






 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 9:46:43 น.   
Counter : 383 Pageviews.  

พังผืดยึดใต้ลิ้น

พังพืดยึดใต้ลิ้น ! ?
เรื่อง : แม่ตาแป๋ว
//////////////////////////////////////////
ทุกๆ เดือน เจ้าลิงน้อยของตาแป๋วต้องไปโรงพยาบาล ไม่ได้ป่วยหรอกค่ะ แค่ไปชั่งน้ำหนักที่คลินิกนมแม่ เพื่อเก็บเป็นสถิติว่าเด็กที่กินนมแม่มีผลการเจริญเติบโตอย่างไร พัฒนาการเป็นไปตามวัยหรือเปล่าและเพื่อให้แม่ตาแป๋วได้ทบทวนกำลังใจในการให้นมลูกจากพี่ๆ พยาบาล จนวันนี้ ก้าวสู่ขวบปีที่สอง เราแม่ลูกก็ยังคงแวะเวียนไปเสมอๆ
จำได้ถึงวันที่ตาแป๋วกับลูกเพิ่งออกจากโรงพยาบาล คืนนั้นทั้งคืนลูกดูดนมไม่ได้ เพราะตาแป๋วหัวนมแตก นึกภาพหัวนมแตกเป็นแผล เลือดไหลมาพร้อมน้ำนมดูค่ะ บรรยายไม่ได้เลยล่ะว่าเจ็บขนาดไหน ด้วยความตั้งมั่นที่จะให้นมลูกเอง เช้าวันต่อมา ตาแป๋วกับเจ้าลิงวัยละอ่อน ก็มาเข้าคอร์สฝึกกินนมแม่ที่โรงพยาบาลศิริราช หลังจากสอบถามอาการทั้งหลาย ถึงได้รู้ว่าท่าให้นมของตาแป๋วนั้นยังไม่ถูกวิธี ทำให้ลูกงับนมได้ไม่ลึก ทำให้เกิดอาการหัวนมแตก เมื่อได้ฝึกท่าทางจนชำนาญกันทั้งแม่ลูก สองเราก็ยิ้มกลับบ้านไป นั่นถือว่าโชคดีนะคะ เพราะเบบี๋หลายคนที่มาที่นี่ ด้วยอาการคล้ายๆกันคือ แม่หัวนมแตก น้องน้อยเหล่านั้นอาจต้องเจ็บตัวก่อนจึงจะกินนมแม่ได้ เพราะว่าเป็น “ พังผืดยึดใต้ลิ้น ”
อาการพังผืดยึดใต้ลิ้น หรือศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า Tongue Tie เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยค่ะ ไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่จะมีผลต่อการดูดนมแม่ และการได้รับสารอาหารในวัยทารก เพราะเด็กที่จะดูดนมแม่ได้ดีนั้น ลิ้นจะต้องโอบไล้มารีดนมจากลานนม เมื่อเด็กมีพังผืดยึดใต้ลิ้น เค้าจะดูดนมได้ไม่ลึก เหงือกและลิ้นก็จะกด ถูทำให้หัวนมแม่เจ็บแตก ลูกดูดนมไม่ได้อิ่มเต็มที่ เพราะเหนื่อยก่อนอิ่ม และจะร้องกวนเกือบทุกชั่วโมง แม่เองก็จะมีน้ำนมน้อยลง ด้วยความเจ็บ เครียด และไม่ได้พักผ่อน ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การเจริญเติบโตของเด็กทารกเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยถ้าวัดจากน้ำหนักจะเห็นได้ชัดว่าเด็กมีน้ำหนักเพิ่มน้อยกว่าปกติ ต่อไปอาจมีผลต่อพัฒนาการ และหากไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อโตขึ้น เด็กก็จะกลายเป็นเด็กที่พูดไม่ชัด พูดควบกล้ำไม่ได้ ( ตาแป๋วว่าวัยรุ่นสมัยนี้คงเป็นกันเยอะแน่ๆ )
ลักษณะของอาการพังผืดยึดใต้ลิ้นสังเกตได้จากใต้ลิ้นค่ะ ดูเวลาเค้าร้องไห้ว่ามีเส้นบางๆยึดโคนลิ้นมาถึงปลายลิ้นหรือเปล่า เด็กน้อยบางคนเห็นได้ชัดเลย มองๆ แล้วลิ้นเกือบจะแยกเป็นสองแฉก เพราะตัวพังผืดยึดลิ้นเอาไว้ เค้าจะไม่สามารถแลบลิ้น หรือกระดกลิ้นได้อย่างอิสระ คุณแม่สมัยนี้ช่างสังเกตค่ะ ลองสังเกตอาการลูกน้อยว่า ลูกดูดนมไม่ติดหรือเปล่า เค้าร้องไห้หงุดหงิดเพราะหิวนมตลอดเวลาหรือไม่ แม่เจ็บหัวนมและหัวนมแตกอยู่บ่อยๆ ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณให้นมในท่าทางที่ถูกต้องคือ ท้องแม่แนบท้องลูก และลูกอมลึกถึงลานนมแล้ว ให้สงสัยไว้ก่อนว่าลูกอาจมีพังผืดยึดใต้ลิ้น แล้วก็ไปพบแพทย์หรือพยาบาลเพื่อตรวจดูค่ะ ถ้าน้องเป็นจริง คุณหมอก็มีวิธีรักษาง่ายๆและรวดเร็วโดยการป้ายยาชาแล้วขลิบเส้นพังผืดออก หลังจากนั้นน้องก็จะดูดนมแม่ได้ทันทีในกรณีที่เป็นเด็กแรกเกิดหรือยังเล็กอยู่ ถ้าน้องโตมีฟันขึ้นแล้ว อาจต้องให้ยาสลบป้องกันการกัดมือหมอค่ะ และอาจต้องรอสักพักน้องถึงจะดูดนมแม่ได้ เห็นได้ชัดว่าอาการพังผืดยึดใต้ลิ้นนี้ ถ้าแม่สังเกตได้เร็วก็รักษาได้เร็ว ผลข้างเคียงก็จะน้อย ที่สำคัญ เด็กยิ่งเล็กยิ่งลืมง่ายค่ะ ยังไม่ค่อยรู้มาก เจ็บนิดเดียวเดี๋ยวก็ลืม ถ้าน้องโตพอรู้ความแล้ว เค้าอาจมีอาการกลัวทำให้การรักษายากขึ้นค่ะ
ทุกครั้งที่ตาแป๋วพาเจ้าลิงไปชั่งน้ำหนักที่โรงพยาบาล หลายครั้งที่เจอคุณแม่ร้องไห้มาปรึกษาพี่พยาบาลด้วยปัญหาหัวนมแตก และน้องน้อยเป็นพังผืดยึดใต้ลิ้น เมื่อรักษากันเสร็จแล้ว น้องดูดนมแม่ได้ดี ก็ต่างมีความสุขกลับบ้านกันไป เห็นอย่างนี้แล้วตาแป๋วก็ชื่นชมในความอดทนและช่างสังเกตของคนเป็นแม่ ที่ทำให้น้องคนนั้นๆ ได้รับนมแม่ ซึ่งเป็นนมที่มีค่ากว่านมใดๆเพราะมาจากอกแม่ที่รักเค้าที่สุด และยังช่วยแก้ไขการพูดไม่ชัดของเด็กไทยในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังนึกขอบคุณพี่พยาบาลหลายๆท่าน ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้เด็กหลายๆคนมีโอกาสได้กินนมแม่ และเติบโตมาอย่างร่าเริงสดใส เป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต อย่างที่เค้าว่า เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้าค่ะ

โรงพยาบาลที่ให้การรักษาอาการพังผืดยึดใต้ลิ้น
คลินิกนมแม่ โรงพยาบาลศิริราช โทร 0-2419-8888 ต่อ 5994, 5995
แผนกเด็ก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ( BNH ) โทร 0-2686-2700
แผนกเด็ก โรงพยาบาลสมิติเวช โทร 0-2711-8000




 

Create Date : 27 มกราคม 2552   
Last Update : 27 มกราคม 2552 13:07:13 น.   
Counter : 1204 Pageviews.  

ร้องไห้สามเดือน

รู้จักไหม ร้องไห้สามเดือน
เรื่อง : แม่ตาแป๋ว
//////////////////////////////////////////
“ แง๊วววววว แง้ ” เสียงแผดร้องของเบบี้ดังลั่นซอย ไม่ใช่เสียงของยัยตัวเล็กที่นัวเนียอยู่ข้างตัวหรอกค่ะ ( ตอนนี้หนูกำลังช่วยแม่ทำงานนะเนี่ย !! ) ตอนนี้แถวบ้านตาแป๋วมีสมาชิกใหม่มาสามสัปดาห์แล้ว เจ้าหนูคนนี้พอได้เวลาสองทุ่มเป็นอันต้องตะเบ็งเสียงร้องไห้แบบแอคโคเซอร์ราวนด์แปดทิศ เสียงเจ้าหนูสลับกับแม่เจ้าหนูตะโกนวีนลูกจะดังเรื่อยไปจนถึงห้าทุ่ม จากนั้นซอยเล็กๆนี่ถึงจะกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง เป็นแบบนี้ทุกวันมาเกือบอาทิตย์นึงแล้วค่ะ
ถ้าบ้านของคุณๆ ไม่เคยมีเด็กอ่อน คุณจะรับรู้ถึงความรำคาญจนแทบจะไปเคาะประตูบ้านถามแม่ของเด็กว่า เลี้ยงลูกประสาอะไรปล่อยให้ลูกร้องอยู่ได้ แต่ถ้าคุณเป็นพ่อหรือแม่ ตาแป๋วเชื่อว่าคุณต้องเคยเจอบททดสอบความอดทนที่เรียกว่า “ โคลิก ”
ตอนเจ้าตัวน้อยของตาแป๋วเป็นเบเบี๋อยู่ในพุง ตาแป๋วก็ขนหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมาอ่านเป็นตั้งๆ เคยเจอคำๆนี้มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะคิดว่าลูกเราคงไม่เป็นหรอกมั้ง จนเมื่อเธอลืมตามาดูโลกได้เดือนกว่าๆ วันที่หนึ่ง เธอร้องไห้จ้าตั้งแต่สี่โมงเย็นจนสองทุ่ม ตาแป๋วกับพ่อยายหนูต่างลนลาน พยายามหาสาเหตุนานาที่ลูกร้อง ผ้าอ้อมก็ไม่เปียกนี่นา เพิ่งกินนมไปนี่ หรือออาจหิวอีก เอ้า กินนม อ้าว.. ไม่กิน มดกัดตรงไหน ยุงกัดหรือเปล่า พอวางเธอลงเตียงสังเกตว่าขาเธองอขึ้นมา เปิดตำราเขาว่าอย่างนี้คงปวดท้องมั้ง มหาหิงสุ์อยู่ไหน ทาพุงน้อย ๆ ซะ ไม่หยุดร้องอีกวุ๊ย เปิดตำราอีก เขาว่าลูกร้องให้รีบตอบสนอง ถ้าทำทุกอย่างแล้วไม่ดีขึ้นให้สงสัยว่าหิวอกอุ่นๆ แม่ก็อุ้มโยกเยกเอย เธอก็ไม่หยุดร้อง แถมร้องดังขึ้นเรื่อยๆ หน้าแดงไปหมด เวลาผ่านไปนับชั่วโมง เธอสงบลง และหลับไป วันที่สอง บ่ายสามครึ่งเธอยังเล่นกับแม่ พอประมาณสี่โมง ร้องจ๊ากๆ อีกแล้ว พ่อกับแม่ก็ยังลนลานหาสาเหตุ และมาจบลงด้วยการอุ้มเป็นชั่วโมง วันที่สามก็ไม่ต่างจากวันแรก จนวันที่สี่ ตาแป๋วเริ่มหมดความอดทน พอลูกร้องได้สักสิบห้านาที ตาแป๋วก็เริ่มตะโกนใส่ลูก เริ่มรู้สึกโกรธทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ โกรธลูกที่ร้องไห้ไม่หยุด โกรธสามีที่ช่วยอะไรไม่ได้ โกรธตัวเองที่รู้สึกโกรธลูกทั้งๆ ที่ก็ช่วยลูกไม่ได้ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ความโกรธกลายมาเป็นความเสียใจที่ตะโกนใส่ลูก อายที่ตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ลูกก็ยังร้องไห้ไม่หยุด เราก็ได้แต้อุ้มไปร้องไห้ตามลูกไป สามีเองก็นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เพราะไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไร เช้าวันรุ่งขึ้น ตาแป๋วตัดสินใจพาลูกไปหาหมอ พอเล่าอาการของลูกให้หมอฟัง หมอบอกว่า คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะครับ น้องเป็น “ โคลิก ”
แล้วโคลิกนี่คืออะไรล่ะหมอ จำได้ว่าถามหมอไปอย่างงงๆ และได้รับคำตอบมาแบบงงๆ หมอพูดถึง อาการปวดเกร็งในช่องท้อง ระบบประสาทยังไม่สมบูรณ์ ฯลฯ ซึ่งฟังแล้วงง ๆ ตกลงลูกเราเป็นอะไร ต้องรักษายังไงคะ หมอบอกไม่ต้องรักษา น้องไม่ได้ป่วย โคลิกไม่เป็นอันตรายกับเด็กครับ กลับบ้านได้เลย สามคนพ่อแม่ลูกกลับมาแบบยังงงๆ และเผชิญเสียงร้องไห้อีกครั้งในเย็นวันเดียวกัน และอีกครั้งในวันต่อๆ มา จนชาวบ้านแถบนั้นมากดออดถามว่าลูกเป็นอะไร ทำไมร้องทุกวัน ตาแป๋วก็บอกไปว่าเป็นโคลิกค่ะ ป้าแกยังไม่เก็ต แถมว่าเราอีกว่าเลี้ยงลูกไม่เป็นล่ะสิ หรือเด็กไม่ปกติ แม่สามีได้ยินคนมาว่าหลานก็เลยบอกว่า เด็กร้องไห้สามเดือนนะยะหล่อน ไม่ใช่ผิดปกติ ทนๆ ฟังเอาหน่อย เดี๋ยวก็หาย ตาแป๋วงงอีกแล้วค่ะ หมอบอกเป็นโคลิก ย่ายายหนูบอกร้องไห้สามเดือน ยังไงกันแน่ แม่สามีก็เลยบอก ร้องทุกวันเวลาเดียวกันอย่างนี้โบราณเค้าเรียก “ร้องไห้สามเดือน” พออายุ ครบสามเดือนก็หายเอง ตอนนั้นฟังแล้วได้แต่คิด โอ้ ก๊อด เราต้องทนกับเสียงลูกไปอีกสามเดือน
หลังจากนั้นทุกวันพอได้เวลา ตาแป๋วก็จะเตรียมใจว่า ลูกจะร้องแล้วนะ ก็จะอุ้มลูกเดินบ้าง เปิดเพลงเต้นโยกเยกบ้าง ทำใจให้สบายๆ ถือว่าลูกจะช่วยเราให้มีความอดทนนะ อุ้มลูกเปิดเพลงเต้น เราก็ได้ลดความอ้วนไปในตัวด้วยนะ วันไหนเมื่อยจนอุ้มไม่ไหวก็สลับให้พ่อของลูกอุ้มบ้าง โชคดีที่เจ้าตัวน้อยของตาแป๋วเป็นไม่นาน ประมาณหกสัปดาห์ก็หายแล้วค่ะ น่าแปลกที่ร้องไห้อย่างนี้นะ กลับกินนมเก่งโตวันโตคืน ตัวกลมน่ารักเชียว
จริงๆ แล้ว ร้องไห้โคลิกไม่น่ากลัวหรอกค่ะ เพราะไม่ได้มีอันตรายกับเด็กเลยแม้แต่น้อย โคลิกไม่ใช่การเจ็บป่วย เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในเด็กอ่อนอายุไม่เกินสี่เดือน การที่ลูกร้องไห้จ้านั้น เป็นเพราะร่างกายยังปรับตัวกับโลกภายนอกได้ไม่ดี ทั้งระบบภายในต่างๆ ก็ยังทำงานไม่เต็มที่นัก ทำให้เด็กมีอาการปวดท้องแบบเจ็บแปล๊บ ซึ่งสังเกตได้ว่าเวลาร้องไห้โคลิก ขาจะงอเกร็งขึ้นมาชิดพุง มือเกร็งนิดหน่อย หน้าแดง ร้องเสียงแหลมๆ คล้ายเสียงกรี๊ด แล้วจะร้องตรงเวลาทุกวัน ถ้าพาลูกไปหาหมอ บางครั้งหมอก็จะให้ยาคลายการหดเกร็งของลำไส้ ซึ่งช่วยได้นิดหน่อย สิ่งที่ช่วยให้เจ้าหนูหายจากโคลิกนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการปลอบประโลมจากพ่อแม่ที่รักเค้า กอดลูก อุ้มลูก พูดคุยปลอบโยนลูก อดทนฟังเสียงร้องไปก่อน ไม่นานเค้าก็หายค่ะ ที่สำคัญ ตัวคุณเองควรทำใจให้สบาย ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องกังวล บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หาย ไม่นานหรอกค่ะ ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ
ตาแป๋วเชื่อว่า การที่ลูกเป็นโคลิก เป็นบททดสอบความอดทนที่ดีเยี่ยมในการควบคุมอารมณ์สำหรับคนเป็นแม่ และคงเป็นเพียงบทแรกในชีวิต ยังมีเรื่องราวอีกมากที่คุณต้องพบเจอ ในเมื่อคุณเลือกที่จะมีลูก คุณต้องอดทนเพื่อลูก เพราะผลของความอดทนนั้น คือลูกที่น่ารัก มีสุขภาพกายและใจดี ซึ่งตาแป๋วเชื่อว่า เป็นยอดปรารถนาของพ่อและแม่ จริงมั๊ยคะ




 

Create Date : 27 มกราคม 2552   
Last Update : 27 มกราคม 2552 13:05:36 น.   
Counter : 323 Pageviews.  

1  2  

mynene
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุณแม่ลูกสองงงงงงงง
[Add mynene's blog to your web]