อีกด้านของความมืด
 

ภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ

ฮะจิเมะ มาชิเตะ”
ภาษาญี่ปุ่นควรรู้

คำ ทักทาย
สวัสดีตอนเช้า Ohayou gozaimasu โอะฮาโย โกไซอิมัส
สวัสดีตอนบ่าย Konnichiwa คอนนิจิวะ
สวัสดีตอนกลางคืน Konbanwa คอนบังวะ
ราตรีสวัสดิ์ Oyasuminasai โอะยะซุมินะไซ

ขอบคุณมาก Arigatou gozaimasu อะริกะโตะ โกะไซอิมัส
ไม่เป็นไร Douitashimashite โดอิตะชิมะชิเตะ
ขอโทษ (รบกวน) Sumimasen/suimasen ซุมิมะเซง/ซุยมะเซง
ขอโทษ Gomennasai. โกเมงนาไซ
ยินดีที่ได้รู้จัก Hajimemashite ฮะจิเมะมาชิเตะ
บาย เจอกันใหม่ Ja, Matane จา มาตาเนะ
นอนหลับฝันดี Oyasuminasai โอะยาสุมินาไซ

อาหาร
ข้าว Gohan โกะฮัน
อาหารกลางวัน Hirugohan ฮิรุโกะฮัน
อาหารเย็น Bangohan บันโกะฮัน
น้ำ Misu มิสุ
ชาฝรั่ง Kocha โคชะ
นม Gyunyu กีวนีว
เนื้อไก่ Toriniku โทะรินิกุ
เนื้อ Niku นิกุ
ปลา Sakana ซะกะนะ
ผัก Yasai ยะซะอิ
ผลไม้ Kudamono คุดะโมะโนะ

การนับเลข
1 Ichi อิชิ 6 Roku โระกุ
2 Ni นิ 7 Shichi ฌิชิ
3 San ซัน 8 Hachi ฮาชิ
4 Shi ฌิ 9 Kyu คีว
5 Go โงะ 10 Ju จู

“โออิชิ”
ขอบคุณ Arigato อะริงาโตะ
ขอโทษ Sumimasen ซูมิ มาเซ็น
ใช่ Hai ไฮ
แล้วพบกันใหม่ Mata iemasho มาตะ ไออิมาโช
เชิญ Dozo โด โสะ
ขอบพระคุณมาก Domo arigato โด โหมะ อาริงาโตะ
ยินดีที่ได้รู้จัก Hajimemashite ฮะจิเมะมาชิเตะ
ไม่เป็นไร Douitashimashite โดอิตะชิมะชิเตะ
ร้อนจังนะ Atsuidesune อะซึ่ย เดสเนะ
หนาวจังนะ Samuidesune ซะมุ่ย เดสเนะ
อากาศดีจัง Iitenkidesune อี้เตงกิเดสเนะ
ห้องน้ำ Otearai โอเตไร
ภัตตาคาร Resutoran เรสสึเตรอง
น้ำแข็ง Kori โคริ
อร่อย Oishii โออิชิ
โรงแรม Hoteru โฮเทรุ
รถแท็กซี่ Takushi ทาคุชี
โทรศัพท์ Denwa เด็งวา
โรงพยาบาล Byooin เบียวอิน
เป็นไข้/ตัวร้อน Netsu นัทสึ
ช็อบปิ้ง (Shopping)
ราคาเท่าไร Ikura อิคุระ (เดสกา)
เงินทอน Osueri โอสุริ
เงินสด Okane โอกาเนะ
ที่สนามบิน (At the airport)
หนังสือเดินทาง Passport พาสปอร์ต
กระเป๋าเดินทาง Nimothu นิมอทสุ
ตั๋วเครื่องบิน Hikoki No Kippu ฮิโคคิ โนะ คิปปุ

-------------------------------------------------------
มี เพิ่มเติมจากน้อง by Hana_NZ
เพื่อน (Tomodachi) โทโมดาจิ
หิมะ (Yuki) ยูกิ
ดอกไม้ (Hana) ฮานะ
เพลง (Uta) อูตะ
พระอาทิตย์ (Taiyo) ทาอิโยะ
เด็ก (Kodomo) โคโดโหมะ
กระเป๋า (Kaban) คาบัง
หมา (Inu) อินุ
แมว (Neko) เนะโกะ
ฝน (Ame) อะเมะ
บ้า (Baga) บ้าก่า
เผ็ด (Karai) คะไร
ปราสาท (Jo) โจ
พรุ่ง นี้ (Ashita) อะชิตะ
กิน (Taberu) ทาเบรุ
ใหญ่ (Dai) ได

ได้มานิดหน่อยจากเพื่อน ไม่ค่อยแน่ใจตัวเขียนในวงเล็บนะ ได้แต่ออกเสียง = =" ภาษาญี่ปุ่นสนุกดีนะ ^__^
-------------------------------------------------------
การแนะนำตัวนะ!!
วาตาชิวะ___(ชื่อของเรา)___ เด ส โดโสะ โยโรชิคุ โอเนะไกชิมัส

แปลว่า----ดิฉัน/กระผม ชื่อ ........ค่ะ/ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย
by: kanomping-O-
-------------------------------------------------------
โม โมะ ลูกพีช
วาตาชิ ฉัน
เทนชิโนะ สวรรค์ เทชิโนะ โชกุน กษัตริย์ผู้มาจากสรวงสวรรค์ (ใช้คำซะหรุเชียว) โชกุน กษัตริย์
อาริกาโตะ ขอบคุณ
ไอ รัก
วาตะ นุ่น
อิจิ หนึ่ง
อิจิโกะ อาจแปลว่า ลูกคนที่ 1 ได้
โกะ สวย
โมเอะ สาวน้อยน่ารัก
-- จำได้แค่นี้แหละ (ไม่มั่นใจนะว่าถูกรึป่าว)
by: sakura_p555
-------------------------------------------------------

ภาษา ญี่ปุ่นไม่ยากเลยค่ะ เพราะเราก็เคยคิดเหมือนกัลว่าภาษาญี่ปุ่นยาก แต่พอมาลองเรียนจิงๆก็รุ้ว่าไม่ยากเลยค่ะ ใช้เวลาแค่ปีเดียวก็สามารถพูด อ่าน เขียนได้แร้วค่ะ ประโยคสนทนาก็ไม่ยากค่ะ แค่เรารุ้คำศัพและความหมายของมันก็สามารถมาสร้างให้เป็นประโยคได้ แร้วที่สำคัญถ้าอ่านภาษาญี่ปุ่นออกแร้วแปลได้ก็ถือว่าดีแร้วค่ะ ใครยังไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นแร้วสนใจภาษานี้ ขอบอกว่าไปเรียนเลยค่ะ สนุกและก็ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ

คำศัพน่ารักๆ ลองหัดพูดดูนะคะ
もう.こいびとがいましたか。โม่.โคะอิบิโตะก๊ะอิมะชิตะก๊ะ -มีแฟนแร้วหรือยัง

あなたは、とでも かわいいですね。อะนะตะวะ.โทเดะโม่ะ คาวาอี้เดสก๊ะ -คุนน่ารักมากๆเลย

あくびしちやってかわいいな。อะคุบิชิจิยัดเตะคาวาอี้นะ-หาวซะงั้น น่ารักซะไม่มี

もう.じがじさんだね。โม่.จิก๊ะจิซังดะเนะ-ไม่ค่อยจะชมตัวเองเลยนะ

ただよりたかいものはない。ทาดะ ยงริทาคาอิโมโนะวะนัย-ของฟรีไม่มีในโลก
by: nU_wOrLd_Za
-------------------------------------------------------

เพิ่ม อีกอัน
anatano kao o miruto, ohadashitai อะนาตาโน๊ะ คาโอะ โอ มิรูโต๊ะ โอฮาดาชิไต๊ [ไต๊ เสียงต่ำ]
แปลว่า เห็นหน้าคุณแล้วปวดตด...

ไปสอบถามจาก พี่ที่เป้นล่ามญี่ปุ่นมา.... ทีแรกคิดว่าจาเอาปวดอึ๊ แต่เนื่องจากคนญี่ปุ่นสุภาพมาก คำนี้เรยมะมี
by: มดงัยคะ
-------------------------------------------------------
หมวด ร่างกาย

หู **มิมิ
จมูก **ฮะนะ
ปาก **กุชิ(งั้นก็แสดงว่าแฮมทาโร่ตอนร้องว่า กุชิๆ คงจะหมายความว่าปากมั้ง)
หัว **อะทะมะ
ผม **คะมิโนเคะ
ตา **เมะ
ไหล่ **คะตะ
ท้อง **โอนะคะ
แขน **อุดิ
คอ **คุบิ
เข่า **ฮิซะ
ขา,เท้า **อะชิ
มือ **เทะ
สะดือ **เฮะโสะ
เลือด **ฌิ

สัตว์
อะริ ** มด
อินุ **สุนัข (อินุยาฉะ หมาป่า)
อุชิ **วัว
คุมะ **หมี
สะรุ **ลิง
ชิขะ **กวาง
เสะมิ **จิ้งหรีด
นิวะโทริ **ไก่
โทะริ **นก
มุชิ **แมลง
ริสึ **กระรอก
วะนิ **จระเข้
คะนิ **ปู
เนะโกะ **แมว (เนะโกะจั๊มพ์ แมวกระโดด เพราะว่าจั๊มพ์=กระโดดในภาษาอังกฤษ)

ผลไม้
ซึ อิคะ **แตงโม
นะชิ **สาลี่
มิคัง **ส้ม

เอะ ** รูปภาพ
เอ โอ๊ะคะคุ **วาดภาพ
โอะโทะโขะ **ผู้ชาย
คิ ** ต้นไม้
เคะชิขิ **ทิวทัศน์
โสะระ **ท้องฟ้า
ยามะ ** ภูเขา
ยุขิ ** หิมะ
ทันสึ ** ตู้
ทสึคิ **ดวงจันทร์
เทะ ** มือ
นุโนะ ** ผ้า
โคะมะ **ลูกข่าง
โนะริ *กาว
ฮานะ **ดอกไม้
ฮิโคขิ **เครื่องบิน
ฟูเนะ **เรือ
โฮชิ **ดาว
มะคุระ ** หมอน
เมะ ** ตา
โมฝุ **ผ้าห่ม
โยะ ฟุขุ**เสื้อผ้า
สะระ **จาน
คุรุมะ ** รถยนต์
เระทสึ **แถว
โร โสะขุ **เทียน
ฮ่ง **หนังสือ

หมดไส้หมดพุงแร้วค่า
by : noonamjha

-------------------------------------------------------

โซ่ ซัง - ช้าง
บุตะ - หมู
อิตัย - เจ็บ
โออิชิ - อร่อย
โอเน่ ซัง - พี่สาว หรืออาจใช้ชื่อของผู้หญิงแทนคำว่า โอ ก็ได้จ้า
โอนี่ซัง - พี่ชาย หรืออาจใช้ชื่อของผู้ชายแทนคำว่า โอ ก็ได้จ้า

ขอขอบคุณ //webboard.yenta4.com/topic/202127




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 9:53:13 น.
Counter : 592 Pageviews.  

flash mob

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ฝูงชนร่วม 100 คน ที่ไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน พร้อมใจกันไปรุมสอบถามพรมปูพื้นมูลค่าประมาณสี่แสนบาท ที่พวกเขาเรียกขานเหมือนกันว่าเป็น "พรมแห่งความรัก" ในนาทีเดียวกัน ที่ห้างสรรพสินค้าเมซี่ ในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ช่วงค่ำของวันที่ 17 มิถุนายน 2003 ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ราวนัดกันไว้


รวมเวลาที่เกิดเหตุการณ์ประมาณ 10 นาที แม้จะไม่ได้ทิ้งความเสียหายอะไรไว้ แต่ก็ทำให้พนักงานขายและลูกค้าในห้างสรรพสินค้า พากันแตกตื่น ตกใจ คาดไม่ถึง

และที่สำคัญคือ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้รับการอ้างอิงถึงว่าเป็นม็อบพันธุ์ใหม่ ที่เรียกว่า "flash mob" หรือที่ รศ.ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร เรียกว่า "ฝูง ชนชั่วพริบตา"



ไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมแปลกๆ เช่น นัดกันถ่ายภาพนู้ดหมู่กลางเมือง เต้นรำกลางถนนสี่แยกไฟแดงถามหาหนังสือที่ไม่มีในร้านก่อนจะปรบมือแล้วก็สลาย ตัวไป หรือแต่งตัวเลียนแบบไก่งวง และเต้นแบบไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้า

วิธี การที่พวกเขาติดต่อสื่อสารกันก็น่าสนใจ เพราะเลือกใช้ช่องทางผ่านเครือข่ายสื่อทางเลือก เช่น การส่ง "ข้อ ความสั้น" (Mobile Text) หรือที่บ้านเราเรียก เอสเอ็มเอส (SMS : Short Message Service) รวมไปถึง อี-เมล และ เว็บบล็อค เป็นต้น



"flash mob" จึงจึดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่กำลังมาแรง เป็นแฟชั่นที่ระบาดไปในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ เช่น ลอนดอน โรม แวนคูเวอร์ หรือที่สิงคโปร์ ใกล้บ้านเราเองก็เกิดขึ้นแล้ว

กระทั่ง ดิกชันนารีภาษาอังกฤษของอ๊อกซ์ฟอร์ด ยังต้องบรรจุคำว่า "flash mob" ลงไปด้วย



คำว่า "flash mob" นั้นเข้าใจว่าพัฒนามาจากคำว่า "smart mobs" ของฮาเวิร์ด ไรน์โกลด์ ที่อธิบายถึงการออกมารวมตัวกันของชาวอังกฤษ เมื่อปี 2000 เพื่อโพนทะนาความเดือดร้อนที่เกิดจากการขึ้นราคาแก๊สโซลีน ซึ่งการชุมนุมครั้งนั้นก็ใช้เครือข่ายการสื่อสารประเภท เอสเอ็มเอส และอี-เมล เหมือนกัน นอกจากนี้ก็ยังรวมไปถึงวิทยุสื่อสารของแท็กซี่ด้วย

ทว่าจุดต่างของทั้ง 2 ม็อบก็คือ "flash mob" จะไม่แตะประเด็นการเมือง ไม่มีผู้นำและที่สำคัญคือ เน้นความสนุกสนานท้าทายที่เกิดขึ้นชั่วพริบตา นอกจากนี้ก็ยังไม่ได้คาดหวังผลประโยชน์จากการรวมตัวกันแต่อย่างใด


ขณะที่รากศัพท์ และความหมายที่คล้ายกันอีกคำหนึ่งก็คือ Flash Crowd ซึ่งเป็นชื่อเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ของ ลา ร์รี่ นิเว่น ที่ประพันธ์ไว้เมื่อต้นทศวรรษ 1970 หรือกว่า 30 ปีก่อน ที่บรรยายไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น เทคโนโลยีการสื่อสารจะสามารถรวมคนกลุ่มใหญ่ได้ภายในพริบตาเดียวเท่านั้นเอง

คง ไม่ง่ายที่จะตอบข้อสงสัยว่า อะไรที่อยู่เบื้องหลัง หรือเป็นแรงผลักดันให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้?


อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมเช่นนี้ ในมุมมองของผู้เข้าร่วมม็อบ ต่างก็มองว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน อีกทั้งยังมองว่าเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของกลุ่มคนกลุ่ม หนึ่ง ที่จะสร้างความรู้สึกร่วมแบบชุมชนเมืองอย่างน้อยก็เป็นการ "ปรากฏ ตัว" ของชุมชน ที่เคยถูกมองว่าเป็น "โลกเสมือนจริง" (virtual-world)

และแม้ที่สุดแล้ว "flash mob" จะเป็นเพียงชุมชนชั่วครู่ชั่วยามก็ตามที แต่อาจกล่าวได้ว่า เป็นการตอบโต้สุ้มเสียงที่ตราหน้าและประณามถึงความไร้สาระ (silly fun) ของการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ได้


การใช้สื่อทางเลือกอย่าง โทรศัพท์มือถือ อี-เมลลูกโซ่ หรือเว็บบล็อค ที่เดิมนั้นเชื่อกันว่ามีขีดจำกัดอยู่ในระดับการสื่อสารระหว่างบุคคล หรือกลุ่มเล็ก ทว่า "ฝูงชนชั่วพริบตา" ก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า สื่อทางเลือกเหล่านี้ ในมิติหนึ่งก็มีคุณลักษณะพิเศษที่สามารถรวมคนกลุ่มใหญ่ได้เหมือนกัน หรือในอีกแง่หนึ่งคือเหล่านี้ คือพื้นที่ใหม่ที่ภาคประชาชนในเป็นพื้นที่ต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพ ใน เมื่อช่วงเวลาปกติพวกเขาไม่อาจเข้าถึงสื่อหลักอย่าง หนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ได้


อดีตที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วว่าพื้นที่การต่อสู้ช่วงชิงการครอบงำทางความคิด หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมหลายๆ แห่งนั้น สื่อทางเลือกก็มีพลัง และบทบาทอยู่ไม่น้อย เช่น ในประเทศไทย

สำหรับปรากฏการณ์ "ม็อบ มือถือ" ที่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองไทยในช่วง "พฤษภาทมิฬ" ปี พ.ศ.2535 (ค.ศ.1992)

หรือ ปรากฏการณ์ "People Power II" เมื่อประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ใช้เอสเอ็มเอส ชวนกันออมารวมตัวกันบนท้องถนนเมื่อปี 2001 เพื่อร่วมขับไล่ประธานาธิบดี โจเซฟ เอสตราด้า ที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น


หรือกระทั่งความสำเร็จในการรณรงค์หาเสียงเพื่อขึ้นเป็น ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ปี 2002 ของนายโรห์ มู ยุน ก็ได้ กลุ่มสนับสนุนที่เรียกตัวเองว่า "โนซาโม่" ช่วยกันหาเสียงผ่านอินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ

และที่โลกต้องตื่นตะลึงที่สุดก็คือ กลุ่มหัวรุนแรงก็ใช้โทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสื่อสารเพื่อวางแผน ก่อนก่อเหตุจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 หรือที่รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ "9/11"



กล่าวโดยสรุป "flash mob" ดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อระบบการเมืองที่มีอยู่ เพราะโดยธรรมชาติที่เป็นเพียงม็อบชั่วคราว อีกทั้งมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ชัดเจน รู้แต่เพียงว่าพยายามจะไม่แตะประเด็นการเมือง ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีผู้นำ จะมีก็เพียงผู้ทำหน้าที่จุดประเด็นเพื่อเล่นกับสาธารณชน และนัดแนะเพื่อรวมพลเท่านั้น

แต่ "flash mob" จะไม่มีนัยทางการเมืองตลอดไปหรือ? ในเมื่อการเข้ายึดพื้นที่สาธารณะในช่วงเวลาหนึ่ง แม้เพียงเวลาสั้นๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของการช่วงชิงพื้นที่ทางการเมืองแล้ว



คำถามถัดมาก็คือ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ "flash mob" ที่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนว่างงาน ที่พยายามเล่นตลกงี่เง่า จะไม่มาแตะเรื่องของการเมืองเหมือนม็อบอื่นๆ อาทิ ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


หรือกรณีที่ แกรี่ ทรูโด นักเขียนการ์ตูนเจ้าของเรื่อง ดูนส์บิวรี่ ที่วาดการ์ตูนชวนคนมาทำ "flash mob" เมื่อเดือนกันยายน 2003 เพื่อเชียร์ ฮาเวิร์ด ดีน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ หรือที่ สเปน เซอร์ ทูนิค ช่างภาพผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจัดอาสาสมัครถ่ายนู้ดสมัครเล่น ที่พยายามจัด "flash mob" ถ่ายนู้ดกลางเมืองเมื่อพฤศจิกายน 2003


ขณะที่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ "9/11" เป็นต้นมา แม้ทุกภาคส่วนของสหรัฐจะเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของประเทศเป็นหลัก แต่กลับมาถูก "flash mob" เหยียบจมูก และ "ล้อเล่น" กับบรรดาหน่วยรักษาความปลอดภัยได้อยู่เสมอ

ไม่ว่าในโอกาสข้างหน้า นั้น "flash mob" จะกลายพันธุ์ไปอย่างไร ทว่าวันนี้ สื่อทางเลือกภาคประชาชนในยุค "the information age" ที่ดูเหมือนซื่อๆ ใสๆ ไม่มีพิษสงใดๆ ก็ได้มองอำนาจต่อรอง และต่อต้านให้กับประชาชน ใช้ตอบโต้กับอำนาจของระบบสังคมที่ดำรงอยู่ ทั้งอำนาจของรัฐ และอำนาจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยงเลยทีเดียว




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 9:51:55 น.
Counter : 340 Pageviews.  

เหตุแห่งความรัก

เรียบเรียงโดย คุณอังคาร

จาก

- เหตุแห่งความรัก นำมาจาก สาเกตชาดก

- ประเภทของคู่และเหตุที่ทำให้ได้อยู่ร่วมกัน นำมาจากหนังสือท่าวิลาส

- เรื่องลำดับของคู่ คัดลอกมาจาก เว็บไซด์คนเมืองบัว

- เรื่องคู่บารมี สรุปมาจากการอ่านประวัติพระนางพิมพา

เหตุแห่งความรัก

ปุถุชนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ เกิดมาก็ย่อมต้องมีความรักทั้งหญิงและชาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ใน สาเกต-ชาดก พระสุตตันตปิฏก เล่มที่ ๑๙ ดังนี้

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้พอเห็นกันเข้าก็เฉยๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส”

“ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑

เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ น้ำและเปือกตม ฉะนั้น”

จึงจะเห็นว่าการที่หญิงชายมารักกัน ชอบกัน และอาจได้อยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มีปัจจัยมาจาก ๒ ประการดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุไว้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก คู่ครอง เนื้อคู่ฯลฯ อีกมากมาย

คู่

บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมอันในฐานะอื่นก็ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อนครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข

เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ

คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน

คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมอันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข

เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำรวมกันหรือวิบากกรรมที่มีต่อกันมาส่งผล เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน เป็นต้น

คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับญาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฎสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกันในชาติสุดท้าย



เหตุแห่งการได้อยู่ร่วมกัน

ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุที่หญิงชายได้รักและได้เป็นสามีภรรยากันนั้น มี ๒ ปัจจัย คือ

๑. การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน

๒. การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน



เนื่องจากวัฎสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป็นหมื่นเป็นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็อาจได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลายๆ คนพร้อมๆ กัน หรืออาจไม่ได้เจอเนื้อคู่เลยสักคนก็เป็นได้ กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เลยนั้น หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อไป

ลำดับของเนื้อคู่

เพราะเหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเลยที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกโดยจะเลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติกลับทำให้คู่ลำดับต้นๆ ได้มาพบกันทีหลัง

หลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วชึ่งแม้จะได้พบกันทีหสัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่งคั่งในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้นๆ ยังทนไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้ เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผลเขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อๆ ไป



เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก

นอกจากนี้การผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้นๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุขทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรีอมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕ เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรมส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้นๆ

หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้นหรือบางคน รักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนี้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น



ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ร่วมกัน

เมื่อความรักหวานชื่น คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต โดยการอธิษฐาน แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อๆ ไปได้ง่าย แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด หรือมาเกิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับอื่นๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้ หรือบางครั้งจิตใจก็มีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร



การแก้ปัญหาเรื่องอธิษฐาน

หากแน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกันแน่แล้ว หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อคู่ลำดับอื่น สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่าขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข



คู่บารมี

สุดท้ายคือเรื่องของคู่บารมี เป็นคู่สำคัญ เป็นคู่ที่ยาวนาน เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกพระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลายาวนานมากในการสร้างสมบุญบารมีกว่าที่จะสามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง ๘๐อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว

คนที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีจึงต้องมีความเสียสละและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันบุคคลผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีนั้น จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุดได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และเป็นเนี้อคู่ลำดับ ๑ อย่างเที่ยงแท้ การเป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้ คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับ พระโพธิสัตว์ เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก หรือตัวเองเพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรมได้




 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 21:38:56 น.
Counter : 325 Pageviews.  

จัดระเบียบความตาย

นิทานเซนเรื่องหนึ่ง เล่าว่ามีคหบดีคนหนึ่งพร้อมบุตรหลานไปทำบุญที่วัดในวันขึ้นปีใหม่ เสร็จแล้วก็ขอพรจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส พระท่านก็เขียนคำอวยพรให้ว่า "พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย" คหบดีเห็นเข้าก็โกรธ ต่อว่าหลวงพ่อว่าเหตุใดจึงมาแช่งกันในวันมงคลเช่นนั้น หลวงพ่อตอบคหบดีว่า การตายตามลำดับอายุขัยเป็นพรอย่างยิ่งแล้ว เพราะลองคิดดูว่าหากหลานตายก่อนปู่ หรือลูกตายก่อนพ่อ ตายอย่างไม่เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ เขาจะมิยิ่งโศกเศร้าหรอกหรือ คหบดีได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจในธรรมที่หลวงพ่อให้ จึงขออภัยและคำนับขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งในธรรมที่ได้รับในวันขึ้นปีใหม่

ในวิถีแห่งพุทธนั้น"ความตาย" เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นสัจธรรมหาใช่ความอัปมงคล ต้องวิ่งหนีแต่อย่างไร กระนั้นก็ตามความเป็นธรรมดานี้ ก็มิใช่จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนจะยอมรับกันได้โดยง่าย เพราะเราทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอดด้วย ในด้านหนึ่งความ "กลัวตาย" จึงเป็นสิ่งธรรมดาอีกเช่นกัน ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้เพื่อขัดเกลาธรรมชาติอย่างหลัง เพื่อให้คนเรายอมรับสัจธรรมแห่งชีวิตคือความตายนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถจัดระเบียบกับความตายในชีวิตของเราได้อย่างเหมาะสม ด้วยความตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา (แม้จะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนและจะมาเมื่อไร) การสั่งสมการเรียนรู้เพื่อให้ยอมรับว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในยามที่เรายังเป็นหนุ่มสาวและเป็นไม้ใกล้ฝั่ง มิใช่เฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น หรือเมื่อถูกคุกคามด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษา ในวัฒนธรรมของชาวพุทธการหมั่นเจริญมรณานุสติคือวิถีหนึ่งที่ช่วยเราไม่ให้ประมาทในชีวิต ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการพัฒนาตนเอง ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวตายอย่างทุรนทุราย เสมือนคนวิ่งหนีเงาตนเอง แต่ก็มิใช่ยอมจำนนกับอุปสรรคของชีวิต ด้วยการเอาความตายเป็นทางออกโดยไม่พัฒนาตนเองขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญนั้น ในทางตรงข้าม ผู้มีสติซึ่งตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะมาถึงเองในวันหนึ่งข้างหน้า จึงควรอดทนต่อสู้ให้อุปสรรคผ่านพ้นไปตราบที่ยังมีลมหายใจ

กระบวนการเรียนรู้เพื่อจัดระเบียบความตาย จึงเป็นสิ่งที่บุคคลควรได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาในวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต ในสมัยเดิมนั้น การที่ครอบครัวอยู่ร่วมกันหลายช่วงอายุ การเปลี่ยนแปลงของกายสังขาร การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยเฉพาะธรรมเนียมการเตรียมตัวตายของผู้สูงอายุ การตั้งศพ - เก็บศพที่บ้าน เพื่อให้ความตาย-คนตายเป็นสิ่งธรรมดา ประเพณีพิธีกรรมของการตายเป็นเครื่องมือสำคัญของการส่งผ่าน "สัจธรรมแห่งการตาย" ให้แก่ผู้อยู่ใกล้ชิดได้เรียนรู้ ไม่ว่าบทสวดต่าง ๆ ของพระซึ่งมุ่งให้เห็นความเป็นธรรมดาของความตาย ประเพณีการอุทิศส่วนกุศล พิธีตัดทางกล้วยเพื่อแยกภพระหว่างผู้อยู่และผู้วายชนม์ ฯลฯ ล้วนส่งผ่านความเชื่อว่าความตายมิใช ่"การสิ้นสุด" หรือจบสิ้น จึงไม่ต้องเศร้าโศกฟูมฟายจนเกินไป โดยเฉพาะธรรมเนียมการเก็บศพแล้วเปิดโลงก่อนเผา เพื่อให้ญาติพี่น้องคลายความเศร้าโศกเพราะศพสภาพเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว เกิดความปลงสังเวชตัดอาลัยในรูปกาย รำลึกถึงแต่คุณงามความดีของผู้ล่วงลับ การเรียนรู้นี้ มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในครอบครัวผู้ตายเท่านั้น หากยังเป็นบทเรียนมรณานุสติแก่คนทั้งชุมชนด้วย จากการมาร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ร่วมแบ่งปันทั้งความรู้สึกเอื้ออาทรและทรัพยากรที่ตนเองมีเพื่อช่วยจัดการศพ มีการขอขมาและการให้อโหสิกรรมเพื่อละวางความอาฆาตจองเวร และตระหนักรู้ว่ามนุษย์ทำผิดพลาดกันได้ ควรให้อภัยแก่กันและกัน และในขั้นตอนสุดท้ายคือการเผาศพ ก็เป็นโอกาสให้คนในชุมชนทั้งหมดมาร่วมกันเฝ้าดูการสิ้นสุดแห่งรูปกายที่มิอาจพกพาสิ่งใดไปได้ เกิดการปล่อยวางความโลภ ความโกรธ และความหลง ประเพณีเกี่ยวกับความตายจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้ดีขึ้นอย่างสำคัญ

สังคมสมัยใหม่ได้ทำให้สาระของประเพณีพิธีกรรม ซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านค่านิยมความเชื่อ ในเรื่องเกี่ยวกับความตาย เลือนหายไป ชีวิตสมัยใหม่จึงอยู่กันแบบไม่มีกระบวนการเรียนรู้ทั้งในระดับชีวิตและระดับสังคม ทุกวันนี้ผู้คนไปงานศพตามมารยาทมากกว่าอย่างอื่น คนยุคใหม่จึงมีชีวิตอยู่โดยลืมนึกไปว่าตัวเองต้องตาย จะมานึกถึงต่อเมื่อความตายเข้ามาสะกิดตนเองโดยตรงแล้วเท่านั้น คนสมัยใหม่ปฏิเสธพิธีกรรมว่างมงาย "ไม่เป็นวิทยาศาสตร์" โดยไม่เข้าใจว่า ค่านิยมความเชื่อในทางนามธรรม ไม่อาจส่งผ่านให้สืบเนื่องได้โดยอาศัยการสอนการพูดเพียงประการเดียว หากจะต้องมีรูปแบบหรือโครงสร้างแห่งการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้ จนเกิดความ "ประจักษ์แก่ใจ" ในสัจธรรมร่วมกัน ไม่ว่าชีวิตหลังความตายจะมีหรือไม่ก็ตาม แต่การคิดเผื่อไว้ว่า ชีวิตเป็นวัฏฏะยังมีการเดินทางต่อหลังการตาย ได้ช่วยเอื้อให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท ไม่เบียดเบียนกัน มีความขวนขวายที่จะสะสมความดีงามที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่น และโลก เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เกิดมาใช้ทรัพยากรของผู้อื่นเปล่าๆ ไม่ว่าของมนุษย์ด้วยกันเอง, สังคม, โลก สันติสุขย่อมเกิดขึ้นแก่สรรพชีวิตในภพปัจจุบันอย่างทันตาเห็นมิใช่หรือ

อย่างน้อยที่สุด วิธีคิดดังกล่าว ย่อมดีกว่า มีประโยชน์มากกว่า การคิดว่าชีวิตปิดบัญชีเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ไม่รู้จะทำความดีไปทำไม ทำความชั่วดีกว่า ทำสิ่งที่ตนเองพอใจ อยากมี อยากเป็นให้สุด ๆ ไปเลย ใครจะหายนะอย่างไรไม่เป็นไร ทรัพยากรหมดโลกก็ช่าง (ใครอยู่ก่อนได้ใช้ก่อน) แต่ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกบีบคั้นจากความทุกข์ที่พยายามจะต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ และทุรนทุรายจากความพยายามที่จะทำให้ชีวิตหนึ่งเดียวนี้แก่ช้าที่สุด อยู่นานมากที่สุด โลกทัศน์ของมนุษย์ที่มีต่อความตาย จึงทำให้โลกนี้เป็นได้ทั้งนรกและสวรรค์ในเวลาเดียว ขึ้นอยู่กับว่า เราจะตั้งท่าทีต่อความตายอย่างไร การจัดระเบียบความตายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความคิดและการใช้ชีวิตในสังคม จึงเป็นสิ่งที่เราอาจจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันสร้างให้เกิดมีขึ้นมากกว่านี้

บางทีการได้เจริญมรณานุสติอาจช่วยให้บุคคลตระหนักรู้ว่า ได้มา ๔๐๐ เสียง หรือ ๕๐๐ เสียง ตายแล้วก็เอาอำนาจไปไม่ได้อยู่ดี ทิ้งไว้ข้างหลังไม่ทันข้ามวันก็สิ้นสลาย แต่หากทิ้งความดีงามไว้ แม้เอาไปไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่สิ้นสูญในชั่วข้ามคืน หากจะอยู่เป็นมรดกที่ยั่งยืนแก่ลูกหลานและมนุษยชาติไปเนิ่นนาน ข้ามภพข้ามชาติได้จริงทีเดียว




 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 18:01:20 น.
Counter : 364 Pageviews.  

ใบหน้าของคนญี่ปุ่น

ใบหน้าของคนญี่ปุ่น
นันท์ชญา มหาขันธ์
คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ท่านผู้ฟังเคยสงสัยไหมคะว่าทำไมคนแต่ละชาติแต่ละภาษาจึงมีหน้าตาแตกต่างกัน หรือคล้ายคลึงกัน ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการค้นคว้าวิจัยเพื่อสืบให้ทราบได้ว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีหน้าตาอย่างที่เห็นอยู่นี้ และในสมัยก่อนชาวญี่ปุ่นหน้าตาเป็นอย่างไร รวมถึงในอนาคตชาวญี่ปุ่นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
มีการวิจัยจากกะโหลกศรีษะของชาวโจมน ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่สืบทราบได้ สมัยโจมนนั้นอยู่ในช่วง 13000 ถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล จากการวิจัยพบว่าชาวโจมน มีกรามใหญ่ ตาโต เบ้าตาลึก จมูกโด่ง ลักษณะคล้ายกลุ่มคนที่อยู่ทางเอเชียตอนใต้ ซึ่งรูปหน้าใกล้เคียงกับ ชาวยุโรป
แต่ทว่าในยุคยาโยย คือ ในสมัย 3000 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ศตวรรษที่ 3 มีหลักฐานบ่งชี้ว่าใบหน้าของคนญี่ปุ่นเปลี่ยนไป คือมีหน้าแบนกว้าง ตาเล็ก กรามเล็กลง จมูกแบน
มีการสันนิษฐานว่า คนทั้งสองยุคสมัยนี้มีบรรพบุรุษที่แตกต่างกัน พวกที่อพยพเข้ามาอยู่ที่ญี่ปุ่นก่อน น่าจะเป็นพวกที่มาจากเขตร้อนทางตอนใต้ของเอเชีย โดยพายเรือมาทางทะเล ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ จึงมีร่างกายแข็งแรง กินอาหารหยาบ ทำให้กรามพัฒนาจนใหญ่และแข็งแรง ส่วนพวกหลังนั้นน่าจะอพยพมาจากในทวีป คือ จากประเทศจีนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บอยู่เสมอจึงทำให้ปรับตัวจนมีตาเล็กลง จมูกแบน และส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูก อยู่ติดที่ กินธัญพืช ทำให้กรามไม่ใหญ่โตเท่าคนโจมน
ในประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน มีคนที่หน้าแบบคนโจมน ร้อยละ 30 และหน้าแบบคนยาโยย ร้อยละ 70 ซึ่งนับว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อถึงยุคประวัติศาสตร์ มีหลักฐานมากมายที่ทำให้เราได้ทราบใบหน้าของชาวญี่ปุ่นในอดีต เช่นในภาพม้วน จะเห็นได้ว่าชาวญี่ปุ่นหน้าขาวแบน ตาเล็ก ปากเล็ก ในยุคที่วัฒนธรรมราชสำนักเจริญรุ่งเรืองชนชั้นผู้ปกครองจะมีใบหน้าลักษณะนี้ หมด เพราะไม่ต้องตรากตรำทำงานหนัก อาหารก็รับประทานอาหารที่อ่อนนิ่ม ต่างจากสามัญชนที่มี กรามใหญ่ ผิวคล้ำ และหน้าตาไม่เกลี้ยงเกลา ชนชั้นซามูไรที่เป็นผู้ปกครองก็เช่นกัน จะมีใบหน้ามน ตาเล็ก ชาวญี่ปุ่นจึงมีค่านิยมเกี่ยวกับความงามของใบหน้าว่าผู้มีใบหน้าแบน ตาเล็ก ปากเล็ก กรามเล็ก เป็นหน้าตาแบบผู้ดี และสวยงาม ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นถูกยึดครองโดยอเมริกา ได้รับวัฒนธรรมของอเมริกาเข้ามามากมาย คนญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนทัศนคติต่อความงามไปตามแบบตะวันตก เห็นว่าหน้าตาแบบตะวันตกสวยงาม คือ ตาโต กรามใหญ่ ตา ปาก จมูก ปรากฏชัดเจน เป็นลักษณะที่เด่นงาม ชาวญี่ปุ่นเริ่มคลั่งไคล้ดาราฮอลลีวูด อันที่จริงแล้วคนเหล่านี้ก็มีโครงหน้าคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่น คือคนยุคโจมน นั่นเอง
มีการพยากรณ์ไว้ว่าต่อไปชาวญี่ปุ่นจะมีใบหน้าแหลมเรียวขึ้นอีก เนื่องจากอาหารการกิน และการดำรงชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่ต้องใช้กำลังมาก
ถ้าลองนึกดูให้ดีชาวไทยก็มีหน้าตาแตกต่างจากในอดีตมาก เรามีการผสมข้ามเชื้อสายด้วย ในยุคโลกไร้พรมแดนนี้ การถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ข้ามวัฒนธรรมเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ทั้งในสิ่งที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ในอนาคตความแตกต่างของแต่ละชนชาติ อาจจะเหลืออยู่น้อยนิด หรือ ไม่มีเลย แต่กว่าจะถึงวันนั้นพวกเราก็ยังคงต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความแตกต่าง ซึ่งให้ทั้งผลดี และผลเสีย อย่างที่เราประสพอยู่ในปัจจุบัน




 

Create Date : 13 เมษายน 2553    
Last Update : 13 เมษายน 2553 20:59:41 น.
Counter : 2703 Pageviews.  

1  2  3  4  
 
 

pimpichana
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add pimpichana's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com