โซล:เกาหลีใต้ เที่ยวเอง

ต้นเหตุมีอยู่ว่า บังเอิญเข้าไปดูราคาตั๋วของการบินไทย ดันไปเจอของถูก เลยจองตั๋ว Super Deals ในราคาคนละ 13135 บาท (รวมหมดแล้ว) ไปกัน 2 คน รวมค่าตั๋ว 26270 ถูกสุดๆ เกาหลีแอร์หรือ เจจูแอร์ ยังไม่ได้ราคานี้เลย แต่ได้นอนที่โซลคืนเดียวนะจ๊ะ ที่แรกรู้สึกว่าจะคุ้มไหมเนี่ย จองไป แต่พอไปมาแล้วก็ OK นะ มันส์ดี
เริ่มทิปกันเลย
เดินทางเมื่อคืนวันแรก เวลา 23.50 (แต่เครื่องช้า เลยได้ออกตอน 24.45) ไปถึงโซลวันที่ 2 เวลาท้องถิ่น 7.45 เวลาที่โซลจะเร็วกว่าไทย 2 ชม. ใช้เวลาบิน 5.25 ชม.
บนเครื่องมี TV พร้อมรีโมททุกที่นั่ง แถมหูฟังแจกฟรีเอากลับบ้านได้เลย ใหม่เอี่ยม เครื่องขึ้นสักพักก็แจก เค้กกล้วยหอมพร้อมน้ำส้ม



นอนไปสักพักถึงเวลาตี 4 ของไทย ถูกปลุกตื่นทั้งลำ เป็นเวลา 6 โมงเช้า ซึ่งเหลือเวลาอีกชั่วโมงครึ่งจะถึง แอร์ฯมาแจกผ้าอุ่นเช็ดหน้า ตื่นเถิดเช้าไทยอย่ามั่วหลับไหล... โอ้..ยังไม่ได้หลับเลยแม่คุ๊น กลิ้งไปกลิ้มมาอยู่หลายตลบก็ยังหลับไม่ลง แล้วก็เสริฟน้ำผลไม้ตอนเช้า (นี่แหละตัวดีเลย ทำให้เราต้องไปส่ง Fax ชุดใหญ่ที่เกาหลี เดี๋ยวจะรู้ว่า Fax คืออะไร รอก่อนนะจ๊ะ) สักพักก็เข็นมา อาหารเช้า มี 2 ตัวเลือก 1. ข้าวกับปลาแมคคอเรลนึ่ง (ปลาทู) 2.ไข่ม้วนกับไส้กรอกไก่ เราเลือก 2 เขาให้มาพร้อมโยเกริต์ 1 ถ้วยเล็ก ครัวซอง/ขนมปัง เนยสด แยม ผลไม้เป็นสัปปะรด มะละกอ องุ่น อย่างละเล็กละน้อย ชา/กาแฟ/น้ำส้ม กินไม่หมด อิ่มจะแย่อยู่แล้ว เพราะเมื่อก่อนขึ้นเครื่องเล่น มักกะโรนีใน 7-11 มา 1 กล่องแล้ว



นั่งแถว K กับ J จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมหม่ำข้าวเช้า โอ้ ชีวิตนี้ช่างมีฟามสุขสะนี่กะไร โรแมนติกสุดๆ และตาก็ห้อยสุดๆ ด้วย





ถึงโซลเวลา 7.50 ตามเวลาเกาหลี อุณหภูมิ 15 องศา หนาวกำลังดี
ลงจากเครื่องมาก็จะเจอเคาเตอร์เก็บใบตรวจสุขภาพ ออกมาเจอ ตม. ขอบอกว่า ไม่ได้อยากเย็นเลย เราผ่านฉลุย เพราะพาสปอตผ่านมาหลายประเทศแล้ว แต่บัดดี้เราซิ พูด E ก็ไม่ค่อยได้ แถมหน้าตาเหมือนคนตัดอ้อย เลยโดนถาม มาอยู่กี่วัน พักที่ไหน แต่เอกสารอยู่ที่เรา เราเลยต้องเสนอหน้า ยื่นเอกสารไฟล์บินกลับ และโรงแรม แต่ตม.ก็ยังย้ำว่าอยู่กี่วัน (อยู่แค่ 2 วันไม่ได้หรือไงเนี่ย ก็ตั๋วมันถูกนี่น่า) แต่ก็ผ่านออกมาได้สบายๆ จ้า ออกมาอีกหน่อยเจอเจ้าหน้าที่ศุลกากร ยื่นเอกสารก็จบ

ดีใจจังถึง เกาหลีแล้ว จากอาคารผู้โดยสารเดินออกมาด้านนอก ได้สัมผัสลมหนาว รีบรื้อกระเป๋า ควักเสื้อหนาวออกมาทันใด เดินไปจุดจอดรถ 12A ขึ้นรถสาย 6015 ไป สถานีเมียงดง ซื้อตั๋วคนละ 9000 วอน ได้ตั๋วมาก็ยืนรถ พอรถมาก็ขึ้น ยื่นตั๋วให้พนักงานเขาจะฉีกหางตั๋วไป ขึ้นรถบัสเวลา 8.40 นั่งชมทิวทัศนไป ถึงสถานีเมียงดง 10.20 (1 ชม.40 นาที) จากข้อมูลไกด์บุ๊กบอกว่า 1 ชม.เข้าเมือง แต่พอเอาเข้าจริงๆ เกือบ 2 ชม. พอๆ กับวิ่งจากบ้านเราย่านพุทธมณฑลไปสุวรรณภูมิเลย พอเข้าเมืองก็เจอรถติด แต่ไม่สาหัสเท่าบ้านเรา
รถจะจอดเหมือนรถเมล์ ตามป้ายไปเรื่อยๆ พอถึงป้าย เมียงดง เราก็ตกใจ ใช่อันเดียวกับ เมียงดง Station ไหม ก็ต้องถามคนขับ สรุปว่า ไม่ใช่ รถบัสจะวิ่งวนไปอีกจุดหนึ่งของเมียงดงก็คือ เมียงดง Station พอถึงก็ลง ป้ายนี้จะอยู่หน้าโรงแรม Savoy เราพยายามจอง แต่เต็ม เสียดาย แต่ไม่เป็นไร มองไปฝั่งตรงข้ามถนน จะเห็น Prince Hotel นั่นแหละที่เราจองไว้ 1 คืน ราคา 3900 บาท ป.ล.จองผ่านเว็บของโรงแรมได้เลยนะจ๊ะ จะได้พร้อมอาหารเช้า แต่เสียดายที่เราจองผ่าน Agoda เลยอดข้าวเช้า)
เดินลงสถานีรถไฟฟ้า (เพื่อข้ามถนน) แล้วไปออกทางออก 1 จะเห็นตึกโรงแรมตั้งตะหง่านอยู่เลย กะว่าจะฝากกระเป๋าไว้ก่อนค่อยกลับมา check in ตอนบ่ายตามเวลาที่โรงแรมกำหนด ปรากฏว่าเขายอมให้เราขึ้นห้องได้เลย แต่คอย 10 นาที ห้องที่จองไว้เป็นห้อง Red Double Room ตกแต่งด้วยสีแดง ห้องค่อนข้างเล็ก ไม่มีอ่างอาบน้ำ แต่มีชักโครกอัตโนมัติ มีที่ฉีดก้นอัตโนมัติปรับอุณหภูมิได้



เก็บของเสร็จสรรพก็เตรียมออกไปลุย เรามีโปรแกรมที่ต้องไปซื้อของตาม Order ช่วงเช้าเลยต้องไปทำหน้าที่เสียก่อน เสร็จเรียบร้อยก็เกือบๆ เที่ยงพอดี นั่งรถไฟฟ้ากลับมาโรงแรม แล้วก็แวะกินเนื้อย่างเกาหลีที่เมียงดง สั่งเนื้อไป 1 อย่าง หมูอีก 1 อย่าง รวมแล้ว 32000 วอน (960 บาท) อร่อยแบบต้นตำหรับ ขนานแท้






ป.ล. พร้อมข้าว 1 ถ้วย และเครื่องเคียงเต็มโต๊ะ กับน้ำเปล่า แต่เขาคิดเงินแค่เนื้อ 2 อย่างเท่านั้น สรุปราคาพอๆ กับบ้านเราตามร้านเนื้อย่างเกาหลีแบบของแท้ นะไม่ใช่ หมูกะทะ ที่อาหร่อยมากๆๆ คือ กิมจิ

กินอิ่มก็ขนของไปเก็บที่โรงแรมก่อน พักสักแป๊บ พยายามเปิดแอร์ แต่ทำไมไม่ติด เลยเดินไปบอกแม่บ้านว่า แอร์ไม่ทำงาน แม่บ้านมาดูแล้วก็โทร.ลงไปที่ Lobby พนักงานคุยกับเรา บอกว่าเดี๋ยวอีกสักครู่จะขึ้นมา สักพักได้ยินเสียงเคาะประตู เปิดออกไป ตกใจ พนักงานมาพร้อมพัดลมตัวใหญ่ เรา งง สุดท้ายเจรจากัน สรุปความได้ว่า ไอ้เครื่องที่อยู่บนหัวเราคือ ฮีทเตอร์ ไม่ใช่แอร์ ที่นี่ไม่มีแอร์ เขาเลยยกพัดลมมาให้เราที่ชั้น 9 เราเลยต้องรับพัดลมไว้ พร้อมขอบคุณ (ตกใจจนลืม ทิป) เกิดมาไม่เคยเจอโรงแรมไม่มีแอร์ งง

ช่วงบ่ายเราก็ยังคงไปซื้อของตาม Order อีก แต่เที่ยวนี้กินแห้ว เพราะต้องนั่งรถเมล์ไปต่ออีกไกล ก็เลยตัดสินใจไม่ซื้อ นั่งรถไฟฟ้ากลับ หลงไป หลงมา เพราะบางสายมีแยกไปอีกทาง นั่งแล้วงง หลงกันอยู่พักใหญ่ ท้ายสุดตัดสินใจกลับมาทางเดิม ก็เลยไปลงที่ตลาดทงเดมุน ซึ่งเหมือนประตูน้ำบ้านเรา มีรองเท้า เสื้อผ้า แต่สินค้าส่วนใหญ่เหมือนๆ กันหมด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ผลิตในเกาหลีและจากจีน เราได้มาแค่ถุงเท้ายาวถึงน่อง กับถุงน่องสีๆ ที่เมืองไทยคู่ละ 250 บาท แต่เราซื้อมาคู่ละ 90 บาท (ป.ล.ดันลืมต่อราคา)
แวะซื้อลูกชิ้นจิ้มซอสกับไส้กรอกจิ้มซอส ด้วยความอยากลอง (ไม่ได้ถ่ายรูปมา) ไม้ละ 2000 วอน (60 บาท) ไส้กรอกรสชาติแย่ ใส่ปากแล้วต้องคาย ส่วนอีกไม้เป็นหลายๆ อย่างรวมกัน ชิ้นแรกเป็น แป้งเหนียวๆ เหมือนเคียวยางลบ (ไม่ไหว) ชิ้นที่ 2 เป็นไส้กรอก (ไม่ไหว) ชิ้นที่ 3 เป็นลูกชิ้นปลาทรงสามเหลี่ยม (ชิ้นนี้พอกินได้) แล้วก็เป็นไส้กรอกอีก สรุปทั้ง 2 ไม้ซื้อมาทิ้งแท้ๆ
สุดท้ายไม่ได้อะไรเท่าไรกับตลาดทงเดมุน แต่ได้เห็นคลองชองเกชอน ด้วย วิวส่วนนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไร เพราะมีหญ้ารก
นั่งรถกลับมาที่เมียงดง เดินจนรอบ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร คล้ายๆ สยามบ้านเรา มีร้าน 2 ข้างทาง ตรงกลางถนนเป็นร้านแผงลอย ราคาของไม่ได้ถูกเลย ของเหมือนๆ กัน มีของกินให้เลือกชิม แต่เราไม่กล้าลองแล้ว ช้อปในร้าน Skin Food และ Etude ถูกกว่าบ้านเราเป็นเท่าตัวเลย ซื้อแล้วได้ของตัวอย่างมาเยอะเลย ใครที่คิดจะไปซื้อก็จดรายการเป็นภาษาอังกฤษไปยื่นให้พนักงานได้เลย มีบริการหยิบให้เสร็จ
เดินจนเมื่อย ตัดสินใจกับบัดดี้ว่าจะกินอาหารเกาหลีหรือจะกินฝรั่งดี ท้ายสุดเราชนะ แวะร้าน Pizza Mall สั่งเซต พิซซ่าพร้อมสปาเก็ตตี้ครีมซอสกุ้ง และโค้กรีฟิว เติมไม่อั้น 18900 วอน (567 บาท) (ปล.หิวจนลืมถ่ายรูป) กินไม่หมด เหลือพิซซ่าอีก 2 ชิ้น เขามีถุงวางไว้ให้หยิบเอง เอาพิซซ่ากลับอีก 2 ชิ้น (ป.ล.สลัดที่นี้เป็นแบบเติมได้ไม่อั้นด้วย) อิ่มแล้วเดินเล่นที่เมียงดงอีกพักก็กลับห้องนอน
ปิดหน้าต่างหมดก็ยังหนาว ทีนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่มีแอร์ I See




วันที่สาม
ตื่นมาเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ลงไป Check out แล้วก็ฝากกระเป๋า ไว้กลับมาเอาตอนบ่าย 3 โมง ขอชมว่าพนังงานโรงแรมนี้น่ารักมาก แต่เราสิไม่น่ารักเลย ลืมทิปตลอดเลย ออกจากโรงแรมก็นั่งรถไฟฟ้าไปพระราชวังเคียงบกกุง




ค่าเข้าชมคนละ 3000 วอน (90 บาท) ถูกมาก





ที่นี่กว้างมาก โล่งมาก พื้นเป็นทราย อาคารเป็นไม้







ด้านในเป็นสวนโล่งๆ ต้นไม้น้อย และต้นไม้กำลังเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง ส้ม แดง


























โชคดีตอนจะกลับ ออกมาเจอการแสดงเปลี่ยนเวรของทหารที่ด้านหน้าพระราชวังพอดี ปกติเขาจะแสดงเป็นรอบๆ วันหนึ่งไม่กี่รอบ







จากนั้นก็มุ่งหน้าไปถนนแฟชั่นแถวมหาวิทยาลัยสตรีอึฮวา นี่แหละที่ๆ เราต้องการ ร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นเพียบ เยอะกว่าเมียงดงอีก ร้านใกล้มหาลัยสตรีจะมีเสื้อผ้าผู้หญิงสไตล์เกาหลีเต็มไปหมด ราคา 500 บาทขึ้นไป (18000 วอนขึ้นไป) แต่ถ้าเดินมาทางซ้ายเข้าไปตามซอย จะเจอราคาไม่แพง เสื้อยืดตัวละ 150 บาท เสื้อคลุมสำหรับใส่ทำงาน 300 บาท หมวกถักหน้าหนาว 150 บาท กระโปรงยีนส์สั้น 180 บาท มีทั้งเสื้อผ้าลดราคา ไม่ลดราคา ของผู้ชายก็เยอะ แนวเกาหลีเลย เราได้เสื้อแจ๊คเกตยีนส์แบบเก๋มา 1 ตัวให้น้องชาย 750 บาท เสื้อแจ็คเก๊ตแบบเท่ห์สีขาว 270 บาท รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับเพียบ เราได้มาเยอะมากๆ อย่างเสื้อผ้าเกาหลีที่บ้านเราราคาขายเริ่มต้นที่ 300 บาท แต่ที่โน่น 150 บาท และเกาหลีแท้ ไม่ใช่แบบเกาหลีแต่ไทยเย็บ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงหนาวเสื้อผ้าจะเป็นสำหรับหน้าหนาว แต่ก็มีเอาเสื้อผ้าหน้าร้อนมา Sale หน้าร้านบ้างนิดหน่อย







อาหารมื้อเที่ยงของเรา หาร้านกินย่านถนนแฟชั่นนี่แหละ สั่งมาเป็นข้าวยำ หรือที่เรียกว่า บิบิมบับ เป็นข้าวหน้าผักไข่ดาว เวลากินให้คลุกๆ แล้วก็กิน อร่อยดี ไม่เลี่ยน ต่างจากอีกจานที่สั่งเป็นข้าวกับหมูชุบแป้งทอดราดซอส เลี่ยนมากๆ อาหารจะมาพร้อมกิมจิ, หัวไชเท้าดอง (ดองซะเหลือง ดองซะเปรี้ยวเลย) และน้ำซุป พร้อมน้ำเปล่าฟรี มื้อนี้หมดไป 8500 วอน (บิบิมบับ 4000 วอน=120 บาท, ข้าวหมูทอด 4500 วอน = 135 บาท) ถูกกว่าย่านเมียงดง




กินอิ่มเดินช้อปอีกพักก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม ลากข้ามไปฝั่งเมียงดงอีกรอบ ช้อปต่ออีกหน่อย เพราะตั้งใจจะรอขึ้นรถตอน 4 โมงเย็น เข้าไป Refund บัตร T-Money คืนที่ร้าน GS25 แต่ได้คืนไม่ครบ นอกจากค่าบัตรที่เราซื้อไป 2500 วอน (75 บาท) แล้ว มูลค่าที่เหลือในบัตรจะถูกทางร้านหักไปอีก ได้คืนมาแค่ซื้อ โค้กได้ 1 ขวดเล็ก กับนมอีก 1 กล่อง แต่ก็ดีกว่าทิ้ง
สำหรับใครที่คิดจะซื้อบัตร T-Money ขอบอกข้อมูลให้ว่า เวลาซื้อที่ตู้อัตโนมัติตามสถานี ซื้อเป็นภาษาเกาหลี แต่ไม่ต้องกังวลเพราะจะมีคนสูงอายุที่คอยช่วยเหลือคนในสถานีรถไฟฟ้าให้เขาช่วยได้ แหมว่าเขาจะไม่รู้
ภาษาอังกฤษ แต่ภาษาใบ้ใช้ได้ หรือเจ้าหน้าที่ก็ได้ ขั้นแรกซื้อบัตรก่อน คนละใบ ใบละ 2500 วอน แล้วเอาบัตรมาวาง ใส่เงินเข้าไป จะมีตัวเลขให้เลือกว่าจะเติมเท่าไร เราเติมไปครั้งแรกคนละ 5000 วอน และก็ต้องเติมอีก 5000 วอนในวันที่ 2 เพราะทุกครั้งที่เรานั่งรถไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง (ไม่ว่าจะต่อกี่ต่อก็ตาม) ราคาจะอยู่ที่ 900 วอน (27 บาท) แต่ถ้าออกนอกเมืองก็ประมาณ 1000 วอน (30 บาท) มูลค่าบัตรจะขึ้นเวลาเอาออกจากสถานี ราคาถือว่าถูกกว่าบ้านเรามาก แต่เวลาต่อสายต้องดูให้แน่ใจก่อนขึ้น ควรจะหาแผนที่รถไฟฟ้าที่เป็นภาษาอังกฤษติดตัวไปด้วย ที่มีข้อมูลว่าสถานีไหนต่อสายอะไรได้บ้างจะดีมาก

ขากลับก็ยืนรอรถที่ป้ายซึ่งลงตอนขามา นั่งรถบัสสายเดิม แถมเจอคนขับคนเดิมด้วย หยอดเงินใส่ตู้แล้วก็ขึ้นไปนั่ง ยาวไปถึงสนามบินเลย สะดวกสบายจริงๆ ดังนั้นการเที่ยวเองจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นในโซล แต่ถ้าจะไปนอกเมืองที่ไม่มีรถไฟฟ้าใต้ดิน คิดว่าคงจะยุ่งอยู่เหมือนกัน เพราะคนเกาหลีพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้

ช่วงต้นฤดูหนาวที่โซลน่าเที่ยวมาก เพราะสาวๆ ที่นี่แต่งตัวกันสวยๆ ใส่บูท ใส่เสื้อหนัง แฟชั่นเหมือนหนังเกาหลีเลย เดินเล่นแค่ดูสาวๆ แต่งตัวก็เพลินแล้ว แถมตามสถานีรถไฟใต้ดินยังมีร้านให้ช้อปปิ้งใต้ดินอีก รับรองว่ามีเงินเท่าไร ถ้าห้ามใจไม่ได้ก็หมดตัวแน่ๆ เลย สำหรับสาวกเกาหลีทั้งหลาย

ไว้คราวหน้าเจอตั๋วถูกและดีจะไปเยือนเกาหลีอีกรอบ แล้วเจอกันนะจ๊ะ โซลจ้า รักโซลจริงๆๆ (20-23 Oct 2009)







Create Date : 16 ธันวาคม 2552
Last Update : 3 มกราคม 2553 16:39:39 น. 1 comments
Counter : 3105 Pageviews.  

 
อยากไปนั่งเขียนรูปจัง


โดย: เกรียง (ลายเส้น สีน้ำ ) วันที่: 5 มกราคม 2553 เวลา:0:11:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

fiatpu
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add fiatpu's blog to your web]