อาหารเข้าสังคม

คุณเคยมีกิจกรรมยามว่างสมัยเรียนอนุบาลหรือประถมอะไรบ้างมั้ยคะ สำหรับฉัน “เด็กประถมยุค 90” ถ้าให้ทุกคนมารำลึกถึงความหลังคงหนีไม่พ้นโดดหนังยาง เล่นดีดลูกแก้ว ลูกข่าง หมากเก็บ ตุ๊กตากระดาษ อะไรทำนองนี้ นั่นก็ใช่นะ แต่นั่นมันคือสิ่งที่ฉันเล่นกับเพื่อนในตอนที่โตขึ้นมาหน่อย แล้วเด็กกว่านั้นล่ะ ฉันทำอะไร?

เมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่ฉันไปเห็นว่ามีคนขายใบหูกวางแห้งในอินเตอร์เน็ท ฉันถามน้องว่า

“แกๆ แกเคยกินเม็ดหูกวางมั้ย”
“ไม่เคยอ่ะ เห็นเพื่อนคนอื่นกินกันอยู่ แต่น้องไม่กิน รู้สึกว่ามันสกปรก” น้องตอบ
“แก๊ ทำไมแกไม่เคยกิน เด็กๆต้องได้กินเม็ดหูกวางนะ มันเป็นอาหารที่ทุกคนในโรงเรียนเราเคยกิน” ฉันตกใจที่น้องไม่เคยกินเม็ดหูกวาง
“อี๊ เจ้ก็กินเหรอ กินทำไมอ่ะ” น้องแสดงน้ำเสียงรังเกียจที่รู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งในบรรดาพวกที่กินเม็ดหูกวาง
 

          คือมันเป็นแบบนี้...

          ตอนนั้นฉันน่าจะอยู่อนุบาลถึงประถมต้นประมาณชั้นป.1 เนี่ยแหละ ตอนนั้นเรายังเด็กมาก เล่นโดดหนังยางไม่ได้หรอก หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จเราก็จะรวมกลุ่มกัน กลุ่มหนึ่งก็จะมีสมาชิกประมาณ 5-6  คน มีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจน คนตัวเล็กจะพากันไปเก็บเม็ดหูกวางแห้งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นใต้ต้นหูกวางที่มีเรียงรายมากมายตั้งแต่ประตูโรงเรียน ซึ่งแน่นอนฉันอยู่ทีมนี้ คนตัวใหญ่แรงเยอะกว่าจะหาก้อนหินมาไว้ทุบเม็ดหูกวาง แล้วเราก็จะนั่งล้อมวงกัน มีคนเอาเม็ดหูกวางวางบนก้อนหิน คนตัวใหญ่สุดทุบๆเม็ดหูกวางจนแตก มีอีกคนหยิบเม็ดหูกวางที่ทุบแตกแล้วไปแกะเพื่อให้ได้เมล็ดด้านในสีขาวๆ แล้วเราก็แบ่งกันกิน เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานมาก จนเราโตพอจะเล่นโดดหนังยางได้แล้วนั่นแหละ เราถึงลืมเลือนการกินเม็ดหูกวางกัน ปล่อยให้มันเป็นกิจกรรมของน้องๆรุ่นต่อไปแทน
 
          “เนี่ย ฉันว่ามันก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้นหรอกแก แต่แกเข้าใจมั้ย มันเป็น “อาหารเข้าสังคม” อ่ะ ใครๆก็ต้องไปกิน จะได้มีกิจกรรมทางสังคมกับหมู่คณะ แกนี่ ไม่เข้าใจการเข้าสังคมเลย” ฉันบอกน้อง 

          “.........” น้องอึ้ง และไม่กล่าวสิ่งใดกับอาหารเข้าสังคมของฉันอีกเลย 555

ใครเคยกินเม็ดหูกวางบ้างยกมือหน่อยยยยยย
 
         
-ข้าวผัดกุนเชียงไม่ใส่ผัก-128
11 มิ.ย. 2563

 




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2563    
Last Update : 11 มิถุนายน 2563 21:35:29 น.
Counter : 594 Pageviews.  

เมื่อฉันผันตัวมาเป็นคนไข้

นานมาแล้วที่ฉันไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกเลยวันนี้เข้ามาครั้งแรกในรอบ 4 เดือน หาทางเข้าอยู่นาน ไม่รู้ว่าต้องเริ่มตั้งบล็อกตรงไหนกว่าจะหาเจอก็เหนื่อยใช่เล่น

ที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้หายไปไหนนะแค่ไม่มีอารมณ์จะเขียน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะ...

ฉันผันตัวเองจากบุคลากรทางการแพทย์มาเป็นผู้ป่วยจิตเวชน่ะสิ

บทความสุดท้ายที่ฉันเขียนคือช่วงวันแม่และมีบทความที่เขียนค้างไว้อยู่อีกเรื่อง แต่ฉันก็ไม่คิดจะเปิดมันออกมาเขียนต่อเลยแต่ละวันของฉันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อ ไม่อยากทำอะไรเลิกงานแล้วก็เอาแต่นอนๆๆ จากที่เคยไปออกกำลังกายบ้างทำกับข้าวบ้างฉันก็เริ่มไม่ทำอะไร

สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองน่าจะต้องเป็นอะไรซักอย่างคือฉันนอนไม่หลับ

กว่าจะหลับได้ในแต่ละคืนปาเข้าไปเที่ยงคือตี 1 พอหลับแล้วก็หลับไม่สนิท หลับๆตื่นๆ

ตื่นเช้ามาก็เพลียเสมือนว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน

ผิดกับฉันคนเดิมที่เคยเปรยๆกับคนอื่นไว้ว่า

“คนนอนไม่หลับนี่เขาจะรู้สึกยังไงบ้างนะเรานี่ไม่เคยรู้สึกเลย ออกจะหลับเยอะไปด้วยซ้ำ”

อีกอาการที่ชัดมากก็คือน้ำหนักลดฉันไม่ทันได้สังเกตตัวเองเท่าไหร่ว่าน้ำหนักลดไปมากน้อยแค่ไหนและเริ่มลดมานานเท่าไหร่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เริ่มรู้สึกกังวลก็คือมันลดลงเหลือ 39กิโล ใช่ละ พิมพ์ไม่ผิด 39 กิโลจริงๆ

“นี่มันน้ำหนักสมัยเรียนประถมแล้วรึป่าววะ”ฉันคิดในใจและเริ่มกังวล

ฉันลองสังเกตตัวเองอีกหลายๆอย่างเออ ใช่จริงๆ ข้าวของที่ซื้อมาไว้ทำกับข้าว ซื้อมาเป็นเดือนละของยังไม่พร่องไปเลยฉันไม่ได้ทำกับข้าวมานานแค่ไหนแล้วนะ

อีกอย่างที่ดูแปลกไปชีวิตฉันดูอมทุกข์ ดูโลกใบนี้เป็นสีเทาๆ ฉันรู้สึกไม่มีความสุข ไม่รู้จะทำอะไรดีตื่นเช้ามามาอยากไปทำงาน และที่สำคัญ...ฉันร้องไห้บ่อยมากโดนที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองร้องไห้ทำไม

ฉันตัดสินใจไปพบ...จิตแพทย์

วันนั้นฉันขับรถไปโรงพยาบาลในเมืองเป็นระยะทางกว่า 60 กิโล ฉันไปคนเดียว

ทุกคนเป็นห่วงที่ฉันไปคนเดียว

ไม่ใช่เพราะฉันอารมณ์ไม่ปกตินะแต่เพราะฉันเพิ่งหัดขับรถได้ไม่กี่เดือนต่างหาก 555

โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวชโดยเฉพาะเป็นโรงพยาบาลด้านนี้แห่งเดียวในจังหวัด ฉันปิดประตูรถแล้วมองไปยังตึก OPD หืมมมมม นี่โรงพยาบาลเหรอฉันรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นอนามัยขนาดใหญ่มากกว่า

ฉันเดินเข้าไปทำบัตรเสร็จแล้วไปซักประวัติ

คุณพยาบาลที่น่ารักถามฉัน“มาขอใบรับรองแพทย์เหรอคะ”

“ไม่ใช่ค่ะมาขอพบหมอตุ้ยค่ะ” ฉันตอบ

คุณพยาบาลทำหน้างงเล็กน้อยเพราะอายุอานานประมาณฉันไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่ต้องมาพบจิตแพทย์เลย

หลังจากซักประวัติและอาการต่างๆคร่าวๆแล้วพยาบาลก็แจ้งว่า “วันนี้หมอตุ้ยไม่อยู่นะคะ งั้นเดี๋ยวจะให้คุยกับนักจิตวิทยาก่อนแล้วค่อยนัดมาเจอหมอตุ้ยอีกทีนะคะ”

ซักพักนักจิตวิทยาเดินมาหาฉันและพาฉันเข้าไปคุยด้วยที่ชั้นบน เขาให้ทำแบบสอบถามหลายอย่างเท่าที่จำได้ก็คือประเมินภาวะซึมเศร้า ประเมินความเครียด จากนั้นก็พูดคุยกับในเรื่องต่างๆซึ่งฉันขอไม่ลงในรายละเอียดเรื่องที่เป็นสาเหตุของอาการซึมเศร้าละกัน

ทีแรกฉันไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี แต่พอได้เริ่มเท่านั้น ทุกเรื่องก็พรั่งพรูออกมาจากความในใจที่บางเรื่องไม่เคยเล่าให้ใครฟังฉันเริ่มน้ำตาคลอเบ้า และร้องไห้ออกมา แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกสบายใจไปพร้อมๆกัน

“แล้วทำไมถึงตัดสินใจมาพบหมอคะ”นักจิตวิทยาถามฉัน

“หนูอยากหายค่ะอยากกลับไปมีชีวิตที่มีความสุขเหมือนเดิม” ฉันตอบ

ทีแรกพี่นักจิตวิทยาจะนัดให้ฉันมาพบหมอตุ้ยอีกครั้งแต่พอได้ลองพูดคุยกันแล้วเขาคงประเมินอาการและหลายๆอย่างจึงตัดสินใจให้ฉันพบหมออีกคนไปก่อน คุณหมอให้เริ่มกินยา Fluoxetine ซึ่งเป็นยาต้านอาการซึมเศร้าแล้วอาทิตย์หน้าให้มาพบหมอตุ้ยอีกครั้ง

“และฉันก็เริ่มต้นการเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า”


credit ภาพ: จาก internet

ติดตามต่อตอนที่2 นะคะ




 

Create Date : 01 มกราคม 2559    
Last Update : 30 มกราคม 2559 14:56:04 น.
Counter : 426 Pageviews.  

การเดินทางไกล...ในวันที่ฝนพรำ

ในเช้าของวันที่สายฝนพรำ...

บรรยากาศช่างเหมาะกับการนอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อทดแแทนพลังกายที่เสียไปกับการทำงาน
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเสียจริง...แต่

พวกเราก็ยังคงต้องลืมตาตื่นมาทำ "บางสิ่ง" ที่วันนี้ฟ้าฝนไม่ได้เป็นใจให้ทำตามความมุ่งหวังเลย

ฉันเก็บของที่จำเป็นต้องใช้ใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือวางอยู่บนโต๊ะ สิ่งนี้คือสิ่งที่ติดตัวตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ ฉันไม่เคยวางไว้ห่างตัวเลย 

"แต่วันนี้ นอกจากใช้ดูเวลาแล้ว สิ่งนี้คงไม่จำเป็นเลยสินะ"

ฉันลงมารอ "ผู้ร่วมเดินทาง" ของฉันที่จุดนัดพบ พวกเราทั้งหมดสิบกว่าคนกำลังจะออกเดินทาง มองหน้าเพื่อนร่วมทางคนอื่นแล้ว ไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ แค่มองตาก็รู้ใจว่าแต่ละคนหนักใจไม่แพ้กันเลย นาทีนี้ฉันเชื่อว่าแต่ละคนคงจะไหว้วอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองไม่มากก็น้อยล่ะ

...แล้วพวกเราก็เริ่มออกเดินทาง...

ระยะทางจากจุดเริ่มต้นของเราไปยังจุดหมายปลายทางนั้นเป็นระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2  ชั่วโมง ไม่ได้พิมพ์ผิดนะ 2 ชั่วโมงจริงๆ



ฝนก็ยังคงตกพรำๆลงมาเรื่อยๆตลอดทางที่เรามาแต่ที่แย่กว่าคือฝนตกมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้ทางที่เรามาทุลักทุเลพอสมควร

ทุลักทุเลพอสมควร...ในความคิดของพี่คนขับรถผู้ชำนาญทางทั้งหลาย แต่สำหรับพวกเราน่ะเหรอ ทุลักทุเลมากที่สุดเลยแหละ ฉันเคยขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปบนโคลนและเข้าใจความรู้สึกของ 
"ความกลัว" รถล้มเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ แค่เปลี่ยนมาเป็นรถยนต์เท่านั้นเอง



ฉันหันไปมองพี่ที่นั่งข้างๆ พี่เงียบกริบไม่พูดไม่จา ในใจน่าจะนั่งภาวนาให้เราอยู่รอดปลอดภัย มีเพียงเสียงหัวเราะจากพี่คนขับรถผู้ชำนาญทางเท่านั้นตลอดการเดินทาง

ในที่สุดเราก็มาถึงด้วยจิตใจที่อกสั่นขวัญหายกันมาตลอดทาง

พวกเราสิบกว่าคนที่มาด้วยกัน มีทั้งมาจากที่เดียวกันและต่างที่ต่างสาขาอาชีพกัน แต่เรามี
จุดมุ่งหมายเดียวกันก็เพื่อ..."มาดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล" ใชแล้ว พวกเรามาออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พอ.สว.



แม้จะเป็นพื้นที่กันดารห่างไกลหรือลำบากเพียงใด แต่ด้วยอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นที่จะเป็นรากหญ้าผู้สานต่อปณิธานของ "สมเด็จย่า"  ในการช่วยเหลือและดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารให้ได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างทั่วถึง

พื้นที่นี้ไม่ได้ห่างไกลจากตัวอำเภอมาก แต่การเดินทางในหน้าฝนถือว่าลำบากมากทีเดียว บ้านบางหลังยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และแน่นอนว่าไม่มีคลื่นโทรศัพท์ อวัยวะที่ 33 ของฉันจึงแทบไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับชีวิตที่นี่ ถ้าจะมองให้ลึกลงไปคงต้องบอกว่า 

"น่าเป็นห่วงคนที่นี่  เพราะถ้าหากเจ็บป่วยขึ้นมา กว่าจะลงไปถึงตัวอำเภอ หรือแม้แต่แค่สื่อสารขอความช่วยเหลือยังทำได้ลำบาก"

เช้าวันต่อมาก็ยังคงมีฝนตกพรำๆในบรรยากาศชวนนอนหลับ พวกเราต่างคิดว่าไม่น่าจะมีชาวบ้านมาตรวจเยอะ...แต่ผิดคาดถนัด!!!

มีชาวบ้านออกมาตรวจเกือบร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้นมีคนไข้ที่ควรได้รับการรักษามากกว่าการตรวจรักษาเบื้องต้นของเรา จนเราต้องพาคนไข้ลงมารักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอด้วย



ฉันรู้สึกว่าการเดินทางเสี่ยงชีวิตในวันฝนพรำของพวกเรา ช่างเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเหลือเกิน

การเดินทางของพวกเราคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่ตราบใดที่ยังมีผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลรอพวกเราอยู่ ไฟอุดมการณ์ของพวกเราจะยังคงส่งต่อรุ่นต่อรุ่นไม่มีวันสิ้นสุด






 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2558 19:29:12 น.
Counter : 531 Pageviews.  

 
 

veggie_jib
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add veggie_jib's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com