|
||||
รัฐ - ธปท.เปิดตัว โครงการแก้หนี้ คุณสู้-เราช่วย
โครงการ "คุณสู้-เราช่วย" ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการ สมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอีที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการบรรเทาภาระหนี้และสนับสนุนให้ลูกหนี้สามารถฟื้นฟูสถานะทางการเงินของตนเองได้
โครงการนี้ได้ออกแบบมาอย่างรอบคอบ โดยแบ่งออกเป็นสองมาตรการหลัก มาตรการแรกคือ "จ่ายตรง คงทรัพย์" ซึ่งมุ่งเน้นการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเคยปรับโครงสร้างหนี้มาก่อน โดยครอบคลุมสินเชื่อประเภทต่างๆ อาทิ สินเชื่อบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท สินเชื่อรถยนต์ไม่เกิน 800,000 บาท และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 50,000 บาท รวมถึงสินเชื่อเอสเอ็มอีวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท มาตรการนี้มีความยืดหยุ่นโดยกำหนดให้ลูกหนี้สามารถลดค่างวดผ่อนส่งรายเดือนลงเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยปีแรกชำระเพียง 50% ปีที่สองชำระ 70% และปีที่สามชำระ 90% ของค่างวดเดิม นอกจากนี้ยังมีการพักดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ครบถ้วน อาทิ การส่งค่างวดตรงเวลาและไม่ก่อหนี้ใหม่เป็นระยะเวลา 12 เดือน จะได้รับการยกดอกเบี้ยที่พักไว้ทั้งหมด มาตรการที่สอง คือ "จ่าย ปิด จบ" เป็นการช่วยลดภาระหนี้สำหรับลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้และมียอดคงค้างไม่สูง โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้เจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ ซึ่งจะมีการลดภาระหนี้ให้โดยลูกหนี้จ่ายเพียงบางส่วนเพื่อปิดจบหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น กรณีสินเชื่อบ้านที่มีหนี้คงค้าง 1.85 ล้านบาท หากเข้าร่วมโครงการ ลูกหนี้จะสามารถลดเงินต้นได้ถึง 250,000 บาท และได้รับการยกดอกเบี้ย 3 ปี มูลค่า 220,000 บาท รวมทั้งสามารถปิดหนี้เร็วขึ้น 2 ปี สำหรับสินเชื่อรถที่มีวงเงิน 610,000 บาท ก็มีประโยชน์ใกล้เคียงกัน โดยจะสามารถประหยัดดอกเบี้ยได้ 31,000 บาท และช่วยให้ลูกหนี้มีเงินสภาพคล่องมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามเงื่อนไข โดยลูกหนี้จะต้องไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติม ยินยอมให้รายงานข้อมูลต่อเครดิตบูโร และหากผิดเงื่อนไขจะต้องกลับไปชำระดอกเบี้ยตามเดิม โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยผู้สนใจสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 1213 อ้างอิง/แหล่งข้อมูล/บทความที่เกี่ยวข้อง: https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2830512 https://www.moneybigmatter.com/2024/12/how-can-we-start-saving-money.html เทคนิคควบคุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การควบคุมค่าใช้จ่ายไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณมีเงินเหลือเก็บ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้อีกด้วย ความสำคัญของการจัดการค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมักจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม หลายคนกลับมองข้ามความสำคัญของการจัดการค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในอนาคต การเริ่มต้นด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนและจัดการค่าใช้จ่ายจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ วิธีเริ่มต้นควบคุมค่าใช้จ่าย การควบคุมค่าใช้จ่ายเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้เงินของตัวเอง คุณควรบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเล็กน้อยเพียงใด เมื่อคุณเห็นภาพรวมของการใช้จ่ายทั้งหมด จะช่วยให้คุณระบุได้ว่ามีส่วนใดที่สามารถลดหรือปรับปรุงได้ หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หลายครั้งที่ค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นเข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น การซื้อของที่ไม่ได้วางแผนไว้หรือการใช้จ่ายเพื่อความพึงพอใจระยะสั้น การหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายประเภทนี้จะช่วยให้คุณมีเงินเหลือสำหรับสิ่งที่สำคัญกว่า การตั้งคำถามกับตัวเองก่อนตัดสินใจใช้เงิน เช่น “สิ่งนี้จำเป็นหรือไม่” จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น การวางแผนการเงินระยะยาว นอกจากการจัดการค่าใช้จ่ายในปัจจุบันแล้ว คุณควรมีการวางแผนการเงินระยะยาว เช่น การตั้งเป้าหมายการออมเงินหรือการลงทุน การมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย บทบาทของการศึกษาทางการเงิน การมีความรู้ทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง คุณสามารถเริ่มต้นจากการเรียนรู้เรื่องพื้นฐาน เช่น วิธีการบริหารงบประมาณ การวางแผนการออม และการลงทุน ความรู้เหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น ความยั่งยืนและความพอเพียง การควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ใช่เพียงการลดการใช้เงินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและพอเพียง คุณควรเลือกบริโภคสิ่งที่จำเป็นและเหมาะสมกับความต้องการจริงๆ การตัดสินใจเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ผลกระทบเชิงบวกจากการควบคุมค่าใช้จ่าย เมื่อคุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะพบว่ามีเงินเหลือสำหรับการลงทุนในสิ่งที่สำคัญ เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพ หรือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต นอกจากนี้ ความเครียดที่เกิดจากปัญหาทางการเงินจะลดลง ทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น . . การควบคุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อคุณปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ได้จะมีความสำคัญต่ออนาคตทางการเงินของคุณ การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็กๆ จะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ชีวิตที่มั่นคงและมีความสุขในระยะยาว “เพราะทุกบาทที่ประหยัดคือทุกก้าวที่มั่นคงในอนาคต” อ้างอิง/แหล่งข้อมูล/บทความที่เกี่ยวข้อง: https://www.moneybigmatter.com/2024/11/why-do-we-need-credit-card.html https://www.moneybigmatter.com/2024/11/i-have-credit-card-debt-what-happens-if.html https://www.moneybigmatter.com/2024/11/what-is-ats-deposit.html https://www.moneybigmatter.com/2024/11/visa-or-mastercard-credit-cards.html แนวคิดพื้นฐานของการลงทุน การสร้างความยั่งยืน
การลงทุนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การออมเงินในบัญชีธนาคารหรือการเก็บเงินในกระปุก แต่เป็นการนำเงินไปทำงานให้กับเรา เพื่อให้เงินนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้น แน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ด้วยการศึกษาข้อมูลและเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของการลงทุน เราสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ การทำความเข้าใจเรื่องการลงทุน ก่อนที่จะเริ่มต้นการลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจว่าการลงทุนคืออะไร และทำไมเราจึงควรลงทุน โดยทั่วไปแล้วการลงทุนคือการนำทรัพย์สินหรือเงินของเราไปใช้ในลักษณะต่าง ๆ ที่คาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนในอนาคต เช่น การลงทุนในหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม และอื่น ๆ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ซึ่งเราควรจะทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงเหล่านี้ก่อนตัดสินใจลงทุน ความเสี่ยงกับผลตอบแทน หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานของการลงทุนคือความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยทั่วไปแล้วการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ในทางกลับกัน การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำมักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า ยกตัวอย่างเช่น การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์จะให้ดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ แต่มีความปลอดภัยสูง ในขณะที่การลงทุนในหุ้นอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นการทำความเข้าใจในความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เรายอมรับได้เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเรา เป้าหมายทางการเงิน การลงทุนที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อการเกษียณ การซื้อบ้าน การศึกษา หรือการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว เป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้เรามีทิศทางในการลงทุนและสามารถเลือกประเภทของการลงทุนที่สอดคล้องกับระยะเวลาที่เราต้องการและความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ เช่น หากเรามีเป้าหมายที่จะเกษียณในอีก 20 ปีข้างหน้า เราอาจเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่หากเราต้องการใช้เงินในอีก 1-2 ปีข้างหน้า เราควรเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าเพื่อความปลอดภัย การจัดการพอร์ตการลงทุน การกระจายความเสี่ยงเป็นอีกหนึ่งแนวคิดสำคัญในการลงทุน ซึ่งหมายถึงการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยง โดยไม่ให้เงินลงทุนทั้งหมดของเราอยู่ในสินทรัพย์ประเภทเดียว เช่น การลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว หากหุ้นนั้นมีปัญหา เราอาจสูญเสียเงินทั้งหมด การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดโอกาสในการขาดทุนในกรณีที่สินทรัพย์บางประเภทไม่ได้ผลดี การจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว การวิเคราะห์และการวางแผนการลงทุน การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาด การศึกษางบการเงินของบริษัท ประวัติการจ่ายเงินปันผล แนวโน้มการเติบโตของตลาด หรือการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ การวางแผนการลงทุนที่ดีจะช่วยให้เรามีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น และสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดียิ่งขึ้น การอดทนและการมีวินัยในการลงทุน การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ต้องการเวลา ความอดทน และการมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ นักลงทุนที่มีความสำเร็จมักจะมีวินัยในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนรายเดือนในกองทุนรวม หรือการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในระยะยาว การอดทนรอคอยผลตอบแทนในระยะยาวเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราได้รับผลตอบแทนที่ดี การเรียนรู้และการปรับตัว โลกของการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดังนั้นการเรียนรู้และการปรับตัวจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องมีอยู่เสมอ การติดตามข่าวสารและการศึกษาแนวโน้มของตลาดจะช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น การลงทุนกับความรู้สึก การลงทุนไม่ได้เกี่ยวข้องแค่เรื่องการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของนักลงทุนด้วย ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ความกลัว ความโลภ และความกังวล สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนได้ นักลงทุนที่มีความรู้และความเข้าใจในจิตวิทยาการลงทุนจะสามารถควบคุมความรู้สึกเหล่านี้และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น การลงทุนในตัวเอง นอกจากการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินแล้ว การลงทุนในตัวเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ การศึกษาเพิ่มเติม การพัฒนาความสามารถพิเศษต่าง ๆ หรือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ล้วนแต่เป็นการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในรูปแบบของโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น การสร้างกระแสรายได้จากการลงทุน เมื่อเราเริ่มต้นลงทุนและได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน การนำผลตอบแทนเหล่านั้นกลับไปลงทุนใหม่เป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคง ซึ่งเรียกว่าการใช้ประโยชน์จาก "ดอกเบี้ยทบต้น" (Compound Interest) ยกตัวอย่างเช่น การนำเงินปันผลที่ได้รับจากการถือหุ้นไปลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม หรือการนำดอกเบี้ยที่ได้จากพันธบัตรไปลงทุนต่อ วิธีนี้จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่มีนักลงทุนคนใดที่ไม่เคยทำผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ในการลงทุน สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้น และไม่ทำผิดพลาดเดิมซ้ำอีก การวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ดีขึ้น และสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต การมองการณ์ไกล การลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักเกิดจากการมองการณ์ไกลและการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในระยะยาว เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แนวโน้มเศรษฐกิจโลก หรือการเปลี่ยนแปลงของสังคม การมองการณ์ไกลจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาสมดุลในชีวิตและการลงทุน แม้ว่าการลงทุนจะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง แต่การรักษาสมดุลระหว่างการลงทุนและการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เราควรแบ่งเวลาและทรัพยากรให้เพียงพอสำหรับการดูแลสุขภาพ ความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงการทำกิจกรรมที่เราชื่นชอบ การมีชีวิตที่สมดุลจะช่วยให้เรามีความสุขและประสบความสำเร็จในระยะยาว การลงทุนเพื่ออนาคตที่มั่นคง การลงทุนไม่ใช่เพียงการหาผลตอบแทนในระยะสั้น แต่เป็นการวางแผนเพื่ออนาคตที่มั่นคง การทำความเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานของการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีเหตุผลจะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ แม้ว่าเส้นทางการลงทุนจะมีความท้าทาย แต่ด้วยการมีความรู้และการวางแผนที่ดี เราจะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนและความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองและครอบครัวในระยะยาว อ้างอิง/แหล่งข้อมูล/บทความที่เกี่ยวข้อง: https://hammertrader.wordpress.com/what-is-etf/ https://hammertrader.wordpress.com/7-best-etf-trading-strategies-for-beginners/ https://hammertrader.wordpress.com/concerns-about-investing-in-etfs-that-should-not-be-ignored/ https://hammertrader.wordpress.com/what-is-the-difference-between-index-funds-and-etfs/ https://hammertrader.wordpress.com/how-to-choose-to-invest-in-etfs/ หลักการออมเงินแบบไหนที่สามารถทำได้ภายในหนึ่งเดือน
การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีการจัดการการเงินที่สำคัญและจำเป็นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การออมเงินไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีเงินสำรองในยามฉุกเฉิน แต่ยังสามารถใช้เป็นทุนในการลงทุนหรือทำตามความฝันในอนาคตได้อีกด้วย ในบทความนี้เราจะพูดถึงหลักการออมเงินที่สามารถทำได้ภายในหนึ่งเดือน ซึ่งจะช่วยให้คุณเริ่มต้นการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเริ่มต้นออมเงินในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนนั้นอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่หากเรามีการวางแผนและตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การออมเงินก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สิ่งแรกที่ควรทำคือการตรวจสอบรายรับและรายจ่ายของตนเองอย่างละเอียด การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราทราบว่าเรามีรายได้เท่าไหร่และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นมีอะไรบ้าง การบันทึกข้อมูลทางการเงินจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของสถานการณ์การเงินของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากที่เราทราบถึงรายรับและรายจ่ายแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตั้งเป้าหมายการออมเงินที่เป็นไปได้ในระยะเวลาหนึ่งเดือน เป้าหมายนี้อาจเป็นจำนวนเงินที่เราต้องการออม หรืออาจเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่เราตั้งใจจะออม เช่น หากเรามีรายได้เดือนละ 30,000 บาท เราอาจตั้งเป้าหมายออมเงินที่ 10% หรือ 3,000 บาทในเดือนนั้น การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการออมมากขึ้น เมื่อเราตั้งเป้าหมายได้แล้ว สิ่งที่สำคัญคือการจัดการกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะช่วยให้เรามีเงินเหลือสำหรับการออมมากขึ้น วิธีการหนึ่งที่สามารถทำได้คือการวางแผนการใช้จ่ายในแต่ละวัน โดยการกำหนดงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าอาหาร ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน การมีงบประมาณที่ชัดเจนจะช่วยให้เราควบคุมการใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การหาวิธีเพิ่มรายได้ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สามารถช่วยให้เราสามารถออมเงินได้มากขึ้นในระยะเวลาหนึ่งเดือน หากคุณมีทักษะหรือความสามารถพิเศษ เช่น การทำอาหาร การสอนพิเศษ หรือการทำงานฝีมือ คุณสามารถใช้ทักษะเหล่านี้เพื่อหารายได้เสริมในเวลาว่าง การมีรายได้เพิ่มเติมจะช่วยให้คุณสามารถออมเงินได้มากขึ้นและทำให้เป้าหมายการออมเงินของคุณเป็นจริงได้เร็วยิ่งขึ้น การสร้างนิสัยในการออมเงินก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การออมเงินไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้เพียงแค่เดือนเดียว แต่ควรเป็นนิสัยที่เราสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง การกำหนดวันและเวลาที่เราจะทำการออมเงิน เช่น การโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ในวันที่ได้รับเงินเดือน จะช่วยให้เรามีวินัยในการออมมากขึ้น นอกจากนี้ การตั้งบัญชีออมเงินแยกต่างหากจากบัญชีใช้จ่ายจะช่วยให้เราไม่ใช้เงินที่เราตั้งใจจะออมไปในกิจกรรมอื่น ๆ การติดตามความก้าวหน้าในการออมเงินก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เรามีกำลังใจในการออมมากขึ้น การบันทึกจำนวนเงินที่เราออมได้ในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือนจะช่วยให้เราเห็นพัฒนาการของตัวเอง และทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จที่เกิดขึ้น แม้ว่าอาจจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก แต่การเห็นเงินออมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นแรงผลักดันให้เราต้องการออมเงินต่อไป ในกรณีที่คุณมีเป้าหมายการออมเงินที่ใหญ่ขึ้น เช่น การซื้อบ้านหรือการลงทุนในธุรกิจ คุณอาจต้องใช้กลยุทธ์การออมที่แตกต่างออกไป เช่น การตั้งกองทุนออมเงินสำหรับเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณมีความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการออม และสามารถวางแผนการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สุดท้ายนี้ การออมเงินในระยะเวลาหนึ่งเดือนอาจดูเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่หากคุณมีการวางแผนที่ดีและตั้งใจจริง การออมเงินจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป การเริ่มต้นออมเงินในวันนี้จะช่วยให้คุณมีอนาคตทางการเงินที่มั่นคงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นอย่ารอช้า เริ่มต้นวางแผนการออมเงินของคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งใจไว้ในอนาคตได้อย่างมั่นใจ อ้างอิง/แหล่งข้อมูล/บทความที่เกี่ยวข้อง: https://moneybigmatter.wordpress.com/2024/09/04/how-can-we-start-saving-money/ เตรียมตัวก่อนเกษียณและการออมเงิน
ถ้าจะเกษียณต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ ?ถ้ามีคนถามมาแบบนี้ ก็คงจะเป็นอะไรที่หาคำตอบตายตัวได้ยาก เนื่องจากว่าคนเราก็ย่อมมีรสนิยมที่แตกต่างกัน ราคาของสินค้าแต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกัน คำตอบของแต่ละคนก็คงจะแตกต่างกันไปยิ่งถ้าใครได้ลองวางแผนการเกษียณของตัวเองดูแล้ว ก็คงจะพบว่ามีตัวแปรมากมายในที่จะใช้คำนวณเงินที่เราต้องเตรียมตัวเพื่อการเกษียณ ไม่ว่าจะเป็น เงินที่ต้องออมต่อเดือน ผลตอบแทน อัตราเงินเฟ้อ อายุหลังเกษียณ หรือแม้กระทั้ง ไลฟ์สไตล์หลังเกษียณของแต่ละคน.ลองคิดแบบง่ายๆ ถ้าเรามีชีวิตอยู่หลังเกษียณ 20 ปี ด้วยราคาค่าครองชีพปัจจุบัน ไม่นับสวัสดิการบำนาญต่างๆ และ ยังไม่นับรวมเงินเฟ้ออีกประมาณ 3% ต่อปี ถ้าเรามีแค่รายจ่ายแบบพอประทังชีวิต ก็ไม่น่าเยอะมากเท่าไหร่นัก แค่เก็บเงินให้ได้สัก 2 ล้าน กับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นๆ อย่าง ค่าอาหาร ค่ายา ค่าสาธารนูปโภคต่างๆ ประมาณ 8,500 บาทต่อเดือน ก็น่าจะอยู่รอดไปได้แบบพอดีๆแต่ราคาค่าใช้จ่ายดังกล่าว ไม่ได้นับรวมเรื่องอะไรที่ใช้เพื่อความบันเทิงเลย ค่าอาหารก็น้อยนิด กินบุฟเฟ่ต์สักมื้อก็ไม่พอแล้ว อย่างงี้ชีวิตหลังเกษียณก็คงน่าเบื่อแย่ ถ้าน้องถุงเงินอยากมีชีวิตอยู่แบบสบายๆ มีความสุขกับการได้ไปเที่ยว ได้กินอาหารดีๆ แน่นอนว่าเงินที่ต้องออมก็ต้องเพิ่มขึ้น เผื่อค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปด้วย สัก 24,000 บาทต่อเดือน รวมๆ แล้วตอนอายุ 60 เงินเก็บก็ต้องมีประมาณ 5 ล้านกว่าบาทแต่ถ้าเรามีเงินถึง 16 ล้าน ในช่วงก่อนเกษียณ ชีวิตก็คงเป็นเหมือนดั่งราชาในวัยชรา การไปเที่ยวต่างประเทศสักปีละครั้งสองครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แถมยังสามารถจ้างผู้ดูแลช่วยเราในชีวิตประจำวัน คงจะสุขสบายสมดังรางวัลแห่งการทำงานมาทั้งชีวิต.แต่ก็อย่างที่บอกนะครับว่า ราคาที่คำนวณให้ดูข้างต้นเป็นราคาของค่าครองชีพในปัจจุบัน ถ้าเราจะเกษียณในอีก 30 ปี ก็ต้องคูณค่าเงินเฟ้ออีกปีละ 3% เข้าไปอีก และราคาข้างต้นเป็นการคำนวณผ่านช่วงอายุหลังเกษียณเพียง 20 ปี ถ้าเราอายุยืนกว่านั้น เงินที่คำนวณไว้ก็คงไม่พอแน่ๆ แถมทุกวันนี้ก็เทคโนโลยีการแพทย์ก็ยิ่งดีขึ้นเรื่องๆ การที่เราจะมีอายุยืนขึ้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ยากเลยยิ่งวางแผนเกษียณเร็วก็ยิ่งดีนะครับ เพราะจะทำให้เราเตรียมพร้อมเรื่องการเงินได้ทันไม่ขัดสน และการเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะทำให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายได้ง่ายมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะถึงแม้เราจะวางแผนเรื่องการเงินดีแค่ไหน แต่ถ้าสุขภาพไม่ดีนอกจากจะหมดเงินไปกับค่ารักษาพยาบาลแล้ว เงินหลังเกษียณที่เก็บไว้ก็อาจจะไม่ได้ใช้ด้วย **ขอบคุณเนื้อหาคุณภาพจาก:
|
สมาชิกหมายเลข 1008458
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] All Blog Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |