HudchewMan Live Style - วันสบายๆ ของนายจอมจาม

10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง...ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์

ไปอ่านเจอบทความนี้มา คิดว่าบางคนอาจเคยได้อ่านแล้ว โดยส่วนตัวไม่ได้เห็นด้วย 100% เพราะเนื้อหาค่อนข้างเหมารวม และบางอย่างก็เหมือนโยนให้เป็นหน้าที่ภาครัฐ แต่ก็ยอมรับว่าหลายๆ อย่างนั้นเป็นความจริง



เอามาแปะไว้ให้อ่าน เพื่อให้ลองประเมินตัวเองดู ว่าเรามีความคิดและการกระทำแบบนั้นหรือเปล่า จะได้แก้ไขตัวเอง






10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง...ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์



วิกรม กรมดิษฐ์

ออกอากาศทางวิทยุ อสมท.

รายการซีอีโอวิชั่น

10-11 มกราคม 2550



[01] คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก

กล่าวคือรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมสูงมาก ของเราจะไม่คำนึงถึงส่วนรวมแต่จะเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนทำให้เกิดวัฒนธรรมสืบทอดกันมายาวนานโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจทุกระดับชั้น จนมีคำพูดว่า ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ทุกคนแสวงหาอำนาจเพื่อจะตักตวงเพราะความไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้จักประเทศของตัวเองเช่นนี้แล้ว ทำให้ประเทศชาติของเราล้าหลังไปเรื่อยๆ



[02] การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย

สอนให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม แม้แต่ภาษาคนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้เราขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ประเทศอื่นๆ รู้จักคนไทยน้อยมาก เพราะคนไทยไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น เพราะคุณภาพการศึกษาของเราไม่ทันสมัย จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า



[03] คนไทยมองอนาคตไม่เป็น

เท่าที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยนักที่จะวางแผนให้ตัวเองอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต สะสมความสำเร็จไปอย่างเป็นลำดับ หรือเป็นเพราะไม่กล้าฝัน หรือไม่มีความฝันก็ไม่แน่ใจ และชอบพึ่งสิ่งงมงาย โชคชะตา พอใจทำงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ ทำให้ประสิทธิภาพของเราไม่ทันกับการแข่งขันระดับโลก



[04] คนไทยไม่ค่อยจะจริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่

การรับปากของเรามักทำแบบผักชีโรยหน้าหรือเกรงใจ แต่ทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากประสบการณ์ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติจะพบว่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จเช่นญี่ปุ่นหรือยุโรป คนเขาจะให้ความสำคัญกับสัญญาข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตในการเชื่อถือด้านนี้ลงไปเรื่อยๆ



[05] การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่

ประเทศของเรากระจุกตัวความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ในต่างประเทศการสร้างนิคมอุสาหกรรมในพื้นที่ห่างไกลแต่มีองค์ประกอบอื่นๆ สนับสนุนเขาก็ลงทุน การสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคจะเป็นประโยชน์ทำให้เป็นการลดต้นทุนในการดำเนินการทางธุรกิจอย่างมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม



[06] การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งและดำเนินอย่างไม่ต่อเนื่อง

สังคมไทยชอบทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง อาจได้ยินกรณีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารก็ตาม จะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง



[07] สังคมไทยชอบอิจฉาตาร้อน ไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ และชอบเลี่ยงเป็นศรีธนญชัยเมื่อจนตรอก

ในวงการเราจะพบกระแสของคนประเภทนี้ปะปนมากขึ้น จะเพราะเป็นเพราะสังคมเรายอมรับ หรือยกย่องคนที่มีอำนาจ มีเงิน แต่ไม่มีใครรู้ภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอดหน้าตาเฉย คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้ายเสียอีก เพราะทำความเสียหายต่อบ้านเมืองมากกว่า และจะเป็นประเภทดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าจะเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว



[08] เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว

ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาเพราะเอ็นจีโอบางกลุ่มที่อิงผลประโยชน์อยู่ ถ้าจะพูดกันแบบมีเหตุผลก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย กรณีน้ำท่วมเพราะไม่มีเขื่อนรองรับเพียงพอ พอเกิดน้ำท่วม พวกที่ค้านจะแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน



[09] คนไทยอาจจะไม่พร้อมในเวทีโลก

เพราะไม่ถนัดภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาตัวเอง ทำให้โลกภายนอกไม่รู้จักคนไทยเท่าที่ควร และการจัดการตัวเองอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลก ของเราขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้เราสู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้



[10] คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น

ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้วเขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม คุณวิกรมแสดงความเห็นว่า การอบรมเยาวชนมาจาก 3 ทาง หนึ่งภายในครอบครัว สองจากโรงเรียน และสามจากสังคม หรือสื่อสารมวลชน ในส่วนนี้พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบเพราะถ้าหากสื่อมวลชนทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองหรือเพื่ออำนาจต่อรองเท่านั้น และสังคมปราศจากสื่อที่จะทำหน้าที่นำเสนอสาระที่เป็นความจริง โดยไม่มอมเมาบิดเบือนแล้ว เมื่อนั้นสังคมจะวิบัติมากยิ่งๆ ขึ้นอีกต่อไป



ที่มา - อินเทอร์เน็ต ถอดมาจากการให้สัมภาษณ์ตามที่บอกไว้หัวเรื่อง






 

Create Date : 06 สิงหาคม 2552    
Last Update : 6 สิงหาคม 2552 9:35:19 น.
Counter : 488 Pageviews.  

ดูแล้วก็เลยมาเล่าความรู้สึก “20th Century Boys”

ไม่ได้ไปดูหนังโรงมานานเหมือนกัน
จำไม่ได้แล้วล่ะว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ถึงแม้จะไปดูโรงมาหลายครั้ง
แต่นี่เป็นครั้งแรกครับที่ได้ไปดูก่อนเข้าโรงฉายจริง เพราะกิจกรรมจาก กระปุก


ทุกทีเวลาไปดูหนังโรง ผมมักจะรอให้เข้าโรงไปแล้วซัก 2 อาทิตย์
เพราะว่าคนดูจะได้ไม่เยอะ นั่งได้ตามสบาย ไม่ต้องกลัวผีโรงหนังทั้งหลาย
รอบนี้ไปดูพร้อมกับสหาย bloger นับร้อยชีวิต ก็เลยบรรยากาศคึกคัก เจอหลายๆ คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน



 



20th Century Boys มหาวิบัติดวงตาถล่มล้างโลก


 


เข้าโรงหนังไปตอน 2 ทุ่มนิดหน่อย รอจน 2 ทุ่ม 20 นาที ถึงได้เปิดจอฉายโฆษณา กับหนังตัวอย่าง

พอหนังจริงเริ่มฉายตอน 2 ทุ่ม 43 นาที เห็นขึ้นตัวหนังสือ sub title
ขึ้นมาก็แปลกใจ เพราะตอนแรกคิดว่าจะเป็นหนังพากย์ไทยซะอีก ผิดคาดจริงๆ


หนังที่สร้างจากการ์ตูนเรื่องนี้ พยายามคงไว้ซึ่งเนื้อหาในการ์ตูน
แต่ก็ดัดแปลงให้คนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนมาก่อน สามารถดูเข้าใจได้
แต่เนื่องจากหนังสือการ์ตูนที่มีความยาวถึง 24 เล่ม
ซึ่งต้องมาจัดการให้หมดในเวลาที่จะฉาย เลยทำให้ต้องรวบรัดในบางอย่างไปบ้าง


การดำเนินเรื่อง ก็เป็นไปเรื่อยๆ
มีการย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยเป็นเด็กตัดสลับไปบ้าง
แต่ก็ไม่ทำให้สับสน คนที่ไม่ชอบสไตล์หนังแบบญี่ปุ่น
อาจรู้สึกว่ามันเอื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยจะดึงอารมณ์ให้พีคเท่าไหร่


ตัวละครมีบทบาทหลายตัว ถ้าไม่คุ้นกับหนังญี่ปุ่น
ก็จะจำชื่อตัวละครไม่ค่อยได้ แถมหน้าตาก็ดูคล้ายๆ กันซะอีกแน่ะ
แต่ถ้าเป็นแฟนการ์ตูน ก็คงจะจำกันได้อยู่แล้วล่ะ


มีการแทรกอารมณ์ขันอยู่เป็นระยะ แต่ถ้าเป็นคนที่เส้นลึก หรือชอบแบบฮาๆ ก็อาจไม่รู้สึกขำเหมือนกัน


เป็นเพราะรู้อยู่ตั้งแต่แรก ว่าเรื่องนี้สร้างเป็นหนังไตรภาค
ทำให้เวลาดูก็จะคอยนึกว่ามันจบแล้วหรือยัง เพราะในหลายๆ
ครั้งมันทำท่าเหมือนจะจบ แต่ก็ไม่จบซะนี่


ในภาคนี้ จบที่เหตุการณ์สิ้นศตวรรษ 20 เหตุการณ์หลังจากนี้ก็ไปติดตามต่อในภาคหน้า


หนังจบเอาราว 5 ทุ่ม ถือว่ายาวทีเดียว 2 ชั่วโมง 20 นาทีแน่ะ ตอนแรกคาดว่าน่าจะจบราวๆ 4 ทุ่มกว่าเท่านั้นเอง


โดยรวมก็ถือว่าตัวหนังทำได้ค่อนข้างดีแหละครับ
ความรู้สึกส่วนตัวคือแนวหนังมันเป็นแบบไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก
ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายที่จะเป็นจุดไคลแมกซ์ของภาค
ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะอะไรเลย (ชอบหนูคันนะ น่ารักมากๆ)


ตัวหนังสือ sub title ตัวใหญ่ดี เสียแต่ที่มันเต้นดุ๊กดิ๊กน่ารำคาญ
บทแปลก็สื่อให้เข้าใจได้ดี ถึงแม้ว่าจะแปลไม่ตรงกับต้นฉบับ
แต่ว่าก็เป็นการถ่ายทอดให้เป็นภาษาไทย (รวมถึงภาษาบอร์ดด้วย)
ได้เข้าถึงอารมณ์หนัง ซึ่งอาจมีบางคนไม่ชอบก็ได้ (เมพขิงๆ)


ต้องขอบคุณเว็บไซต์กระปุกใจดี นอกจากแจกตั๋วหนังให้แล้ว ยังแจกเสื้อยืด 20th Century Boys ให้ด้วย แหม.. อยากให้จัดบ่อยๆ จัง


เห็นแวบๆ ตอนจบ ว่าภาค 2 จะมาตอน 31 มกราคม 2552 ไม่รู้ว่าจำผิดหรือเข้าใจผิดหรือเปล่า กระปุกจะมีกิจกรรมให้ดูภาค 2 อีกไหมน้า


ดูภาพกิจกรรมดูหนังเรื่อง “20th Century Boys” ที่เว็บกระปุก




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2551 19:15:01 น.
Counter : 505 Pageviews.  

สัญญาณไฟจราจรสุดพิลึก


เจอสัญญาณไฟที่สุดแสนพิลึกพิลั่นมา ไม่รู้ว่ามาจากเมืองใด ประเทศอะไร
คนออกแบบนี่ช่างคิดออกมาได้...

ดูเอาฮาละกัน อย่าซีเรียส












 

Create Date : 30 เมษายน 2550    
Last Update : 30 เมษายน 2550 9:58:39 น.
Counter : 652 Pageviews.  

ผ้าเช็ดตัวลายกระชากใจ


ไปเจอรูปผ้าเช็ดตัวมา แบบว่าช่างคิดเหลือเกิน...








 

Create Date : 29 มีนาคม 2550    
Last Update : 29 มีนาคม 2550 11:00:10 น.
Counter : 1054 Pageviews.  

เขามีหูข้างเดียวครับสารวัตร!!

สารวัตรใหญ่กำลังสอบสัมภาษณ์นายตำรวจสามคน ที่จะเข้ามาทำงานในหน่วยสืบสวน

สารวัตรใช้รูปของผู้ที่เคยเป็นผู้ต้องสงสัยรูปหนึ่งเป็นอุปกรณ์ในการสอบเชาว์
รูปนั้นเป็นรูปหันข้างของผู้ชายไว้เครา ใส่เสื้อยืด

"คุณเห็นอะไรในรูปบ้าง" สารวัตรส่งรูปให้นายตำรวจคนแรกดู

นายตำรวจคนแรกหยิบรูปขึ้นมาดูสักพัก แล้วก็พูดขึ้นว่า
"สารวัตรครับ ทำไมชายคนนี้มีหูข้างเดียว"

สารวัตรส่ายหน้า "นี่มันรูปถ่ายด้านข้าง มันก็ต้องเห็นหูข้างเดียวซิ"
ว่าแล้วสารวัตรก็โบกมือไล่คนแรกออกไป

นายตำรวจคนที่สองเข้ามานั่ง หลังจากดูรูปไปสักพักก็พูดขึ้น
"ผมคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นฆาตกรฆ่าข่มขืนผู้หญิง"

สารวัตรหูผึ่ง "คุณรู้ได้อย่างไร"

นายตำรวจคนที่สองตอบอย่างมั่นใจ
"ดูจากรูปเขาน่าจะไปข่มขืนผู้หญิง แล้วก็ถูกผู้หญิงกัดหูขาดไปข้างหนึ่ง เขาเลยเหลือหูข้างเดียว"

สารวัตรถอนใจ "นี่มันรูปถ่ายแบบหันข้าง"
พูดจบก็โบกมือให้สัญญานว่าออกไปได้

นายตำรวจคนที่สามเข้ามานั่ง สารวัตรส่งรูปให้ดูเช่นเคย
"คุณเห็นอะไรในรูปนี้"

นายตำรวจคนที่สามนั่งดูอยู่ไม่นานนักก็พูดขึ้นว่า
"ผู้ชายคนนี้ใส่คอนแท็กเลนส์ครับสารวัตร"

สารวัตรรีบดึงรูปกลับมาดูทันที "คุณรู้ได้อย่างไร"

ในใจของสารวัตรเริ่มลิงโลด เขาเจอตัวนายตำรวจที่มีคุณสมบัติของนักสืบเต็มเปี่ยมแล้ว
คนที่สามารถเห็นได้ว่าคนในภาพนี้ใส่คอนแท็กแลนส์ ต้องไม่ใช่คนธรรมดา
เพราะแม้แต่ตัวสารวัตรเองยังมองไม่เห็นเลย

"สารวัตรครับ" นายตำรวจคนที่สามตอบอย่างภาคภูมิใจ
"คนเรานะครับ มันจะใส่แว่นตาได้อย่างไร ถ้าลองมีหูข้างเดียว"


คัดลอกมาจากหนังสือ "เท่าดวงอาทิตย์" ของคุณประภาส ชลศรานนท์




 

Create Date : 14 มีนาคม 2550    
Last Update : 14 มีนาคม 2550 0:24:23 น.
Counter : 469 Pageviews.  

1  2  3  

HudchewMan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นายจอมจาม - Webmaster & programmer of Zhongtai.org, one of the best Chinese-Thai dictionary free service.
\(-o-)/
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HudchewMan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.