All Blog
Diary the end


+++ Good Bye …. Alzheimer +++

กระทู้นี้ เป็นภาคต่อ ตอนจบของกระทู้ที่เคยตั้ง เมื่อปี 51 นานมากจริงๆๆ ค่ะ

https://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2008/06/L6702150/L6702150.html

คิดอยู่ว่า อยากจะเขียนให้จบเผื่อยังมีผู้ที่อยากทราบ วิธีการดูแลผู้ป่วย อัลไซเมอร์ (ขอย่อว่า Alz นะคะ)ที่มาจาก ประสบการณ์โดยตรง ของเราเองค่ะ ถูกบ้าง ผิดบ้าง ลองไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาว่า เหมาะสมกับคุณแม่ ณ ตอนนั้นหรือยัง

ความเดิมจาก ตอนแรกที่เขียนกระทู้นี้คือคุณแม่เราป่วยด้วยโรค Alz ตั้งแต่ยังอายุไม่มาก ประมาณ 40ปลายๆ 50 ต้นๆ ซึ่งเร็วมากๆๆโชคดีที่เรามีญาติเป็นคุณหมอ ทำให้ สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ (เมื่อตอนปี 40) ได้พอควรสำหรับเราซึ่งไม่ได้เรียนมาทางด้านการแพทย์ และ โรคนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก

ถ้านับจากที่ทราบว่า แม่เป็น Alz จากคุณหมอเฉพาะทาง แจ้งให้ทราบ จนถึงตอนนี้ ก็ราวๆ 20 ปีทีเดียวคะ มีทั้ง ความงง ความเศร้า ความบ้า และก็เจือด้วยความสุข คล้ายๆ BitterSweet มีความสุขที่ได้เห็นคุณแม่เราได้พูดคุย แม้จะเป็นฝ่ายเดียว ได้กอด ได้หอม สาระพัด แต่ก็ต้องดูความถดถอยของสังขารคุณแม่ อันที่เราเจ็บปวด และ ทรมานคือ แม่จำเราไม่ได้ต่อมา ไม่สามารถสื่อสารได้ เดินไม่ได้ กลืนไม่ได้ อันที่สาหัสที่สุดคือจำเราไม่ได้

กระทู้นี้ จะเริ่มตอนแม่ป่วยหนักครั้งแรกคะ น่าจะประมาณ 6ปีก่อน น่าจะประมาณปี 2554-2555

เดิมผู้ป่วย Alz จะมีภูมิต่ำอยู่แล้ว เราต้องระมัดระวังไม่ให้คนไม่สบายเข้าใกล้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ก่อนป่วยครั้งนี้ update อาการของแม่ก่อนจะได้เห็นภาพ ก่อน และ หลังป่วย

1. กลืนอาหารเองได้แต่ต้องเป็นอาหารปั่นหยาบ และ มีคนป้อน

2. กลืนน้ำลายได้ แต่อาจจะมีสำลักบ้างบางครั้ง

3. เดินพอได้แต่ต้องมี คนจูง และ พยุงตลอดเวลา

4. ไม่สามารถสื่อสารเป็นคำพูด หรือ ประโยคได้

5. จูงไปห้องน้ำเพื่อสระผม อาบน้ำให้

6. เริ่มใช้เครื่องดูดเสมหะบ้าง แบบนานๆ ครั้ง

7. น้ำหนักกำลังพอดีไม่อ้วน หรือ ผอม

8. สุขภาพโดยรวมก่อนป่วยก็ว่า น่าพอใจ สำหรับผู้ดูแล

เริ่มจากลูกคนโต ได้ไปแข่ง ฟุตบอลเยาวชน ที่ สิงคโปร์ กับเพื่อนๆ มีเรา ลูก2 คนไปรวม 3 คน ขากลับ คนที่นั่งใกล้ๆ บนเครื่องบินมีไอ บ้างตอนกลับมาถึงเมืองไทย สัก 2 วัน ลูกคนเล็กเริ่มป่วยเป็นไข้ เราก็สั่งไม่ให้ลูกคนเล็กไปหาคุณยาย คือแม่เรา แต่เราก็ยังไปดูยาย และ ลูกคนโตก็ลงไปนั่งอยู่กับยาย เพราะช่วงนี้ ตอนเช้าถึงเย็น ยายมาอยู่บ้านเรา ตอนกลางคืนกลับบ้านตัวเอง บ้านอยู่ติดกัน มี ประตูทะลุ 2 บ้าน

หลังจากนั้นไม่นานเรากับลูกคนโตก็เป็นไข้สูง และได้ไปตรวจที่ รพ. ทาง รพ. ตรวจแล้ว ขอตรวจว่าเป็นไข้หวัดชนิดไหน ซึ่งผลออกมา เป็นไข้หวัดชนิดB ซึ่งลูกคนแรกตอนไป รพ. คุณหมอไม่ได้ขอตรวจทำให้ไม่ทราบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เราคิดว่าลูกคนเล็ก คงเหนื่อยจากการเดินทาง กับโดนแดดจัด นานๆ ตอนอยู่สิงคโปร์ ต้องบอกว่าเราประมาทเองเรื่องนี้ทำให้แม่ติดเชื้อจากเราไป ซึ่งไข้หวัดตัวนี้รุนแรงมากในผู้สูงอายุ

พอเราป่วยได้ไม่นานแม่เราเริ่ม มีไข้ พี่เลี้ยงให้กินยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ลง จะพาไป รพ. ที่แม่รักษาเรื่อง Alz แต่ปัญหาคือ คุณหมอเฉพาะทาง จะมา ทุกวัน เสาร์เว้น เสาร์ เราไม่ชอบเลยเมื่อพาแม่ไป หาคุณหมอท่านอื่นเวลาคุณหมอเฉพาะทางไม่อยู่เหมือนคุณหมอไม่เข้าใจ หรือไม่ใส่ใจ ที่เราอธิบายว่าแม่เป็นอย่างไร เช่น คุณยายอ้าปากนะคะ จะตรวจลำคอ หรือ อื่นๆๆจนเราบอกว่าแม่เราไม่เข้าใจที่หมอบอกค่ะ

วันนั้นเช่นกันไปเจอหมอท่านอื่น หมอให้ แอดมิท เพราะเราบอก คุณหมอว่า เราป่วยเป้น ไข้หวัดสายพันธ์B ยายรักษาตัวในโรงพยาบาล ได้ 3-4 วันอาการก็ดูเหมือนดีขึ้นกว่าวันแรก ที่ เข้า รพ. จน วันไหนจำไม่ได้ พี่เลี้ยงที่ดูยาย บอกว่า ยายกระตุกเกร็งอาการดูแปลกมากๆๆ หอบด้วย ลองนึกถงเวลา อาการเหมือนคนตกใจสุดขีดตัวจะเกร็ง และ กระตุกบ้าง ตาจะเหลือกๆและดูหอบๆ เราไปถึงพี่เลี้ยงบอกแม่ดีขึ้นกว่าตอนเช้าบ้าง แต่ยังเป็นอยู่ เราเดินไปสอบถามกับ พยาบาลที่ ward พยาบาลบอกยังไม่ทราบสาเหตุต้องรอคุณหมอ ซึ่งคุณหมอยังไม่มา ในระหว่างนั้นไม่มีการทำอะไรเพิ่มเติมกับ ยาย ทั้ง ใส่ monitor หรือทำอะไรทั้งสิ้น เราเริ่มกังวลมากขึ้น จนปรึกษากับ สามีว่า เราไม่สบายใจ และไม่เชื่อมั่นใน รพ. (ตามความคิดเรานะคะ รพ. อาจ กำลัง plan เพื่อรักษาแม่ แต่เราไม่ทราบ เพราะไม่มีการสื่อสาร) เราอยากเปลี่ยน รพ. เป็น รพ. ที่ เรารู้จักคุณหมอ(มีลูกพี่ ที่เป็นหมอทำงานที่นั่น) และ เราเคยทำงานอยู่ที่นั่น เราโทรไปคุย กับพี่ที่เป็นหมอ พี่บอกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ย้ายมาได้เลย ใหไปแจ้งกับพยาบาล ว่าเราต้องการ ย้ายไปอีกโรงพยาบาล

เราเลยเดินไปแจ้งพยาบาลว่าเราขอย้าย แม่ เราติดต่อ รพ. นั้นแล้ว ขอใบ ส่งตัว กับ ขอเวลาที่จะส่งตัวแม่เราจะได้แจ้งพยาบาลให้มารับ เราต้องรอนานมากๆๆ เพราะต้องรอ คุณหมอเจ้าของไข้เขียนใบRefer ว่าทำการรักษาอย่างไรไปบ้าง เพื่อไปทำการรักษาต่อเนื่อง ระหว่างนั้นยายไม่ได้รับการดูแลเพิ่มเติม เพราะคุณหมอเจ้าของไข้บอกว่า xray ปอดแม่พบว่ามีรอบขาว เยอะมากๆๆ จะให้เข้าไปรักษาใน ICU แต่เราบอกว่า เราจะ ย้ายแม่ไป อีก รพ.ขอบคุณที่คุณหมอดูแลยาย ตอนอยู่ที่ รพ. นี้


ตอนบ่ายแก่แม่ถึงสามารถย้าย รพ. ได้ พอไปถึง ที่ รถพยาบาล พี่พยาบาลรีบให้ ออกซิเจนยายเพราะวัดออกซิเจน ได้ต่ำมาก พอยายได้รับออกซิเจน ยายก็มี ท่าทีที่สงบลง พอไปถึงรพ. ใหม่ ก็รีบเข็นยาย ไปที่ห้อง ICUทำการรักษา ประเมินอาการ ทันทีเพราะมีการประสานงานเอาไว้ก่อน (ต้องขอขอบพระคุณอย่างมาก) ระหว่างรอเราทราบข่าวร้ายที่ว่า ผล xrayปอดยาย ขาว เหมือนหายไปข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ดูไม่ดี พูดเหมือนให้เราทำใจ ว่าโอกาสนั้นต่ำว่า50% เป็นครั้งแรกที่เราร้องไห้หนักมาก หน้าห้อง ICUเพราะ เค้ายังไม่ให้ ญาติเข้าไปดูต้องให้พยาบาลดูแล และ คุณหมอเข้ามาดูให้เรียบร้อยก่อน


เมื่อได้เข้าไปในห้องICU ครั้งแรกในฐานะญาติของผู้ป่วย บรรยากาศในห้องมันช่างบั่นทอนจิตใจมากๆๆห้องที่เย็บจัด อุปกรณ์ แปลกๆๆมากมาย คนที่นอนอยู่ตามเตียง มีอุปกรณ์ระโยงรยางค์ไปมา มีเสียงอุปกรณ์ที่ดังตลอดเวลา คือ ความรู้สึกหลอนมากๆๆ แม่เรานอนอยู่บนเตียง มีการสอดท่อเพื่อช่วยหายใจ มีใส่สายอาหาร สายอะไรมากมายเพื่อ monitorอาการของยาย ยายยังคงไม่รู้สึกตัว การเยี่ยม ผู้ป่วยใน ICUมีรอบเวลา เมื่อถึงเวลาก็ออกไป แม่อยู่ใน ICU เกือบ 3 สป. ก็สามารถย้ายออกไป นอน IPD ได้ มีเรื่องขำๆคือ ระหว่างอยู่ ICU เวลาไปเยี่ยมเห็นแม่หลับเราจะแอบคุณหมอไปเรียกแม่ ข้างๆหู ให้แม่ลืมตา เราคิดว่าแม่คงจำเสียงคนที่อยู่ดูแล ยายที่บ้านได้ เพราเรา พี่ชายเรา หรือพี่เลี้ยง หรือ คนใกล้ชิดที่พูดคุยกับยายบ่อยๆๆ เรียก ยายจะหันมาบ้างหรือลืมตาดู วันนั้นคุณป้าเราที่เป็นหมอมาเยี่ยมยายด้วยเจอเรากำลังเรียกยายพอดี 555 โดนดุคะ คุณป้าบอกว่า ให้แม่นอนเยอะๆๆ นานๆๆ จะดีต่อแม่นะ เรารีบถอยมาเลยคะ แต่แหม เวลาเรามาเยี่ยม เราก็อยากให้แม่ลืมตาทำเสียง เออ เออ ออ ออ ไปตามเรื่องให้เราบ้าง แต่ต้องแอบๆๆ 555

แม่ย้ายมาอยู่ IPDอีก 2-3 สป. ก็สามารถ ออกจาก รพ.ได้แต่ผล จากการที่ ยาย นอนรักษาตัวนานมากๆๆ เกิน 1 เดือน ทำให้ ยายไม่สามารถยืนได้การกลืนก็ลำบาก เหมือนยายไปต่อสู้กับ อาการป่วย อย่างสุดฤทธิ จนเหนื่อย หมดแรงพลังไปมาก


หลังจากออกจากรพ.

1. ต้องใส่สายให้อาหารทางจมูกเพื่อ feed น้ำและ อาหาร กัน ยายสำลัก ทำให้เกิดอาการติดเชื่อที่ปอด

2. ต้องนั่นรถเข็นและ เดินไม่ได้เลย ขา งอ เข็งมาก แขนก็แข็งเกร็งแต่น้อยกว่า ขา แม้จะทำกายภาพ

3. อาการ Dropลง โดยรวม ไม่เหมือนตอนก่อนป่วย

4. เปลี่ยนจากกางในอนามัย เป็น คล้ายๆ pamper แบบติดด้านข้าง แบบ เด็กทารก เพราะย้าย ลุงขึ้นยืนไม่ได้แล้ว


แม่ก็ยังมานั่งที่บ้านเรา ช่วง สาย ถึงเย็น ตอนเย็นก็กลับบ้านยาย แม่ก็ ไม่ได้เข้า รพ. บ่อย นานๆๆครั้ง ที่จะ แอดมิท แต่ที่ประทับใจ คือ คุณหมอสมองที่ รพ. นั้นบอกว่า คุณยายเป็น Alz นานมากๆๆ แล้วยาแรงๆ ที่รักษา alz ที่ไม่จำเป็นก็ลดลงหรือ ไม่ต้องกินก็ได้ เอาแค่ ให้ทานยาที่จำเป็น ซึ่งลดยาลงไปเยอะมากๆๆ ให้รักษาตามอาการแทน เรา Happy มากๆๆ เพราะ เราก็กลัว ตับ ไต ยาย จะทำงานหนักมากๆๆในเรื่อง ยา ที่ยายกินเข้าใจ เยอะมากๆๆ


อันนี้จำปีไม่ได้มีเหตุการณ์อีกครั้ง ที่ แม่เราต้อง admit เราจำได้ขึ้นใจ ช่วงนั้น ยายไม่อึมา 3 วันพี่เลี้ยงให้ยาสวนไปแล้ว แต่ไม่ออก ยายมีอาการปอดท้อง ตอนเอามือไปแตะ กดนิดๆๆ จะทำท่าปวดมากๆๆในใจคิกว่า สงสัยเพราะไม่อึ เดี๋ยวไป รพ. หมอคงสวนอึ เสร็จ ก็กลับบ้าน ปรกติ พอไปถึง หมอให้ยายไป Xray ผลปรากฏว่า เหมือนมี ลม อยู่ในท้องซึ่งไม่ควรเป็น ใน Case ปรกติ เราจจำคำพูดหมอได้ไม่หมดแต่น่าจะประมาณนี้ค่ะ แม่ถึงส่งตัวไปหาหมอศัลยกรรม หมอดูฟิลม์ แล้วบอกว่า แม่ต้องผ่าตัดทันที เร็วที่สุด เพราะ ลำไส้ คุณยายปิดเป็นเกลียวเป็นปม ต้องตัดทิ้ง และมีรอยรั่วบางจุด มีอึ เลอะออกมาบ้าง ต้องรีบผ่าตัด และ ทำความสะอาดในช่องท้อง

แม่ตัดลำไส้ช่วงนั้นไปประมาณ2-3 นิ้วและเย็บซ่อมลำไส้เรียบร้อย ใช้เวลาไม่นานประมาณ 2-3 ชม.แต่แม่ต้องดูอาการในห้อง ICU อยู่สป. กว่าๆ ก็ออกมา พอมาอยู่ IPD ยายก็ดูดีเกือบได้ออกจาก รพ. แล้ว ปรากฏว่า ยายมีอาการไม่ปรกติผิวหนังที่ขาและเท้าเริ่มด้านหนาขึ้น เริ่มแดงๆ ดำๆ เราสงสัยจะแพ้ยาหรือเปล่า แต่ ที่ รพ.บอกว่ายาที่ให้เป็นยาชุดเดิมที่ ยาย เคยได้อยู่แล้ว ให้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด วันรุ่งขึ้นอาการแย่ลง เริ่มเห็นเป็นพวกอาการแพ้ยา แบบ สตีเว่น จอนสัน ถามคุณหมอ คุณหมอบอกว่า แม่เป็นส่วนน้อยมากๆที่ อาการแพ้ยาไม่ได้เกินขึ้นทันทีที่ได้ยาไป แต่เป็นการสะสมจะถึงระดับซึ่งเราไม่สามารถคากเดาได้ ยาที่คาดว่าแม่จะแพ้เป็นกลุ่ม ยากันชัก ซึ่งแม่เคยได้ยาตัวนี้ไปแต่ไม่มีอาการอะไรตั้งแต่อยู่ใน ICU และก่อนหน้าที่บ้านก็เคยได้ยาตัวนี้มาก่อน

ในตอนนั้นคิดว่า ยายไม่น่าจะรอด เราสงสารยายมากๆๆ ยายไม่สามารถอธิบายความเจ็บปวดอะไรได้เราต้องมองดูแม่ไปเรื่อยๆ จนยาที่คุณหมอให้เพื่อการรักษานั้นสามารถทำงานได้เต็มที่ช่วงนี้เรามีเตรียมของไว้เผื่อยาย ทนไม่ไหว เช่น ของชำร่วย ภาพ และกรอบรูปหน้างาน ทำเสร็จเก็บไว้ที่บ้านไม่บอกใคร กลัวว่าจะเป็นการแช่งยาย ทำถวายสังฆทาน สวดมนต์ข้างหูให้แม่ฟังอันนี้ทำเป็นประจำ ยายมีอาการร่วมคืออาหารไม่สามารถย่อยได้ คุณหมอฟังเสียงลำไส้ ไม่ได้ยินเสียงลำไส้ขยับ พยายาล feed อากหารเข้าไป พอถึงเวลา ต้อง feed อีกรอบ อาหาร ก็ไม่ย่อย ต้องดูดออก ซึ่งเป้น sign ที่ไม่ดีมากๆๆ ทาง รพ. เลยให้ คุณหมอ อีกท่านมาช่วยดู คุณหมอมาฟังเสียงลำไล้ ซึ่งตอนนั้น อยู่ IPD มาพอควรแล้ว ข่าวดีคือ คุณหมอบอกว่า ได้ยินเสียงลำไส้ขยับเบาๆ นะครับ ข่าวดีมากๆๆ หลังจากนั้นอีก พอควรยายก็หาย สามารถ ออกจาก รพ. ได้ แต่ยายผอมมากๆๆ หมอให้ โภชนากร ทำเมนูอาการให้ 1.5:1 ให้เพื่อ บูท ร่างกายให้กลับมามีพลังงานปรกติ

จำไม่ได้มีครั้งหนึ่งแม่ admit ด้วยเรื่องปอดติดเชื้อตอนแรก เหมือนไม่เยอะ ต่อมา มันลามเร็วมากๆๆ ต้องย้ายไป ICU แม่หอบแบบน่ากลัวมาก เป็นครั้งแรกที่พยาบาลในห้องICU ถามเราว่าถ้าคุณแม่หยุดหายใจให้ทำการช่วยชีวิตไหม... จำได้ว่าได้ฟังครั้งแรกตกใจมากเพราะไม่เคยเตรียมใจกับคำตอบนี้มาก่อน เรา shock เงียบไป พยาบาลบอกว่าให้ปรึกษาครอบครัวก่อนแล้วให้รีบแจ้ง ครั้งนั้นเป็นครั้งที่เราตระหนักถึง ความตายของแม่อยู่ใกล้มากๆ เป็นคำถามที่ ครอบครัวต้องหารือ และ ตอนโทรไปหาคุณพ่อเราคุณพ่อบอกให้ pump หัวใจจนกว่าเราจะมา รพ. ทัน สมมุติว่าเราไม่ได้อยู่ รพ. ณ ตอนนั้น ให้มีการร่ำลา

แต่หลังจากแม่หายและ ออกจาก รพ. เรากลับบ้านมาและปรึกษากันอย่างมีสติ และ มีเหตุผล เราตกลงว่า เราจะไม่ให้ยายเข้าห้อง ICU อีก ให้คุณหมอกับ พยาบาล ช่วยให้เต็มที่ ให้ยายสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้   ไม่ปั้มหัวใจ   ไม่ใส่ยายเพิ่มความดันเวลาความดันตก

ทำอย่างไรก็ได้ให้ยายสบายที่สุดไม่ต้องเจ็บปวด เพราะถึงเราช่วยกู้ชืพขึ้นมาได้แต่ยายก็มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ได้ดีไปกว่านี้ กินเองไม่ได้ เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ทุกอย่างเสื่อมไปเร็วมากๆ


ประมาณปี 2558-2559แม่เริ่มเป็นแผลกดทับที่ก้น เพราะ นอนบนเตียง และ แม่ผอมมากๆๆ (ตอนนั้น นน ไม่เกิน40 กก... เคยสอบถามโภชนากร คนอื่นตาม fitness เค้าตกใจบอกว่า นี่มันถึงขั้นขาดสารอาหารรุนแรงแล้วนะ.... เราเครียดคะ) แต่แม่ทานได้มาก วันละ 5 มื้อ มื้อละ 400ใช้สูตร 1.5:1 ถ้าเป็นคนปรกติคงอ้วนตัวแตก แต่แม่กินได้ แต่คงดูซึมน้อยมากๆๆ ทำให้ไม่อ้วน พอไม่อ้วน ไขมันต่างๆ ที่จะรอรับน้ำหนักที่กดทับก็ไม่มี แค่นอนแปปเดียว ผิวก็เป็นสีแดง ทั้งที่พี่เลี้ยงพยายามพลิก 2-3 ชม. ครั้งตอนนั้นยังไม่ได้ ให้นอนที่นอนลม เพราะ แม่ไม่ชอบ เราเคยซื้อที่นอนลมมาก แม่นอนไม่หลับเพราะสมัยนั้น เสียงที่นอนลมดังมากๆๆ

พอรู้ว่าแม่เริ่มเป็นแผลกดทับตอนนั้นเป็น 2 แผล ที่ก้น ด้านซ้าย และ ขวา มีตรงง่ามก้นเป็นเปื่อยๆแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นแผล เราก็เริ่มหาอุปกรณ์ ช่วย


1.       1.  ที่ดูดเสมหะแบบ สามารถพกพาได้ ใช้ไฟรถในการ charge batt. ที่บ้านเรามีเครื่องดูดเสมหะอยู่แล้ว 1 ตัวเอาเก่า เพราะแม่เริ่มมีปัญหา ติดเชื้อที่ปอดบ่อยขึ้น จากเดิมที่เราไม่กล้าดูดตอนนี้ สบายมากๆๆ แต่ก็ยังไม่ โปรเหมือนพี่เลี้ยง แต่ดูดได้เฉพาะหน้า ช่วยยายเบื้องต้นสาย suction เราใช้ เบอร์12 ใช้แล้วทิ้ง




2    2.  สายใส่จมูกสำหรับ feed อาหาร...ยายเป็นคนผิวบาง แพ้ง่าย ช่วงแรกๆ ใส่ สายธรรมดาของ รพ. ปรากฏว่า ที่จมูกเป็นรอยแดงเพราะสายมันค่อนข้างแข็ง เปลี่ยน เดือนละครั้ง มีพี่พยาบาลแนะนำให้ใช้สาย ที่ทำจาก silicone แพงขึ้นมา แต่ใช้แล้วดีมากๆๆ สายนุ่มใส่ง่าย ไม่มีรอยแดงเกินขึ้นกับแม่ ใช้ siliconeng tube เบอร์ 16


3.       3. ซื้อถังออกซิเจน (ถังเขียว แบบ เต็มถัง เปิดได้ 1-2 ชม) carry ไปไหนกับเราด้วย ขึ้นรถให้ ออกซิเจนได้ ถังมีหลายไซด์ ตั้งแต่เล็กสุด ไปจนถึง ไซด์ รพ.ของเราซื้อ รองเล็กสุด) เติม ออกซิเจนเต็มถัง เค้าคิด 100 บาท แต่เราต้องยกไปที่ร้านเอง


4.      4.  ซื้อเครื่องทำออกซิเจน แบบ ไม่ต้องเติม ใช้เสียบ ปลั๊กไฟ อันนี้มีหลาบรุ่น หลายแบบ หลายราคา มีทั้ง ผลิตในจีน ผลิตในยุโรป เราซื้อเครื่องผลิตในจีน ราคาย่อมเยา สามารถซื้อมาลองได้ ประมาณ 15000-17000 จำไม่ได้แล้ว ใช้ดีมากๆๆ ไม่เคยเกเรเลย แต่ข้อเสียคือ มันเสียงดังเพราะในห้องนอนแม่มันเงียบสุดๆๆ ถ้าจะเอาเครื่องเงียบก็สามารถซื้อได้แต่ราคาสูงทีเดียวคะ ประมาณ 50000 บาท จิเป็นลม


5.       5. ซื้อที่วัดออซิเจนที่นิ้ว ดูว่า มีออกซิเจนในเลือดตอนนี้เท่าไร อันนี้เป็น the must เลยคะ ซื้อมา 2 อัน อันแรกเสีย ซื้ออันที่ 2 ซื้อก็หาดูใน internet เดี๋ยวนี้ มากมายให้เราเลือก


        6. เจลรองกันกดทับ อันนี้ตอนรู้ว่าแม่เป็นแผลกดทับมากขึ้นเลยสอบถามที่ร้านขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตอนรู้ราคาครั้งแรก ต๊กกกใจมาก 555 แผ่น 4 เหลี่ยม จัตุรัส รองนั่ง หรือ นอนสำหรับแผลกดทับ เราซื้อขนาดกลาง ราคา 20000 บาทต่อแผ่น กัดฟัน เอาคะ เผื่อมัน workที่ร้านบอกคุณสมบัติมาดังนี้

คุณสมบัติเฉพาะ

-เรียบ นุ่ม ยืดหยุ่นกระจายความร้อนและแรงกดทับได้เป็นอย่างดี

-ป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรีย ไม่ระคายเคืองไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

-Dry Gel มีความทนทานสูงไม่รั่วซึม ทำความสะอาดง่าย

ความแตกต่างระหว่าง Dry Gel กับที่นอนลม

1.ไม่ต้องพลิกตัวผู้ป่วยเพราะเจลช่วยกระจายแรงกดทับและกระจายความร้อนได้ดีเยี่ยม จึงไม่เกิดแผลกดทับ

2.แผ่นเจลไม่ขาด ไม่รั่วซึมแต่ที่นอนลมมีการรั่วและให้ลมไม่สม่ำเสมอ

3.ไม่มีเสียงดังและไม่ต้องใช้ไฟฟ้า

4.นอนสบายไม่ปวดหลังเพราะเจลมีความนุ่มและเย็นสบาย

5.แผ่นเจลมีโมเลกุลที่ใกล้เคียงผิวหนังคนจึงไม่เกิดการเสียดสี

6.อายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 10 ปี

7.ไม่อับชื้น ไม่ดูดซับกลิ่น

มีแบบราคา เจลขนาดปูเตียงได้ แต่ไม่กล้าซื้อ555 เพราะราคาน้านนนไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญกลัวมันไม่ work เลยเลือกขนาดกลางมาลองใช้ก่อน

แต่พอใช้จริงๆๆแผลกดทับก็ยังมีความชื้น เพราะ แผลแม่เราใหญ่และลึก เวลาทำความสะอาดต้องเอาผ้าก๊อซเปียก ยัดเข้าไปในรูแผล แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซ เราว่าอันนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยนอนติดเตียงที่ยังไม่เป็นแผลกดทับ น่าจะดีมากๆๆ เพราะมันน่ม กระขาย น้ำหนักได้ดี

7.       7. หลังจากนั้นคุณป้าหมอผู้อารีของเรา บอกเราว่าเคยอ่านเจอ ว่า ในเมืองที่นี่เหละมีคนคิด นวัตกรรมที่นอนน้ำ ซึ่งไม่ใช้เตียงน้ำนะคะ คุณป้าบอกว่าที่นอนน้ำจะช่วยเรื่องแผลกดทับได้ดีวาที่นอนลม เพราะ เย็น และน้ำมีความยืดหยุ่นมากๆๆ เราก็ไปหาข้อมูลทาง internet และได้เจอว่า เป็นพยาบาลท่านหนึ่งที่สามารถคิดนวัตกรรมนี้ ขึ้นมา เราเลยติดต่อ เพื่อขอซื้อ ที่น้ำน้ำนี้ ที่นอน้ำนี้ทำจากยางพาราทำเป็นถุงใส่น้ำ มีความยืดหยุนดีมากๆๆ อันนี้ราคาประมาณ 12000-15000 บาท เป็น ลอนตั้งแต่ หัวเตียงถึงปลายเตียงมีทั้งหมด 12 ลอน แยกเป็น ลอนๆๆ เพื่อที่เวลามีปัญห่จะได้ดึงออกไปเปลี่ยนได้เลย

อันนี้ประทับใจมากๆๆๆ พี่พยาบาลที่คิดค้นนั้น ให้คำปรึกษาที่ดีมากๆๆที่นอนน้ำก็ เอามาประกอบเอง ง่ายมาก ดูแลก็ง่าย ที่สำคัญเราว่าคนนอนแล้วเย็นสบาย น้ำมีการเคลื่อนตัวเมื่อขยับได้มุ่มนวลดีคะเหมาะกันที่เป็นแผลกดทับมากๆๆ


8.      8.  อุปกรณ์เพิ่งซื้อ เมื่อ ปีที่ผ่านมา เป็น เครื่องเคาะปอด อันนี้ลังเลอยู่นาน เพราะ เพิ่งขอ คุณพ่อซื้อเตียงผู้ป่วยให้ยายใหม่ เลยทิ้งเวลาอยู่พอควร พอยายเป็นปอดติดเชื้อบ่อยเข้า เวลา admit พี่ห้องกายภาพก็จะมาช่วยเคาะปอดให้ยายโดยใช้เครื่องเคาะปอด เพราะ แรงสม่ำเสมอไม่หนักไป ตอนนี้ยายดูผอมบางมากๆๆการเตาะปดจะช่วยให้ ไอ เสมหะ ออกมาได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว เครื่องเคาะปอด คือ เครื่องนวดของ ญี่ปุ่นค่ะ 555 เหมือนเตารีด มีด้ามจับ หัวมียางหุ้ม เพื่อความนุ่ม เราถามตั้งแต่ราคา25000 จนตอนที่ตัดสินใจซื้อราคา เหลือ17000 คิดดูว่า เราคิดนาน ขนานไหน

9.      9.  เตียงผู้ป่วยเราซื้อใหม่เพราะ เตียงเก่าไม่สามารถปรับ ความสูงต่ำของเตียงได้ตอนนี้พี่เลี้ยงต้องทำแผลยาย เยอะมากๆๆ และ ต้อง service ยาย บนเตียงตลอด เราเลือก เตียง 3 ไกร(ยกหัว ยกสูง ต่ำ ยกข้อพับที่ขา) แบบ ใช้มือหมุน ซึ่ง ถูกว่า ใช้ remote มากๆๆ ใช้มือหมุน work ดี และ ก็ ราคาประหยัดดีมากค่ะ


10. อุปกรณ์ทำแผล เรามีหมด ผ้าก๊อซ 2*2 3*3 4*4 คีม ถ้วยกลมมีฝาปิด ถ้วยรูปไต และอื่นๆ

11. พี่พยาบาลแนะนำให้เสริมprotein ด้วย ไข่ผง

แต่ถึงอุปกรณือำนวยความสะดวกที่ซื้อมีมากมาย แต่แผลกดทับแม่ก็ มีมากขึ้นเรื่อยๆๆ อย่างช้าๆๆ แผลกดทับหายค่อนข้างยาก มีแผลที่หายจนปิดสนิท 1 แผล และ 3แผลดีขึ้นมากๆๆ แค่แผลตรงง่ามก้นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ตอนหลังมีแผล ที่ด้านข้างเท้าที่เป็นปุ่มกระดูกและ กระกระดูกหัวไหล่ ซึ่งกระดูกมันโปนออกมา เพราะ คุณยายผอมมากๆๆ

เราเคยคิดวางแผนว่า เราจะทำอย่างไรเมื่อคุณยายเดินมาถึง วาระสุดท้ายของชีวิตซึ่งแน่นอนว่าเรา และ ครอบครัวตั้งใจจะไม่ยื้อให้ยาย เหนื่อยและ เจ็บตัวให้ยายไปแบบสบายที่สุด มีลูกพี่ลูกน้องเราเคยบอกว่า เข้าใจเรา แต่จะมีผู้ป่วยบางรายก่อนไป อาจจะมีเฮือกสุดท้าย ที่ไม่ปรกติตรงนี้เราได้ทำใจหรือยัง ยอมรับว่าฟังครั้งแรก เราอึ้งไป มโนภาพขึ้นมาทันที ใจครั้งแรก ไม่ยอมรับตกใจมาก เราไปเล่าให้สามีฟัง สามีก็ให้คำปรึกษาบอกว่าช่วงเวลานั้นเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด มีสติ สวดมนต์ ทำให้ยายนิ่งได้มากที่สุดเพื่อจะนำไปสู่ภพภูมิที่ดี (ตามความเชื่อของเรา ชาวพุทธ)

ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ไปถึง ต้น เดือน สิงหาคมหลังจากยายออกจาก รพ. ครั้งล่าสุด เรารู้สึกว่า ยายดูรู้เรื่อง ตาดูใสมีขมุบขมิบปาก ได้ (ตาม มโน คนที่ดูแลใกล้ชิด) เรา happy มากๆๆ แต่พี่เลี้ยงบอกว่ายายมีปัญหา เรื่องไอค่อนข้างมาก เวลาที่ไอ มันจะมีฉี่ ไหลออก มา เราสังเกตจาก แผ่นรองเตียงมันชุ่มน้ำมากหลังจากไอ

จนถึง วันพุธ ที่ 8 สิงหาคม ช่วงเช้า ยาย ดูดีมากเราเข้าไปคุย ดูยาย พอตอนเย็น สัก 21.00 เราลงมาข้างล่างเพื่อมา คุย สวดมนต์ กับยาย ตามปรกติ ที่ทำทุกวัน แต่พบว่า ชีพจรยายแทบวัดไม่ได้แล้ว คือ ตัวเลขไม่ขึ้นแล้ว เรารีบขึ้นไปเรียกพี่ชายลงมา เราทั้งหมดลูกๆ และ หลานๆ คุณยาย มากันพร้อมหน้า เรากับ พี่ชาย สติมาเต็ม ทำตามที่เราคิดไว้เราเริ่มขับมือยายแล้วสวดมนต์ตามที่ทำมาทุกวัน ให้ลูกๆๆ หลายๆๆ เอ่ยคำอำลา และ สวดมนต์ สลับ พูดคุย กับ ยายให้ยายไปแบบสงบ มีพระพุทธ และ คุณงามความดีที่ยายเคยทำ นำทางไปสู่ภพภูมิใหม่ๆแทนตอนนี้ที่อยู่ในสังขารที่ผุพัง ตอนนี้ยาย คงได้ เดิน วิ่ง เล่น ได้ทานอาหารที่ตัวเองเลือกเอง ได้เลือกใส่เสื้อผ้าใส่เองได้พูดคุย ยายคงมีความสุข มากๆๆ ...... Good bye Alz


หวังว่า ประสบการณ์ของเรา อาจจะเป็นประโยชน์ในการดูแล ผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วย ของเพื่อนๆๆ ค่ะ

รัก และ ดูแล พ่อแม่ คนใกล้ชิด ให้มากที่สุดนะคะ เมื่อถึงวันหนึ่งที่ ท่านจากไป เราจะได้ไม่มีแต่คำ ว่า .... ถ้า  หรือ  เสียใจที่เรายังไม่ทำอะไรให้ท่านตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ค่ะ



Create Date : 31 สิงหาคม 2561
Last Update : 31 สิงหาคม 2561 21:09:35 น.
Counter : 301 Pageviews.

1 comment

มิ้วมิ้ว
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com