Group Blog |
กว่าจะเก่งอังกฤษขนาดฝรั่งชมก็ใช้เวลาแค่ 30 ปีเอง
เห็นตั้งหัวข้อไว้แบบนี้ บางคนอาจจะบอกว่า "เออ เมิงเก่งมากหรือไง" หรือ "กรูไม่เก่งบ้างก็แล้วไป" จริงๆไม่ใช่หรอก เพราะไม่มีใครออกมาจากท้องพ่อ ท้องแม่แล้วพูดภาษาได้ ถ้าไม่มีการเสี้ยมสอนให้พูด ไม่งั้นเด็กในสลัมจะด่า "ไอ้เฮี่ย" ได้ตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนได้อย่างไร ใช่ไหมครับ
ถ้าทนอ่านไปจนจบ ก็คงได้เกร็ดในการพัฒนาภาษาเยอะครับ แต่ไม่ได้แยกแยะเป็นข้อ ๑ ๒ ๓ เพราะไม่ใช่เจตนาแต่แรกแล้ว ถือเป็นการเล่าเรื่อง แบ่งปันประสบการณ์ ผมก็เรียนผิด เรียนถูกมาเยอะกว่าจะมาถึงวันนี้ ผมจำได้สมัยตอนเรียนป. ๕ โรงเรียนผมที่อยู่ข้างๆโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ใช้แบบเรียน Oxford's English for Thai หรือไงเนี่ย นี่หน้าปกเป็นรูปวัดอรุณราชวราราม ซึ่งพอผมโตก็เห็นว่าเป็นการเลือกภาพที่เหมาะสม เพราะภาษาอังกฤษ เราเรียกวัดนี้ว่า The Temple of Dawn หรือวัดดอนยานนาวา (ฮาไหม) พูดง่ายๆคือ เรียนหนังสือเล่มนี้รับรองเป็นการเริ่มต้นที่ดีอะไรเทือกนั้น แต่ที่แน่ๆภาษาอังกฤษของผม และเพื่อนร่วมโรงเรียนอยู่ในขั้นห่วยอย่างแน่นอน เพราะเมื่อผมไปเรียนต่อที่โรงเรียนในกทม. (ผมเกิดที่นี่ แต่ไปโตจังหวัดนนท์ ซึ่งเป็นข้ออธิบายว่าทำไมการเรียนผมจึงล้าหลัง ฮา) แล้วเขาจับผมไปเรียนในห้องที่เก่งที่สุด ก็ได้เรื่องสิครับ เพราะภาษาอังกฤษผมแย่มากๆแบบครูแทบไม่รับสอน เพราะเรื่อง tense ง่ายๆผมยังไปไม่เป็นเลย จำได้ว่าเป็นอะไรที่ทุเรศมาก เพราะไม่เข้าใจอะไรใดๆทั้งสิ้น ผมก็เรียนถูลู่ถูกังไปหนึ่งปีการศึกษา แต่โดยไม่รู้ตัวก็คือ โรงเรียนได้ปูพื้นฐานการเรียนภาษาอังกฤษของผมใหม่ในแบบไทยๆ คือ อ่านออก สอบได้คะแนนดี แต่ฟังไม่เข้าใจ พูดไม่เป็น เมื่อผมขึ้นมศ. ๒ ด้วยความที่อาจารย์ประจำชั้นสอนภาษาอังกฤษ ห้องเราจึงโดนเคี่ยวหนักมาก และความที่ผมไม่เก่งเลข และพีชคณิตแบบหาตัวจับยาก ผมก็เลยมาเอาดีทางภาษา และเป็นคนนึงในชั้นที่ก้าวหน้าเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษมาก แบบก้าวกระโดด เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่มีอะไรเลยครับ ผมเพียงแต่เป็นคนรักการอ่าน และมักจะเอาหนังสือแบบเรียน และแบบเรียนนอกเวลามาอ่านก่อนเสมอๆ เพื่อที่จะได้ตามอาจารย์ได้ทัน และช่วยตอบคำถามต่างๆที่เพื่อนร่วมชั้นมักจะตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เตรียมตัว หรือไม่เข้าใจ เครื่องมือของผมมีเพียงพจนานุกรมเล่มเล็กๆโทรมๆของสอ เศรษฐบุตร อาศัยว่าเป็นคนเดาเรื่องเก่ง และเดาบริบทของเรื่องเก่ง การไม่รู้ศัพท์ (ในตอนนั้น) จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าไร แต่เรื่องที่เรานักเรียนไทยมีปัญหามาก คือ คำศัพท์นั้นอ่านออกเสียงอย่างไร และจะแยกพยางค์ หรือเน้นเสียงอย่างไร เพื่อนผมเคยออกเสียงคำว่า cowardly ด้วยความมั่นใจว่า โค-ว่า-ดลี้ เป็นอะไรที่ผมจำได้ทุกวันนี้ โชคดีอีกประการหนึ่ง คือ ผมเป็นคนความจำดี และสามารถท่องศัพท์ หรือกริยาสามช่องได้เร็ว เพราะว่าบ้านผมอยู่ไกล ใครท่องได้มาก และเร็ว ถูกต้อง จะได้กลับบ้านก่อน ดังนั้น วงศัพท์ และความรู้เรื่อง tense ของผมจึงก้าวหน้ากว่าเพื่อนฝูง การเรียนภาษาจึงเป็นของง่ายสำหรับผม และกลายเป็นความชอบและรักภาษาอังกฤา และภาษาต่างประเทศในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญให้ผมสามารถพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างก้าวกระโดดอีกครั้งในช่วงอดุมศึกษา และเมื่อทำงาน ความรักและหลงใหลใคร่รู้ทำให้ผมจะหาหนังสือการ์ตูนที่เป็นภาษาอังกฤษยาวๆมาอ่าน ตอนเป็นวัยรุ่นก็เขยิบไปอ่าน The Nation และเปิดพจนานุกรมแบบดะเรื่อยแบบจดคำศัพท์พร้อยไปทั้งหน้า เอาจนคิดว่ารู้เรื่อง หรือเดาเรื่องออก แต่ตอนนั้นเมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชนแล้ว ภาษาผมก็ยังไม่ดีเท่าไร เพราะแฟนที่เรียนโรงเรียนเอกชนเคยเขียนจดหมาย (สมัยนั้นจีบกันทางจดหมายเวลาไม่เจอกัน เพราะโทรศัพท์ขอยากกกกกกกมาก ใครมีโทรศัพท์บ้านถือว่ารวย หรือเส้นใหญ่) มาด่าว่า unfaithful man ผมเห็นแล้วงง ไอ้ อันเฟเธอะฟูล นี่คืออะไร ขนาดนั้นเลย หัวเลี้ยวหัวต่อของการพัฒนาทักษะของผมเริ่มขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้งเมื่อก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยผมรู้ว่าถ้าทำคะแนนภาษาอังกฤษสูงกว่าเฉลี่ย โอกาสเอ็นติดคณะท็อปฮิตนี่เห็นๆ เพราะคะแนนวิชาอื่นผมไม่อายใครอยู่แล้ว อีกอย่างคนที่เก่งภาษาในวัยขนาดนั้นในตอนนั้นก็มีไม่มากหรอก ผู้ที่มีพระคุณอย่างสูงต่อผมในครั้งนี้ คือ พี่สาวซึ่งไปทำการบ้านมาอย่างดี แล้วก็ชี้เป้าให้ผมไปเรียนภาษาฯที่โรงเรียนเสริมหลักสูตร ของอาจารย์สงวน วงศ์สุชาติ ที่เป็นกูรูเรื่องภาษาอังกฤษในตอนนั้น ประมาณว่าดังว่าครูลิลลี่ในตอนนี้สัก ๑๐ เท่าได้ ตอนนั้นคอร์สนึง ๕ พันบาท ซึ่งแพงเอาเรื่อง เพราะสมัยนั้นเรียนพิเศษ ๓-๔ วิชาจ่ายแค่ไม่ถึง ๑๐๐๐ บาทเอง มีแต่คนที่พ่อแม่มีตังค์เท่านั้นที่ได้เรียน เผอิญโชคดี (ต้องมีโชคด้วย) ที่ลุงผมรวย แล้วไม่มีลูกก็เลยอุดหนุนการศึกษาให้ผม เบ็ดเสร็จ ในช่วงต่างกรรมต่างวาระระหว่างก่อนเอ็น ตอนเรียนมหาลัย เรียนปริญญาโท ผมลงไปทั้งหมด ๔ คอร์สได้ หมดไปหลายหมื่นบาท ทั้งเตรียมเอ็น TOEFL, GRE, Vocabulary ฯลฯ ซึ่งบอกตรงๆผมสนุกมาก และความรู้ที่ได้นั้นเอามาใช้งานหากินได้จนทุกวันนี้ ก็ขอขอบคุณอาจารย์สงวน และพี่สาวที่แสนกรุณาเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนเรียนมหาลัย ผมได้แค่เทคคอร์สภาษาอังกฤษได้ไม่มากนัก เพราะมันมีโควต้า คนอยากเรียนเยอะ แต่สาขารับได้น้อย แต่ก็ได้เรียนเรื่องไวยกรณ์ และการเขียนเพิ่มเติมจนหมดเท่าที่เขาจะให้เด็กนอกสาขาเรียนได้ เพราะดันเรียนดีไปแย่งเกรดเด็กเอกเขาอีก (ว่าไปนั่น) ตอนนั้นผมก็พอรู้เลาๆว่าผมน่าจะเอาดีทางภาษาได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนเสียทีเดียว เพราะขาดการชี้แนะ คนที่ไม่มีตังค์ก็อย่าท้อ เพราะเพื่อนซี้ผมคนนึ่งไม่มีตังค์ได้เรียนแบบผม แต่มาขอเอาสมุดจดศัพท์ สมุดโน๊ตเรียนพิเศษของผมไปลอกทั้งหมด ก็ประหยัดไปได้เป็นหมื่นบาท และเขาเอ็นติดมหาลัยเดีัยวกันด้วย ไม่มีเงินต้องมีกัลญานมิตรครับท่าน จบตรี ผมเรียนปริญญาโทต่อ เพราะตอนนั้นเศรษฐกิจแย่ จำได้ว่าป๋าเปรมเป็นนายกฯ โดยสอบภาษาอังกฤษได้อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ระหว่างนั้นก็ไปลงเรียนแปลที่มหาลัยเปิดสอนด้วย ก็เรียนด้วยควาามสนุกสนาน และด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นหัวใจของการศึกษาหาความรู้นั่นแหละ เพราะถ้าไม่ชอบ เห็นเป็นยาขมแล้วคงจะกล้ำกลืนฝืนเรียนไปได้อย่างไร ระหว่างเรียนแรกๆก็ปล่อยไก่เยอะ เพราะอ่านพวกแมกกาซีน หรือหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษยังไม่มากพอ และสมัยนั้นไม่มีข่าวบีบีซี หรือซีเอ็นเอ็นเสียงในฟิล์มตามยูบีซี หรือทรูให้ดู มีครั้งนึงแปลคำว่า gasoline เป็นแก๊ส (ฮาไหม) เพราะไม่สันทัดจริงๆว่า American English มันจะกวนตีนแบบนี้ เรียนไปเรื่อยๆก็ปีกกล้าขาแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกลับเริ่มจับผิดเพื่อนเวลาอาจารย์ให้แปลกันสดๆ จนโต้กับอาจารย์ผู้สอนว่า "แปลผิด" ซึ่งแกก็แปลผิดจริงๆแหละ คือ คำว่า latitude ซึ่งมีความหมายทั้งในทางภูมิศาสตร์ และความหมายอื่น จับผิดอาจารย์ได้ไม่ใช่อะไร เพราะมีความรู้รอบตัวดี ยิ่งมีอาจารย์พิเศษที่ทำงานหนังสือพิมพ์มาถามว่า ทำงานที่ไหน เพราะแปลข่าวเป็นอังกฤษได้ดีมาก ก็บอกว่ายังไม่ได้ทำงานครับ อาศัยลอกๆสำนวนเอาครับ แสดงว่ามีแวว (อดอยาก) ซึ่งจริงๆแล้วการจดจำสำนวน รูปแบบการเขียนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และถูกต้อง เพราะการใช้ภาษาในบริบทที่ต่างกัน หรือสถานภาพของผู้พูดต่างกันนั้น สำนวนและศัพท์ก็ต่างกันด้วย สำคัญว่าต้องเข้าใจว่า เมื่อไรจะใช้อะไร ให้ถูกกาลเทศะ ถูกอารมณ์ และถูกเวลา เป็นเรื่องที่จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ไม่เชิงซะทีเดียว อาศัยว่าตาไว สมองไว และจดเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอด และทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ เพราะเป็นการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง และมันก็ แปลกที่ถ้าเราได้ยินสำนวนที่เราไม่เคยใช้มาก่อน พอจำได้ เราจะได้ยิน และเจอสำนวนนั้นบ่อยมาก และก็เอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ หรือถ้าไม่แน่ใจก็ไปถามเพื่อนฝรั่งว่า ตัวนี้ยูใช้อย่างไร หรีอมีความแตกต่างกันอย่างไร เช่น ถามเขาว่า promote กับ encourage ดีกรีต่างกันอย่างไร ก็ได้ความรู้ดี คนไทยส่วนใหญ่ หรือคนบางชาติอย่างอินเดีย ผมคิดว่ามีวงศ์ศัพท์กว้างกว่าเจ้าของภาษามาก เพราะเราเรียนแบบไม่รู้ เอาแม่งมาหมดทั้งโหลเลย แล้วไปหาวิธีใช้เอาที่สามแยกข้างหน้า ส่วนแขกนั้นเป็นพวกใช้ภาษาเขียนสวิงสวาย พะรุงพะรังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อแรกที่ผมอ่านหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ผมชอบอ่านคอลัมน์ของคุณ Edward Tangarajah เป็นอย่างมาก และชอบวิธีการเขียนของแก เพราะแกใช้ศัพท์สวยๆซึ่งตรงกับที่ผมเรียนมา แต่อาจารย์ก็มาแนะว่า มันรุงรังเกินไป ภาษาที่ดี คือ สื่อสารได้โดยชัดเจนก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรจะเล่นศัพท์ หรือสำนวนเกินไป อาจทำให้ความหมายเลือนไปได้ และในหน้าที่การงาน วันหนึ่งผมก็ได้รู้จัก และคุ้นเคยกับลุง Edward เข้าจนได้ ผมโล่งอย่างหนึ่งว่าภาษาพูดแกเข้าใจง่ายกว่าแขกทั่วไปเยอะ และครั้งแรกที่เจอแกๆก็เปิดเบียร์ให้กินแล้ว เป็นฮินดูที่น่าคบจริงๆ คำแนะนำของอาจารย์นี้ผมได้นำไปใช้ในการฝึกพนักงานแปลจบใหม่ที่ล้วนเป็นเด็กเกียรตินิยมจากมหาลัยดังๆสองแห่ง และมีอีโก้ และความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า กรูเจ๋ง เพราะกรูเกลียดนิยม ซึ่งพวกเราบรรดานักแปลที่มีชั่วโมงบินสูงกว่าต่างส่ายหัวกันเป็นแถว เพราะการถอดความ หรือการแปลที่น้องๆทำนั้นจัดได้ว่า "ออกทะเลจนแก้ไม่ไหวเอาเลย" เพราะไม่เข้าใจบริบท และสำนวนภาษาและศัพท์แสงทางวิชาการ หรือเฉพาะกลุ่มอาชีพ และที่สำคัญหลายๆคนใช้ภาษาเชิงวรรณกรรมในงานข่าว หรือธุรกิจ เล่นเอาอ่านไป ชื่นชมในความรู้ไปละครับ ส่วนใหญ่เราก็แนะนำ แก้ไขให้และหลายๆคนตอนนี้ก็เจริญก้าวหน้าเป็นมืออาชีพไปหมดแล้ว บางคนก็เป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ หรือสำนักข่าวต่างประเทศไปโน่น ส่วนที่อีโก้จัด ก็ต้องปล่อยวัดให้ไปเป็นปัญหาของบริษัทอื่นต่อไป การที่ผมเข้ามาทำงานแปล และถนัดการแปลไทยเป็นอังกฤษ เพราะหนึ่ง ผมมีความเข้าใจในภาษาไทยมากกว่าแน่นอน และความก้าวหน้าของเรานั้นยังล้าหลังเขาอยู่ ดังนั้น จึงแทบจะไม่มีเรื่องอะไรที่แปลเป็นภาษาต่างชาติแล้วยาก ยกเว้นเรื่อง ความรู้สึกนึกคิด หรือเรื่องที่จับต้องไม่ได้ทั้งหลาย ซึ่งเมื่อชั่วโมงบินมากเข้าคุณก็ทำได้เองนั่นแหละ อีกอย่าง คือ ผมคิดว่าภาษาไทยผมไม่ค่อยดีเท่าไร หมายถึงการเขียน และการเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่ดีได้ตามมาตรฐานเจ้าของภาษานั้นสำหรับผมกลับทำได้ง่ายกว่าการเขียนไทยให้ได้มาตรฐาน ซึ่งงานแปลแบบวันเวย์แบบนี้ทำให้ผมพัฒนาทักษะในการเขียนจนถึงระดับเจ้าของภาษาได้ในเวลาต่อมา (ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเข้า ๓๐ ปีแล้ว เรียกว่า กว่าจะเก่งได้จริงๆก็ใช้เวลาเกือบสามทศวรรษ!) ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาแล้วถือว่าเป็นทักษะที่ได้มาด้วยความอึดทะลุแดด การสังเกต ความอุตสาหะ และความพยายามอย่างมากและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝรั่งจะแปลกใจอยู่เสมอว่า "มันทำได้ไงวะ" ทำได้ ผมรู้จักคนไทยที่เก่งภาษามากมายที่เก่งกว่านักเรียนนอกแบบไม่เห็นฝุ่น ความซวยก็เกิดได้ เพราะจะได้รับมอบหมายให้ทำงานติดต่อกับคนต่างชาติอยู่ตลอด และเป็นคนที่โดนยัดเยียดให้ร่างชิ้นงานภาษาอังกฤษมาตลอดเช่นกัน เพราะการจ้างเจ้าของภาษาเขียนนั้นแพงกว่ามาก เพราะคิดเป็นรายชิ้น หรือรายชั่วโมง การที่คนไทยทำได้ (แม้จะไม่สมบูรณ์จนหาที่ติไม่ได้) เป็นสิ่งที่นายจ้างทั้งไทยและต่างชาติชอบ เพราะลดค่าใช้จ่ายได้เยอะ เมื่อต่อมาได้ทำงานในสถานที่ทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการก็เหมือนกับถูกส่งไปประจำในต่างประเทศทีเดียว แถมเป็นนายจ้างที่โคตรจะจริงจังกับการทำงานเสียด้วย และการที่เอกสารทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ และหัวหน้าก็ไม่มีเวลามาคอยตรวจเช็คภาษาที่เขียนทั้งแผนงานและรายงานกันอยู่วันละหลายชิ้น อยู่บ่อยๆ ความจำเป็นที่ต้องพึ่งตัวเองก็ทำให้ได้พัฒนาทักษะการเขียนได้อย่างเต็มที่ จนบางครั้งเวลาต้องเขียนจดหมายเป็นภาษาไทยถึงหน่วยงานราชการ หรือเอกชนไทย พวกเราก็ต้องวิ่งวุ่นตรวจภาษากันน่าดู เพราะหลายๆเดือนจะเขียนกันสักฉบับนึง หลังจากนั้น ผมก็วนเวียนอยู่ในบริษัทฝรั่งมาตลอด และโดนมอบหมายงานที่ต้องช่วยดูแลเรื่องภาษาเขียนของน้องๆ และเพื่อนๆอยู่เสมอๆ เพราะว่าบริษัทประหยัดเงินได้มากอย่างที่บอก โดยเฉพาะงานเร่งด่วนที่ต้องเสร็จในวันนั้นก็จะมีรายการ "คุณขอมา" อยู่เสมอๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไปรู้เรื่องอะไรไปเสียหมด เพราะจำได้ว่าถอดความภาษาอังกฤษเป็นไทยครั้งนึง ด้วยเวลาที่จำกัดก็แปลอ้อมๆไปแบบน่าขายหน้าอยู่ครั้ง คววามผิดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะจำได้ และก็จะไม่ผิดอีก ก็เป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกัน และข้อดีอย่างมาก คือ ค่าตัวของผมจะสูงกว่า เพราะนอกจากจะมีความชำนาญในสาขาอาชีพอย่างหาตัวจับยากแล้ว ยังสามารถใช้ภาษาได้ดี และมีพฤติกรรมในการทำงานที่รู้ใส้รู้พุงของคนต่างชาติเป็นอย่างดี เวลาไปนั่งวงคุย หรือเจรจาอะไร เราก็จะไม่สงบปาก สงบคำ ไม่หงอตามแบบคนเอเชีย หรือคนไทย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับงาน แต่ในชีวิตส่วนตัวเมื่อนิสัยในที่ทำงานกลายเป็นนิสัยนอกที่ทำงาน ก็อาจจะเป็นปัญหาได้ เพราะความเป็นคนตรง และเปิดเผยอาจไม่เป็นที่สบอารมณ์ของคนไทยที่ระวังเรื่อง หน้าตา และการเสียหน้าอยู่เป็นนิจ ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน เนื่องด้วยสมาชิกครอบครัวไทยไม่ชอบคุยกันต่อหน้า แต่ไปนินทากันลับหลัง ไม่ว่าผู้หญิง หรือผู้ชาย ก็ถือเป็นวิบากกรรมของการคบหา "ผรั่ง" มากไปจนเสียนิสัย เป็นบทเรียนนะครับ ว่างๆจะมาเขียนเรื่อง การทำข้อสอบภาษาอังกฤษให้ผ่าน สำหรับคนที่ตกอังกฤษพื้ฐานซ้ำซากครับ หมูๆครับ ภาษาอังกฤษกับคนไทย ทำไม และอย่างไรถึงเก่ง?
ผมอยากจะบอกว่า ภาษาอังกฤษไม่จำเป็นสำหรับทุกคน หรือคุณ หรือผม
ถ้าคุณไม่ได้คิดว่าจะคบหากับคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ที่อยู่ในประเทศเรา หรือที่ไหนในโลก โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้คาดหวัง หรือตั้งเป้าว่าจะทำงานในบริษัท หรือองค์กรที่ใช้ภาษาอังกฤษในการทำธุรกิจ หรือตราบที่คุณพอใจกับไกด์พูดภาษาไทยยามไปทัวร์ต่างประเทศ หรือตราบเท่าที่ลูกเขยยังรักลูกสาวอยู่ แม้ว่าคุณกับเขาจะสื่อสารกันไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องใส่ใจ หรือกังวล ในอีกแง่มุมนึง ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ คือ โอกาสทางรายได้ ทั้งที่เป็นงานอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ หรือเพื่อการหาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ผมเชื่อว่่า คนไทยอาจจะเป็นชาติเดียวในโลก หมายรวมทั้งจักรวาลถ้ามันมีสิ่งมีชีวิตตัวเขียวๆอยู่จริง ที่มองว่าคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ คือ คนเก่ง หรือเรียนเก่ง ทำนองเดียวกับที่มองว่าคนเรียนหมอ คือ คนเก่ง หรือหมอทุกคนเก่ง มันอาจจะเป็นเพราะว่า สังคมไทยตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง (ไม่ได้มีนัยทางการเมืองนะครับ) เราไม่เคยยอมรับนับถือคนที่พูดเก่ง หรือใช้ภาษาไทยดีเหมือนที่บรรพบุรุษของเราเคยกระทำ เพราะสมัยพระเจ้าเหานั้น คุณสามารถได้รับการอุปถัมภ์ มีงานทำ และมีบ้านคุ้มกะลาหัวได้หากมีวาทศิลป์ หรือเป็นคนที่มีสามารถในเชิงฉันท์กาพย์กลอน ซึ่งอาจจะหามาได้จากการบวชเรียน หรือครูพักลักจำ หากมีพรสวรรค์ และหัวไว ชีวิตก็อาจพลิกผลันเจริญก้าวหน้าได้ นี่ไม่นับบรรดากวีเอก หรือโท ที่มีมากในหมู่ผู้ที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หรือบุตรหลานของคนชั้นสูงที่เข้าถึงกาีรศึกษาได้ง่ายกว่าไพร่ หรือทาส จนเราได้ยินคำโบราณที่มักจะชมคนหนุ่มที่มีอนาคตว่า "ช่างเจรจา" หรือ "เจ้าบทเจ้ากลอนใช้ได้ทีเดียว" ในยุคโบราณนั้น ผู้ที่มีทักษะ และพรสวรรค์ในด้านภาษา ทั้งการร้องเห่ หรือการประพันธ์ เป็นที่นิยม ชื่นชม และเป็นที่กล่าวขวัญ อาจจะด้วยว่าความบันเทิงในสมัยก่อนนั้นจำกัดอยู่ที่ความสามารถเฉพาะบุคคล ซึ่งถ้าเป็นคนที่บุคลิกเป็นที่น่ารักด้วยแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีวาสนาทีเดียว การเรียน หรือการรู้ภาษาต่างชาติแต่ไหนแต่ไรมาแล้วเป็นการเรียนเพื่อวัตถุประสงค์แคบๆ คือ เพื่อรู้เท่าทันฝรั่ง และศึกษาวิทยาการความรู้ใหม่ๆที่ประเทศเรายังล้าหลังอยู่ การรู้และใช้ภาษาต่างประเทศได้จึงเป็นคุณสมบัติ หรือเป็นสิ่งที่จำกัดอยู่กับผู้ที่ได้รับการคัดสรรว่าเฉลียวฉลาด และเหมาะสมที่จะเป็นผู้ที่ไปศึกษา และกอบโกยความรู้โพ้นทะเล เพื่อมาถ่ายทอดต่อคนหมู่มากในเวลาต่อมา ในทำนองเดียวกันกับการเพิ่มปริมาณของผู้ชำนาญเรื่อง การประพันธ์ ในอดีต ที่เริ่มจะถูกมองว่าคร่ำครึ หรือไม่เข้ากับสังคมที่กำลังถูกปรับ ถูกบิด ถูกดันให้เปิดต่อกระแสตะวันตกที่เข้ามากลบและลบอิทธิพลของอารยธรรมตะวันออกที่แต่ไหนแต่ไรแล้วเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตแบบไทยๆ คนไทยกลุ่มแรกๆ ที่ได้มีโอกาสเรียนภาษาต่างประเทศจนถึงขั้นเจรจาความได้ในหลายระดับนั้นจึงจำกัด และเริ่มจากผู้ที่มีความใกล้ชิดทั้งทางสายเลือด หรือเครือญาติกับผู้ปกครอง ขุนนาง ชนชั้นผู้ดี ข้าราชการที่ปราดเปรื่อง และบุตรหลานของเศรษฐีใหม่ เหมารวมว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ และมีความพร้อมทางการเงินโดยทางตรง และทางอ้อม (ทุนเล่าเรียนหลวง หรือทุนรัฐบาล) ในการที่จะสืบต่อภารกิจของการเป็นล่ามเพื่อถ่ายทอดความรู้ทางด้านวิทยการต่างๆ ผู้ที่ใช้ภาษาต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คือ ภาษาอังกฤษนั้นจึงมีสถานะทางสังคมที่อยู่เหนือผู้ที่มีการศึกษาโดยปกติทั่วไปอยู่มากพอสมควร วลีที่คนสมัยนี้จะได้ยินจากละครโทรทัศน์ที่สะท้อนแนวคิดทางสังคมนี้ เช่น "ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา" หรือ "จบมาจากเมืองฝรั่ง" ซึ่งเป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความชื่นชมมากพอๆกับความยำเกรง และความไม่เข้าใจไปพร้อมกัน ปัจจุบันนี้ การไปเรียนต่อต่างประเทศกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในหมู่ชนชั้นนำ และผู้มีอันจะกินในเมืองใหญ่ หรืออำเภอโนเนมเกือบจะทั่วประเทศ ในระหว่างการทำงานกับองค์กรของต่างชาติช่วงหนึ่ง ผมอดจะแปลกใจไม่ได้ว่า บุตรหลานของคนที่มีฐานะร่ำรวยในจังหวัดที่เราไม่คุ้นเคยนั้นน่าจะไปเรียนต่างประเทศกันในอัตราที่สูงมากกว่าที่ผมเคยรู้ หรือคาดเดาไว้ จะด้วยการยอมรับในคุณภาพการศึกษา ค่านิยม หรือเป็นเรื่องการแสดงออกซึ่งฐานะก็เหลือจะเดา แต่ผมก็เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้ว ผลลัพธ์นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม แม้ในหมู่ข้าราชการ หรือลูกจ้างเอกชน ที่ได้รับทุน หรือโอกาสในการไปทำงานในต่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็ต้องถือว่านอกจากจะเป็นผู้ที่มีสติปัญญาดีกว่าคนอื่นแล้ว ยังต้องมีทักษะในภาษาต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี เป็นที่ทราบกันดีว่า โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีทักษะในภาษาต่างชาติ หรือภาษาอังกฤษนั้นมีโอกาสที่จะหางานทำได้ง่ายกว่า และได้ค่าจ้างที่น่าพอใจทีเดียว แม้ว่าถ้าเราเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดแล้วจะพบว่า คนไทยที่มีทักษะในการใช้ภาษาต่างประเทศที่ได้มาตรฐานสากลนั้นยังมีอยู่ในจำนวนน้อย คนไทยในวัยทำงานที่มีทักษะทางภาษาอังกฤษสูงรวมกันทั้งประเทศ (กรุณาอย่าคำนวณจากจำนวนนักศึกษาไทยที่ไปเรียนต่างประเทศในแต่ละปี ด้วยมีเหตุปัจจัยอื่นที่ไม่สามารถเหมาเข่งได้ว่าทั้งหมดมีทักษะทางภาษาที่ได้มาตรฐาน) น่าจะอยู่ในจำนวนที่ไม่มากเท่าสิงคโปร์ที่น่าจะมีแรงงานกลุ่มดังกล่าวไม่น่าจะน้อยกว่าหนึ่งล้านคน (ใครมีตัวเลขที่ชัดเจนก็ช่วยด้วยครับ) ทั้งนี้เราต้องตระหนักว่า การศึกษาเพื่อใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน หรือการทำงานถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่ การที่จะพัฒนาทักษะในการใช้ภาษา (ในที่นี้ คือ ภาษาอังกฤษ) จนคล่องแคล่ว ทั้งอ่าน พูด และเขียนนั้นเกิดจากปัจจัยหลายประการ ในกรณีของคนไทยหมู่มากที่ไม่มีทั้งโอกาส และทุนรอน อาจะใช้เวลานับ 10 ปี หรือมากกว่า ด้วยการเรียนรู้ที่ผ่านมานั้นไม่มีประสิทธิภาพ และเป็นอุปสรรคอย่างน้อยในระยะแรกๆในการพัฒนาทักษะในการใช้ภาษาที่ถูกกับบริบท และกาลเทศะ (มีต่อ) |
Double07
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Link |