เพื่อนกันวันสุดท้าย [สุดหล่อขอเล่า]

ผมอาร์..



อานุชิต เพื่อนไอ้โฟค พัชร หรือจะเรียกอีกอย่างในตอนนี้ว่า
.
.

แฟน
.
.

คุณคงไม่รู้ว่าผมกำลังรู้สึกยังไงในตอนนี้ เอาจริงๆผมเลือกไม่ถูกเลยว่าจะตบยุงที่บินว่อนอยู่แถวๆหูหรือควรตบแก้มที่อมยิ้มปากแถบฉีกก่อน


หน้าบ้านแฟนยุงเยอะน่ะครับ
.
.

เขินว่ะ คิกคิกคิก



ผมยืนอยู่หน้าบ้านโฟค หลังจากที่ส่งเข้าบ้านไปแล้วผมก็เดินกลับมาหยุดยืนอยู่หน้ารั้วบ้านมัน มองขึ้นไปที่หน้าต่างชั้นสองเห็นไฟเปิดสว่างโร่กับผ้าม่านที่เปิดออกกว้าง ยืนมองอยู่อย่างนั้นเกือบ20นาทีจึงนึกได้ว่าควรกลับบ้านตัวเองซักที


สิ่งหนึ่งที่คุณคงไม่รู้ก็คือ


ผมเฝ้ามองมันแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
.


.
OFOFOFOFOFOFOFOFOFOFOFOFOFOFOF



วันหนึ่งในฤดูร้อน พวกเราเด็กตัวกะเปี๊ยกนั่งรวมกันที่ลานหน้าเสาธงท่ามกลางแดดแปดโมง เด็กผู้ชายที่"ตัวกะเปี๊ยก"กว่าผมวิ่งกระหืดกระหอบตรงมานั่งที่พื้นที่ว่างข้างๆ ผมหันไปมองเด็กแก้มตุ่ยแถมยังแดงจัดเพราะแดดร้อน เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก  ผมหน้าม้าปัดเปียกชื้นเป็นก้อน ผมยิ้มให้ตามประสาคนอัธยาศัยดี มันยิ้มตอบก่อนจะเริ่มแนะนำตัวทำความรู้จักกัน


“เราชื่อโฟค”

“กูอาร์”
.

.
...........................................



การรับน้องมัธยมปีแรกผ่านไปได้ด้วยดี
..

..

..

.
.




กับผีน่ะสิ!!



ผมกับโฟคเราได้อยู่กลุ่มเดียวกัน เข้าฐานร่วมกัน เล่นเกมส์ด้วยกัน นอนด้วยกัน โฟคเป็นเด็กผู้ชายที่จิตใจพยายามจะซ่าบ้าบิ่นแต่ร่างกายไม่ให้ หลายครั้งที่ต้องทำกิจกรรมอะไรลุยๆจึงดูขะย่องขะแย่งชอบกล สุดท้ายคะแนนรวมของกลุ่มเราจึงจบอยู่ที่รองบ๊วย


ผมยังจำวันที่ประกาศคะแนนได้ โฟคมันโวยวายทำหน้ายู่เมื่อเพื่อนใหม่ที่เริ่มสนิทพากันเข้ามารุมตบตีขยี้หัว เพราะอะไรๆมันค่อนข้างชัดเจนว่าคะแนนเราต่ำเตี้ยเรี่ยตูดเพราะใคร  ผมบอกก็ได้ว่าฐานสุดท้ายที่คะแนนเยอะเป็น3เท่า คือฐานที่ต้องเล่นกับความสูง3เมตร
.
.

โฟคฉี่แทบแตก


สงสารก็สงสาร แต่ขำก็ขำ




เปิดเทอมมาเรากลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน มีขยันมีขี้เกียจมีน่ารักมีเกเรตามปกติของเด็กผู้ชาย ทุกอย่างยังเหมือนเดิม จนกระทั่งม.2 ผมถึงเริ่มรู้สึกว่าผมมองโฟคแปลกแยกกว่าเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ และผมก็เชื่อว่า คนอื่นๆก็รู้สึกเหมือนผมจริงๆ เช่น ในขณะที่ผมกวนตีน สิ่งที่ผมจะได้กลับมาคือมือ ศอก เข่า และตีน บางคนถึงขั้นกระโดดทับ ในขณะที่พอเป็นโฟค ทุกคนจะทำเพียงผลักหรือขยี้หัวมันเบาๆ พูดง่ายๆว่าทำแรงๆไม่ลง ผมเคยถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าโฟคเหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป


ทำไมมัน..


ดูน่ารัก แปลกแยกจากพวกผม





ทำไมมันสวยวะ!


...................................



วันหนึ่งในช่วงม.3 ผมกับโฟคโดดเรียน ขณะที่กำลังเกาะกำแพงด้านหลังโรงเรียนเพื่อเตรียมปีนแล้วกระโดดออกไป


“ยัยคิงคอง!”


ผมหันไปพูดกับโฟคด้วยความตกใจ อาจารย์ภาษาไทยตัวใหญ่ผิวคล้ำหน้าดุเหมือนคิงคองกำลังเดินมาทางนี้ ผมลากโฟคเข้าไปหลบในห้องเก็บของของชอปเกษตรที่อยู่ใกล้ๆ โชคดีที่ประตูมันเปิดทิ้งเอาไว้ และเป็นเวลาพักเที่ยงที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น แล้วยัยคิงคองโผล่มาได้ยังไง!


เป็นอาจารย์ที่ไม่ต้องพูดให้ได้ยินเสียง แค่เดินเบาๆก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆพื้นสั่นดินสะเทือนแล้วล่ะครับ บรื๋อ~



“เหยิบหน่อย”



หือ..?


“ขะ..เหยิบหน่อย อื้อ”


สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อก้มลงไปมองคือแพขนตายาวสองข้างที่มีจมูกโด่งแหลมขั้นกลาง

ปากแดงอิ่มเม้มสลับกับคลายออก เหงื่อเม็ดโตกำลังไหลจากโคนผมกลิ้งลงสู่จอนข้างใบหู




อื่มมมมมมมมม



กูว่านะ...
.
.
.
.



ขนตามึงยาวขนาดนี้เลยเรอะ!
.

.

ผมลากสายตาไปหยุดอยู่ต่ำกว่านั้น




ปากมึงทำไมมันบวมๆเจ่อๆ แล้วก็แดงขนาดนั้น
.
.
...........................


....................................



ไอ่โฟค มองมุมนี้แม่ง..
.

.



มึงน่ารักว่ะ



“เหยิบดิ่”


กว่าผมจะรู้ตัวก็ตอนมันบอกรอบที่สามพร้อมใช้มือกระทุ้งเบาๆที่อก ผมยืนเบียดมันขนาดนี้เลย ปลายจมูกผมแทบจะชิดกับขมับมันอยู่แล้ว ฝ่ามือทั้งสองข้างทาบอยู่กับผนังข้างตัวโฟคนั่นเพราะผมกลัวตัวเองจะทับมันจนแบน


ผมขยับออกอย่างระมัดระวังหวังจะไม่ให้คนที่คล้ายอยู่ในอ้อมกอดได้ยินเสียงอะไร


เสียงอะไรก็ตามที่มันดังมาจากในตัวผม


จากตรงหน้าอก


ในนี้มันทั้งมืดและอับชื้น ผมว่ามันคงมีผลให้มีอาการแน่นหน้าอก หัวใจเต้นแรง หอบหืด หรืออะไรทำนองนั้น
..

.่

.
ผมยังไม่ได้เรียนวิชาชีวะเรื่องการทำงานของหัวใจอะไรพวกนั้น เคยได้ยินรุ่นพี่บอกว่าเรียนตอนม.ปลาย ผมเลยคิดว่าถึงตอนนั้นผมคงจะได้รู้อะไรมากขึ้นว่าตกลงผมเป็นโรคหัวใจหรืออะไรรึเปล่า เผื่อถึงตอนนั้นอาจารย์พรทิพย์จะบอกได้ว่าสาเหตุมันมาจากอากาศอับชื้นในห้องเก็บของของชอปเกษตร!

หรือควรจะไปหาหมอดี..

.
.

พอ!!!



ผมไม่ควรแกล้งโง่สินะ

.

.

.



ผมยอมรับก็ได้


ว่านั่น



คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่มันเปลี่ยนไป..




TBC

--------------------------------------------------------------


ต๊ะเอ๋~~!!!!!

มาด้วยความคิดถึงล้วนๆ  คิดถึงอาร์โฟคอ่าเลยมาต่อค่ะ ต่อจากนี้ก็น่าจะมีอีกประมาณ1หรือ2ตอนสั้นๆ ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ



Create Date : 06 พฤษภาคม 2557
Last Update : 7 พฤษภาคม 2557 7:51:25 น.
Counter : 740 Pageviews.

2 comment
เพื่อนกันวันสุดท้าย 3 End

เพลงต่อไปเริ่มเข้าสู่โหมดสนุกที่โยกได้มันกว่าเดิม พอกีต้าร์ขึ้นมาปุ๊บผมก็ยิ้มกว้างทันที เพลงนี้ผมรู้จักล่ะ

มนุษย์ล่องหน!!


อยู่ที่ไหนล่ะความรัก

อยู่ที่ไหนล่ะคำที่หามาตลอด หรือว่าต้องรอเรื่อยไป

อยากจะรู้ โว้วโววโห.. ว่าสุดท้ายจะพบที่ใคร

อาจเป็นคนนั้นอาจจะเป็นคนนี้ อาจเป็นคนที่สวนกันไป

หรือว่าจะเป็นเธอนั้นที่ฉันเคยหลบสายตา

หากเป็นคนนั้นหากเป็นเธอคนนี้ บอกกันซักทีหรือแค่เพียงหันมา

แค่มองมาที่ฉันทีเถอะความรัก

มีคนทั้งคนรออยู่


ทุกคนลุกขึ้นยืนและพากันเต้นอย่างสนุกสนาน ผมร้องคลอตามไปด้วยและพอยิ่งได้เห็นรอยยิ้มจากทุกคนแบบนี้ก็รู้สึกว่าโลกนี้มันน่าอยู่จัง คอนเสิร์ตวันวาเลนไทน์วันดีอย่างนี้นี่เอง ถึงตอนแรกจะบอกว่าไม่อยากมาแล้วเพราะมาทุกปีจนหมดความตื่นเต้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่ามันมีความสุขได้ในทุกๆปี บางทีอาจไม่ใช่ความรักแบบที่เพลงนี้กำลังตามหา แต่การได้เห็นคนอื่นทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักยิ้มและหัวเราะให้กันโดยมีดนตรีเป็นสื่อกลางได้แบบนี้ก็มีความสุขตามไปด้วยนี่ก็น่าจะเรียกว่าเป็นความรักในอีกรูปแบบหนึ่งล่ะมั้ง ความรักของผมที่รักเวลาเห็นเพื่อนร่วมโลกยิ้มให้กันเยอะๆ

รู้ตัวอีกทีก็โดนเพื่อนร่วมห้องที่วิ่งถลาออกจากวงล้อมนักเต้นมาฉุดกระชากให้เข้าไปร่วมวงสนุกกับเค้า ผมหัวเราะและยอมวิ่งไปตามแรงดึง เห็นว่าอาร์ก็มองมาและหัวเราะด้วยเหมือนกัน


อยู่ที่ไหนล่ะ คนนั้น
อยู่ที่ไหนล่ะ คนที่หามาตลอด
หรือเธอไปกอดกับคนไหน
อยากจะรู้ ว่าสุดท้ายจะพบที่ใคร
อาจเป็นคนนั้น อาจจะเป็นคนนี้
อาจเป็นคนที่สวนกันไป
หรือว่าจะเป็นเธอนั้น
ที่ฉันเคยหลบสายตา
หากเป็นคนนั้น หากเป็นเธอคนนี้
บอกกันสักทีหรือแค่เพียงหันมา
แค่มองมาที่ฉันทีเถอะความรัก
มีคนทั้งคนรออยู่


เริ่มหูอื้อ มันลากผมมาอยู่ซะหน้าเวที ใกล้ลำโพงตัวใหญ่สุด แถมเสียงคนตะโกนช่วยกันร้องยังดังก้องหอประชุมผมเห็นอย่างนั้นก็ยอมไม่ได้ หันไปหาอาร์ที่อยู่บนเวทีและตะโกนร้องตามไปด้วย โยกตัวเป็นจังหวะชูแขนข้างนึงแกว่งซ้ายขวาเหมือนกับที่คนอื่นทำ หันไปเต้นกับเพื่อนบ้างเป็นบางครั้ง

อาจเป็นคนนั้น อาจจะเป็นคนนี้
อาจเป็นคนที่สวนกันไป
หรือว่าจะเป็นเธอนั้น
ที่ฉันเคยหลบสายตา

หากเป็นคนนั้น หากเป็นเธอคนนี้
บอกกันสักทีหรือแค่เพียงหันมา
แค่มองมาที่ฉันทีเถอะความรัก
มีคนทั้งคนรออยู่


ผ่านไปหลายเพลง ผมเริ่มเหนื่อยแต่สนุกสุดๆ ก่อนจะถึงวันอาร์บอกผมว่าเพลงที่เลือกมาจะมีแต่เพลงที่เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ซึ่งเอาจริงๆก็มีทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยว ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงรักๆใคร่ๆมากกว่าแต่ต้องไม่ใช่แนวอกหักเศร้าโศกอะไรเทือกนั้น จนกระทั่งเพลงอ๊อดอ๊อด  อาร์พูดเสียงหอบๆบนเวทีว่าเพลงต่อไปนี้จะเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์โดยตรง จนเพลงขึ้นพวกเราสนุกแต่ผมก็ยังสงสัยว่ามันเกี่ยวกับวันนี้ตรงไหน จนกระทั่งมาถึงท่อนๆนึง


มองมองมอง ฉันมองแต่ Telephone
เมื่อไหร่เธอจะ Confirm นัดกับชายคนนี้
จองจองจอง ที่นั่งใน Restaurant
หวังว่าวันวาเลนไทน์ปีนี้จะไปกับ..


ผมขำก๊าก อาร์เองก็เหมือนจะเข้าใจเพราะเรามองหน้ากันแล้วหัวเราะเมื่อถึงท่อนที่ว่าผมส่ายก้นดุ๊กดิ๊ก ชูแขนขึ้นหนึ่งข้างชักขึ้นลงไปมาเหมือนท่าเต้นยุคดิสโก้ แอบเห็นไอ้อาร์ขำส่ายหัวไปมา ฮึ


“เพลงสุดท้ายแล้วนะครับ”

ทันทีที่นักร้องนำพูดขึ้นเสียงงึมงำก็ดังขึ้นเต็มไปหมดส่วนใหญ่จะบ่นงุ้งงิ้งว่ากำลังสนุกเลยเชียว ผมก้มมองข้อมือนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มกว่าแล้วฮะ ปีนี้ถือว่าเลททีเดียวเพราะปีก่อนๆจะได้แค่ไม่เกินสองทุ่มตรงเท่านั้น


อาร์หอบนิดๆ แต่ก็ยังยิ้มกว้างมันยืนนิ่งมองไมโครโฟนบนขาตั้งอยู่พักนึงถึงจะพูดต่อ


“เพลงนี้เป็นเพลงพิเศษ ที่อยากจะมอบให้กับคนพิเศษ”

เสียงดึงอื้ออึงอยู่พักใหญ่กับคำถามแนวๆว่า “ใครน่ะ” “คนพิเศษหมายถึงอะไร”

ผมขมวดคิ้วมุ่น รอคอยว่าเพื่อนสนิทที่ถือไมค์อยู่บนเวทีจะพูดอะไรต่อ

“ผมหมายถึง..คนพิเศษของทุกคนน่ะครับ ถ้าใครมีคนพิเศษที่อยากจะบอกรักเค้าก็รีบบอกซะ ถือโอกาสวันนี้ซะเลยก็ได้นะ”อาร์พูดพร้อมยักคิ้วส่งท้าย สาวๆกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างหลังผมถอนหายใจเสียงดังปานว่าโล่งอก อินโทรเพลงไม่คุ้นหูนักดังขึ้นมา อาร์เงยหน้าขึ้นมองมาทางผมที่มองมันอยู่ก่อนแล้ว คงจะพบกับแววตาคำถามของผมมันก็เลยยิ้มบางๆให้พร้อมกับเริ่มร้องท่อนแรก


กี่ปีแล้วที่เราเป็นเพื่อนกันมา เมื่อลองคิดคำนวณดูก็เนิ่นนาน

จะเดือดร้อนจะกังวลจะเบิกบาน ก็ไม่พ้นมาบรรยายให้กันฟัง


พอท่อนแรกขึ้น ผมหน้าร้อนวูบอย่างไม่มีสาเหตุหรือจริงๆสาเหตุมัน อาจจะเพราะสายตาคมหวานบนเวทีคู่นั้นที่จ้องมาไม่หยุดก็ได้


กี่ปีแล้วที่เรามานั่งมองตา ได้ทะเลาะและเฮฮาด้วยกัน

ก็นานแล้วที่เธอเดินอยู่ข้างฉัน

อยู่อย่างเพื่อนกันมานานพอแล้ว

ก็จะดีมั้ยถ้าฉันและเธอจะลองขยับเรื่องราวถ้าหากฉันไม่ขอเป็นเพื่อนเธอเหมือนเก่า

จะยอมรับมั้ย ถ้าวันพรุ่งนี้จะเรียกเธอว่าแฟน

ก็จะดีมั้ยถ้าฉันและเธอจะลองขยับที่ทาง

เข้ามาชิดและใกล้กันยิ่งกว่าที่เคย

ให้เป็นเหมือนเค้า แบบว่าคนที่เค้ารักกัน


ผมหลบตา รู้ทันทีว่าเพื่อนสนิทยังไม่หันไปมองทางอื่น รับรู้ว่าคนรอบข้างต่างพากันโยกมีแต่ผมที่ดูจะนิ่งอยู่คนเดียว ผมแอบเหลือบตามองก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่นต่อเพราะพบว่าอาร์ยังคงมองมาไม่เลิก


กิจวัตรประจำวันที่ผ่านมา ก็ไม่พ้นต้องเป็นเธอที่ยุ่งเกี่ยว

เท่าที่เห็นก็มีแต่เธอแค่คนเดียว ให้คิดถึงและไว้ใจได้ทุกที

กี่ปีแล้วที่เรามานั่งมองตาได้ทะเลาะและเฮฮาด้วยกัน

ก็นานแล้วที่เธอเดินอยู่ข้างฉัน อยู่อย่างเพื่อนกันมานานพอแล้ว

ก็จะดีมั้ยถ้าฉันและเธอจะลองขยับเรื่องราวถ้าหากฉันไม่ขอเป็นเพื่อนเธอเหมือนเก่า

จะยอมรับมั้ย ถ้าวันพรุ่งนี้จะเรียกเธอว่าแฟน

ก็จะดีมั้ยถ้าฉันและเธอจะลองขยับที่ทาง

เข้ามาชิดและใกล้กันยิ่งกว่าที่เคย

ให้เป็นเหมือนเค้า แบบว่าคนที่เค้ารักกัน


ผมเม้มปากแน่น ค่อยๆเงยหน้ามองอาร์ พบว่าคราวนี้อาร์มองไปทางอื่นแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ บอกตัวเองว่าคิดมากไปเองทั้งนั้น มันก็แค่เพลงๆนึง ทว่าคิดแบบนั้นได้แป๊บเดียวอาร์ก็หันมามองใหม่ มือหนาเสยผมตัวเองขึ้นเพื่อไล่ความร้อน จากปกติที่อาร์จะต้องเดินไปเดินมาบนเวทีซ้ายบางขวาบ้างเพื่อเอนเตอร์เทนคนดูให้ทั่ว คราวนี้อาร์กลับเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางเวที ตรงกับผมแทบจะพอดี ยักคิ้วหลิ่วตาตามสไตล์ทำหน้ากรุ่มกริ่ม มือไม้เริ่มชึ้ออกท่าทาง


ชี้..


มันชี้มาที่ผม


หน้าแทบไหม้ ทำยังไงดี ผมยืนตัวแข็งกัดปากจนลืมเจ็บ เหลือบมองมันแว๊บนึง ทำท่าอะไรแก้เก้อดีนะ นึกได้ท่านึงยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ

ก็นานแล้วที่เธอเดินอยู่ข้างฉัน อยู่อย่างเพื่อนกันมานานพอแล้ว

ก็จะดีมั้ยถ้าฉันและเธอจะลองขยับเรื่องราวถ้าหากฉันไม่ขอเป็นเพื่อนเธอเหมือนเก่า

จะยอมรับมั้ย ถ้าวันพรุ่งนี้จะเรียกเธอว่าแฟน…. 



ผมวิ่งออกมาอยู่นอกหอประชุม


ยืนพิงกำแพงตั้งสติ ผมออกมาทั้งที่เพลงยังไม่จบแต่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ไม่นานเพลงก็จบลง เสียงดนตรีเบาลงพร้อมกับเสียงใครคนนึงบอกว่าขอทุกคนให้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพปีหน้าเจอกันใหม่.. คนเริ่มทยอยเดินออกมาผ่านหน้าผมไป กว่าจะหมดก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง


“อาร์มึงจะรีบไปไหนวะ” ได้ยินเสียงใครซักคนในวงพูดออกไมค์ ตอนนี้ทุกคนคงกำลังเก็บของกันอยู่


หัวใจเริ่มเต้นแรง ไม่รู้ว่าอาร์กำลังจะไปไหน ยังไม่พร้อมเจอหน้าตอนนี้  กลับบ้านก่อนละกันนะ


กำลังจะเดินลงบันไดก็ถูกจับข้อมือให้เดินไปอีกทาง พอหายตกใจแล้วก็ได้แต่ทำใจว่าต้องเดินตามไปจริงๆ


มองข้อมือที่ถูกมันจับเอาไว้หลวมๆพอไม่ให้หลุดและมองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำอยู่ข้างหน้า


อาร์พาเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังเวทีส่วนที่ใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์สำหรับใช้งานในหอประชุม


ไม่มีใครอยู่ซักคนตอนนี้ คนอื่นๆคงจะอยู่ในส่วนของห้องเก็บเครื่องดนตรีชั่วคราวที่อยู่อีกฝั่งของด้านหลังเวที

ผมไม่เห็นอะไรนอกจากเท้าของตัวเองที่ห่อหุ้มด้วยถุงเท้าสีขาว ลืมไปเลยว่าถอดรองเท้าทิ้งไว้ข้างใน กระเป๋าก็ด้วยจะกลับบ้านทั้งอย่างนี้ได้ยังไงกัน

“ก้มมองอะไร หาเหรียญเหรอ”

ผมตวัดสายตาขุ่นๆขึ้นมองมันทันที ถึงได้เพิ่งเห็นว่าในมืออีกข้างของอาร์มีทั้งรองเท้าและกระเป๋านักเรียนของผมอยู่ ผมเอื้อมมือไปจะคว้าแต่มันกลับเอาหลบแล้วโยนรองเท้าลงพื้น

“จะกลับทั้งถุงเท้าอย่างนั้นรึไงฮึ” มันพูดก่อนจะก้มลงนั่งผมตกใจก้าวถอยหลังเล็กน้อย มันเขยิบตามมาแล้วจับข้อเท้าผมให้ใส่รองเท้า ผมยื้อหนีมันถึงได้เงยหน้าขึ้นมองตาเขียว

ผมมองอาร์ที่กำลังผูกเชือกรองเท้าให้อย่างตั้งใจด้วยหัวใจเต้นแรง ถึงเราจะสนิทกันมากแต่ก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยซักครั้ง อาร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมเอื้อมมือไปจะคว้ากระเป๋าคืนอีกครั้งอาร์ก็หลบอีกแล้วเหวี่ยงมันขึ้นพาดบ่าทั้งๆที่ก็ต้องถือของตัวเองด้วย


แบบนี้มัน..


ให้ตายเถอะ รู้สึกเหมือนมีกองไฟมาสุมอยู่ตรงจมูกเลยหน้าร้อนวูบวาบไปหมด




ผมนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง หนังสือเรียนที่กะจะทบทวนก็นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างหมอนในหัวยังคิดถึงแต่เรื่องวันนี้


เรากลับบ้านพร้อมกัน บ้านก็อยู่ไม่ไกลกันห่างกันแค่ไม่กี่ซอยแต่ปกติก็จะต่างคนต่างไปต่างคนต่างกลับ วันนี้อาร์เดินมาส่งถึงหน้าบ้านก่อนจะเดินกลับไปทางบ้านของตัวเองเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างเหมือนคิดอะไรอยู่ในมุมของตัวเอง จนกระทั่งผมเผลอเดินห่างจากมันเรื่อยๆมันจึงหันมามองแล้วทำหน้าดุ เดินเข้ามาคว้ามือผมไปจับแล้วเดินดุ่ยๆมาจนถึงหน้าบ้าน

คิดไม่ออกว่าวันจันทร์ควรจะทำยังไง จะเข้าไปคุย ทักทายเหมือนปกติ ปล่อยให้เรื่องวันนี้มันผ่านไปหรือควรจะเป็นแบบไหนดี


เสียงข้อความโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด ผมสะดุ้งหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงโดยอัตโนมัติ เที่ยงคืนแล้ว


ผมเปิดอ่านข้อความที่ได้จากคนๆเดิมในทุกวัน เนื้อหาที่แตกต่างไปจากทุกๆครั้งทำเอาใบหน้าร้อนผ่าวไปจนถึงลำคอและใบหู

.

.

(เป็นแฟนกันนะ)

..

…


งั้นเรื่องของวันจันทร์ ก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของอีกคนละกันนะ..




End..




Create Date : 17 กันยายน 2556
Last Update : 5 ตุลาคม 2556 13:30:03 น.
Counter : 493 Pageviews.

8 comment
เพื่อนกันวันสุดท้าย 2

“วันนี้อยู่ดูคอนเสิร์ตป่าววะ”

“อยู่มันด้วยกันก่อนนะเว้ย”

“หกโมงเจอกัน อย่ากลับบ้านก่อนนะ”


เพื่อนในห้องเริ่มนัดแนะกันแล้วล่ะฮะ ก็เหมือนทุกๆปีเย็นวันศุกร์หลังวันวาเลนไทน์ ทุกคนจะมารวมกันที่หอประชุมและที่นั่นจะกลายเป็นคอนเสิร์ตย่อมๆให้พี่ๆน้องๆชาวโรงเรียนเราสนุกกัน สามปีก่อนอาร์ใช้เวทีนี้เป็นการเปิดตัวตัวเองในฐานะนักร้องนำวงดนตรีสากลของโรงเรียน อาร์ไม่ใช่คนเสียงดีนะฮะ แต่อาศัยใจรัก แล้วก็มาดเท่ๆบุคลิกน่ารักๆของตัวเองนั่นแล่ะเลยสามารถครองใจสาวๆในโรงเรียนได้ รวมทั้งความตั้งใจก็มีมากจนรุ่นพี่รุ่นน้องผู้ชายด้วยกันก็ให้การสนับสนุน ผมซะอีกที่ชอบร้องเพลงจนใครๆบอกว่าเสียงดีมากแต่กลับขี้อายจนไม่อยากจะขึ้นไปอยู่บนเวทีสูงๆนั่นต่อหน้าคนเกือบพันซักเท่าไหร่ งานนี้ไม่ได้บังคับ ใครจะอยู่ก็ได้ใครเลิกเรียนแล้วจะกลับบ้านเลยก็ตามสบาย แรกๆผมก็ตื่นเต้นที่ได้เห็นเพื่อนเราขึ้นไปให้สาวๆกรี๊ดอยู่บนเวที แต่พอหลายๆงานเข้ามันก็ชิน แถมออกจะเบื่ออีกด้วย ถึงวงและอาร์จะเล่นสนุกกันขนาดไหนแต่ผมก็ยังรู้สึกแปลกเวลาเห็นรุ่นพี่รุ่นน้องผู้หญิงเอาดอกไม้ไปให้หรือเดินไปขอจับมือจับแก้มที่ขอบเวทีอยู่ดี


อยากกลับบ้านวุ้ย


“อย่าลืมไปดูนะ” ผมเซไปข้างหน้าเพราะคนที่กำลังพูดถึงวิ่งมากระแทกหลังเข้าเต็มๆก่อนจะเหวี่ยงแขนมาพาดคอ แบบนี้ทุกทีเลย เข้ามาดีๆไม่ได้รึไงฟระ


“อย่าลืมนะ” เจ้าตัวก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกโด่งเฉียดหูผมไปนิดเดียว ผมรีบผลักมันออกแล้วตอบรับส่งๆ ก่อนจะรีบเดินหนีออกมา


บ้าจริง! หน้าร้อนวูบวาบไปหมด สงสัยอากาศจะอบอ้าวเกินไป


อากาศร้อน ใช่ อากาศร้อน คิดแบบนี้แล่ะดีแล้ว


ผมนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่มุมหนึ่งของหอประชุม อาร์กำลังเช็คเครื่องดนตรีอยู่กับเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ นอกจากผมและวงดนตรีแล้วยังไม่มีใครมาเลย ห้าโมงครึ่งแล้วอีกซักพักคนก็คงเริ่มทยอยมา ทำไมผมต้องมาพร้อมกับอาร์คำตอบคือผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าพอผมบอกว่าเดี๋ยวหกโมงเจอกัน อาร์มันก็ลากผมขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ยังไม่ห้าโมง ชอบทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองชะมัดเลยหรือบางที..กระเป๋านักเรียนของอาร์ที่วางอยู่ข้างๆอาจเป็นคำตอบก็ได้ มาเพื่อเป็นคนเฝ้ากระเป๋าให้มันนี่เอง!


อาร์หยิบสายกีต้าร์ขึ้นมาคล้องบ่า ดีดไปมาซักครู่ก็ส่งคืนให้เพื่อนที่ทำหน้าที่เล่นกีต้าร์ตัวจริง อาร์เล่นกีต้าร์ไม่เป็นหรอกฮะผมสอนให้ตั้งหลายทีก็เล่นไม่เป็นซักที ทั้งๆที่ปกติเค้าเป็นคนความจำดีและก็ตั้งใจมากๆ แต่ตอนที่ผมสอนกีต้าร์เค้าเนี่ยทั้งท่าวางท่าจับถึงขนาดเอานิ้วไปทาบให้เล่นไปพร้อมๆกันก็แล้ว ผ่านไปซักพักก็วิ่งหน้าแหลมมาบอกว่า”สอนกีต้าร์ให้หน่อยดิ่”ทุกทีเลยอะไรก็ไม่รู้ นี่ถ้าเป็นสาวๆผมคงคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันหลอกแต๊ะอั๋งผมแน่ๆ


ผมเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนขึ้นไปมองบนเวที อาร์มองมาทางนี้พอดีและดูเหมือนว่าจะมองมาตั้งนานแล้วด้วย ไม่รู้อะไรทำให้ผมต้องรีบเสไปมองทางอื่นต่อ อาจารย์ผู้ดูแลหอประชุมอนุญาตให้เราเปิดแอร์ได้ตั้งแต่ห้าโมงจนตอนนี้ทั้งหอเย็นเฉียบแต่ผมกลับรู้สึกร้อนที่หน้าขึ้นมาเสียเฉยๆ


หันกลับไปรึยังนะ


ผมขยับตัวยกการ์ตูนให้สูงขึ้นจนคิดว่าน่าจะพอบังสายตาของตัวเองได้ เหลือบมองตรงไปยังเวทีอย่างเนียนๆก็โล่งอกเพราะอาร์ก้มลงไปแล้ว ก้มลงไปจับที่ขาตั้งไมโครโฟนคาดว่าคงกำลังจะปรับส่วนสูงของมัน ผมรองทรงที่ด้านหน้ายาวราวคิ้วตกลงมาคลุมหน้าผากจับตัวเป็นก้อนเพราะเหงื่อ บนเวทีคงไม่ได้เย็นเท่าข้างล่าง อ๊ะ! ผมรีบหลุบตาลงจ้องฉากบู๊ที่อยู่ในการ์ตูนทันทีที่อาร์เงยหน้าจากขาไมฯขึ้นมามอง หวังว่าเมื่อกี๊มันคงไม่เห็นนะ


พระเอกกับตัวโกงปะลองฟุตบอลกัน ทั้งคู่ล้มลงไปทับกันอยู่ที่พื้นขา ไอ้ตัวโกงที่อยู่ด้านบนเผลอเบียดอะไรบางอย่างของคนใต้ล่างอย่างไม่ตั้งใจ พระเอกหน้าแดง...


ผมจ้องตาแทบถลน นี่มันหนังสืออะไรกัน ยัยเพื่อนสาวตัวแสบบอกว่าเรื่องใหม่จบในเล่ม มันต้องแกล้งผมอีกแล้วแน่ๆ ยิ่งเห็นภาพหน้าต่อๆไปแล้วยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบ ผมปิดมันลงแล้ววางไว้ข้างๆ สะบัดหัวสองสามทีไล่อาการแปลกๆของตัวเอง ที่น่าโมโหคือในหัวผมดันนึกถึงหน้าแหลมๆกวนๆของคนที่กำลังซ้อมร้องเพลงบนเวทีขึ้นมาซะได้


หกโมงตรง ตอนนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่คน ทั้งน้องม.ต้นรุ่นเพื่อนรุ่นพี่มากันเต็มไปหมด บางคนใส่ชุดลำลองบางคนก็ยังอยู่ในชุดนักเรียนแบบสภาพไม่เรียบร้อย ผมนั่งแกว่งขาไปมาอยู่ด้านข้างของภายในหอประชุมที่จะมีเป็นม้านั่งยาวตลอดแนวไว้ให้นั่งเล่น อยู่ตรงไหนก็ไม่สำคัญหรอกฮะ นั่งตรงนี้ก็มองเห็นชัดเจนดี


พวกมันเปิดตัวทีละคนทีละคน เรียกเสียงกรี๊ดกันไป จะเยอะสุดก็ไอ้หน้าแหลมนี่แล่ะฮะ อาร์มันชอบเล่นหูเล่นตา ออดอ้อนสาวๆ


“อย่าเพิ่งเบื่ออาร์กันนะครับขออยู่ในอ้อมอกอ้อมใจน้องๆพี่ๆกันเหมือนเดิม”

มันอ้อนเสร็จก็ทำมือlove ไปรอบๆ ไอ้แบบเหมือนทำมือคาราบาวแต่มีนิ้วชี้ชูออกมาด้วยน่ะฮะ ผมหัวเราะส่ายหัวไปมา เล่นทุกปีนะท่านี้น่ะ  แต่สาวๆก็กรี๊ดรับกันทุกปี กลายเป็นท่าประจำตัวมันเวลาแนะนำตัวบนเวทีไปซะแล้ว


เพลงแรกพวกมันเริ่มกันที่เพลงเบาๆกันไปก่อน ยังไม่จัดเพลงเร็วมันๆเป็นเพลงสบายๆ น่ารักๆ เหมาะกับวันแห่งความรัก 



คือว่าคือ เอ่อคือว่าวันนี้
มันมีไอเดียมานำเสนอให้กัน
คือว่าเรา อ่าแบบว่ามาอยู่ด้วยกัน
อยู่กันไป ไปถึงไหนถึงกัน

ปีสองปี สามปี สี่ปี ห้าปี
เราจะมีกันอย่างนี้ได้ไหม
เป็นสิบปี ยี่สิบปีเรื่อยไป
ขอให้เธอรับไว้พิจารณา


ผมเผลอหัวเราะเสียงดังเมื่ออาร์เอาแว่นทรงกลมกรอบหนาเตอะมาใส่ ติดกระดุมเม็ดบนสุดแล้วเอาคอซองของน้องผู้หญิงม.ต้นมาติดแทนหูกระต่าย จับผมหวีเป๋กลางเวทีทำตัวเป็นเด็กเนิร์ด สาวๆกรี๊ดกันใหญ่  ถึงจะทำตัวตลกๆแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนอย่างอาร์ทำอะไรก็ดูดีไปหมด


รู้ฉันมีข้อเสียเต็มไปหมดไม่มีอนาคตแบบสุดๆ
ปากก็หมาระรานไม่หยุด แต่ฉัน ฉัน ฉัน ฉัน


ถึงตอนนี้ทุกคนต่างพากันโบกมือซ้ายขวาตามจังหวะด้วยพร็อบต่างๆตามแต่ที่จะติดมือกันมา บางคนโบกมือเปล่า บางคนมีแท่งไฟ แต่เอ๋..?? สว่างออกขนาดนี้จะโบกแท่งไฟไปทำไมนะ ฮะฮะ ผมเพิ่งเห็นว่าข้างหลังมีป้ายไฟเป็นชื่ออาร์ด้วยล่ะ

ว้าวววว!! ฮะฮะฮะ มีบางกลุ่มใช้เป็นป้ายไฟตามอัตภาพคือขีดๆเขียนๆชื่อมันลงบนกระดาษหน้ากลางสมุดเรียนนั่นแล่ะ


ฉันอยากเห็นเธอทุกวัน เช้าสายบ่ายค่ำ
อยากเห็นเธอตอนแก่จัง มันดีที่เราอยู่ด้วยกัน
มันดีอย่างกับฝัน จะอยู่ด้วยกันไปจนแก่ไหม


เพียงจบเพลงแรกแต่ละคนบนเวทีก็เหงื่อซกทั้งที่ยังไม่ทันได้ออกแรงอะไรมากเลย หรืออาจเพราะไฟตัวใหญ่ที่เปิดส่องขึ้นมาบนเวทีก็เป็นได้ อาร์ใช้ต้นแขนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะก้มลงไปหยิบขวดน้ำมากรอกปาก สาวๆกรี๊ดกันอีกรอบ ผมก็อยากจะสงสัยอยู่หรอกนะว่าแค่นี้จะกรี๊ดกันทำไมถ้าในหัวมันไม่ผุดขึ้นมาเสียก่อนว่า มันดูดีมากจริงๆ อาร์ที่กำลังก้มปิดปากขวดตวัดสายตามองมาที่ผม ผมหลบวูบทั้งที่ไม่จำเป็น


“เพลงต่อไป ใครร้องได้ช่วยกันร้องนะครับ”

อาร์พูดสั้นๆก่อนอินโทรจะขึ้นนำด้วยเสียงกีตาร์เดี่ยวๆ อาร์เอาไมโครโฟนออกจากขาตั้งแล้วไปลากเก้าอี้มานั่งร้องฮะ


อืมมมม ฮึ้มฮึ้มฮืมฮืม..โอ๊ะโอ..


อาร์ขึ้นต้นฮัมเพลงไม่เหมือนต้นฉบับ แต่ฮัมในแบบของตัวเอง


ท้องทะเลท้องฟ้ามีเพียงแค่เรา
ท่ามกลางหาดทรายขาว
แสงดวงดาวพร่างพราว ประกายสวยงาม
ดั่งบนสวรรค์เปิดทาง ให้คนอ้างว้างอย่างฉัน
บอกความในใจให้เธอได้ฟัง
โอกาสอย่างนี้ ต้องพูดไป

ว่าทั้งหัวใจ มีแต่เธอนั้น
อยากให้เชื่อกัน พยานคือฟ้าที่เฝ้าดู
แล้วเธอคิดอย่างไรเมื่อได้รู้บอกที
อยากฟังจากปากเธอ


ยิ่งพอเข้าท่อนฮุกทุกคนก็โยกหัวไปพร้อมกัน ร้องตามกันได้แทบทุกคน อาร์เองก็ลุกขึ้นมายืนร้องเหมือนเดิม


หากเธอก็รัก เธอก็รู้สึกดีๆ เหมือนกัน
แต่เธอก็เขินอายอย่างนั้น ที่จะต้องพูดมา
แค่ร้องว่าอ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา ก็พอ
และฉันจะขอเป็นคนนั้นที่ดูแลหัวใจ
ไม่เคยบอกรักใครคนไหนเพิ่งจะมีแค่เธอ
และฉันก็อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา เหมือนเธอ
แค่เพียงเท่านี้เป็นอันเข้าใจ


“อ๊าอิย๊าอิยา” ดังไปทั่วหอประชุมเลยฮะ บางคนอาจจะร้องเต็มๆเพลงไม่ได้ก็จะร้องท่อนนี้ได้ล่ะผมก็คนนึง ฮะฮะ ผมโยกตัวซ้ายขวา เริ่มสนุกเพลงนี้จังหวะมันน่าโยกจริงๆนะ ผมยิ้มให้อาร์ตอนที่มันมองมาทางนี้ คราวนี้ผมไม่หลบแล้วแถมชูสองนิ้วกลับไปให้มันด้วย อาร์หัวเราะแล้วชูกลับ


ฉันไม่เคยพูดความในใจที่มีกับเธอเลยสักครั้ง
เพราะฉันเขินจนกลัวที่จะพูดไป
ถ้าปล่อยคืนนี้ผ่านไป เก็บความรักไว้อย่างนั้น
ก็คงไม่รู้ว่าใจตรงกัน โอกาสอย่างนี้ ต้องพูดไป

ว่าทั้งหัวใจ มีแต่เธอนั้น
อยากให้เชื่อกัน พยานคือฟ้าที่เฝ้าดู
แล้วเธอคิดอย่างไรเมื่อได้รู้บอกที
อยากฟังจากปากเธอ


อาร์เริ่มไม่มองคนดูเพราะเอาแต่มองมาที่ผม ผมที่ยิ้มจนเหงือกเริ่มแห้งเริ่มทำตัวไม่ถูกหันไปมองคนดูบ้างสิวะ มองกุทำไม


หากเธอก็รัก เธอก็รู้สึกดีๆ เหมือนกัน
แต่เธอก็เขินอายอย่างนั้น ที่จะต้องพูดมา
แค่ร้องว่าอ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา ก็พอ
และฉันก็ขอเป็นคนนั้นที่ดูแลหัวใจ
ไม่เคยบอกรักใครคนไหนเพิ่งจะมีแค่เธอ
และฉันก็อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา เหมือนเธอ
แค่เพียงเท่านี้เป็นอันเข้าใจ


เริ่มรู้สึกหน้าร้อนๆเมื่ออาร์มองมาทางนี้บ่อยๆ ยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวผมก็ร้องได้แต่คำว่าอ๊าอิยาอิยา เหมือนมันจะล้อเลียนหรือยังไงก็ไม่รู้ พอถึงท่อนนี้ทีไรมันก็จะหันมาร้องกับผมทุกทีอ..อะ..อะไรของมึงวะ ม่ามม ก็กุร้องได้ท่อนเดียวนี่หว่า


หากเธอก็รัก เธอก็รู้สึกดีๆเหมือนกัน
แต่เธอก็เขินอายอย่างนั้น ที่จะต้องพูดมา
แค่ร้องว่าอ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา ก็พอ


รอบสุดท้ายนี้มีหลายคนช่วยกันตบมือตามจังหวะด้วยฮะ


และฉันจะขอเป็นคนนั้นที่ดูแลหัวใจ
ไม่เคยบอกรักใครคนไหนเพิ่งจะมีแค่เธอ
และฉันก็อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา เหมือนเธอ
แค่เพียงเท่านี้เป็นอันเข้าใจ



ก..กูไม่เข้าใจว้อยยย มองอยู่ได้กูทำตัวไม่ถูกนะ






Create Date : 17 กันยายน 2556
Last Update : 17 กันยายน 2556 2:26:26 น.
Counter : 377 Pageviews.

4 comment
เพื่อนกันวันสุดท้าย 1

สวัสดีค่ะ ไม่ได้อัพนานมากกกกกกเลย

เรื่องนี้ได้อินเนอร์มาจากโมเม้นๆนึง ณ งานๆนึง 5555 และเพลงเพื่อนกันวันสุดท้าย ของพันช์ค่ะ ครั้งแรกเลยที่เขียนแนวนี้ โฮะๆ

ขอแทรกนิดนึง เนื่องจากมีคนอ่านแล้วถามว่าพระนายมโนเป็นหน้าไหน จะบอกว่าปอเป็น OF ค่ะ ทุกเรื่องทุกตอนในนี้ล้วนเป็น OF แต่อาจจะเปลี่ยนชื่อให้ต่างออกไปนิดหน่อยเพื่อให้หลากหลายคนอื่นมาเห็นก็อ่านได้ แต่มโนของคนเขียนมีอยู่คู่เดียวจ้า


ดูจากที่่คั่นย่อหน้าเค้าก็จะคั่นด้วย OFOFOFOFOFOFOFOFOF อยู่นะ^^


ไม่ยาวค่ะแต่บล็อคแก๊งมันคงเอ๋อ พอเช็คอักษรมันไม่เกินแต่พอจะกดอัพลงมันบอกเกิน (กวนตรีนนนน)เลยต้องแบ่งสาม เอาล่ะอ่านโลด

-----------------------


เพื่อนกันวันสุดท้าย…

ผมมองดอกกุหลาบสีแดงที่อยู่ในมือ ผู้หญิงชั้นปีเดียวกันกับผมยืนก้มหน้าจ้องปลายเท้าของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาแว๊บเดียวแล้วรีบหลบเม้มปากแน่นอย่างขวยเขิน


“ฝากด้วยนะ..ข..ขอบคุณค่ะ”


เธอพูดพร้อมกับผงกหัวเป็นการบอกลา หันหลังแล้วเร่งฝีเท้าเดินจากไป


กุหลาบช่อเล็กที่ห่ออยู่ด้วยกัน4ดอกอยู่ที่มือขวาผมกรอกตาไปมาก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางที่จากมาบ้างเหมือนกัน


สติ๊กเกอร์รูปหัวใจเต็มเสื้อผมไปหมดด้วยฝีมือของผู้หญิงร่วมห้อง สาวๆดูจะสนุกสนานกับวันนี้ไม่น้อยพากันนำสติ๊กเกอร์เหล่านั้นมาแปะให้กันจนแทบไม่มีเนื้อที่ของเสื้อนักเรียนสีขาว เห็นแล้วก็น่ารักดีแต่ผู้ชายอย่างผมเห็นแล้วก็อดห่วงสภาพห้องเรียนไม่ได้เพราะมีเศษกลีบดอกกุหลาบร่วมเต็มไปหมด ก็วันนี้มันเวรทำความสะอาดของผมนี่


“เฮ่ย!!”

ตัวผมเซด้วยแรงกระแทกจากไอ้เพื่อนตัวดีที่วิ่งเข้ามากอดคอจากด้านหลัง


“เป็นไง โอโห! ปีนี้ได้มาเต็มไม้เต็มมือเหมือนกันนะเรา จากสาวๆหรือหนุ่มๆวะ” กวนตีน  อาร์หัวเราะร่าลากคอผมเดินตามทางไปเรื่อยๆ


“สาวๆเหอะ” ผมหันไปมองค้อนให้ทีนึง ของผมน่ะได้มาสองช่อกับอีกหนึ่งดอกนะฮะ แต่เรื่องอะไรจะต้องบอกด้วยล่ะว่าสองช่อน่ะของผู้ชายให้มา แต่ยังไงปีนี้ผมก็ได้จากรุ่นน้องผู้หญิงตั้งดอกนึงแน่ะ

“อ้อเหรอออ ”

“เอ้านี่ เนมห้องสี่” ผมแกะมือมันออกจากคอแล้วยื่นช่อดอกไม้ของผู้หญิงคนเมื่อกี๊ให้



อาร์เป็นเพื่อนผมฮะ จริงๆถ้าว่ากันด้วยเรื่องอายุเราห่างกันเกือบสองปี ไม่แปลกหรอกใช่มั้ยฮะที่คนอายุห่างกันสองปีจะมาเรียนชั้นเดียวกันได้ ผมเข้าเรียนเร็ว เพื่อนในห้องส่วนใหญ่จะเกิดปีเดียวกับอาร์หมดมีส่วนน้อยที่หลุดมาปีเดียวกับผมบ้างซึ่งก็ถัดลงมาแค่ปีเดียวนั่นแล่ะ แต่เผอิญว่าผมเกิดปลายปีของปีนั้นมันก็เลยโตช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆนิดหน่อย ผมกับอาร์รู้จักกันตอนเข้าม.1และก็สนิทกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะอาร์เป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มเก่งภายนอกดูสุภาพเรียบร้อยแต่ถ้าสนิทกันจริงๆจะรู้ว่าอาร์น่ะซ่าไม่เบา ส่วนผมถ้าคนไม่รู้จักส่วนใหญ่จะมองว่าผมเรียบร้อย อาจเพราะรูปร่างหน้าตารึเปล่าเรื่องนั้นช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็พยายามลดความอ้วนแล้วนะพออ้วนแล้วหน้าจะยิ่งกลม พอหน้ากลมแก้มก็จะเยอะจนดูหน้าหวาน ดูแบ๊วๆเรียบร้อย แต่จริงๆผมน่ะโคตรจะซ่านะขอบอก เรื่องเกรียนๆก็ทำมาเยอะเหอะ เราสนิทกันตั้งแต่ม.1จนมาตอนนี้ก็ม.5แล้วก็เลยยิ่งซี้ปึ้กเข้าไปใหญ่ มีอะไรก็คุยกันตลอด ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผมว่าผมก็ไม่ได้ขี้เหร่นะ เพื่อนผู้หญิงน่ะเยอะแต่คนที่เข้ามาแบบเป็นแฟนแทบไม่มีเลย ตรงกันข้ามกับอาร์ คนนั้นเสน่ห์แรงโดยเฉพาะวันวาเลนไททีไรผมน่ะชักจะเบื่อกับการที่ต้องมารับฝากของเอาไปให้นายนั่นแล้วนะ ฮึ!


ผมมองอาร์ที่กำลังยืนคุยกับผู้หญิงคนนึง จำได้ว่าเป็นรุ่นพี่ม.6 ดูแล้วท่าจะอีกนานผมจึงเดินแยกออกมาแต่อาร์ดันเอามือมาลากคอเสื้อผมไว้แล้วลากเข้าไปใกล้ รุ่นพี่คนนั้นหันมามองอย่างสงสัยแต่อาร์ก็ส่งยิ้มโชว์เขี้ยวไปจนเธออายม้วนต้วน จะจู๋จี๋ก็จู๋จี๋กันไปสิทำไมต้องมารัดคอกูแน่นแบบนี้ด้วยฟระ อึดอัดว้อยยย


พักกลางวันเรานั่งทานอาหารเป็นกลุ่มใหญ่ ผมกวาดสายตามองก็เห็นเพื่อนผมแต่ละคนดอกไม้กับกล่องของขวัญนี่เต็มไม้เต็มมือกันทั้งนั้น แต่ละคนวางมันเอาไว้ที่ข้างๆตัวผมเอาส่วนของผมที่ช่างน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับพวกมันยัดใส่ลงในกระเป๋านักเรียนบนห้องไปแล้ว ไม่อยากโดนเปรียบเทียบ ไม่อยากเห็น มันแสลง


“ได้เยอะเลยดิ่ปีนี้” เพื่อนคนนึงในโต๊ะนั่นแล่ะฮะมันถามผมตอนที่ทยอยกันวางจานข้าวของใครของมันลงบนโต๊ะ


“ก็..นิดหน่อย” ผมยู่ปากใช้ช้อนเขี่ยเอาหอมหัวใหญ่ออกจากจานไป วางบนโต๊ะโดยไม่ใช้กระดาษทิชชู่รอง เลวมั้ยล่ะฮะฮะ


“ไม่หน่อยแล้วมั้ง แทบจะเยอะกว่าพวกเราอีก

”

“เว่อร์ละ ไม่เห็นจะได้อะไรเลย” ผมตอบพลางมองอาร์ที่ใช้ช้อนตักแครอทของตัวเองมาให้แลกกับผักขึ่นฉ่ายในจานผม มันรู้ว่าผมไม่ทานขึ้นฉ่าย แต่แครอทผมชอบนะเฮ้ยย ไม่ใช่ไม่กินผักเลยซะหน่อยนะ


“อ้าว ก็เห็นฝาก.. โอ๊ยเชี่ยอาร์มึงถีบกุไมวะ!”


ผมมองมันสองคนสลับกัน


“พูดมาก รีบๆกินกุจะไปนอน”


เป็นอันจบบทสนาทนาไปอย่างงงๆ เฮ้ออ


.............



“งอนเหรอจ๊ะ” ผมปัดมือที่หยิกแก้มผมออก รู้ตัวว่าคงทำหน้ายู่ยี่ใส่มันเข้าไปแล้ว มันชอบเป็นแบบนี้ทุกทีเลยโรคจิตหรือยังไงกันชอบมาจับแก้ม พอตวาดให้ก็หัวเราะก๊ากใส่ผมอีก


ผมกับอาร์นั่งเล่นกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนข้างอาคารเรียน เพิ่งกินข้าวกลางวันมายังรู้สึกอืดอยู่เลยฮะ พอหนังท้องตึงหนังตามันก็หย่อน ลมโชยอ่อนๆน่านอนชะมัดแต่ไอ้บ้านี่ก็มาแกล้งกันอยู่ได้ จิ๊!



“น้องโฟค”

ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบว่ามีของขวัญกล่องเท่าฝ่ามือยื่นอยู่ตรงหน้า เจ้าของมือที่ถือกล่องนั้นอยู่ลดมือลงทำให้เห็นว่าเป็นรุ่นพี่ม.6ที่จำได้ว่าแสนจะป็อบปูล่าแต่ผมดันจำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ว่าเด็กกิจกรรมเท่านั้นล่ะฮะก็แหม..โรงเรียนผมเด็กกิจกรรมเยอะแยะเต็มไปหมด ไอ้ตัวข้างๆที่นอนเอาขาพาดโต๊ะอยู่นี่ก็นับว่าใช่เหมือนกันนะ พูดถึงไม่ทันขาดขำอาร์เด้งตัวจากท่านอนแล้วยื่นมือมารับกล่องของขวัญนั้นไปหน้าตาเฉย พอรุ่นพี่คนนั้นหันไปมองอย่างงงๆมันก็ยักคิ้วตอบ กวนตีนจริงๆ

“ขอบคุณครับ” ผมหันไปตอบอย่างเกรงใจ รุ่นพี่คนนั้นหันหลับมายิ้มให้ผมก่อนจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยท่าทีปะหลาดๆ

“สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับ” ผมผยักหน้าตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ พี่เค้าอ้าปากพะงาบๆเหมือนมีอะไรจะพูดแต่พอหันไปเห็นว่าตัวเผือกนั่งทำหน้ากวนตีนอยู่ข้างๆเค้าก็เลยได้แต่เดินเกาหัวจากไป


“เสน่ห์แรงจริงจิ๊ง”

“จะไปสู้ใครบางคนได้ยังไง รับฝากซะจนมือเปื่อยหมดแล้ว หล่อตรงไหนวะ”

“รับฝากมาแล้วก็ทิ้งไปดิ่ จะเอามาให้ทำไม ไม่ได้อยากได้ซักหน่อย”

อาร์บ่นงึมงำแต่ผมได้ยิน เลยใช้ฝ่ามือตบป๊าบไปที่หัวมันทีนึงมันร้องว๊ากซะเว่อร์ ถูกหัวป้อยๆ


“อ่ะหืมมมมช็อคโกแลต กินหมดเลยละกันนะ ” อาร์แกะช็อคโกแลตที่อยู่ในกล่องกินแถมยังหันมาทำหน้ากวนใส่ผมอีก

“กระดาษอะไรน่ะ” เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆที่ถูกมันขยำวางไว้บนโต๊ะ เหมือนว่าตอนแรกไม่มีนะ

“ขยะ”

“เอามานี่ ถังขยะอยู่แค่นี้เดี๋ยวไปทิ้งให้”

นอกจากจะไม่ตอบแล้วมันกลับฉีกๆแล้วยัดมันลงแก้วที่ยังมีน้ำอยู่กว่าครึ่งด้วยเอากับเค้าสิ



หนังสือหน้าที่ร้อยกว่าเปิดค้างอยู่อย่างนั้นไม่ได้รับการใส่ใจจากผมเลยซักนิด อาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่าสอบย่อยจะออกหน้านั้นเกือบ10ข้อแต่หัวของผมกลับไม่มีสมาธิ เสียงข้อความโทรศัพท์เพิ่งหยุดลงไป ไม่ต้องเปิดอ่านก็รู้ว่าของใครและมีข้อความว่าอะไร นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรงเวลาเป๊ะเหมือนเดิม


(ฝันดี) ถึงจะได้รับทุกวันแต่ก็ต้องเปิดดูทุกวันผมนั่งมองข้อความนั้นอยู่นาน ผมควรต้องตอบกลับไปมั้ย สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจิ้มตอบกลับไป

(อือ ส่งมาเหมือนเดิมทุกวันไม่เบื่อมั่งรึไง)


ผมจ้องโทรศัพท์เพื่อรอการตอบกลับ ผ่านไปห้านาทียังเงียบก็เลยล้มตัวลงบนที่นอน การบอกฝันดีของอาร์ก็เหมือนเป็นการเตือนให้เข้านอนนั่นแล่ะฮะเพราะทำมาตั้งแต่แรกๆว่าเมื่อได้รับข้อความบอกฝันดีก็จะเข้านอนหลังจากนั้นจะว่าไปแล้ว..

ทำแบบนี้จะเท่ากับว่า..เรา..


นอนพร้อมกันทุกวันรึเปล่านะ..


ตี๊ดตี๊ด!!


(เดี๋ยวพรุ่งนี้จะบอกอย่างอื่น)


ผมรู้ว่าอาการใจเต้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ๆมันคืออะไร บางครั้งก็ทำให้มีความสุขแต่บางครั้งก็ทำให้รู้สึกงุ่นง่านใจ อยู่ไม่สุข ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลที่จะแยกแยะไม่ออกว่าไอ้อาการแบบนี้มันเข้าข่ายอะไร ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนอื่นผมคงจะบอกเค้าไปแล้ว แต่กับมัน..


อาร์..


ผมเป็นผู้ชาย และมันก็เป็นผู้ชาย


และเรา..


เราเป็นเพื่อนกัน


ผมหลับไปพร้อมกับคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ผมเองก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน


------------------------ofofofofofofofofofofofof------------------------





Create Date : 17 กันยายน 2556
Last Update : 5 ตุลาคม 2556 22:07:30 น.
Counter : 798 Pageviews.

6 comment
ร้ายเดียงสา (จบ)
เด็กช่างยั่วนอนสิ้นฤทธิ์อยู่บนเตียง




เสียงกรนฟี้~ฟี้~ เหมือนแมวทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ผมคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ ออกมาอีกทีก็ถึงกับอึ้ง เมื่่อพบกับสภาพใหม่ที่เจ้าเด็กช่างยั่วแสดงให้ผมเห็น กางเกงขายาวก็ยังคงเป็นกางเกงขายาว มันเป็นยีน ไม่สามารถย่นขึ้นจนเห็นขาอ่อนได้ไม่ว่าจะนอนท่าไหน แต่เสื้อยืด..มันเป็นได้




เค้านอนตะแคงข้าง งอตัวเป็นกุ้งจนหัวเข่าแทบจะชนกับจมูกตัวเอง คงจะหนาว ตอนแรกผมคว้าผ้าห่มมาคลุมให้เค้าแต่เค้าปัดมันออก คิดว่าเค้าคงอึดอัดหรือร้อน ก็เลยเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ต่ำกว่ายี่สิบห้าองศาแล้วไม่ได้ห่มผ้าให้ มาตอนนี้



……….



หลังของเค้าหันมาทางประตูห้องน้ำที่ผมยืนอยู่ ชายเสื้อร่นจนเห็นผิวเนื้อสีขาว ท่านอนแบบนั้นทำให้ขอบกางเกงยีนร่นลงต่ำ ไม่เห็นอะไรมากกว่านั้นหรอกครับ เห็นแค่เนื้อขาวๆนั่นแล่ะ แค่นั้นก็ทำเอาผมแทบจะกุมขมับแล้ว


ความรู้สึกของผมมันไวขนาดนี้เลยรึไงกันนะ


หรือระบบความคิดของผมมันจะดีเดินไป จนทำตอนนี้จินตนาการของผมรุ่งโรจน์ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว




ผมใส่กางเกงขายาวสีเทา ท่อนบนเปลือยเปล่า เดินเข้ามาดูคนที่กำลังหลับสนิท ปากอิ่มยิ้มนิดๆเหมือนกำลังฝันดี ผมยิ้มตาม เด็กหนอเด็ก..


อยากจะวางมือลงสัมผัสกับผมเนื้อสีกระจ่างตาเสียเหลือเกิน นี่ผมหื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไอ้ไฟสีเหลืองนวลๆที่เปิดบนหัวเตียงก็ดูจะเป็นใจ เชื้อเชิญให้บรรยากาศดูอีโรติกชะมัด


ผมจับให้เค้านอนหงาย ทันทีที่ถูกตัวมือเรียวที่เล็กกว่าผมเล็กน้อยก็คว้ามือผมเอาไว้แน่นทั้งๆที่หลับตา หว่างคิ้วขมวดมุ่นจนเกิดรอยสองหยัก ผมจะเอามือออกก็กลับถูกกำแน่นขึ้น นึกไปถึงโฆษณาแป้งเด็กหรือนมที่มีเด็กทารกกำมือแม่ ดูน่ารัก น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอม พอผมจะเอาออกอีกเจ้าตัวก็ขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิมซ้ำยังส่งเสียงไม่พอใจ




“อื้อ”


ผมหัวเราะเบาๆ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เค้ากำมือผมต่อไป มืออีกข้างเอื้อมไปคว้าผ้าห่มที่ถูกเค้าถีบในตอนแรกขึ้นมาคลุมเราสองคนถึงหน้าอก


นอนด้วยกันนี่แล่ะนะ ผมเองก็ไม่ใช่จะสุภาพบุรุษอะไรมากมาย


ไม่นานมือที่จับมือผมเอาไว้ก็คลายออก..



ว่าแล้วก็ขอนิดๆหน่อยๆก็แล้วกัน


ผมใช้แขนเท้าหัวตัวเองแล้วนอนมองหน้าเค้าอยู่อย่างนั้น แก้มใสแดงอ่อนๆดูสุขภาพดี เหมือนเด็กๆพาลให้นึกไปถึงมะเขือเทศสีแดงสด หึหึ..


คิ้วที่ขมวดมุ่นตอนนี้คลายลงแล้ว จะเหลือก็แต่แพขนตายาวที่ยังอยู่ มันกว้างและหนาเสียจนผมอดแปลกใจไม่ได้ อะไรทำให้ผู้ชายคนหนึ่งมีใบหน้าที่สวยหวานเกินชายได้ขนาดนี้กันนะ ริมฝีปากเล็กๆแต่อิ่มกลมเหมือนรูปหัวใจ แดงสดราวกับลูกเชอร์รี่ ฉ่ำวาวจนอยากจะรู้ว่ารสชาติมันจะหวานอย่างที่คิดรึเปล่า




แบบนี้สินะถึงเลือกที่จะมาทำอาชีพแบบนี้ ก็หน้าตาท่าทางแบบนี้หาลูกค้าได้ยากซะที่ไหน ดีไม่ดีจะแย่งกันใช้บริการกันให้วุ่นล่ะสิไม่ว่า




ผมก้มลงจูบที่ปลายจมูกเชิดแล้วถอยออกมามองเค้าที่ยังคงหลับเฉย สงสัยยาจะแรงจริงๆ ไปหามาจากไหนกันนะ


ผมทำแบบเดิมอีกครั้งและหลายๆครั้ง ปลายจมูกเล็กๆดูน่ารักจนอดใจไม่ไหว งับมันเบาๆจนเจ้าตัวย่นจมูกแล้วขยับใบหน้าหนีเล็กน้อย คราวนี้ผมก้มลงแนบจมูกกับแก้มใส มันหอมเสียจนไม่อยากจะผละออก จึงได้แต่กดและลากไปจนถึงใบหู จูบเบาๆแล้วลากกลับมาที่เก่า กดริมฝีปากลงไปที่เปลือกตาแล้วลากมันไปถึงแก้ม ลงมาที่ซอกคอหอมกรุ่นเหมือนแป้งเด็ก ซุกไซร้อยู่อย่างนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ ย้ายแขนอีกข้างที่ว่างลงไปวางไว้อีกฝั่งของตัวเค้า ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมนอนคร่อมเค้าไว้อยู่ครึ่งตัว จ้องใบหน้าหวานอยู่อย่างนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา


เด็กบ้า ทำไมถึงทำให้ใจสั่นได้ขนาดนี้กันนะ


กลีบปากอิ่มนั่น...


ริมฝีปากที่แนบกันทำให้ร่างกายผมร้อนผ่าว ท่อนล่างเหมือนจะตื่นขึ้นแต่ต้องพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเคล้าคลึงกลีบปากอิ่มอยู่นาน ไม่ได้ส่งลิ้นเข้าไปชิมด้านในอะไรเพราะกลัวเค้าจะตื่นและไม่อยากจะรุกรานเค้ามากไปกว่านี้


ถ้าตื่นแล้วค่อยว่ากันอีกที..


ริมฝีปากยังไม่หยุดชิมความหวาน มือข้างนึงเลื่อนลงมาอยู่ที่ชายเสื้อยืดแล้วสอดมันเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อนุ่มมือ



อืม...



ให้ตายเถอะ




ผมกำลังจะขาดใจตาย




ผมผละออกจากทุกอย่าง จับผ้าห่มที่ร่นลงไปถึงเอวเค้าขึ้นมาห่มให้จนถึงคอ ส่วนตัวผมน่ะเหรอ..



........




......................



วิ่งเข้าห้องน้ำสิครับ..





..................................



..............................................



หาววววววววววว~~


คนหน้าหวานลุกขึ้นนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างๆผม เอนหลังพิงกับหัวเตียงแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวฟูๆนั่น เค้าหันมามองผมงงๆแล้วย่นคิ้ว


“หลับสบายมั้ย”


เค้ากระพริบตาปริบๆสองสามที เหมือนกำลังจัดลำดับความคิดอยู่ในหัวว่าเค้าอยู่ที่ไหน อะไร ยังไง เมื่อไหร่ และทำไม..


ผมนอนเท้าคางมองเค้ายิ้มๆ หน้าเค้าตอนนี้มันตลกแต่ผมต้องกลั้นขำเอาไว้ สายตาดันไปสะดุดกับหัวไหล่กลมมนที่โผล่พ้นปกสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ที่ผมเปลี่ยนให้เมื่อคืน มันใหญ่พอจะทำให้ปกเสื้อตกลงมาเห็นเนื้อขาวๆได้


ยั่วกันแต่เช้าเลยนะไอ้ตัวแสบ


“ค..คุณ..”



“หืม” ผมยักคิ้วให้เค้าพูดต่อ อยากรู้ว่าเค้าจะทำยังไงต่อไป เค้าชี้หน้าผม


“คุณ..ผม..อ่ะ..ผม..คุณ..”เค้าอึ้งอยู่ซักพัก เหมือนนึกอะไรได้ ตาโตเบิกกว้างแล้วก้มลงมองตัวเอง พอเห็นว่าไม่ใช่เสื้อผ้าของตัวเองก็หน้าซีด ยกสาบเสื้อขึ้นตรวจสภาพตัวเองว่ายังอยู่ครบมั้ย ผมกลั้นขำแทบตาย



เมื่อคืนนึกขึ้นได้ว่าเค้าไม่ได้อาบน้ำ กลัวจะไม่สบายตัวก็เลยหาเสื้อหลวมๆมาเปลี่ยนให้จะได้นอนสบายๆ แต่ก็มีกางเกงบ็อกเซอร์เปลี่ยนให้หรอกน่า ไม่ได้ปล่อยให้เลือยเปล่าจนโชว์ขาอ่อน



เปลี่ยนทั้งท่อนบน และท่อนล่างเลยล่ะ


ฮ้า~


ฮ่าๆๆ




“ชั้นไม่ได้ทำอะไรนายเลยนะ”


พออธิบายเค้าไป ได้รับสีหน้าไม่เชื่อมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่ออธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่รู้จะทำยังไงสุดท้ายเค้าก็เลยพยักหน้าส่งๆว่าเชื่อก็ได้

“อันที่จริง...ชั้นจะทำอะไรนายก็ไม่ผิดนี่นะ ก็ชั้นจ่ายเงินไปแล้วนี่...”



เค้าอ้าปากเหมือนจะเถียงอะไรสุดท้ายก็หุบมันลง หุบๆอ้าๆอยู่อย่างนั้น เมื่อจนปัญญาจะสู้ก็ได้แต่ขมุบขมิบปากเหมือนนินทาอะไรผมซักอย่าง เปลี่ยนเป็นท่านั่งกอดเข่า ขยับออกไปจนชิดมุมเตียงเหมือนกับจะให้ห่างผมมากที่สุดเท่าที่จะห่างได้ แถมตากลมๆยังมองแบบหวาดระวางอีกแน่ะ


“ไม่ทำอะไรหรอกน่ะ ไม่มีอารมณ์แล้ว”


ปดคำเบ้อเร่อ มันอาจจะช่วยให้เป็นจริงอย่างที่พูดได้นะถ้านายช่วยเอาสาบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาปิดหัวไหล่ให้มันมิดชิดน่อยน่ะ

“ทำแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว”


เค้าไม่ตอบ คิ้วสวยขมวดน้อยๆ ไม่แม้แต่จะมองหน้า


ผมขยับเข้าไป เค้าตกใจจนรีบถอยตัวหนีจนแทบจะสิงกำแพงได้ ผมจับปลายคางให้เค้าหันหน้ามามองกัน ใช้สายตาคมเฉียบที่ใครต่อใครบอกว่าเวลาผมไม่ยิ้มจะดูเหมือนดุนี่แล่ะ ขู่ให้เค้าพูดออกมา


“ก็...ก็..ส..สองปี”



สองปี..!


แล้วรอดมาได้ยังไงตั้งสองปี


“แล้วเคย..เคยพลาดบ้างรึเปล่า”


เค้านิ่งไปจนผมใจกระตุก ไม่อยากจะคิดว่าถ้าคำตอบเป็นอย่างที่ผมไม่อยากได้ยิน..


..





.......




ก็แค่..เด็กที่ไม่รู้จัก




ในที่สุดเค้าก็ส่ายหัวไปมา ตากลมโตหลุบต่ำเหมือนไม่กล้าสบตา ทำให้ผมเห็นแผงขนตาสวย


“เลิกทำได้มั้ย มันอันตรายไม่รู้เหรอ”


เค้าส่ายหน้า


“เรียนก็ไม่จบ ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วจะไปทำอะไร ”


“ฉันจะ..”




ปากหนัก..




คำพูดเหล่านั้นจึงได้แต่ชะงักเอาไว้อยู่ที่ปลายลิ้น



‘ฉันจะดูแลนายเอง’



ยังเร็วเกินไปสำหรับการจะเอ่ยปากขอดูแลใครซักคน


การขอดูแล ก็เท่ากับ


การขอให้เข้ามาอยู่ในหัวใจ..




---------------------------------------------------------------------



“น่าสนว่ะ”

ผมหันไปมองเพื่อนร่วมก๊วนที่นั่งดื่มด้วยกันเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา ทำให้เห็นไปถึงเด็กหนุ่มหน้าสวยที่ผมยังคงจำได้ติดตา เพราะผมเพิ่งเจอกับเค้าไปเมื่อสามคืนก่อนนี้เอง


เค้ายกแก้วแกว่งเบาๆทักทายผู้ชายอีกคนที่ดูจะสนใจเค้าไม่น้อย ผมแสยะยิ้ม เหมือนเห็นภาพย้อนของตัวเอง


“กูว่าเสร็จไอ้นั่นก่อน”


เพื่อนผมอีกคนพูดขึ้น อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้เพราะดูแล้วคืนนี้คงจะหนีไม่พ้น แผนการเดิมๆ กับผู้ชายคนใหม่ คนที่ไม่ใช่ผม


มือใหญ่ของผมกำแก้วทรงสูงแน่น หันมองไปทางอื่น ไม่อยากจะรับรู้ทั้งๆที่ภาพนั้นมันอยู่ตรงหน้าผมและห่างออกไปไม่ถึงห้าเมตร


เดี๋ยวเค้าก็คงจะเดินไปด้วยกัน แล้วทุกอย่างก็จะจบ เหมือนกับที่เค้าทำกับผม ผมรู้..เค้าเอาตัวรอดได้


แต่ให้ตายเถอะ


ตัวแค่นั้น กับผู้ชายตัวใหญ่สูงร่วมร้อยเก้าสิบ ..





กระวนกระวาย..




“กูว่า..”


กำลังจะเอ่ยปากชวนกันไปให้พ้นจากตรงนี้ แต่ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดันแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“กูทุ่มเว้ย คืนนี้กูจะเอา แม่งง น่ารักว่ะ”

ว่าแล้วมันก็ลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปทางสองคนนั้น



ผมหันหน้าหนี และสุดท้าย มันก็ทำได้อย่างที่มันพูดจริงๆ

เมื่อไอ้เพื่อนเวรของผมมันจูงมือเด็กช่างยั่วของผมเดินมาที่โต๊ะ ลำแขนใหญ่ยกขึ้นคล้องคอคนที่สูงน้อยกว่าราวห้าเซน


เรามองหน้ากัน วูบนึงที่ผมเห็นแววตาเค้าวาวขึ้นเหมือนตกใจ แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นเราก็มองกันอยู่อย่างนั้นจนแทบไม่ได้ยินว่าคนรอบๆตัวผมมันพูดอะไรกัน

“เฮ้ย ป่ะ กูพร้อมและ พวกมึงก็เหมือนกัน อย่าปล่อยให้ว่างนะกูไม่ยอม” ว่าแล้วมันก็หันไปตะโกนเรียกพี่ต้อ เจ้าของร้านที่เป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิท ให้ช่วยจัดหาเด็กสาวหน้าตาน่ารักมาให้พวกผมกันครบคนไม่มีใครน้อยหน้าใคร


ผู้หญิงผมยาวจนเกือบถึงสะโพกเดินเข้ามาเกาะแขนผม เรือนร่างอวบอัดน่ารักน่าใคร่ทว่าเวลานี้สายตาของผมกลับหยุดอยู่ที่เค้า เค้าเองเมื่อเห็นผมมองไม่เลิกก็ก้มหลบไม่ยอมสบตาต่อ ก่อนจะหันไปยิ้มกับเพื่อนของผมที่เป็นคน”ว่าจ้าง” เมื่อมันหันมาคุยด้วย



เราพากันไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง มันมีชื่อพอที่จะทำให้สาวๆที่มากับเราตาวาว ไอ้เพื่อนตัวดีมันจองห้องไว้ให้ห้าห้องติดกัน ห้องของมันกับเค้า เว้นจากห้องของผมไปหนึ่งห้อง โดยมีห้องของเพื่อนอีกคนนึงคั่นกลาง ไอ้เด็กช่างยั่วของผมถูกโอบเอวไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง เพื่อนของผมไขกุญแจ ระหว่างนั้นเราหันมาสบตากัน แก้มของผมถูกสาวข้างกายหอมอย่างแรงจนได้ยินเสียงดังฟอด “เค้า”หันหน้าไปทางอื่น และไม่นานก็หายเข้าไปในห้องที่ผมได้ยินเสียงล็อคประตูดังกริ๊ก


เสียงที่ดังพอจะทำให้หัวใจของผม





สั่น



ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้คิดจะมอบกายถวายตัว แต่นั่นยิ่งทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้



ผมกำลังถูกสาวเจ้าจูงมานั่งที่ปลายเตียง ไม่ทันที่หล่อนจะได้ทำอะไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมเดินออกไปเปิดก็พบว่าเป็นไอ้เพื่อนตัวดี มันยื่นซองเล็กๆที่มีผงสีขาวละเอียดอยู่ก้นๆถุง


หัวใจผมกระตุก


“กูรู้ แม่งคิดจะหลอกกินตังกู เดี๋ยวมึงดูคืนนี้ มึงสนป่ะ เพิ่มความมัน”


ผมขบกรามแน่น นึกไปถึงอีกคนที่อยู่ในห้องนั้น


ไม่รู้จะโมโหไอ้เพื่อนเวรที่อยู่ตรงหน้า หรือจะโกรธไอ้ตัวดีที่ทำเป็นอวดเก่งไม่เข้าเรื่อง




ประตูห้องถูกปิดไปหลังจากที่ผมไม่ตอบรับคำชวน สาวสวยที่นั่งรออยู่ที่ปลายเตียงเดินนวยนาดเข้ามาจูงแขนผมให้เดินตามไปทั้งที่ใจกำลังลอยไปถึงใครอีกคน


หัวใจที่อยู่ไม่เป็นสุขนี้มันคืออะไร


กระวนกระวายจนหยุดเดินไม่ได้ ก้มลงมองดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง สิบนาทีแล้ว


ไอ้บ้าเอ๊ย


มัวรออะไรอยู่!




กระดุมเสื้อถูกปลดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไมได้สนใจ ผมปัดมือที่แต่งด้วยสีทาเล็บสีแดงสดที่กำลังนัวเนียอยู่กับอกของผมออกอย่างไม่ใส่ใจแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องนั้น


บอกแล้วว่าให้เลิกให้เลิก!



ประตูห้องถูกทุบอย่างแรง เพื่อนของผมเปิดประตูออกด้วยท่าทางหัวเสีย ผมไม่สนใจ เดินกระทบไหล่มันเข้าไปในห้อง คว้าข้อมือของไอ้เด็กช่างยั่วที่นั่งหน้ามึนอยู่ที่ปลายเตียงแล้วลากออกมาจากห้อง ได้ยินเสียงเพื่อนวิ่งตามพร้อมตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ผมตัดความรำคาญด้วยการตะโกนกลับไปโดยไม่หันไปมอง



“คนนี้กูขอ!”



มือที่เล็กกว่าทุบลงมาไม่ยั้งหวังได้รับการถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ สัญญาณของรถยนต์สีขาวดังขึ้นไม่กี่วิพร้อมไฟกระพริบเมื่อถูกปลดล็อคจากรีโมทในระยะไม่เกินห้าเมตร ผมเปิดประตู ผลักร่างที่กำลังดิ้นอย่างดื้อดึงเข้าไปด้านในแล้ววิ่งไปขึ้นอีกฝั่งแล้วออกรถโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของอีกคน



ขับไปตามทางโดยที่ไม่มีจุดหมาย



ความเร็วค่อยๆพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อความโกรธทำให้สติผมแทบจะขาดสะบั้น


ไม่นานเสียงโวยวายเหล่านั้นก็เงียบลง ไอ้ตัวแสบคงจะเหนื่อย ปากแดงอิ่มเผยอออกหอบหายใจแฮ่ก



เสียงล้อครูดกับพื้นถนน ...


มือแกร่งกำพวงมาลัยแน่นจนขึ้นข้อขาว


“เป็นไง คนเก่ง ” ประชดคำเบ้อเร่อ


“ก็ดี ไม่เห็นจะเป็นอะไร ผมอยู่ของผมดีๆ แผนกำลังจะไปได้ด้วยดี คุณเข้ามาขวางผมทำไม!”


ผมทุบพวงมาลัยจนเสียงแตรดังลั่นถนน หันไปตวาดเค้าเสียงดัง


“แผนได้ผลงั้นเหรอ รู้รึเปล่าว่านายมันโง่ ถ้าชั้นมาหยุดไว้ไม่ทันป่านนี้นานเสร็จมันไปแล้ว!”


“ไอ้บ้า! แล้วมาเกี่ยวอะไรด้วย มาเกี่ยวอะไรด้วยฮะมาเกี่ยวอะไรด้วย มาเกี่ยวอะไรด้วยวะ!” มือเรียวทุบรัวๆไปทั่วฟาดลงมาไม่ยั้งโดนทั้งไหล่ทั้งอกจนผมต้องคว้าสองมือเค้าเอาไว้ก่อนที่ตัวผมจะระบม มือเรียวที่ปัดหลบไปมาทำให้ผมคว้าตามแทบไม่ทัน พยายามรวบให้อยู่เฉยๆสุดท้ายร่างของคนดื้อดึงก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผมทั้งร่าง แผ่นหลังนุ่มนิ่มชนเข้ากับแผงอกหนาของผม ผมถือโอกาสกอดเค้าเอาไว้ทั้งตัว ยึดข้อมือของเค้าไว้จนในที่สุดเค้าก็ขยับมันไม่ได้


“ปล่อย!”


“บอกให้ปล่อยไม่ได้ยินรึไง!”


“อื้อออ”


เค้าสะบัดตัวด้วยความขัดใจ


ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้น วางคางบนไหล่แคบ แนบจมูกลงบนแก้มใสแล้วหอมเบาๆ ซึมซับกลิ่นแป้งเด็กที่ปะปนกับกลิ่นประจำตัวที่หอมหวาน


“มายุ่งทำไม ผมจะทำอะไรเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย..”


เค้านิ่งลงแล้ว รู้สึกถึงการสั่นน้อยๆของหัวไหล่บางนั้น รับรู้ได้ว่าเจ้าของแผ่นหลังยอมเอนลงมาพิงกับอกแกร่งของผมอย่างเต็มตัวแล้ว ผมอยากกอดเค้าให้แน่นๆ ให้แน่นกว่านี้ อยากโอบกอดเค้าด้วยหัวใจ อยากบอกเค้าว่าทำไมผมถึงเลิกยุ่งกับเค้าไม่ได้ อยากเป็นที่พักพิงให้เมื่อเค้าไม่มีใคร เป็นที่พักใจให้อบอุ่น ไม่หันกลับไปทำสิ่งที่มันเสี่ยงแบบนี้อีก



“ฮึก..มายุ่งทำไม”



แค่นึกภาพว่าคนในอ้อมกอดเกิดพลาดพลั้ง



หัวใจก็เหมือนถูกบีบ...



กระชับกอดจนได้ยินเสียงหัวใจดังทะลุถึงกัน ซุกหน้าลงกับใบหน้าหวาน จมูกโด่งฝังลงที่ขมับของคนที่กำลังร้องไห้


ไม่รู้ว่าคนในอ้อมกอดเจออะไรมาบ้าง ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเคยพบเจอกับความทุกข์มากกว่าความสุขแค่ไหน ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร




รู้เพียงแค่ว่า




จากนี้ต่อไป








“แต่นี้ต่อไป..”



นายไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้นได้อีก



ไม่มีสิทธิ์จะกลับไปยั่วใครต่อใครแล้วหนีออกมาโดยไม่มีอะไรรับประกันได้เลย



ว่าจะรอด..



ไม่มีสิทธิ์จะไปส่งสายตายั่วยวน



ไม่มีสิทธิ์จะปล่อยตัวเองให้ใครเข้ามารุ่มร่าม..



เพราะฉัน...



จะไม่ยอม



จะไม่ยอมอีกแล้ว




“ให้ฉันดูแลนาย”






--------END---------





จบแว้ววววววววววววววววว

เจอกันใหม่คราวหน้าค่ะ ฮี้วววว

ขอให้สนุกกับการอ่านฟิคนะคะ

ขอบคุณค่ะ ^^v



Create Date : 28 ตุลาคม 2555
Last Update : 28 ตุลาคม 2555 8:59:52 น.
Counter : 1511 Pageviews.

8 comment
1  2  3  

ปุยหมาม่วง
Location :
ฉะเชิงเทรา  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments