ตอนพิเศษ"บ้านที่สมบูรณ์"

ตอนพิเศษ (ห่ะ!?) จบมากว่าสามปีเพิ่งมีตอนพิเศษ 5555 หวังว่าจะชอบกันเน่อ ^^

 

“พี่ก้องฮะ....มันเจ็บหรือเปล่าฮะ”

 

ดวงตากลมโตของคนไข้ตัวจิ๋วมองมาที่ผมตาแป๋วแหว มือเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยพลางพยักเพยิดไปทางคุณหมอเจ้าของไข้ที่กำลังจะตัดเฝือกหนาที่แขนข้างซ้ายของตัวเอง ผมยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วลูบศีรษะเล็กๆ เบาๆ เพื่อปลอบขวัญ

 

“ไม่เจ็บหรอกครับ ไม่ต้องกลัวนะ”

 

“จริงนะฮะ”

 

“จริงสิครับ”

 

“แล้ววันนี้พี่พีจะมามั๊ยฮะ รอพี่พีมาก่อนได้มั๊ยฮะ”

 

ผมหันไปหาพี่หมอวินที่กำลังนั่งยิ้มขำกับความงอแงของคนไข้ตัวน้อย รอยยิ้มใจดีของคนตรงหน้าถูกส่งออกมาแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร มือของผมควานเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเก่งแล้วหยิบโทรศัพท์ที่พีรวิชญ์ซื้อให้เมื่อวันครอบรอบแต่งงานปีที่สองออกมา

 

“พี อยู่ไหนแล้วเนื่ย”

 

“ใกล้จะถึงแล้วคร้าบบบ ผมกำลังวนหาที่จอดรถอยู่เนี่ย”

 

“งั้นถ้าคุณมาถึงแล้วมาที่ห้องพี่หมอเลยนะ”

 

“คร้าบ ที่รัก ไว้เจอกันนะ”

 

“อืม”

 

สายโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว แต่ความร้อนที่แก้มของผมยังไม่จางหายไป แม้จะถูกพีรวิชญ์เรียกว่า “ที่รัก” อยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งผมก็ยังไม่ชินสักที

 

“ก้อง...พีจะมาหรือเปล่า” เสียงของพี่หมอวินดึงผมออกมาจากห้วงความคิดที่น่าขัดเขินนั่น หน้าของผมมันคงจะแดงมาก เลยทำให้พี่หมอส่งสายตาล้อเลียนแบบนั้นออกมา ‘ฮึ่ยยยย พีนะพี’

 

“มาครับ กำลังจะขึ้นมาแล้ว”

 

ผมหันไปยิ้มอีกครั้งให้กับเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับกระชับมือเล็กที่อยู่ในอุ้งมือของผมให้แน่นขึ้น

 

“พี่พีกำลังจะมานะครับ รอแป๊บนึงนะ”

 

คนไข้ตัวน้อยเมื่อได้ยินชื่อพี่ชายคนโปรดก็ยิ้มแย้มออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายสดใส ผมกับพีเจอน้องคิมเมื่อเดือนก่อนบนท้องถนนในยามค่ำคืนที่การจราจรวุ่นวายยุ่งเหยิง รถมอเตอร์ไซด์ที่น้องนั่งซ้อนท้ายถูกรถยนต์ที่คนขับมีแอลกอฮอล์อยู่ในกระแสเลือดพุ่งเข้าชนเต็มแรง น้องพุ่งกระเด็นไปนอนเจ็บอยู่บนพื้นถนนในขณะที่คนขับถูกอัดเสียชีวิตคาที่ ผมและพีพาน้องมาส่งที่โรงพยาบาลและฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังจากที่รู้ว่าคนขับมอเตอร์ไซด์คันนั้นเป็นพี่ชายแท้ๆ ที่น้องรักมากที่สุด ผม พี และพี่หมอจึงพยายามสุดความสามารถที่จะเป็นพี่ชายที่ดีเพื่อทดแทนสิ่งที่คิมสูญเสียไป อย่างน้อยก็เป็นช่วงสั้นๆ ระหว่างที่พ่อกับแม่ของคิมจะรับไปอยู่ด้วยที่อังกฤษ

 

เพียงไม่นาน เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องพี่หมอก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มหน้าคมเจ้าของรอยยิ้มสดใส คนที่อยู่ในหัวใจของผมมาตลอดสองปี

 

“ว่าไงคนเก่ง พี่พีมาแล้วครับ”

 

สิ้นเสียงทุ้มจากคนที่ผมคุ้นเคย มือน้อยที่เคยจับมือผมไว้แน่นก็คลายออก คนไข้ตัวน้อยวิ่งถลาเข้าไปหาอ้อมกอดของพีที่นั่งย่อตัวอ้าแขนรอไว้อยู่ก่อนแล้ว สองหนุ่มต่างวัยกอดกันกลมดูแล้วเป็นภาพที่น่ารักจนผมอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ พีรวิชญ์อุ้มน้องคิมขึ้นมาแนบอกแล้วพามานั่งบนตักที่เก้าอี้ข้างๆ ผมเหมือนเดิม

 

“แล้วทีนี้จะให้พี่หมอถอดเฝือกออกได้หรือยัง หืม....”

 

“ได้แล้วครับ แต่พี่ก้องกับพี่พีต้องอยู่กับคิมนะฮะ”

 

ผมยิ้มให้กับความเซี้ยวของเจ้าตัวเล็ก แล้วอดขยี้ผมนุ่มไม่ได้ด้วยความหมั่นเขี้ยว

 

“ได้ครับ แต่น้องคิมต้องสัญญากับพี่ก้องก่อนนะว่าจะไม่ดื้อไม่ซน แล้วทำตามที่พี่หมอบอกทุกอย่างนะครับ”

 

“ครับ คิมสัญญา”

.

.หลังจากเสร็จเรื่องที่โรงพยาบาล และส่งน้องคิมกลับบ้านของพี่หมอเรียบร้อยแล้ว พีรวิชญ์ก็พาผมมาทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารสไตล์ธรรมชาติที่ผมกับพีชอบมาเป็นประจำ เมื่อผมถามว่าพามาเนื่องในโอกาสอะไร พี่ก็ตอบแค่ว่า “โอกาสอยากพามา” ด้วยหน้าตากวนๆ ตามประสาของเค้า แต่นั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจจนบอกไม่ถูก ความรักและความอบอุ่นที่พีรวิชญ์มอบให้กับผมนับวันมันจะยิ่งมากขึ้น และเติมเต็มหัวใจของผมจนล้นปรี่ ผมไม่รู้หรอกนะว่าพรหมลิขิตมีจริงหรือเปล่า แต่ผมก็ต้องขอบคุณไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้เจอกับพีรวิชญ์ ผู้ชายคนที่ผมรักหมดหัวใจ

 

“ก้อง น้องคิมน่ารักเน๊อะ คุณว่ามั๊ย”

 

“อืม ใช่ น้องไม่ดื้อไม่ซน ดูตาโต แบ๊วๆ น่ารักดี”

 

“คุณว่าถ้าเรามีลูก ลูกจะน่ารักเหมือนผมกับคุณมั๊ย”

คำถามเรียบๆ ที่เหมือนกับการพูดคุยกันธรรมดาปกติทั่วไปมันทำให้มือของผมที่กำลังจะตักข้าวชะงักขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

“ผมว่าถ้าเรามีลูกนะ ลูกจะต้องเป็นเด็กที่น่ารักมากแน่ๆ เพราะเค้ามีพ่อหล่อๆ อย่างผม แล้วก็มีแม่สวยๆ อย่างคุณ” เขี้ยวเสน่ห์ของคนตรงหน้าผุดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี  ดูเหมือนว่าพีจะมีความสุขเวลาที่คิดถึงครอบครัวของเราที่มี “พ่อ แม่ ลูก” อยู่กันพร้อมหน้า

 

“คุณอยากมีลูกเหรอพี”

 

“ถ้ามีมันก็ดีไม่ใช่เหรอก้อง เวลาที่ผมไปทำงานกลับดึกๆ คุณจะได้ไม่เหงาไง”

 

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน สองปีที่ผ่านมาผมคิดมาตลอดว่าเราเป็น “ครอบครัว” ที่สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าผมจะมีลูกไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสุขของเราลดน้อยถอยลงไป แต่ในวันนี้สิ่งที่ผมคิดมันคงจะไม่ใช่อีกแล้ว เพราะพีเค้าอยากมีลูก ลูกที่ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่มีวันมีให้เค้าได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคตข้างหน้าพีจะรักผมน้อยลงหรือเปล่า นี่ถ้าผมมีลูกให้พีได้ก็คงจะดี

 

เสียงโทรศัพท์ของพีดังขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ได้ยินแว่วๆ ว่าคนที่โทรมาหาชื่อราเชล พีคุยอยู่ไม่นานเพียงสองสามประโยคก็วางสาย  ดวงตาคมเข้มสบตากับผม ก่อนจะรายงานสิ่งที่คุยไปเมื่อสักครู่ให้ผมฟัง

 

“ก้องครับ พรุ่งนี้เพื่อนผมจะกลับจากอเมริกาและจะอยู่กรุงเทพก่อนที่จะกลับไปบ้านเค้าที่เชียงใหม่ เค้าให้ผมไปรับที่สนามบิน ก้องไปกับผมนะ”

 

“ไม่เอาอ่ะพี ผมไม่รู้จักเพื่อนของคุณนี่”

 

“ไปเถอะนะก้องนะ ผมจะได้แนะนำคุณให้เค้ารู้จักด้วยไง ว่าคุณเป็นแฟนผม”

 

“จะดีเหรอพี ไม่เอาอ่ะ”

 

“น๊า ไปกับผมนะ พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดของคุณไม่ใช่เหรอ ผมจะปล่อยให้คุณอยู่บ้านคนเดียวได้ยังไง นะครับ นะ  ไปกับผมนะ”

 

“ก็ได้พี แต่คุณต้องบอกว่าผมว่าผมเป็นเพื่อนกับคุณนะ”

 

“อ้าว....ทำไมอ่ะ”

 

“ก็ผมทำตัวไม่ถูกนี่!!! ไม่รู้ล่ะถ้าคุณไม่ทำตามที่ผมบอกผมก็ไม่ไป”

 

“ง่า......ก็ได้ครับ แล้วแต่ที่รักจะบัญชาเลยครับผม”

.

.ภายในอาคารผู้โดยสารขาเข้าของท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว ผมสีทองยาวเป็นลอนบ่งบอกเชื้อชาติลูกครึ่งลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เดินมาทางผมและพีด้วยท่วงท่ามั่นใจ ชุดเดรสเกาะอกสีแดงสั้นเหนือเข่า กับเสื้อคลุมแขนสั้นสีดำทำให้เธอแลดูเซ็กซี่จนหนุ่มๆ ต้องมองกันเหลียวหลัง รองเท้าส้นสูงปรี๊ดพาเจ้าของร่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าพีแล้วแขนกลมกลึงทั้งสองก็โอบรอบคอโน้มแก้มของพีรวิชญ์มาจูบซ้ายขวา ผมรู้สึกหน่วงๆ แปลกๆ สังเกตเห็นพีผลักร่างสมส่วนออกไปเบาๆ แล้วหันมาหาผม

 

“ราเซล นี่ก้องบดินทร์ ‘เพื่อน’ ของผม”

 

ราเชลยื่นมือมาให้ตรงหน้า ผมจึงต้องยื่นมือออกไปสัมผัสกับเธอ

 

“ไฮ.......ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณก้อง”

 

“เช่นกันครับ”

 

ราเชลปล่อยมือออกจากมือผมแล้วหันไปควงแขนของพีรวิชญ์เอาไว้ พีหันมามองผมแว๊บนึงเหมือนขออนุญาตผมก็เลยยิ้มตอบกลับไปแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร แต่ในใจผมรู้สึกปวดหนึบอย่างบอกไม่ถูก เป็นคนบอกให้พีแนะนำว่าเป็นเพื่อนเองแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็รู้สึกหน่วงๆ เหมือนหัวใจมันถูกบีบ ยิ่งเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเค้าทั้งสองดูเหมาะสมกันดี เวลาพีอยู่กับราเชลพีดูเป็นชายหนุ่มที่ดูเท่ห์มาก ผู้ชายก็หล่อ ผู้หญิงก็สวย ถ้าพีแต่งงานกับราเชล พีก็คงจะมีลูกน่ารักๆ ได้แน่ๆ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้น้ำตามันก็รื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่ามือของตัวเองมันสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่  ถ้าวันนั้นมันเกิดขึ้นมาจริงๆ ถ้าพีคิดจะสร้างครอบครัวกับราเชลขึ้นมาจริงๆ เมื่อถึงวันนั้นผมจะทำยังไงดีล่ะพี

 

.......................

ก้องของผมดูเงียบๆ ไปจนเห็นได้ชัด อยากจะเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วถามว่าเป็นอะไรรึเปล่าแต่ราเชลเธอก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนผมเลยแถมยังชวนผมคุยจ้อไม่หยุด จริงๆ แล้วราเชลเธอก็น่ารัก เป็นสาวยุคใหม่ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง อาจจะเพราะสายเลือดอเมริกันส่วนหนึ่งที่เธอได้มาจากฝั่งคุณพ่อ หรืออาจเพราะประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานเกือบสิบปี

 

เรื่องที่ก้องบอกให้ผมแนะนำกับราเชลว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้อยากทำนักหรอก แต่ก็กลัวเค้าจะงอแงก็เลยอยากเอาใจ  แต่อาจเพราะท่าทีแนบชิดสนิทสนมของราเชลที่มีต่อผมที่ทำให้ก้องดูจะพูดน้อยกว่าปกติเหลือเกิน เห็นทีแบบนี้คงต้องหาโอกาสคุยกันเสียหน่อย พอเห็นใบหน้าหวานๆของคนที่ผมรักเป็นแบบนี้ก็อดรู้สึกห่วงไม่ได้

 

“คนมองเราเต็มไปหมด ราเชลว่าเราต้องเหมาะสมกันมากแน่ๆเลยพีดูสิ” ราเชลเอ่ยขึ้นพลันหัวเราะคิกคัก

 

ผมก็ได้แต่ยิ้มตามแล้วก็ส่ายหัวไปมาด้วยเพราะขำกับความคิดของเธอ ผมว่าถ้าผมกับราเชลคบกันจริงๆโลกคงจะแตก ความสัมพันธ์ของเรามันเกินกว่าเพื่อนได้ซะที่ไหนกันล่ะ

แต่ก้องของผมนี่สิ รึเพราะจะเหนื่อยมากเกินไป ช่วงนี้ก้องทำงานกลับดึกแทบทุกวันเลย

 ก้องหลับตานิ่ง ผมที่กำลังจะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่างก็เลยต้องเงียบ หลังจากที่ผมลงจากรถเพื่อเดินไปส่งราเชลที่ห้องบนโรงแรมระดับห้าดาวที่ใช้เป็นที่พักชั่วคราวสำหรับการอยู่พักในกรุงเทพแล้ว กลับขึ้นรถมาเราก็ยังไม่ได้คุยกัน  ผมจอดรถเข้าข้างทาง มองใบหน้าสวยยามหลับ เปลือกตาปิดสนิทเห็นเพียงแผงขนตางอนยาว สัมผัสเบาๆจากมือของผมที่แก้มของเค้าคงทำให้ตื่น ดวงตากลมโตไหวระริกกำลังมองมาที่ผม

 

“วันนี้คุณดูเงียบๆจัง คิดอะไรอยู่รึเปล่า หรือว่าเรื่องราเชลหืม?”

 

ก้องจ้องผมอยู่อย่างนักพักนึงแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“ไม่มีอะไรหรอกพี ผมคงเหนื่อย เลิกงานดึกๆมาตั้งหลายวัน”

 

เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆด้วย ก้องดูเหนื่อยมากจริงๆ ผมใช้นิ้วเกลี่ยปอยผมที่ลงมาคละใบหน้าหวานไปทัดไว้ที่ใบหู ก้องยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่อาจจะดูล้าๆไปบ้างแต่ก็นับเป็นกำลังใจอันสำคัญให้ชีวิตของผมได้ดำเนินต่อไปได้ ผมรู้ดีว่าทุกวันนี้ผมทำเพื่อใคร ครอบครัวของผมนอกจากพี่พัฒน์แล้วก็ไม่มีใครนอกจากเค้า ครอบครัวของเค้า ทุกครั้งที่มีคนเข้าใจว่าผมเป็นหนุ่มโสด ผมก็จะตอบได้อย่างมั่นใจว่า ผมน่ะคนมีครอบครัวแล้ว ก็คือเค้า ก้องคือครอบครัวของผม และผมก็จะดูแลเค้าไปอย่างนี้ตลอด ผมไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ผมทำเพื่อหัวใจของตัวเอง

 

 

วันนี้ที่คอนโดของเราวุ่นวายพอสมควร เหตุเพราะมีแขกมาคอยทำให้ปั่นป่วน ทำนู่นทำนี่เยอะแยะมากมาย  ราเชลมาที่ห้องของเราตั้งแต่เช้า เธอคงจะเหงา และอันที่จริงผมเองที่เป็นคนชวนเธอมาเที่ยวเล่นในระหว่างที่ยังไม่ได้กลับเชียงใหม่ จากห้องเงียบๆที่มีเพียงเสียงคุยกระหนุงกระหนิงของเราสองคนก็เลยกลายเป็นมีเสียงหวีดๆแหลมๆของราเชลเพิ่มขึ้นมาด้วยทำให้ห้องของเราดูคึกครื้นมากกว่าปกติ ก้องกำลังช่วยราเชลทำมื้อเที่ยงอยู่ หรืออันที่จริงน่าจะต้องบอกว่าก้องเป็นคนทำ ส่วนราเชลน่ะเป็นคนต้นคิดจะทำ แต่เอาเข้าจริงกลับช่วยป่วนเสียมากกว่าเพราะเธอทำอาหารไม่เป็น ไข่ดาวกับไส้กรอกมื้อเช้าคือเมนูเดียวที่เธอทำแล้ว “กินได้”

 

“กลิ่นจะติดตัวราเชลมั้ยคะก้อง ชุดนี้ราเชลซื้อมาเกือบสองหมื่นเลยนะ แต่เอาเถอะยังไงก็เป็นกลิ่นของความเป็นแม่บ้าน มีกลิ่นอาหารติดอยู่บ้างก็ดูเร้าใจดีใช่มั้ยคะพี”

 

ราเชลหัวเราะร่า ผมเองก็หัวเราะตามไปด้วย ก้องหันไปหยิบผักทั้งหมดที่เตรียมเอาไว้แล้วเทลงหม้อที่มีน้ำซุปอยู่ครึ่งค่อนแล้วก็จัดการปิดฝา ก่อนจะหันมายิ้ม

 

“คุณราเชลอยากเป็นแม่บ้านเหรอครับเนี่ย”

 

“อยากเป็นสิคะ ครอบครัวที่สมบูรณ์นอกจากมีลูกแล้วถ้าให้ดีภรรยาก็ควรจะทำอาหารเป็นด้วยนะ แต่ราเชลน่ะทำไม่เป็น ก็เลยชอบแอบคิดว่าซื้อกินง่ายกว่า “ เธอว่าแล้วก็หัวเราะคิกคักแล้วก็พูดต่อ

 

“ราเชลเคยฝันว่าอยากมีครอบครัวเล็กๆ มีสามีดีๆแล้วก็มีเด็กๆวิ่งเล่นไปมาในบ้านซักสามคน เอาเป็นผู้หญิงคนนึงแล้วก็ผู้ชายซักสองคนเอาไว้ดูแลน้องสาวคนเล็ก แบบนี้ต้องเป็นครอบครับที่มีความสุขมากแน่ๆเลยนะคะ”

ก้องหน้าซีดลงเล็กน้อยแล้วก็ทำเพียงยิ้มบางๆ หันไปจัดการกับหม้อน้ำซุปที่กำลังเดือดปุดๆต่อ ผมที่กำลังยิ้มตามความฝันของราเชลก็เลยหยุดหัวเราะ เห็นก้องดูซึมๆไปก็อยากจะกระชากให้ขึ้นไปบนห้องแล้วถามให้รู้เรื่องเดี๋ยวนั้นว่าคิดมากอะไรอีกรึเปล่า

 

“ต่อไปก็รอได้เวลาแล้วก็เสิร์ฟได้แล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมมานะครับคุณราเชล” คนหน้าหวานแก้ผ้ากันเปื้อนออกแล้วก็เดินขึ้นไปบนห้อง ผมเองก็ไม่รอช้ารีบเดินตามขึ้นไป ประตูห้องยังไม่ทันจะปิดสนิทดีร่างของก้องก็อยู่ในอ้อมกอดของผมเป็นที่เรียบร้อย คนหน้าหวานตกใจนิดหน่อยแต่แล้วก็สงบลงแต่โดยดี แผ่นหลังของเค้าแนบอยู่กับอกกว้างของผม ผมกระชับกอดเค้า ซุกจมูกลงกับแก้มใสแล้วหอมเบาๆหลายๆครั้ง ก้องย่นคอหนีผมก็ไล่ริมฝีปากตามติด คลอเคลียอยู่กับซอกคอขาวๆนั่นไปมาเพื่อสูดดมความหอมหวานที่กรุ่นอยู่ในกายของเค้าทุกเมื่อเชื่อวัน

 

“หอมจัง”

 

ผมจูบเช้ากับใบหูเล็กและก้องก็เบี่ยงหนี เห็นใบหูที่แดงก่ำแล้วก็ยิ่งอดใจไม่ได้ กลุ่มสีแดงผุดขึ้นบนแก้มขาวก่อนจะกระจายจนแดงระเรื่อเต็มใบหน้าหวาน ผมยิ้มได้ใจ ก้องของผมน่ารักแบบนี้แล้วผมจะห้ามใจไหวได้ยังไง  

 

“อื้อออ พี ผมเหนียวตัว จะไปล้างหน้า ปล่อยก่อนครับ”

 

“งั้นอาบน้ำมั้ย เดี๋ยวผมช่วย ดีมั้ยครับ” ผมกระชับกอดแน่นขึ้นแล้วพลิกตัวก้องให้หันหน้ามามองกันแต่เค้ากลับเอาแต่ก้มหน้างุด ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วเมื่อครู่เทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ ผมเชยคางก้องขึ้นสำรวจดวงหน้าหวานที่กำลังเม้มปากแน่นอย่างขวยเขิน ใช้นิ้วมือแตะที่กลีบปากแดงอิ่มเบาๆจนมันเผยออกมาดังเดิมแล้วก้มลงประกบจูบแผ่วเบา ก้องสะดุ้งแล้วเผลอยกมือดันหน้าอกผมแต่ผมก็กระชับเอวของเค้าให้เข้ามาชิดตัวมากขึ้น รสหอมหวานอวลอยู่ในปากจนผมไม่อยากจะผละออกแต่ก็กลัวคนรักของผมจะหมดแรงซะก่อนกับจูบที่เพิ่มความหนักหน่วงของผม มือเล็กๆจิกหัวไหล่ผมแน่นจนกระทั่งวงแขนเรียวเปลี่ยนมาเป็นโอบรอบคอของผมไว้ เรียวลิ้นเกาะเกี่ยวกันไปมาแทนความรู้สึกในใจที่ท่วมท้นมากขึ้นทุกวัน อยากจะให้เค้าเชื่อใจว่าผมจะไม่มีใครอื่นนอกจากเค้าคนเดียว

 

ผมรักเค้าคนเดียว..

 

พอผละออกจากกันปากของก้องที่แดงอยู่แล้วก็เพิ่มความเข้มขึ้นอีก ผมมองปากเล็กที่เจ่อขึ้นนิดๆจากฝีมือของผมเองแล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและคงแสดงออกมาทางสายตามากไปหน่อยก้องถึงได้ทุบที่อกผมดังปั๊ก แต่แรงแค่นั้นทำให้ผมเจ็บไม่ได้หรอก

 

“เชื่อใจผมนะ”

 

 ........................

 อากาศที่เชียงใหม่ดีมากๆ ถึงชาวบ้านเจ้าของพื้นที่บางคนจะบอกว่ามันหนาวเกินไปแต่สำหรับคนกรุงเทพที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกับอากาศเย็นๆแบบนี้มันช่างเป็นอากาศที่น่าอยู่และสุดแสนจะสบาย ผมกับก้องมาส่งราเชลที่เชียงใหม่ จริงๆตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะส่งที่สนามบินตามที่เธอบอกแต่คิดไปคิดมาก็อยากจะถือโอกาสพาก้องมาเที่ยวด้วย เลยฉวยเอาโอกาสนี้ทำเรื่องลาหยุดให้กับก้องไปสี่วันเต็มๆ เล่นเอาผมโดนก้องบ่นซะหูชาเพราะทำเรื่องให้โดยไม่บอกเค้าก่อน ก็ถ้าบอกก่อนเค้าอาจจะไม่ยอม นานๆจะได้พาก้องมาเที่ยวซักทีก็เลยต้องเจ้าเล่ห์หน่อย

 

แผนที่อยู่ในมือ บวกกับมนุษย์สัมพันธ์อันดีที่พอจะมีอยู่บ้างก็งัดเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์โดยการถามทางชาวบ้านแถวนั้นไปเรื่อยๆเพราะด้วยความที่มันกะทันหันเราก็เลยไม่ได้วางแผนกันเอาไว้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนในเชียงใหม่บ้าง อีกทั้งจะหวังพึ่งเจ้าบ้านอย่างราเชลก็ไม่ได้เพราะเธอเองก็จากบ้านเกิดเธอไปอยู่ที่อเมริกากับพ่อของเธอตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ 

 

เสียงของราเชลดังไปตลอดการเดินทางตามประสาสาวมั่นที่คุยเก่ง ในขณะที่ก้องของผมกลับเงียบ พอผมมองกระจกหลังก็พบว่าเค้าเอาแต่ยิ้มน้อยๆแล้วก็หันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เวลาไปไหนด้วยกันเค้าจะชวนผมคุยไปตลอดทางเพื่อไม่ให้ผมเหงาเวลาขับรถ หรืออาจเพราะเค้ากำลังคิดว่าผมมีราเชลชวนคุยอยู่แล้ว แต่ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าผมอยากได้ยินเสียงของเค้ามากกว่า  แต่ก้องคงไม่ล่วงรู้ความคิดของผม เพราะพอเราขับรถไปถึงที่โรงแรมที่ราเชลพัก ก้องก็จัดการตัวเองเสร็จสรรพโดยการลงจากฝั่งด้านข้างของคนขับย้ายไปนั่งข้างหลังแล้วให้ราเชลขึ้นมานั่งข้างๆผมแทน ผมคว้ามือเค้าไว้แต่เค้าก็ยิ้มกลับมาแล้วก็บอกเพียงว่านั่งข้างหลังคนเดียวหลับสบายกว่า ผมก็เลยได้แต่มองตามเค้าอย่างกังวล

 

ช่วงที่แวะเติมน้ำมัน เสียงข้อความของก้องก็ดังขึ้น ผมแอบมองผ่านกระจกหลังก็เห็นว่าก้องมองโทรศัพท์แล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ ผมจัดการพิมพ์ข้อความแล้วกดส่งออกไปอีกฉบับ  แอบมองเค้าผ่านกระจกหลังอีกครั้งก็ผมว่าเราสบตากันกันชั่ววินาทีก่อนที่ก้องจะทำแก้มป่องแล้วผินหน้าออกไปมองด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง ที่สำคัญที่ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาได้ก็คือแก้มป่องๆนั้นกำลังแดงจัดยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศ ทำเอาผมอดขำออกมาไม่ได้

 

 ....................

 

 

‘ตาบ้าพี!’

 

ผมคิดในใจอย่างเคืองๆ เมื่อเห็นคนเส้นตื้นตัวโตกำลังนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ในขณะนี้ ผมก้มลงมองดูข้อความในมือถือที่เพิ่งถูกส่งมาหมาดๆ ข้อความแรกนั่นยังไม่เท่าไหร่ “ยิ้มหน่อยนะคะคนสวย” แต่ข้อความล่าสุดนี่สิ “ยิ้มน้อยเกินไป คืนนี้โดนดีแน่” เฮ๊อะ พี เห็นว่าผมเป็นตัวตลกหรือไง ชอบทำให้ผมอายอยู่เรื่อย

 

“พีขำอะไรเหรอ” เสียงหวานๆของราเชลดังขึ้น ทำให้พีกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง

 

“ขำมะเขือเทศ”

 

ผมถลึงตามองคนช่างขำผ่านกระจกส่องหลังของรถ พีรวิชญ์ส่งยิ้มกวนๆ มาให้ ทำให้ผมทำแก้มป่องผินหน้าไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง

 

“อะไรนะพี”

 

“ไม่มีอะไรหรอกราเชล...หึหึ”

 

หญิงสาวทำหน้าตางงๆ พลางมองพีสลับกับวิวที่กระจกหน้ารถไปมา แล้วก็หยักไหล่น้อยๆ เหมือนจะบอกว่า ‘ช่างเถอะ’

.

.


เรามาถึงรีสอร์ทที่เชียงใหม่ในเวลาอาหารค่ำพอดี ทุกคนเหนื่อยกันมากเลยตัดสินใจกินอาหารกันในรีสอร์ทที่พัก ราเชลยังคงเกาะติดพีของผมไม่ยอมห่าง เธอนั่งติดกับพีบนโต๊ะอาหาร ชี้ชวนให้พีดูบรรดาไม้ดอกที่พากันอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ทั้งดอกปีปสีขาวต้นสูงใหญ่ พุดน้ำบุศย์สีเหลืองสดกระจ่างตา หรือดอกแพงพวยสีชมพูสวยสด พีรวิชญ์เองก็ออกจะมีความสุขที่ได้มีราเชลอยู่ข้างๆ จนกระทั่งบริกรมาเสิร์ฟอาหาร ราเซลจึงตักปลานึ่งมะนาวหน้าตาหน้ากินไปให้พีถึงในจาน ผมนั่งมองด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในใจแล้วตักผัดผักแขนงขึ้นมาจะทานบ้างแต่แล้ว.......

 

อุ๊.........

 

อยู่ๆผมก็รู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้อย่างบอกไม่ถูก จะว่าเมารถก็ไม่น่าจะใช่ พีรวิชญ์รีบวิ่งถลาเข้ามาหาผม แววตากังวลจ้องมองผมอย่างเป็นห่วง

 

“ก้อง เป็นอะไรมากหรือเปล่า ทานน้ำเย็นๆ ก่อนมั๊ย”

 

น้ำส้มคั้นสดๆ ถูกยื่นออกมาให้ผมตรงหน้า แต่กลิ่นชวนคลื่นไส้ของมันทำเอาผมแทบจะอาเจียนบนโต๊ะอาหาร เดี๋ยวนะ!! ทำไมผมถึงเหม็นกลิ่นอาหารบนโต๊ะขนาดนี้  แล้วคนอื่นๆ ล่ะ

 

“พี น้ำส้มมันเสียหรือเปล่า ทำไมกลิ่นมันเหม็นอย่างนี้อ่ะ”

 

“ไหนก้อง....” พีนำแก้วน้ำส้มเจ้าปัญหาไปจ่อที่จมูก ดมฟุดฟิตๆ อยู่สักพักก็วางมันไว้บนโต๊ะ

 

“ไม่ได้เสียนี่ก้อง แล้วมันก็ไม่ได้เหม็นด้วย”

 

“จริงอ่ะพี”

 

“ผมว่าคุณไปหาหมอดีมั๊ย ไป ผมพาคุณไปเอง”

.

.

.

“ยินดีด้วยนะครับ แฟนของคุณตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”

 

สิ้นเสียงของคุณหมอ พีรวิชญ์ก็นั่งนิ่งอึ้งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ข้างๆ ผมที่ตอนนี้สภาพก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ความคิดหลายอย่างวิ่งวนไปวนมาอยู่ในหัว ท้อง!!! ผมท้องเนี่ยนะ!!! เป็นไปได้ยังไง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

 

“คุณหมออย่าล้อเล่นแบบนี้นะครับ บอกมาเถอะว่าผมเป็นอะไร”

 

“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ คุณท้องแล้วจริงๆ”

 

“จริงเหรอหมอ”

 

“แน่นอนครับ ผลตรวจปัสสาวะของคุณระบุชัดเจนว่าคุณท้อง ความจริงแล้วผู้ชายก็สามารถท้องได้นะครับ เพียงแต่เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก หนึ่งในสิบล้านก็ว่าได้ นับว่าคุณโชคดีมากนะครับที่พระเจ้าได้ประทานเลือดเนื้อเชื้อไขมาให้คุณทั้งสองคน”

 

“แล้ว มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ” พีรวิชญ์ที่เพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอเอ่ยถามย้ำกับคุณหมอด้วยความสงสัย คุณหมอนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะอธิบายความไปเป็นได้ทางวิทยาศาสตร์

 

“ความจริงแล้วคนเรามีทั้งฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ในตัว ในระยะของการสร้างเซลล์สืบพันธุ์จะมีฮอร์โมนมากระตุ้นให้เกิดการแบ่งเซลล์ ปกติเซลล์ที่จะสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในเพศชายจะพัฒนาไปเป็นตัวอสุจิที่มีหัวและหาง รูปร่างเรียวเพื่อเจาะกับเซลล์ไข่ แต่หากช่วงการสร้างเซลล์สืบพันธุ์มีฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายมากเกินกว่าปกติ เซลล์ต้นกำเนิดที่จะสร้างเซลล์สืบพันธุ์ จะเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ที่ชื่อว่า Oogonium ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเซลล์ไข่ เมื่อมีการแบ่งเซลล์จากเซลล์ที่ว่านี้ เซลล์ที่ได้จะเป็นเซลล์ไข่ในระยะเริ่มต้นหรือที่เรียกว่า primary oocyte เมื่อมีการแบ่งเซลล์ต่อไปอีกสองครั้งก็จะได้เซลล์ไข่หรือ ovum ที่สมบูรณ์ เมื่อมีน้ำเชื้อจากภายนอกเข้ามา ไข่จึงมีโอกาสได้รับการผสม คุณจึงท้องได้ไงครับ”

 

ผมและพีรวิชญ์นั่งฟังเรื่องทั้งหมดอย่างงงๆ ตกลงว่าผมท้องจริงๆ ใช่มั๊ยเนี่ย ความดีใจ ความตื้นตันหลั่งไหลเข้ามาในใจของผมจนจะล้นออกมานอกอก พีโผเข้ามากอดผมไว้แน่นโดยไม่แคร์สายตาของคุณหมอ ปากก็พร่ำพูดแต่ว่าขอบคุณมากนะก้อง  ขอบคุณมากซ้ำไปซ้ำมา ผมหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างมีความสุขก่อนที่พีจะพาผม เอ่อ.....ประคับประคองผมกลับรีสอร์ทด้วยความทะนุถนอม

.

.


กลับถึงที่พัก พีก็รีบเก็บของกลับกรุงเทพฯ ในทันที พีบอกว่าอยู่กรุงเทพฯ ใกล้มือหมอที่เค้าไว้ใจมากกว่า ราเชลตามมาส่งเราที่รถแล้วกล่าวแสดงความยินดีกับผมอีกเล็กน้อย พีประคองผมแทบจะอุ้มไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ ผมรู้สึกรำคาญเล็กน้อยจึงบ่นออกไปอย่างไม่จริงจังนัก

 

“พี ผมท้อง ไม่ได้เป็นง่อย!!!”

 

คนหน้าคมทำหน้าตาหงอยๆ เหมือนลูกสุนัขถูกขัดใจ ดวงตาคมทำตาละห้อยอ้อดอ้อนเสียจนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ คนตัวสูงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผมแล้วเอื้อมมือมาลูบท้องผมแผ่วเบา

 

“ก็ผมเป็นห่วงคุณกับลูกนี่นา ลูกจ๋า....โตไวๆ แข็งแรงๆ นะครับ พ่อรักหนูนะ”

 

ว่าแล้วพีรวิชญ์ก็เอาหูมาแนบกับท้องของผมเพื่อฟังเสียงลูก สักพักก็ถอยห่างออกมา บ่นกระปอดกระแปดว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย สงสัยลูกจะหลับ ผมจึงทุบไหล่พีไม่แรงนักไปสักทีสองทีด้วยความหมั่นไส้

 

“ก้อง นี่คุณทุบผมทำไมเนี่ย” คนหน้าคมทำเสียงออดอ้อน แล้วทำตาโตแป๋วแหวว

 

“ไปขับรถได้แล้วคุณ อ้อยอิ่งอยู่นั่นแหละ”

 

พีรวิชญ์อ้อมไปประจำที่คนขับอย่างว่าง่าย แล้วขับรถออกไปอย่างนุ่มนวล ผมยิ้มน้อยๆ ด้วยความพอใจ เออเน๊อะ ถ้ารู้ว่าท้องแล้วพีจะเชื่องขนาดนี้ ผมท้องไปตั้งนานแล้ว

.

.“ก้อง วันนี้ผมซื้อผัดไทยเจ้าที่คุณชอบมาฝาก เดี๋ยวผมเอาไปใส่จานให้นะ”

 

“ไม่เอาอ่ะพี ผมไม่อยากกินผัดไทย” ผมทำปากยื่นน้อยๆ สะบัดหน้าหนีคนที่อยู่ตรงหน้า พีรวิชญ์รีบเข้ามาออดอ้อนบีบๆ นวดๆ ผมอย่างเอาอกเอาใจ

 

“แล้วคุณอยากทานอะไรล่ะครับ เดี๋ยวคุณพ่อมือใหม่คนนี้จัดให้”

 

“ผมอยากกินหูฉลามน้ำแดง เป็ดปักกิ่ง พระกระโดดกำแพง ซุบเห็ดหลินจือ คุณหามาให้ได้มะ”

 

“โหย...ก้องอ่ะ เล่นของแพงเลยนะครับ”

 

“ไม่ได้เหรอ!!!” ผมตบโต๊ะหน้าทีวีเสียงดังปัง พีตกใจสะดุ้งโหยงแล้วมองผมอย่างหวาดๆ เหมือนลูกหมาตัวน้อยที่จะง้อเจ้าของ เสียงทุ้มเอ่ยออกมาช้าๆ อย่างติดขัด คงกลัวว่าผมจะโกรธเข้าให้ ผมกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่เพราะหน้าตาหงอยๆ ปากยื่นๆ ของพีตอนนี้ตลกที่สุดเลย

 

“ดะ ดะ ได้คร้าบ ได้คร้าบที่รัก อย่าเครียดน๊า อย่าเครียด เดี๋ยวลูกไม่สบาย เดี๋ยวผมโทรสั่งให้เดี๋ยวนี้เลยน๊า”

 

“เดี๋ยวพี....”

 

“คร้าบบบบบบบ” คนตัวโตชะงักกึกหันมายิ้มหวานให้กับผมอย่างว่าง่าย ร่างสูงย้อนกลับมานั่งข้างผมบนโซฟาแล้วลูบท้องผมเล่นเบาๆ

 

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว อยากกินไข่เจียวฝีมือคุณมากกว่า”

 

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดให้”

 

พีรวิชญ์กำลังจะลุกออกไปจากโซฟา แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจนั่งกลับลงมาที่เดิม แววตาเจ้าเล่ห์ที่ผมคุ้นชินกลับมาอีกครั้ง ผมกระถดตัวไปข้างๆ ด้วยความหวาดระแวง เตรียมที่จะลุกออกไปทันที แต่พีรวิชญ์ก็ไวกว่า จับแขนของผมแล้วดึงเข้ามากอดไว้ทั้งตัว

 

“เมื่อกี้ที่คุณบอกว่าอยากกินหูฉลามน้ำแดง เป็ดปักกิ่ง พระกระโดดกำแพง ซุบเห็ดหลินจือ เนี่ย คุณแกล้งผมใช่มั๊ย”

 

“เปล่า....ไม่ได้แกล้ง ก็ผมอยากกินจริงๆ นี่”

“ปากแข็ง” คนหน้าคมโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนปลายจมูกสัมผัสกัน ผมเบือนหน้าหนีแต่คนตรงหน้าก็จับหน้าผมให้หันกลับมาสบตากัน ผมเลยทำใจดีสู้เสือตอนกลับไปเสียงสั่น

 

“ไม่ได้ปากแข็งสักหน่อย”

 

“ไม่เชื่อ” ว่าแล้วริมฝีปากอุ่นก็ประทับลงมาบดเบียดกับริมฝีปากของผมอย่างอ่อนโยน เรียวลิ้นชุ่มชื้นเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของผมในปากอย่างรักใคร่ พีรวิชญ์ถอนจุมพิตที่อ่อนโยนนั่นออกมาอย่างแสนเสียดาย แล้วประทับเรียวปากชื้นบนหน้าผากของผม

 

“ไม่ว่าคุณกับลูกต้องการให้ผมทำอะไร ผมทำได้ทั้งนั้นแหละครับ รอผมแป๊บนึงนะ ไข่เจียวสุดพิเศษสำหรับคุณจะยกมาเสิร์ฟให้ตรงหน้าพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ในอีกไม่เกินห้านาทีนะครับ”

 

 .............

 

ผมวางถาดอาหารมื้อค่ำวางลงตรงหน้าก้องที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา ก้องก้มลงมองอาหารในถาดแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ผมเองก็เลิกคิ้วตามอย่างสงสัยว่าก้องแปลกใจอะไรหรือ

 

“ไม่ใช่ไข่เจียวหรอกเหรอ” เสียงหวานเอ่ยกับผมเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นดี

 

“ไข่เจียว? คุณอยากทานไข่เจียวเหรอก้อง ขอโทษนะครับผมไม่รู้เลยบอกพนักงานไปว่าเอาเป็นข้าวต้มปลากะพง เห็นคุณหลับยาวตั้งแต่อยู่บนรถเหมือนจะไม่ค่อยดีก็เลยสั่งอาหารอ่อนๆมาให้ ไม่สบายหรือเปล่าหืม” ฝ่ามือใหญ่ๆของผมจัดกลุ่มผมนุ่มที่ยุ่งเหยิงน้อยๆจากการนอนให้เข้าที่ จับปอยผมที่คลอเคลียข้างแก้มไปทัดไว้ที่ใบหูเล็ก ก้องพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด

 

“หลับตั้งแต่อยู่บนรถ?”

 

“ใช่ พอถึงรีสอร์ท จัดการเรื่องที่พักเสร็จแล้วผมก็เลยอุ้มคุณขึ้นมานอนต่อบนห้องแล้วก็สั่งอาหารค่ำขึ้นมา ถ้ารู้ว่าคุณเหนื่อยขนาดนี้ผมไม่พาคุณมาดีกว่า “

 

ก้องเงียบไป สีหน้าสลดไม่เหมาะกับดวงหน้าหวานทำให้ผมใจกระตุก ขยับเข้าไปนั่งแนบชิดแล้วเชยคางเรียวขึ้น

 

“เป็นอะไรไปครับก้อง พูดกับผมสิ”

 

แก้วตาใสไหวระริกมองผมเหมือนไม่มั่นใจ ไม่นานหยาดน้ำใสๆก็เอ่อขึ้นมาจนตาคู่สวยชื้นแฉะสะท้อนแวววาวล้อแสงไฟ หัวใจผมหล่นวูบ รีบประคองใบหน้าสวยไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้นิ้วเกลี่ยไปมาที่แก้มใสเพื่อปลอบประโลม

 

“ก้องเป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม พูดกับผมสิ อย่าเงียบแบบนี้ผมใจไม่ดีเลย”

 

เพียงแค่นั้นน้ำตาก็ไหลทะลักออกมา ตากลมโตจ้องผมเขม็งในขณะที่ปากอิ่มก็ถูกฟันขาวๆขบเอาไว้แน่นเหมือนกลั้นสะอื้น

 

“พี...ผม..ผมฝัน ผมฝัน..มันเป็นได้แค่ฝันพี” ก้องร้องไห้หนักขึ้นจนผมต้องรั้งตัวเค้าเข้ามากอด ให้อกอุ่นๆของผมเป็นที่ซับน้ำตา ผมนุ่มๆของเค้าถูกผมลูบไปมาอย่างทะนุถนอม ก้องร้องไห้แบบนี้ผมก็เจ็บปวด ไม่ว่าเค้าจะเสียใจเรื่องอะไรผมย่อมมีส่วนผิดทั้งนั้น ผิดที่ไม่สามารถทำให้เค้าสบายใจ ผิดที่ดูแลเค้าได้ไม่ดีพอ

 

“ฝันร้ายเหรอก้อง ไม่เป็นไรนะ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไร จะไม่มีใครทำร้ายคุณได้ ผมอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นไรนะ”

 

ผมหลับตาแน่นข่มความเจ็บปวดไม่ให้เสียงตัวเองสั่น หัวใจของผมเองก็เปราะบางหวั่นไหวไม่ต่างจากคนอื่นที่รู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งเมื่อเห็นคนที่เรารักร้องไห้ แต่ผมจะอ่อนแอไม่ได้ ผมเป็นหัวหน้าครอบครัว ผมต้องดูแลเค้าและจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเค้าได้

 

“พี...ผม..ผมมีลูกให้คุณไม่ได้ คุณเสียใจมั้ย”

 

ก้องเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมนิ่งเพื่อตั้งใจฟังเสียงหวานๆที่ถามผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ คราบน้ำตาที่แก้มขาวผมก้มลงใช้ริมฝีปากจูบซับมันออกจนหมด และผมก็ต้องอึ้งกับคำถามของก้อง หรือว่าเรื่องนี้คือต้นเหตุทั้งหมดที่ทำให้ก้องดูซึมเศร้าในช่วงหลายวันมานี้ โถ่เอ๊ย..

 

ผมจัดท่าทางให้คนในอ้อมกอดขึ้นมานั่งอยู่บนตัก อาจเพราะความเศร้าในจิตใจที่สื่อออกมาได้จากดวงตาคู่โศกจึงทำให้ก้องยอมโอนอ่อนตามแรงรั้งของผมอย่างว่าง่าย แขนแข็งแกร่งกอดกระชับเอวของคนข้างบนพอหลวมๆ ขาเรียวของก้องแยกออกคร่อมตักของผมเอาไว้ ท่วงท่าแบบนี้ทำให้ใบหน้าของก้องอยู่สูงกว่าผมเล็กน้อยแต่ก็สามารถมองตากันได้อย่างถนัดถนี่ มือเรียวเกาะที่บ่ากว้างของผมในขณะที่อีกข้างก็กำเสื้อที่หน้าอกผมแน่น ตากลมโตที่แดงช้ำและยังคงแฝงแววเศร้าจ้องผมไม่กระพริบเหมือนเด็กน้อยรอคอยคำตอบ ผมยื่นหน้าออกไปใกล้และกระชับให้ก้องขยับเข้ามาชิดมากขึ้นทำให้ปลายจมูกของเราชิดกัน

 

“แค่ผมมีคุณก็พอแล้ว อย่าคิดมากเรื่องนี้อีกนะ”

 

“จริงเหรอพี คุณไม่เสียใจจริงๆเหรอที่ผม..ผม..” ก้องก้มหน้าหลบสายตาผม ผมก็เชยคางให้เค้าสบตากับผมอีก

 

“นอกจากว่าผมยังให้คุณไม่พอ ผมขอโทษนะที่ไม่สามารถให้คุณจนสามารถทดแทนส่วนที่คุณต้องการได้ ผมขอโทษที่ดูแลคุณไม่ดีพอที่จะให้คุณมีความสุข ผมขอโทษที่..”

 

“ผมมีความสุขพี ผมความสุขแล้ว ผมพอแล้ว แค่มีคุณ ผมไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว” คนหน้าหวานส่ายหน้าไปมาแรงๆ ตาคู่สวยเริ่มมีประกายวาววับของหยาดน้ำใสๆอีกแล้ว ผมบีบจมูกรั้นสีแดงช้ำจากการร้องไห้นั้นด้วยปลายนิ้วเบาๆ ยื่นหน้าขึ้นไปจูบซ้ำเพื่อย้ำให้ชัดเจนว่าผมรักและเอ็นดูเค้ามากแค่ไหน

 

“ผมก็พอแล้ว ผมมีคุณ มีครอบครัวของคุณนั่นก็คือแม่ฟอง พี่ตุ่ม เจ๋ง มีพิพัฒน์ มีครอบครัวของเราผมก็มีความสุขแล้ว อย่าคิดมากอีกนะครับก้อง ผมไม่สบายใจเลยรู้มั้ย”

 

ก้องพยักหน้าแรงๆเหมือนเด็กๆ ปากแดงอิ่มยังคงขบเม้มแน่นจนช้ำแล้วช้ำอีก น้ำตาที่แก้มเริ้มแห้งเหือดลงไปบ้างแล้วแต่ยังคงความชื้นที่ปลายขนตางอนสวยอยู่ผมจึงจูบซับเปลือกตาของเค้าเบาๆ

 


ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกลแล้วกดโทรหาลูกครึ่งสาวสุดมั่นที่เราได้พบเจอมาตั้งแต่หลายวันมานี้ ก้องมองตามผมอย่างสงสัย ผมกระชับเอวบางให้ก้องขยับเข้ามาชิดกับร่างของผมยิ่งขึ้น

 

“ราเชล พรุ่งนี้ผมคงไปส่งคุณที่บ้านไม่ได้แล้วนะ เช้าพรุ่งนี้เราอาจจะยังลุกจากที่นอนไม่ไหว”

 

ผมกลั้นขำแทบแย่เมื่อเห็นก้องทำตาโตมองผมด้วยความตกใจ ปากเล็กหุบๆอ้าๆเหมือนจะว่าแต่ก็ว่าไม่ออกได้แต่ทุบลงมาที่อกผมแรงๆจนผมแกล้งร้องโอ๊ยเสียงดังฟ้องคนในสายจนก้องทำปากยื่นแถมแก้มยังแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศเมื่อตอนอยู่บนรถเสียอีก

 

พอโยนโทรศัพท์ออกไปให้พ้นตัวผมก็จับคนที่นั่งคร่อมผมอยู่บนตักทิ้งตัวหงายลงบนโซฟา ก้องโวยวายแล้วดิ้นขลุกขลักแต่ผมทับเอาไว้ก็เลยไปไหนไม่ได้ ได้แต่ทุบตีฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย ผมหัวเราะขำกับภาพของร่างข้างใต้ที่กำลังใช้ตากลมโตคู่นั้นถลึงมองอย่างคาดโทษ ผมก้มหน้าลงไปตักตวงความหอมหวานบนกลีบปากแดงฉ่ำเบาๆแล้วลากริมฝีปากมาที่แก้มแล้วหอมแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว ก้องเบี่ยงหน้าหนีจนแทบจะมุดเข้าไปอยู่ในผนักพิงโซฟาได้แล้ว คนหน้าหวานอ้อมแอ้มถามผม

 

“คุณไปพูดแบบนั้นคุณราเชลเค้าไม่งงแย่รึไง”

 

“หืม..ผมพูดว่าอะไรเหรอครับ ” ผมแกล้งถามให้คนใต้ร่างอายเล่น ก้องไม่ตอบเอาแต่มองไปที่อื่นไม่กล้าสบตาผม

 

“แย่จัง..เมื่อกี๊ราเชลเค้าต่อว่าผมมาด้วยล่ะ” ผมพูดแค่นั้นก้องก็หันขวับมามอง ตากลมโตเลิกขึ้นอย่างสงสัย

 

“เธอบอกผมว่า..มีแฟนแล้วลืมเพื่อน”

 

 

จบตอนพิเศษ~

ขอให้สนุกกับการอ่านฟิคนะเคอะ >3<




Create Date : 22 มีนาคม 2555
Last Update : 22 มีนาคม 2555 18:31:40 น.
Counter : 1394 Pageviews.

14 comment
บทที่ 23 อวสาน..
ภายในอาคารชั้นล่างสุดของโรงพยาบาลวิภาราม ผมสาวเท้าเร็วๆ ไปยังห้องเก็บเอกสารสำหรับเจ้าหน้าที่แผนกกายภาพบำบัด ผมกระชับแฟ้มรายงานอาการและความคืบหน้าของคนไข้ไว้แนบอก นึกหงุดหงิดจนอยากจะหันไปฟาดแฟ้มเล่มนี้ใส่หน้าของคนที่กำลังเดินตามผมอยู่จริงๆ

“เลิกตามผมซะทีได้มั้ยฮะ” ผมหยุดแล้วหันไปตวาดใส่คนข้างหลัง เจ้าตัวยิ้มเผล่ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วยื่นมือมาจะหยิบแฟ้มจากมือผมไปแต่ผมเอาหลบทัน

“เดี๋ยวผมช่วย”

“ช่วยอะไร ผมกำลังทำงานอยู่นะ กลับไปได้แล้ว” ผมพูดต่อด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด กัดริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยความโมโห

“งั้นแสดงว่าถ้าคุณเลิกงานผมก็ค่อยมาเจอกับคุณได้ใช่ป่ะ”

“ไม่ได้!!!” ผมตอบเสียงดังในทันที แล้วหันหน้าเดินต่อไป แต่ไอ้บ้านี่ดันมาเดินล้อมหน้าล้อมหลังขวางทางจนผมเดินไม่สะดวก

“น่า..นะ ดีกันนะ นะก้องนะ”

“ไม่!! พี่หมวยฮะก้องขอแฟ้มประวัติของคุณสุวัฒน์ห้องสี่สองสองหกหน่อย”

ผมหันไปพูดกับรุ่นพี่ที่ประจำอยู่ที่หน้าช่องกระจกของห้องเก็บเอกสารแผนกกายภาพ พี่หมวยทำหน้างงๆเพราะผมเผลอพูดเสียงห้วน เขาหันมามองพี ก่อนจะเข้าไปจัดการให้แล้วเดินกลับมายื่นให้ผมแลกกับแฟ้มเก่าที่ผมถืออยู่เพื่อให้พี่หมวยเอาไปเก็บ

“ขอบคุณฮะ”

“ดะเดี๋ยวๆก้อง เป็นอะไรอ่ะ หน้ามุ่ยเชียว” พี่หมวยถามหลังจากที่หันไปพยักหน้ารับคำทักทายจากผู้ชายตัวสูงที่อยู่ข้างๆผม

“เปล่าฮะ ก้องไปก่อนนะฮะพี่หมวย”

“อ่า..จ่ะ” พี่หมวยตอบรับด้วยท่าทางงุนงง ผมเดินจากมาแล้วแต่ข้างหลังผมมันเงียบผิดปรกติ พอหันไปก็พบว่าคนที่เดินตามผมต้อยๆมาทั้งวันไม่ได้เดินตามผมมาอีก แต่กลับกำลังยืนคุยกับพี่หมวยอย่างออกรส ฮึ! ไหนว่าจะมาง้อไง คอยดูนะ จะไม่คุยด้วยอีกเป็นเดือนเลย

.

.

.

บรรยากาศดีๆของร้านอาหารสไตล์ธรรมชาติ ไม้ยืนต้นนานาชนิดช่วยทำให้ร้านดูร่มรื่นแม้ว่าจะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆที่แดดยังคงจัดอยู่แบบนี้ วันนี้เลิกงานเร็ว ผู้ชายหน้าคมที่ตอนแรกนึกว่าจะหมดความอดทนจนหนีกลับบ้านไปแล้วโผล่มาให้ผมเห็นหน้าอีกทีตอนบ่าย พอรู้ว่าผมเสร็จงานแล้วก็เลยอาสาพาผมมาทานข้าว เฮ้ออออ..ทานข้าวตอนบ่ายสามโมงกว่าๆนี่มันมื้อไหนกันเนี่ย

“ก้อง ทอดมันกุ้งร้านนี้อร่อยมากเลยนะ” ทอดมันกุ้งชิ้นโตถูกวางลงในจานของผมอย่างเอาใจ

“รู้แล้ว! คราวก่อนที่ผมง้อคุณผมก็พามาร้านนี้”ผมกระแทกเสียงตอบ ได้ยินเสียง ‘อูยย’เบาๆจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก่อนที่เจ้าของเสียงจะทำหน้าจ๋อย

“ก้อง ปูอัดผัดผงกระหรี่ คุณชอบปูอัดไม่ใช่เหรอ นี่ผมสั่งให้คุณโดยเฉพาะเลยน้า ” อาหารหน้าตาน่ากินที่ตักมาจนพูนช้อนถูกวางบนจานของผมคำแล้วคำเล่า

“เมื่อวานผมเพิ่งไปปล่อยปลาที่วัดมา วันนี้เลยไม่อยากกินปลา” ผมตอบพลางเอาแขนขึ้นกอดอก มองออกไปที่บ่อน้ำขนาดใหญ่ที่เจ้าของร้านจงใจทำขึ้นให้ดูเหมือนว่าร้านมันตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบ มองแล้วสบายหูสบายตากว่ามองคนตรงหน้าเยอะ

“คุณปล่อยปลา แต่นี่มันปูอัด”

“ก็มันทำมาจากปลา นี่คุณกวนผมเหรอพี!”ผมพูดเสียงห้วน หรี่ตามองเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางเดิม เห็นจากหางตาว่าเค้าทำแก้มพองแถมยังทำปากยื่น

“ขอโทษษษ~ นะ..”

ดื่มด่ำกับบรรยากาศของร้านที่ทำให้เจริญอาหารได้มากกว่าการมองใบหน้าจ๋อยๆแต่บางทีก็สลับกับยิ้มเผล่ของนายพีได้ซักพักก็รวบช้อนเป็นอันบอกว่าถึงเวลากลับบ้าน ผมหรี่ตามองเค้าอย่างไม่ไว้ใจเพราะอยู่ๆเค้าก็ก้มๆเงยๆมองอะไรไม่รู้ที่ใต้โต๊ะ ผมเพ่งมองแบบเนียนๆก็เห็นว่าสิ่งที่เค้าสนใจและจดๆจ้องๆอยู่ในมือก็คือโทรศัพท์เพราะซักพักเค้าก็เอามันกลับขึ้นมาวางไว้ข้างๆตัว จากนั้นก็ทำหน้าเลิกลั่กมองซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังรอหรือมองหาอะไรซักอย่าง

“คุณเป็นไรอ่ะ” ผมลองหยั่งเชิงถามดู พีรีบตวัดหน้ากลับมายิ้มเผล่แล้วส่ายหัวแรงๆ จากนั้นก็เรียกพนักงานมาสั่งของหวานเพิ่ม แต่คนมันมีพิรุธผมก็เลยรู้สึกได้ เค้าตั้งหน้าตั้งตาทานขนมหวานได้ไม่นานก็เริ่มจะหันซ้ายมองขวาอีกรอบ บางทีนั่งๆอยู่ก็กระดิกขาเล่นจนผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกได้

“บอกมาซะดีๆ รออะไรอยู่” ผมถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“เปล๊า!!”

“ทำไมต้องทำเสียงสูง!” เค้าสะดุ้งเมื่อผมตบโต๊ะเสียงดัง เหงื่อเค้าตกเพราะผมจ้องเค้าด้วยสายตาคาดคั้น กวาดตามองไปรอบๆเห็นโต๊ะใกล้ๆสามสี่โต๊ะมองมาพร้อมสีหน้าตกใจผมก็เลยย่นคอลงเหมือนเดิมเพราะเมื่อกี๊เผลอยืดตัวไปข้างหน้าตอนที่คาดคั้นเอาคำตอบจากพี ผมชี้หน้าเค้าพร้อมทั้งบ่นขมุบขมิบ

“อ่ะอ้าววว มาได้ไงครับเนี่ย!!” พีตะโกนเสียงดังจนโอเวอร์ ผมเงยหน้าจากนาฬิกาที่ข้อมือก็พบว่าพี่หมวยกับพี่หมงเดินเข้ามาในร้านและกำลังตรงมาทางนี้ จากนั้นจำนวนคนที่เดินตามเข้ามาก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละคน ทั้งพี่กิ่ง พี่หญิง พี่วุฒิ พี่มิค จุ๊กจิ๊ก รวมทั้งทิพย์กับปุย เรียกได้ว่าแก๊งวิภารามที่คุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดีนี่มากันหมดเลย บังเอิญจังแฮะ

“อ้าววววววววก้องงงงงงงงงงงงงงงงง!!!” พี่หมงลากเสียงยาวพร้อมทั้งตบไม้ตบมือเหมือนว่าดีใจมากกับการบังเอิญครั้งนี้ รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยแต่ก็ทำได้เพียงหัวเราะออกไปอย่างงุนงง

“กินเลี้ยงกันนะก้องนะ เนี่ยพี่จองโต๊ะเอาไว้ละ ติดกันเลย แหม่ บังเอิ๊ญญบังเอิญ เนอะ โฮะๆๆ”

“ใช่ๆ นี่พี่จะบอกตั้งแต่บ่ายแล้วแต่ก้องออกมาก่อน มาๆ พีอยู่ด้วยกันนะ” พี่หมงกับพี่หมวยถามเองตอบเองแล้วพีเองก็ยิ้มเผล่พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก ผมที่กำลังจะขอตัวเพราะเพิ่งอิ่มไปจะให้ทานอะไรอีกก็คงจะไม่ไหว แต่ไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไรทุกคนก็จับจองที่นั่งที่โต๊ะตัวยาวข้างๆกันเป็นที่เรียบร้อย พอจะหันมาคุยกับคนที่มาด้วยก็ปรากฏว่าเจ้าตัวไปนั่งหน้าบานอยู่กับแก๊งวิภารามซะแล้ว
รู้สึกเหมือนว่าอะไรมันไม่ค่อยจะปรกติยังไงก็ไม่รู้ ทุกคนบอกว่าชวนกันมากินวันนี้ก็เพื่อเลี้ยงส่งให้กับจุ๊กจิ๊กนักศึกษาสาวจอมทะเล้นที่มาฝึกงานจนจะครบกำหนดและต้องจากกันในอาทิตย์หน้า แต่ทำไมทุกคนกลับเอาแต่ให้ความสนใจกับผม หรือว่าผมจะคิดไปเอง

“พี่ก้องๆ เอาอีกแก้วนะ” จุ๊กจิ๊กหันมายิ้มกว้างจากนั้นก็หยิบแก้วของผมไปเติมทั้งที่น้ำอัดลมสีเข้มกับน้ำแข็งยังมีอยู่เต็ม พอเธอส่งกลับมาอีกทีแก้วใบนั้นมันก็กลายเป็นแก้วสีเหลืองอ่อนๆทำเอาผมย่นคิ้ว

“อะไรเนี่ยจุ๊กจิ๊ก เดี๋ยวนี้หัดชงเหล้าให้คนอื่น ได้ข่าวว่าตัวเองเป็นเจ้าของงานมาชงให้พี่ทำไมเนี่ย”

“เอ๊ยยยก้องๆๆ บ่นอะไรเนี่ย จิ๊กมันก็กินเหมือนกัน” พี่หมวยที่นั่งข้างๆผมบอก ผมหันไปมองที่พีที่นั่งตรงข้ามก็เอาแต่ยิ้มอยู่อย่างเดียว

“อ่ะ พี่ก้อง หมดแก้วนะ ถือว่าเพื่อน้อง” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ดันแก้วที่จุ๊กจิ๊กยื่นให้ออก

“วันนี้ก้องขอไม่ดื่มนะฮะ รู้อยู่ว่าก้องดื่มไม่ได้ แก้วสองแก้วก็ยืนไม่อยู่แล้ว”

“แต่ก้อง วันนี้เรามาเลี้ยงส่งให้จุ๊กจิ๊กนะ มา ผมดื่มเป็นเพื่อน” พีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็ยกแก้วของตัวเองที่มีสีเข้มกว่าผมนิดหน่อยยกขึ้นดื่ม สายตาของทุกคนที่หันมามองพร้อมกับยิ้มกว้างทำให้ผมกดดัน

“แก้วเดียวนะฮะ”

“อื้ม!!!”ทุกคนประสานเสียงกันตอบทำเอาผมรู้สึกงงๆแต่ก็ยกดื่มจนหมดแก้ว รสขมปร่าบาดคอทั้งๆที่สีของมันก็ไม่ได้เข้มอะไรมากมายเลย ผมรีบถามหาน้ำเปล่าดื่มตามหลังทันที



บรรยากาศผ่านไปด้วยความคึกคักเฮฮา ผมนั่งมองทุกคนคุยกันไปทานกันไป บางครั้งก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นพวกเขาพูดหรือทำอะไรที่มันตลกๆ พี่ทิพย์กับปุยรวมหัวกันแกล้งเอาพริกไทยกับเกลือไปเทใส่ในแก้วน้ำของจุ๊กจิ๊กผู้ที่อายุน้อยที่สุดแล้วถือเป็นเจ้าของงาน เจ้าตัวที่ถูกแกล้งไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่หันไปนั่งโม้กับพี่มิค เอ..หรือว่าพี่มิคจะทำเป็นชวนคุยเพื่อหันเหความสนใจให้สองคนนั้นแกล้งง่ายๆก็ไม่แน่ใจ พอจุ๊กจิ๊กพูดมากจนกระหายน้ำ มือก็ควานๆบนโต๊ะหยิบแก้วของตัวเองได้ก็กระดกเข้าปากก่อนจะปล่อยพรวดออกมากลางโต๊ะเล่นเอาหลบกันแทบไม่ทัน พี่ทิพย์กับปุยก็เลยขำกันจนท้องคัดท้องแข็ง จุ๊กจิ๊กเองพอรู้ว่าใครเป็นคนทำก็ได้แต่ร้องแว๊ดๆเพราะเอาคืนไม่ได้


อุก!!


ผมรีบเอามือปิดปากก่อนที่น้ำสีเข้มที่ผมเผลอยกขึ้นดื่มนั้นจะปล่อยพรวดออกมาเหมือนจุ๊กจิ๊ก ฝืนใจกลืนมันลงไปอย่างยากเย็น รู้สึกแสบคอเหมือนมีอะไรมาบาดและรสชาติขมๆก็ยังคงติดอยู่ที่ลิ้นไม่หาย ยกแก้วของตัวเองขึ้นดูก็พบว่ามันถูกชงขึ้นมาใหม่ด้วยส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นขึ้น

“เป็นอะไรรึเปล่าก้อง” พีถามเมื่อเห็นว่าผมดูอาการไม่ดี ผมดื่มน้ำเปล่าตามลงไปหลายอึกดับความขมจนรู้สึกดีขึ้น เคยได้ยินว่าถ้าไม่อยากเมามากในขณะดื่มพยายามอย่าแตะของหวาน แต่ว่าก่อนหน้านี้ผมกลับจัดการขนมหน้าตาน่ากินที่อยู่ตรงหน้าไปจนเกือบหมดเพราะไม่นึกว่าตัวเองจะดื่มอีก แย่ชะมัด ผมสะบัดหัวแรงๆแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ นั่งอยู่เฉยๆซักพักอาการมึนหัวก็คงจะดีขึ้น

“พี พี่ว่าว่าก้องกลับได้แล้วแล่ะ หลับไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย” ได้ยินเสียงหงุงหงิงๆดังอยู่ใกล้ๆแต่เหมือนจะจับใจความไม่ค่อยได้ พยายามลืมตาแต่ก็รู้สึกว่าหนังตามันหนักเกินไป ได้ยินเสียงตุบๆที่ขมับและปวดแบบหน่วงๆเหมือนหัวจะระเบิด พอลืมตาขึ้นมาได้เพียงนิดก็กลับมองเห็นไม่ชัด

“ก้องครับ กลับกันนะ” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบอยู่ข้างหู ก่อนจะตัวลอยเมื่อถูกใครซักคนพยุงขึ้น เห็นหมดทุกอย่างผ่านจากตาของตัวเองเท่าที่พอจะลืมได้ว่ากำลังถูกพีพยุงเดินออกมาขึ้นรถ แอร์เย็นๆช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้บ้างและผมก็ปลดกระดุมเสื้อสองเม็ดบนออกเพราะรู้สึกอึดอัด สบายขึ้นเยอะเลย อืมม..

“อืออออ” ผมครางเมื่อรู้ว่าหลังของตัวเองสัมผัสกับเตียง เห็นใบหน้าคมเข้มของคนที่รู้สึกคุ้นๆ คุ้นสิ ผมรู้ดีว่าต้องคุ้นแน่ๆแต่กลับนึกอะไรมากกว่านี้ไม่ค่อยออก ยกหัวขึ้นมาเห็นว่าเค้ากำลังถอดถุงเท้าให้ผมอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกคุ้นใหญ่ อืม..


อ่อ..จำได้แล้ว พีนี่เอง หึหึ


“เป็นไงมั่งก้อง ปวดหัวมั้ย หืม” มือของพีลูบหน้าลูบตาของผมไปมา เปิดผมที่ตกลงมาปิดหน้าผากผมขึ้น


รู้สึกดีจัง..


แต่หืม..ผมย่นคิ้ว


“ทำไมถึงมีสองหน้าล่ะ หือ..สามหน้าแล้ว ไมมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”ผมจิ้มลงไปที่แก้มสากๆนั่น แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

“มือผม มือผมก็มีตั้งหลายมืออ่ะ” ผมกางนิ้วมือทั้งสิบแล้วจ้องด้วยความงุนงง ก่อนจะเอาสองมือนั้นโอบแก้มของพีไว้ทั้งสองข้าง แล้วภาพที่เบลอๆและใบหน้ากับมือที่เห็นหลายๆอันก็ค่อยๆนิ่งลงจนรวมกันเป็นภาพเดียว ผมหัวเราะออกมา

“ค่อยยังชั่ว หึหึ”

ได้ยินพีหัวเราะเบาๆ มือของเค้าเกลี่ยแก้มของผมไปมาอย่างอ่อนโยน ผมเองก็ยิ้มตอบจากนั้นใบหน้าของเค้าก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองใจง่ายแบบนี้นะถึงไม่ทำอะไรเป็นการปฏิเสธเลยซักอย่าง ได้แต่มองตาเค้านิ่งจนริมฝีปากของเราแตะกัน


อุก!!


ผมรีบยันอกของเค้าออกแล้วใช้สติเท่าที่ยังคงเหลืออยู่พาตัวเองวิ่งไปที่ห้องน้ำ ของเหลวหน้าตาไม่น่ามองถูกปล่อยลงชักโครกทันเวลาพอดี



เฮ้อ..
หมดแรง..


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“ก้อง ก้อง....คุณเป็นยังไงบ้าง”

ผมเขย่าตัวก้องบดินทร์ที่ตอนนี้นั่งกองอยู่กับพื้นห้องน้ำอย่างอ่อนแรง ใบหน้าสวยหวานซ่อนอยู่ในแขนทั้งสองข้างที่พาดไว้กับขอบชักโครก ผมพลิกร่างอวบอิ่มให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามขมับทั้งสองข้าง อดใจไม่ไหวที่จะใช้ปลายนิ้วเช็ดออกให้อย่างอ่อนโยน ก้องบดินทร์ปรือตาขึ้นมามองผมอย่างยากลำบาก ก่อนที่ผมจะประคองคนขี้เมาให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล

“ไปพักก่อนนะก้อง เดี๋ยวผมพาไป”

คนหน้าหวานเดินไปตามแรงฉุดลากของผมแต่ก็โงนเงนทรงตัวไม่ค่อยจะอยู่ พยายามประคับประคองให้ก้องเดินกลับไปที่ห้องนอนแต่ก็เป็นงานที่ยากเหลือเกิน

“ก้อง....เดินดีๆ สิ ก้อง”

“ทำไมประตูถึงมีสองบานอ่ะ” มีคู่สวยควานสะเปะสะปะไปทั่วในอากาศ แล้วก็ลามมาควานตามเนื้อตัวของผม

“ก้อง เดินดีๆ สิ.......เฮ้ย.......”

คนหน้าหวานบดเบียดร่างของตัวเองเข้ามาจนตัวของผมเซไปติดกับผนังห้องน้ำ มือที่ควานอยู่ตามเนื้อตัวของผมก็ยังคงทำงานอย่างยอดเยี่ยม

“คุณมีสองหัวอีกแล้ว นี่ด้วย ตัวคุณก็มีสองร่าง”

มือเรียวลูกไล้ไปตามใบหน้าของผมแล้วลามมาถึงสาบเสื้อ มือข้างหนึ่งของผมจับมือของก้องเอาไว้เพื่อหยุดการกระทำที่จะทำให้ผมสติเตลิด ขณะที่มืออีกข้างก็โอบเอวของคนมือซนเอาไว้ไม่ให้ล้มไปด้วยกัน

“ก้อง...คุณเมามากแล้วนะ”

“ใคร ใครเมา ผมไม่เมาสักหน่อยแค่มึนๆ” ก้องบดินทร์กระชากมือของตัวเองออกจากมือของผม ทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนของผมหลุดกระเด็นไปอยู่ที่พื้น

“โอ๊ย....ปวดหัวจัง” ศีรษะได้รูปพิงมาที่ไหล่ของผม เสียงหวานๆบ่นงึมงำอยู่ที่ซอกคอพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่กระทบกับผิวเนื้อทำให้ความรู้สึกบางอย่างตื่นตัวขึ้นมา

“ร้อนอ่ะพี คุณร้อนม่ะ”

สิ้นคำ ก้องบดินทร์ก็ถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วเหวี่ยงมันไปไกลๆ เรือนร่างขาวผ่องที่ทรงตัวเองไม่ได้เบียดเข้ามาแนบชิด ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดีว่ายังมีเสื้อบางๆของผมกั้นไว้อยู่ไม่อย่างนั้น........อ้าว...เฮ้ย!!!

“คุณก็ร้อนใช่มะ มาเดี๋ยวผมถอดให้”

คนขี้เมาปลดกระดุมเสื้อของผมอย่างรวดเร็วแล้วตั้งใจจะถอดมันออก แต่ผมรวมสาบเสื้อเอาไว้ไม่ให้อะไรๆ มันมากไปกว่านี้ คนหน้าหวานทำหน้าหงุดหงิดแล้วสอดฝ่ามือเข้าไปภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวเก่ง ไล้ฝ่ามือไปตามแผ่นอกของผมเพื่อแยกสาบเสื้อให้ออกจากกัน ผมสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงพยายามควบคุมสติไม่ให้ไขว้เขวไปกับสัมผัสนั่น แต่คนขี้เมาก็ช่างยั่วเหลือเกิน สุดท้ายผมก็ต้องผลักคนหน้าหวานออกไปเบาๆ

ก้องบดินทร์ทำท่าจะเสียหลักล้มลง ทำให้มือที่พยายามจะถอดเสื้อผมเมื่อสักครู่ปัดก๊อกฝักบัวที่อยู่ข้างๆ น้ำเย็นจัดพร่างพรมลงมารดตัวของเราทั้งคู่จนเปียกชื้น ผมรีบเข้าไปประคองคนหน้าหวานเอาไว้เพราะกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ เมื่อเราทั้งคู่ต่างทรงตัวได้ ดวงตาสวยหวานก็หรี่ปรือขึ้นมามองผมภายใต้สายน้ำเย็นเฉียบ

“พี......”

ใบหน้าเนียนสวยอยู่ห่างจากผมเพียงแค่คืบ ปอยผมเปียกชื้นระลงมาที่ใบหน้าทำให้ก้องบดินทร์ดูหวานจนผมอยากจะลิ้มลอง ริมฝีปากอิ่มเผยอน้อยๆ คล้ายเชิญชวนให้สัมผัส มือของผมลากไล้ไปตามข้างแก้มของคนช่างยั่วไปมา ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังรออะไรอยู่

“ผมรักคุณ”

สิ้นคำบอกรักของก้องบดินทร์ ผมประกบจูบลงไปอย่างหนักหน่วง ลิ้นร้อนไล้ไปตามกลีบปากอิ่มก่อนจะซอกซอนเข้าไปในโพรงปากหวาน ลิ้นเล็กๆของก้องเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของผมอย่างรู้งาน เรือนร่างของเราทั้งสองแนบชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆ ให้น้ำซึมผ่าน เสื้อเชิ้ตตัวเมื่อครู่ถูกถอดออกไปพร้อมกับแรงอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาจนทำให้กายของผมเครียดเขม็ง
รสจูบแสนหวานทำให้สติของผมล่องลอย สองมือจับใบหน้าของก้องเอาไว้ให้แหงนหงายรอรับจูบของผมได้ถนัดยิ่งขึ้น ผมเลื่อนมือมายังหัวเข็มขัดของก้องบดินทร์แล้วถอดมันออกอย่างง่ายดาย กางเกงยีนส์สีเข้มถูกปลดออกกองอยู่ที่ข้อเท้าเหลือเพียงชั้นในตัวบางที่ปกปิดจุดสำคัญเอาไว้ ผมถอนจูบออกแล้วไซร้ซอกคอขาวไล้เรื่อยมายังยอดอกสีชมพูทั้งสองข้าง ดูดเม้มไล้เลียจนคนหน้าหวานครางเสียงแผ่ว ทุกที่ที่ริมฝีปากของผมลากผ่านก็จะประทับรอยแสดงความเป็นเจ้าของไปจนทั่ว ภายใต้สายน้ำที่เย็นจัด อารมณ์รักของเราทั้งสองกลับลุกโชนและร้อนแรงไม่ต่างอะไรกับกองเพลิงที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งตรงหน้าให้เป็นจุณ



“อ่ะ....อ๊า.....”



ฝ่ามือของผมปลุกเร้าที่ส่วนอ่อนไหวที่สุดของคนหน้าหวานภายนอกชั้นในตัวบาง ก่อนที่จะสอดเข้าไปครอบครองเอาไว้เต็มอุ้งมือ ก้องบดินทร์ตื่นตัวเต็มที่และบดเบียดสะโพกเข้ากับฝ่ามือหนาของผม

“พะ.....พี”

ผมเร่งมือปรนเปรอความสุขให้กับคนตรงหน้า จนสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นที่ถูกปลดปล่อยออกมา ก้องบดินทร์พิงศีรษะซุกซบอยู่กับแผ่นอกของผม ลมหายใจหอบถี่กระชั้นกระทบกับผิวเนื้อแข่งกับสายน้ำที่ซัดสาดลงมา ผมถอดกางเกงของตัวเองออกแล้วประทับจูบดูดดื่มร้อนแรง ดันคนหน้าสวยให้แผ่นหลังชิดติดกับผนังห้องน้ำ ปลายนิ้วไล้เรื่อยไปทั่วร่างกายปรนเปรอความสุขให้แก่ก้องบดินทร์อย่างไม่รู้จักเบื่อ ก๊อกน้ำฝักบัวถูกปิดลงไปแล้ว แต่เพลงรักแสนหวานกำลังจะเริ่มบรรเลงไปตามการชักนำของวาทยกรอย่างผมไปอีกยาวนานตลอดทั้งคืน




ก้องบดินทร์หลับตาพริ้มด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่ม ปลายนิ้วไล้เกลี่ยแก้มเนียนสวยไปมาอย่างนึกเอ็นดู หัวใจของผมเต็มตื้นไปด้วยความรักก้องบดินทร์สุดหัวใจ ต้องขอบคุณแก๊งวิภารามที่ช่วยกันวางแผนทำให้ผมกับก้องได้ลงเอยกันอีกครั้ง ถึงขนาดมอมเหล้าคนขี้งอนให้สิ้นฤทธิ์ หึหึ....ถึงแม้ว่าก้องจะทำไปเพราะไม่ได้สติแต่เชื่อเถอะว่าพอก้องตื่นขึ้นมาก็จะง๊องแง๊งได้เพียงไม่นานเพราะถึงยังไงสุดท้ายแล้วเค้าก็ต้องเป็นของผมอยู่ดี นึกถึงสีหน้าเหวี่ยงๆที่จะได้เจอตอนที่ก้องตื่นขึ้นมาแล้วผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

ความรักของผมกับก้องบดินทร์ก็เปรียบเสมือนกับทรายที่ค่อยๆซึมซับน้ำทะเลเอาไว้ ความเข้าอกเข้าใจ ความห่วงหาอาทร และความปรารถนาดีที่มอบให้แก่กันนับวันมันยิ่งซึมลึกฝังรากลงไปในจิตใจของเราทั้งสงคน ถึงแม้บางครั้งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้ทรายต้องอยู่ภายใต้เปลือกโกแต่ความร้อนแรงและความกดดันก็ทำให้ทรายยิ่งแข็งแกร่งกลายเป็นหินตะกอนที่แข็งแรง เหมือนกับอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตคู่ของเรา แม้จะทำให้เราต้องเจ็บปวดและชอกช้ำ แต่ด้วยใจที่มั่นคงในรักทำให้เราทั้งคู่สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปด้วยกันและยิ่งทำให้ความรักของเราเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นจนใครๆก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้

ผมเอื้อมมือไปยังลิ้นชักที่หัวเตียงแล้วหยิบแหวนทองสีชมพูออกมา นานแล้วที่แหวนวงนี้อยู่ห่างจากเจ้าของ ผมตั้งใจไว้ว่าวันที่ก้องเลิกกับไอ้นิคโดยเด็ดขาด ผมจะคืนแหวนวงนี้ให้กับก้องบดินทร์ตามเดิม และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่แหวนแต่งงานวงนี้จะได้ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของก้องสักที
ผมบรรจงสวมแหวนทองสีชมพูลงไปบนนิ้วของก้องอย่างเบามือ จูบอ่อนโยนจากผมจรดลงไปบนนิ้วเรียวสวย ก้องบดินทร์ยังคงหลับตาพริ้มบ่งบอกว่ากำลังอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุข นึกอยู่ในใจว่าถ้าก้องตื่นขึ้นมาจะมีทีท่ายังไง จะเขินอายจนเหวี่ยงใส่ผม หรือจะยิ้มดีใจกอดผมไว้ทั้งตัว แต่ช่างเถอะ.....เอาไว้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้ผมขอนอนกอดคนหน้าหวานเอาไว้ให้สมความคิดถึงหน่อยก็แล้วกัน

“ก้องบดินทร์ครับ ผมรักคุณ”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ได้กลิ่นของไอแดดยามเช้าที่สาดแสงจางๆเข้ามาทางระเบียงเพราะผ้าม่านเปิดแง้มเอาไว้ สัญชาตญาณจากการที่ตื่นตรงเวลาแทบทุกวันทำให้รับรู้ว่านี่น่าจะได้เวลาที่ผมต้องลุกขึ้นจากเตียงถึงแม้ว่ายังรู้สึกง่วงงุนจนอยากจะนอนต่อ พอขยับตัวถึงได้รู้ว่ามีลำแขนหนักๆพาดอยู่ที่เอว พอลืมตามองให้ชัดๆก็เห็นเพียงแผงอกเปล่าเปลือยของใครบางคน ลำดับเรื่องราวได้ว่าเราสองคนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะมานอนกอดกันได้ก็รีบผลักเค้าออกแล้วลุกขึ้นนั่ง เจ็บแปลบไปตั้งแต่ท้องน้อยลงไปถึงต้นขา สะโพกเจ็บร้าวจนเผลอใช้มือกำผ้าห่มแน่น หลับตานิ่งๆซักพักให้ความรู้สึกเสียววาบมันเริ่มจางลงก่อนจะตวัดหน้าไปมองคนที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างๆ พีนอนในสภาพท่อนบนล่อนจ้อนอวดให้เห็นแผ่นอกกว้าง เห็นไรขนอ่อนที่หน้าท้องเป็นทางยาวและผลุบหายเข้าไปภายใต้ผ้าห่มสีขาวที่ปิดอยู่ที่สะโพกอย่างหมิ่นเหม่ แทบไม่ต้องเดาว่าภายใต้ผ้าห่มนั่นจะเปล่าเปลือยตามท่อนบนหรือไม่ รู้สึกแก้มร้อนจัดจนต้องเบี่ยงความสนใจมาที่ตัวเองทำให้พบว่าผมเองก็นั่งอยู่ที่หัวเตียงโดยไม่ได้ใส่เสื้อ รีบยกผ้าห่มดูท่อนล่างของตัวเองก็ต้องตาโตเพราะไม่มีแม้แต่กางเกงชั้นในซักตัว นึกได้ก็ดึงหมอนที่เค้าหนุนอยู่นั่นแหละออกมาแล้วปาใส่แรงๆไม่ยั้งหลายทีจนเค้าตื่นด้วยท่าทีงวยงง ตายังคงสะลึมสะลือ

“อะไรอ่ะก้องงงงงง” เค้าถามพลางลุกขึ้นนั่ง ขยับเข้ามาคว้าผมเข้าไปกอด หอมแก้มผมเสียฟอดใหญ่ทั้งๆที่ตาแทบจะลืมไม่ขึ้น ผมสะบัดตัวหนีและมองหน้าเค้าด้วยความโมโห

“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!”จะเอื้อมมือไปหยิบหมอนที่กระเด็นไปอยู่ที่ปลายเตียงขึ้นมาตีเค้าอีกก็เสียวแปลบที่ท่อนล่างจนทรงตัวไม่อยู่ต้องลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิม มือขย้ำผ้าห่มแน่น พีเห็นอย่างนั้นก็ตื่นเต็มตาเขยิบเข้ามาใกล้และเอามือมาโอบเอวผมไว้พร้อมกับเอาจมูกมาชนกัน ผมฮึดฮัดดันเค้าออกแต่เค้าก็จับหน้าผมให้หันกลับไปจ้องกันเหมือนเดิม

“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณเลยน้า มาเหวี่ยงใส่ผมทำไมเนี่ย หืม..” พีกดจมูกลงมาที่หูและคลอเคลียไปมา

“ไม่ได้ทำเหรอ สภาพแบบนี้นี่นะไม่ได้ทำ! ไอ้บ้า ไอ้พีบ้า ไอ้บ้าเอ๊ย ปล่อย!”

“ไม่เอา..ก้องอ่ะ อยู่เฉยๆเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง นะ นะ” พีรวมมือผมที่ฟาดไปที่เค้ารัวๆเอาไว้ ผมนิ่งรอฟังคำแก้ตัว

“ก็เมื่อคืนคุณเมาแล้วก็มาอ้วกใส่ผม เราสองคนนี่เลอะไปทั้งตัวเลยนะ ผมก็เลยจัดการทำความสะอาดให้ แต่ก่อนจะทำความสะอาดมันก็ต้องถอดเสื้อก่อนใช่มั้ยล่ะ พอถอดเสื้อออกแล้วมันก็เห็นแล้วมันก็เลยอดใจไม่ไหวแล้วก็โอ๊ย!”

ผมไม่ปล่อยให้พีพูดจบก็ใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่ตัวเค้าแรงๆหลายที บ้าที่สุด ไอ้พีไอ้บ้า!

“คุณจะมาโทษผมไม่ได้นะ นี่ผมช่วยคุณนะ ”

“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก!!” ผมตะโกนใส่หน้าเค้าเสียงดังลั่นก่อนจะกวาดตามองหาเสื้อผ้าหรืออะไรที่พอจะปิดบังร่างกายได้ เห็นเสื้อคลุมทิ้งอยู่ที่พื้นข้างเตียงก็รีบเอื้อมมือลงไปคว้ามาสวมแล้วปีนจากเตียงเดินอย่างทุลักทุเลเข้าไปในห้องน้ำทันที เข้าไปถึงก็ล็อคประตูจนปลอดภัยแล้วก็เปิดเสื้อคลุมออกจนเห็นถึงหัวไหล่ ยืนมองสภาพตัวเองอยู่ที่หน้ากระจก รอยแดงเป็นจ้ำไล่ตั้งแต่ลำคอ หัวไหล่ไปจนถึงหน้าอก หน้าท้อง ลงไปจนถึงต้นขาด้านใน ปากก็เจ่อนิดๆด้วย ฮึ้ยยยยย!! เมื่อคืนเมาอีท่าไหนนะ จำไม่ได้ด้วยว่าอ้วกใส่เค้าจริงรึเปล่า ยังไม่หายโกรธเลยแท้ๆ ไม่น่าพลาดเลย!

ผมยื่นมือไปเปิดน้ำเพื่อจะล้างหน้าก็เห็นบางอย่างสะดุดตา แหวนทองสีชมพูที่นิ้วนางข้างซ้ายทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยลืมไปว่ากำลังโกรธคนข้างนอกอยู่ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นแหวนวงนี้ นานแค่ไหนแล้วที่เราต้องอยู่บนความไม่เข้าใจและบาดหมางกันมาโดยตลอด หากย้อนเวลากลับไปได้ผมคงจะทำตัวให้มีเหตุผลมากกว่านี้ คงจะพยายามยอมรับและรับฟังกันและกันมากกว่านี้ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลาของการสูญเสียความทรงจำ แต่ถ้าหากเราอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ พยายามปรับตัวเข้าหากันก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเข้ากันได้ ผมลูบแหวนที่อยู่บนนิ้วเบาๆ ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เราผ่านมันมาด้วยกันทั้งร้ายและดี หลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่เราควรจะปรับตัวเข้าหากันให้มากกว่านี้ บางครั้งความรักอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้เรามีความสุขและอยู่ด้วยกันจนยั่งยืนได้



ขอบคุณนะพี..



ผมยิ้มให้กับแหวนทองสีชมพูด สิ่งแทนใจที่ผมรู้ว่าพีตั้งใจมอบมันให้ผมด้วยความรัก มอบให้ด้วยความจริงใจ


แต่...


จะมาโรแมนติกยังไงก็ไม่สามารถลบเลือนความผิดในเรื่องเมื่อคืนไปได้หรอกไอ้พีบ้าเอ๊ย!!!

ผมเปิดประตูออกไปก็เห็นพีที่นั่งมองมาอยู่บนเตียง เค้ายิ้มเผล่อย่างอารมณ์ดี พอผมเดินเข้าไปใกล้พีก็เอื้อมมือมาคว้าผมลงไปนั่งที่ข้างเตียง ผมหันไปตีเค้าดังผั่วะเพราะยังโมโหไม่หาย แถมที่เค้าดึงผมเมื่อกี๊มันทำให้อาการเจ็บจี๊ดที่สะโพกมันกลับมาอีกทั้งๆที่ผมพยายามเดินให้เบาๆเพื่อให้รู้สึกกระเทือนน้อยที่สุด

“ก้องง่า..”

“ทำไมถึงชอบฉวยโอกาสอยู่เรื่อย!” ผมถามเค้าไปตาก็มองไปที่ระเบียง เค้าโอบผมจากด้านหลังแล้วก็โยกตัวน้อยๆ จมูกก็ไม่อยู่สุขดมนู่นดมนี่ไปเรื่อยจนผมต้องย่นคอหนีหลายครั้ง

“โกรธเหรอครับ” คราวนี้น้ำเสียงเค้าดูจริงจังมากขึ้น เค้าวางคางลงมาที่หัวไหล่ของผมพร้อมกับกระชับกอดจนแน่น

“ก็..ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมอ้อมแอ้มตอบออกไป จะว่าโกรธที่เรามีอะไรกันก็ไม่ใช่ ผมเองก็รักเค้า ทำไมผมจะต้องโกรธ แต่ที่โกรธเป็นเพราะเค้าทำโดยฉวยโอกาสตอนที่ผมไม่มีสติต่างหาก

“คุณชอบทำอะไรโดยที่ผมยังไม่ได้อนุญาต จะอยู่ด้วยกันได้นอกจากต้องอาศัยความรักแล้วยังต้องอาศัยความไว้วางใจด้วย เรื่องแค่นี้คุณยังทำให้ผมรู้สึกไว้ใจคุณไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นต่อไปจะเป็นยังไง”
บางครั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ๆ ผมไม่เคยรังเกียจไม่ว่าเราจะทำเรื่องแบบนี้กันซักกี่หน แต่ก็อยากให้เค้ามีความอดทนอดกลั้น มีความเป็นสุภาพบุรุษ อยากให้ผมมั่นใจได้ว่าไม่ว่าผมจะตกอยู่ในสภาพไหนก็จะคอยมีเค้าอยู่เคียงข้างและให้ความรู้สึกปลอดภัยกับผมได้ในทุกเรื่อง เอาเข้าจริงๆ ผมเองก็อยากมีส่วนรับรู้ในทุกครั้งที่เรา”กอด”กันมากกว่าจะตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกกอดไปแล้วโดยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ พอคิดแบบนี้ขึ้นมาก็รู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนจัดขึ้นมา

“คุณไม่ชอบกอดกับผมเหรอก้อง” ผมเม้มปากแน่น หน้าที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนขึ้นเหมือนมีกองไฟมาสุมกันอยู่ใกล้ๆ ถามแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบว่ายังไงล่ะครับนายพีรวิชญ์

“ก็..ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมกัดฟันตอบแต่คงเพราะเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบเค้าเลยยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก

“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอโทษนะ” ปากก็บอกว่าขอโทษแต่ใบหน้ากลับยื่นเข้ามาคลอเคลียที่หลังคอของผมไม่หยุด ผมเอี้ยวตัวหนีปลายจมูกโด่งที่กดลงมาที่ข้างแก้มหลายๆครั้ง

“อื้อออ ไม่เอา”

“ตัวคุณหอม” ปากตอบผมแต่ก็หอมไปทั่วไม่ยอมหยุด

“หอมบ้าอะไร ยังไม่ได้อาบน้ำเลยจะหอมได้ยังไง”

“หอมจริงๆนะ” ผมหันไปผลักเค้าออกห่างเมื่อเห็นว่าเค้าไม่หยุดซักที แถมมือของเค้ายังเริ่มซุกไซร้เข้ามายุ่มย่ามบริเวณสาบเสื้อคลุมผมซะอีก

“อื๊อออ พอเลย!” ผมพลิกตัวหันไปหาแล้วเอามือปิดปากเค้าไว้ จากตอนแรกที่เค้านั่งเอาขาคร่อมผมไว้จากด้านหลัง พอผมหันไปแล้วยกทั้งสองขาขึ้นไปวางพาดที่ขาข้างหนึ่งของเค้าตอนนี้เลยใกล้จะกลายเป็นว่าผมนั่งตักเค้าเข้าไปทุกที แต่ที่จริงคือผมนั่งอยู่หว่างขาของเค้าต่างหาก ยิ่งพอนึกถึงสภาพใต้ผ้าห่มที่เค้าเอามาปิดท่อนล่างไว้อย่างลวกๆแค่นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนวาบขึ้นมาอีกแล้ว

พีมองผมไม่วางตา ยิ่งใบหน้ามาอยู่ใกล้กันแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกอายเข้าไปใหญ่ มือของเค้ายกขึ้นมาเกลี่ยปอยผมที่เริ่มยาวขึ้นไปทัดที่ใบหูให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมแต่ก้มหน้าหลบแววตาหวาดฉ่ำที่มองมา เมื่อปากของเค้าเป็นอิสระเค้าก็เริ่มพูดอะไรบางอย่าง

“ต่อไปนี้ผมจะทำตัวให้น่าไว้ใจมากขึ้น ผมจะทำให้คุณไว้ใจผมได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

เค้าพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง ผมเงยหน้าสบตาเค้า

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะมีใครเข้ามา ผมจะไม่อารมณ์ร้อนอีก เราจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันอีก ดีมั้ยครับก้อง”

ผมเห็นแววตาจริงจังในทุกคำพูดของพี รู้สึกดีใจที่พีพูดเรื่องนี้ขึ้น ไม่ใช่เค้าคนเดียวที่ผิด ผมองก็ทำอะไรพลาดไปเยอะ เยอะจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมต้องสูญเสียเค้าไปจริงๆผมจะเป็นยังไง คิดได้แค่นั้นก็โถมตัวเข้าไปกอดเค้าเอาไว้แน่น พีชะงักไปชั่วครู่คงเพราะแปลกใจก่อนที่เค้าจะคลายความเกร็งของร่างกายลงจนผมรู้สึกได้ หากเรายังทะเลาะกันไปมาอยู่แบบนี้ หากถึงวันที่ผมต้องเสียเค้าไปในที่สุดผมจะอยู่ยังไง อาจไม่มีโอกาสให้ผมได้แก้ตัวให้ได้เค้ากลับคืนมาอีกเลยก็ได้ พีกอดตอบผม มืออุ่นๆของเค้าลูบหลังของผมไปมาอย่างแผ่วเบา

“ขอโทษนะ” ผมพูดออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ ยิ้มออกมาได้เมื่อนึกได้ว่าพียังอยู่ตรงนี้ ผมยังสามารถกอดเค้าได้ และผมจะไม่มีวันยอมเสียเค้าไปอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พีลูบแก้มผมเบาๆเมื่อผมคลายออกจากอ้อมกอดของเค้า

“ผมจะไม่เข้าใจคุณผิดอีก และคุณก็ต้องห้ามเข้าใจผมผิดด้วย มีอะไรก็ต้องคุยกัน เข้าใจมั้ย”

ผมย้ำกับเค้าอีกครั้ง เค้าพยักหน้าเบาๆพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาและกดจมูกเข้ากับหน้าผากของผมด้วยความนุ่มนวล ผมกอดเค้าไว้ด้วยความรู้สึกหวงแหน จะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว วันที่ผมกับเค้าจะทะเลาะกันไปมาด้วยเพียงเพราะว่าไม่ได้หันหน้าคุยกันอย่างตรงไปตรงมา แค่เกิดเรื่องเล็กๆน้อยๆเราก็พร้อมที่จะเข้าใจกันผิดตลอดเวลา ผมจะไม่ปล่อยให้มีช่วงเวลาแบบนั้นอีกแล้ว

รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ปากของเราสัมผัสกัน เผยอรับลิ้นอุ่นที่เข้ามาคลอเคลียอออดอ้อน ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามห้วงความรู้สึกอันเกิดจากความรักของเราสองคน ให้เข็มนาฬิกาหยุดเดินแล้วทิ้งความรู้สึกขุ่นเคืองใจเอาไว้เพียงแค่ตรงนี้ รับรู้เพียงแค่ตอนนี้เรามีกันและกันและขอหยุดช่วงนาทีนี้เอาไว้ก่อน จากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่และไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือปัญหาใดๆเข้ามามันก็จะต้องมีจุดจบที่สวยงามในทุกครั้งอย่างแน่นอน ในเมื่อตอนนี้ผมเชื่อมั่นในตัวเค้า และเค้าก็เชื่อมั่นในตัวผม เราจะเชื่อมั่นกันและกันไปอย่างนี้นานตราบเท่าลมหายใจสุดท้ายของชีวิต..





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




“หายโกรธผมแล้วนะ”

“อื้ม......ทีหลังก็อย่าฉวยโอกาสอีกแล้วกัน”

ผมรวบตัวคนหน้าหวานเข้ามากอดไว้จนแน่น ทำให้ก้องบดินทร์มองไม่เห็นแววตาวิบวับและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผมเผยออกมาทีละนิด ทีละนิด
.
.
.
โอเค๊......ผมจะเก็บเอาไว้เป็นความลับก็แล้วกัน ว่าเวลาคุณเมาน่ะ คุณ so hot ขนาดไหน







----------------จบบริบูรณ์----------------



ลาก่อนนะคะทุกคน(เว่อร์ กร๊ากๆ)

ขอให้สนุกกับการอ่านฟิคนะคะ ขอบคุณทุกคนค่ะ



Create Date : 30 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 17 เมษายน 2555 8:08:41 น.
Counter : 761 Pageviews.

8 comment
ก่อนฟิคจบ
Biomedical_girl

ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงตอนอวสานแล้วนะคะ

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆ คนมาก ที่คอยติดตามเป็นแรงเชียร์ เป็นกำลังใจให้กันมาโดยตลอด ทุกคำคอมเม้นต์ ทุกคำติชม มันมีค่าสำหรับเอสมากมาย จริงๆนะ

จากสาวใต้และสาวภาคกลางที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน โชคชะตาก็ทำให้ทั้ง 2 คนได้มาเจอกัน ขอบคุณเจ้าปอที่กล้ามาเขียนฟิคเรื่องนี้กับพี่ทั้งๆ ที่พี่ก็เป็นมือสมัครเล่น จำได้ว่าเป็นคนชวนน้องมาเขียนเองเพราะช่วงนั้นเราสองคนเข้ามาเป็นน้องใหม่ในพี-ก้องคลับเกือบจะพร้อมๆ กัน และเรา 2 คนมีอะไรที่เหมือนกันในหลายๆ อย่าง เหมือนมันจะเป็น destiny เน๊อะ ^^

ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่ไม่อยากจะเขียนฟิคเรื่องนี้ต่อ เพราะรู้สึกว่ามันออกมาไม่ดีอย่างที่ใจหวัง แต่สุดท้ายก็ดันอินเนอร์ออกมาจนได้เพราะคิดถึงแฟนฟิคหลายๆ คนที่ยังคงติดตามฟิคเรื่องนี้อยู่

อยากบอกว่าฟิคเรื่องนี้มันเกิดมาจากความรักล้วนๆ เริ่มแรกฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะความรักในตัวละครก้อง-พี พอนานวันเข้าก็เริ่มรู้สึกรักตัวละครทุกตัวที่อยู่ในเรื่อง แม้ว่าคาแรคเตอร์ของตัวละครบางตัวจะน่ารำคาญไปบ้างอะไรบ้าง 555 และเมื่อถึงวันนี้ฟิคเรื่องนี้ก็ทำให้เอสรู้สึกเหมือนได้น้องสาวอีกคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันผูกพันกับเธอจริงๆนะเจ้าปอ

และสุดท้ายก็ต้องขอบคุณพี่โอและน้องฟลุค ที่ถ่ายทอดคาแรคเตอร์ของตัวละครก้อง-พีออกมาได้อย่างน่ารักเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่พวกคุณสองคน ก็ไม่รู้ว่าพี-ก้องจะออกมาน่ารักขนาดนี้ไหม???


ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ก็แค่อยากจะบอกทุกคนว่า “ขอบคุณมากจริงๆค่ะ”


--------------------------------------------------------


ปุยหมาม่วง

อ่านกันนิดนึงงงงง

รู้สึกปลาบปลื้มมากที่ผลงานการเขียนแบบเด็กน้อยที่ทิ้งเอาไว้ในบล็อกและคลับจะทำให้พี่คนนึงหลงกับดักมาฟีทเจอริ่งร่วมกันได้
(เป็นไงล่ะ เข็ดล่ะเส่ะ กร๊ากกกก)

กลับมาโหมดซึ้งนิดนึง ฟิคเรื่องนี้ไม่ใช่ฟิคที่เด่นดัง หรือคนรู้จักมากมาย คนอ่านก็ไม่เยอะ คนเม้นก็น้อยยิ่งกว่า แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นฟิคที่ทำให้ปอกับพี่เอสซึ่งก่อนนั้นเคยอยู่ห่างไกลกันดังฟ้ากั้นได้โคจรมาพบกัน สารภาพว่าที่ฟิคมันยืด ยาว อืด เฉื่อย ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะมันยืดพล็อตแต่อย่างใด เพราะพล็อตพวกนี้เราเขียนกันไว้ตั้งกะสมัยยังสาวๆ (แต่ก็เปลี่ยนทุกครั้งที่คุยกัน เห่อๆ)แต่ไม่ได้ยืดหรือเพิ่มตอนแน่นอนเค่อะ นอกจากว่าบางตอนที่มันยาวจนเกินงามก็เลยต้องตัดไปโปะในอีกตอน ถ้ามันจะยืด อืด เฉื่อย ก็คงจะเป็นเพราะปุยหมาม่วงค่ะ ยอมรับแต่โดยดีว่าขี้เกียจมากกกกกกกกก พี่เอสทวงทุกวัน พี่เอสงานเยอะค่ะ แต่น้องปอไม่เคยทวงฟิคเพราะเป็นคนดี(จริงๆขี้เกียจจะเขียนตอนต่อไปเลยไม่อยากเร่ง 5555) อินเน่อร์มันก็มาแบบขาดๆหายๆราวกับประจำเดือนของสาวรุ่นแรก (มิใช่แรกรุ่นนะ หึหึ)ก็เลยลงตรงเวลาบ้างไม่ตรงเวลาบ้างด้วยประการละฉะนี้

ดีใจค่ะที่ได้เขียนฟิคเรื่องนี้ อย่างน้อยมันก็ทำให้หลายๆคนเรียกชื่อฟิคนี้ว่า “ฟิคฟีท”ได้ ฟังแล้วก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเพราะชื่อมันชัดเจนอยู่ในตัวว่าหมายถึงฟิคเรื่องไหน ^^ เอาจริงๆ มีใครจำชื่อ ฟิคอิปอกับพี่เอสได้บ้างมั้ยถามจริง //หยอกเย้า 5555 ปอยังจำไม่ค่อยได้ เพราะก็เรียกกันแต่แบบนี้ ฟิคฟีทๆ ไม่ก็เรียกเป็นชื่อเจ้าของฟิคไป เวลาอ่านเม้นแล้วก็มีความสุข ถึงเม้นจะไม่เยอะแต่ก็อ่านซ้ำได้ตลอด ใครที่เขียนฟิคคงจะเข้าใจความรู้สึกนี้ ขอบคุณทุกคนนะคะ ต่อจากนี้ปอกับพี่เอสต่างก็คงจะมีฟิคอื่นๆออกมากันอีก ติดตามกันด้วยนะ(ยังจะมีอีกเรอะ!) อ่านไปเถอะ ไม่อ่านจะเอาไปโปะหน้าเฟซเลย กร๊ากๆ จบค่ะ

^^








ซึ้งอ่ะเด้~



อ่านของพี่เอสแล้วรู้สึกว่า ดูดีมีชาติตระกูลและมีสาระกว่าของตัวเองมากเลยค่ะ 555555


ตอนจบกำลังจะมาน้า~ ^^



ที่ทุกคนจะเห็นต่อไปนี้คือ..




ฝีมือพี่เอสค่ะ^^



ทำใจดีๆ







ผ่าง!!!!





ตกใจอ่ะเด้~


(คนอ่าน:ตกใจคนข้างบนอ่ะ คนล่างน่ารักไม่ตกใจ)เด๋วตาย!


รูปตัวเองแอบฮา แอ๊บเกิ๊นนนน//หยอกเย้า
หวังว่าทุกคนคงจะชินกับภาพหลอนๆจากเฟซปอกันมาบ้างแล้วเนอะ คงไม่หวาดกลัวกันเท่าไหร่ 55555



Create Date : 28 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 17 เมษายน 2555 8:10:25 น.
Counter : 615 Pageviews.

8 comment
บทที่ 22 จะรักหรือจะร้าย
ผมกำลังหงุดหงิด หงุดหงิดมากด้วย..........


มากเกินไป.......มันมากเกินไป.......ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว


พี่นิคๆๆๆๆๆๆ อะไรๆ ก็พี่นิค จะเป็นจะตายก็พี่นิค เฮอะ หมั่นไส้


ผมเดินออกจากร้านอาหารมาอย่างรวดเร็ว ไม่อยากรับรู้รับฟังอะไรทั้งนั้นว่าก้องกับไอ้ตี๋นั่นมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งขนาดไหน แค่วันนั้น วันที่ผมฟื้นขึ้นมาแล้วได้ยินได้เห็นสองคนนั่นบอกรักกันหวานซึ้งมันก็ทำให้ผมเจ็บปวดมากพอแล้ว


ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยที่ต้องพูดเรื่องหย่ากับคู่ชีวิตที่ผมเองก็รู้ดีว่ายังรักเขาหมดหัวใจ ความผูกพันที่มีร่วมกันมานานปีมันก็ยังมีค่า และฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ แต่ถ้าการหย่ามันจะทำให้คนที่เรารักมีความสุขได้ผมก็ควรจะทำ.......ไม่ใช่เหรอ


แต่...........



“ผมไม่ได้อยากหย่า”


น้ำเสียงจากกลีบปากอิ่มสั่นพร่าจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ แววตากลมโตที่ไหวระริกด้วยหยาดน้ำใสที่คลออยู่เต็มสองตา อากัปกิริยาที่เหมือนถูกทำร้ายจิตใจอย่างแสนสาหัสมันทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องในวันนั้นผมคิดไปเองหรือเปล่า



ไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่ผมก็อดดีใจไม่ได้ว่าก้องยังรักผมอยู่



ไม่รู้ว่าผมบังคับตัวเองให้ขับรถกลับมาถึงบริษัทได้ยังไง แต่ทันทีที่ผมไปถึงหน้าห้องทำงาน คุณกรกนกเลขาฯ คนเก่งก็รีบวิ่งเข้ามาแจ้งข่าวกับผมด้วยสีหน้าสำบากใจ


“คุณพีรวิชญ์คะ มีผู้ชายคนนึงมาขอพบค่ะ แต่ไม่ได้นัดเอาไว้ ดิฉันบอกแล้วว่าคุณไม่อยู่แต่ก็ดันทุรังจะเข้าไปให้ได้ ดิฉันห้ามแล้วแต่ก็ไม่ฟัง ตอนนี้กำลังรออยู่ในห้องน่ะค่ะ”


“ครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง”


“มาทำไม”



คำพูดเย็นชาออกมาจากปากผมทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งคอยอยู่ในห้องทำงานของผมเป็นใคร นคินทร์สาวเท้าเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วแล้วใช้สองมือขยุ้มคอเสื้อของผมไว้พร้อมกับตะโกนใส่หน้าเสียงดัง


“เป็นบ้าอะไรหะ ผมถามว่าคุณเป็นบ้าอะไร”


ผมปัดมือหนาของชายตรงหน้าออกทันที โกรธจนไม่รู้จะพูดว่ายังไง อยู่ดีๆก็บุกเข้ามาในห้องทำงานของผม แถมทำท่าจะเข้ามาทำร้ายผมอีก ที่สำคัญมันนั่นแหละที่ขโมยหัวใจของผมไปอย่าหน้าด้านๆ


“นี่มันอะไรกัน ผมนั่นแหละต้องถามว่าคุณเป็นบ้าอะไรถึงมาอาละวาดชาวบ้านเค้าแบบนี้”



“ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณหรอกนะ แต่คุณมันทำเกินไปแล้ว”



“ผมไปทำอะไร”



“ไอ้พี!!!”



ผมรู้สึกตัวอีกทีก็มีหมัดหนักๆพุ่งเข้ามาใส่หน้าผมพอให้ได้มึนๆ ผมเองก็สวนกลับไปพอให้มันได้นอนเล่นอยู่ที่พื้นเหมือนกัน แต่โรมรันพันตูกันอีท่าไหนก็ไม่ทราบตอนนี้ผมกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้ไอ้หน้าตี๋นั่นนั่งคร่อมอยู่บนตัวผมซะแล้ว



“ไอ้เลวเอ้ย แกทำก้องร้องไห้ซะขนาดนั้นยังจะว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ ไหนบอกว่ารักก้องนักหนา แต่ทำไมถึงทำท่าเย็นชา เฉยเมยกับก้องแบบนั้นวะ แล้วยังจะขอหย่าอีก แมร่ง ถ้ากูรู้ว่าก้องคบกับมึงแล้วก้องต้องเสียใจขนาดนี้นะกูจะไม่เลิกกับก้องเลยให้ตายเหอะ” หนุ่มหน้าตี๋ระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ สองมือกระชากคอเสื้อของผมอย่างแรง พร้อมกับพ่นคำผรุสวาทใส่ผมไม่ยั้งอย่างที่ผมไม่คิดว่าคนเรียบร้อยอย่างไอ้นิคจะทำได้



แต่ที่ผมสะดุดใจมากที่สุดก็คือ...........



“นี่แกเลิกกับก้องแล้วเหรอ” ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไปเลิกกันเมื่อไหร่ ก็.....ผมยังได้ยินเค้าบอกรักกันอยู่เลย



“เออ” ไอ้นิคย้ำคำเสียงดัง “นี่แกยังไม่รู้อีกเหรอ”



“แล้ววันนั้น....ที่โรงพยาบาล.....ที่แกกับก้องกอดกัน บอกรักกันหวานซึ้งมันหมายความว่าไงวะ ฉันไม่ใช่ควายนะเว้ย อย่ามาหลอกกันดีกว่า” ผมรีบผลักไอ้นิคให้ลุกออกจากตัวของผม แล้วยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนพื้น



“อ๋อ.........หึหึ.........” นคินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆผมทำหน้าเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วก็หันหน้ามามองผมอย่างเจ้าเล่ห์ ผมงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของมันแล้วมองหน้ามันกลับด้วยความสงสัย



“ไอ้ควายยยยยยยย” ผมแทบจะเต้นผางกับเสียงกวนประสาทของมัน แต่ก่อนที่ผมจะด่ามันกลับมันก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน



“วันนั้นฉันไปบอกเลิกกับก้อง เพราะฉันเห็นว่าก้องรักแกมาก แกเองก็พยายามทำทุกอย่างให้ก้องกลับมาหาแกไม่ใช่เหรอ บอกตรงๆเลยนะว่าฉันยอมแพ้ แพ้ใจของแกว่ะ ถึงก้องจะความจำเสื่อม แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าก้องมีแกอยู่ในห้วงความคิดตลอดเวลา จะให้ฉันทำยังไงมันก็ไม่มีทางที่ฉันจะเข้าไปอยู่ในใจของก้องได้เลย บางครั้งฉันเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม ทั้งๆที่ก้องต้องร้องไห้เพราะแกตั้งหลายครั้งแต่ก้องก็ไม่เลิกรักแกสักที อย่างนี้ใช่มั๊ยเค้าถึงบอกว่าคนดีกับคนรักมันคนละคนกัน” สีหน้าของไอ้นิคสลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงไม่นานก็ปรับให้เป็นปรกติอย่างรวดเร็ว



“แล้วที่แกกับก้องบอกรักกันล่ะ”



“พี่น้องเค้าบอกรักกันผิดด้วยเหรอวะ ก้องรักฉันแบบพี่ชายแล้วก็ขอให้ฉันเอ็นดูเค้าแบบน้องชายคนนึง แต่พูดก็พูดเถอะนะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นพี่ชายนักหรอก”


“ไอ้........”



“มัวแต่มาทะเลาะกับฉัน ถ้าเกิดก้องเลิกง้อแกแล้วกลับมาหาฉัน อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะเว้ย”



“ไม่มีทาง ฉันไม่ยอมเสียก้องไปให้แกหรอก” ผมจ้องหน้าไอ้นิคอย่างมาดหมาย ก่อนที่ทั้งผมและไอ้นิคจะหลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง รอยฟกช้ำดำเขียวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าด้วยฝีมือของแต่ละคนทำให้สภาพของผมกับนิคในตอนนี้ดูไม่จืดด้วยกันทั้งคู่ ไม่รู้เลยว่าสรรพนามระหว่างเราสองคนเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้ผมมีเพื่อนชื่อนิคเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว เพื่อนสนิทซะด้วย



“เออ......พี นี่แกรู้หรือยังว่าก้องความจำกลับมาแล้ว”



“อะไรนะ ก้องจำได้แล้วเหรอ จริงเหรอนิค ก้องจำได้แล้วจริงๆใช่มั๊ย” ผมหันกลับไปมองหน้านิคอีกครั้งพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของมันเขย่าไปมาด้วยความดีใจ ในที่สุดวันที่ผมรอคอยก็มาถึง วันที่ก้องจะจำผมได้แล้วเราจะกลับมามีความสุขด้วยกันอีกครั้ง



“โว้วววววววววววววว ก้องจำได้แล้ว ก้องจำได้แล้ว ฮะฮะฮ่า ก้องจำฉันได้แล้ว วู้วววววววววว แกได้ยินมั๊ย ก้องจำฉันได้แล้ว”


ผมกระโดดโลนเต้น วิ่งวนไปมาอยู่ในห้องคนเดียวด้วยความดีใจ ไอ้นิคส่ายหน้ามองผมขำๆ



“เออ ได้ยินแล้ว ไอ้ควายยยยยยยยยย” ไอ้นิคตะโกนแข่งกับเสียงของผม แต่ก่อนที่ผมจะประเคนแข้งงามๆให้มันไปซักดอกมันก็วิ่งหายออกจากห้องทำงานของผมไปแล้ว



.


.


.


ทันทีที่ผมกลับมาถึงคอนโด ก้องบดินทร์ที่นั่งคอยอยู่แล้วก็เอาน้ำเย็นๆ ออกมาให้ทันที ผมเดินเลี่ยงไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาแล้วถอดเสื้อนอกออก ก้องบดินทร์รีบวางแก้วน้ำลงที่โต๊ะหน้าทีวีแล้วเข้ามารับเสื้อนอกของผม ผมขยับเนคไทค์ให้หลวมขึ้น แล้วกดรีโมตไล่ไปตามช่องต่างๆ อย่างไม่สนใจ



“พี วันนี้ผมซื้อผัดไทยมาฝาก คุณจะกินเลยมั๊ย เดี๋ยวผมเอาไปใส่จานให้”



ผมยังคงเก๊กไม่สนใจคนหน้าหวาน ก้องบดินทร์หน้าเสียไปเล็กน้อยแล้ววางผัดไทยเจ้าปัญหาไว้บนโต๊ะอย่างเดิม แต่แล้วคนหน้าหวานก็กลับมายิ้มหวานให้ผมอีกครั้งแล้วหยิบผัดไทยห่อนั้นมาถือไว้ในมือ


“คุณไม่ตอบ งั้นผมเอาไปใส่จานให้คุณเลยดีกว่านะ นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวกินข้าวผิดเวลาแล้วจะปวดท้องเอา”


ก้องบดินทร์เดินหายเข้าไปในครัว เสียงจานช้อนกระทบกันดังก๊องแก๊งลอยออกมาเข้าหู ผมยิ้มเต็มใบหน้าอย่างพึงพอใจ ตั้งแต่ที่ผมฟื้นขึ้นมาก้องเอาอกเอาใจผมสารพัด ถ้าผมรู้ว่าถ้างอนแล้วก้องจะเอาใจผมขนาดนี้นะผมงอนไปตั้งนานแล้ว


คนหน้าหวานยกจานผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดออกมาเสิร์ฟ ผมรีบหุบยิ้มตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วจ้องทีวีอย่างเอาเป็นเอาตาย ก้องบดินทร์หั่นกุ้งตัวโตออกเป็นชิ้นขนาดพอดีคำแล้วตัดวุ้นเส้นใส่ช้อนโปะด้วยกุ้งที่หั่นเตรียมเอาไว้ยื่มมาจ่อที่ปากผม



“กินสักหน่อยนะพี มา เดี๋ยวผมป้อน”


ก้องบดินทร์ช้อนสายตาหวานฉ่ำขึ้นมามองผม ใจของผมเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอก เย็นไว้พีรวิชญ์ เย็นไว้........


“น่านะ กินสักหน่อยนะพี อ้าอ้ำ”


ผมอ้าปากยินยอมให้ก้องบดินทร์ป้อนผัดไทยเข้ามาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก แต่คนหน้าหวานก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจที่ผมยินยอมทำตามที่เค้าต้องการ



“อร่อยมั๊ยพี เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ ร้านนี้อยู่ใกล้วิภาราม ตอนพักเที่ยงผมชอบไปกินบ่อยๆ อีกคำนะพี”



“ไม่เอาแล้ว”



เสียงห้วนๆ ของผมทำเอาก้องบดินทร์หน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเขย่าแขนผม ยิ้มออกมาให้ผมหวานฉ่ำ


“ไม่อร่อยเหรอพี งั้นคุณอยากกินอะไรอ่ะ เดี๋ยวผมทำให้ นะ บอกผมนะ”
ผมลอบยิ้มออกมาอย่างถูกใจ ก้องบดินทร์อ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ ไม่มีผิด แต่ผมก็กลับมาเก๊กโหดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จะว่าไปสงสารก็สงสารอยู่หรอก แต่ว่าก้องตอนง้อผมน่ะน่ารักชะมัด ผมชอบ


“มันเย็นแล้ว ผมไม่ชอบกินอะไรเย็นๆ”



“งั้นผมเอาไปอุ่นให้นะ” ก้องบดินทร์หายเข้าไปในครัวอีกครั้ง แล้วกลับมาใหม่พร้อมผัดไทยหอมฉุย ทันทีที่ก้องนั่งลงข้างๆผม ผมก็แกล้งร้องออกมาเสียงดัง


“โอ๊ย โอ๊ยยยยยยยยย”

“พี คุณเป็นอะไร เจ็บตรงไหน พี”


ผมเอามือกุมหัวไว้แน่นแล้วไถลตัวเองลงไปกองกับพื้น คนหน้าหวานแววตาตื่นตระหนกเข้ามาลูบหน้าลูบหลังผมเป็นการใหญ่ ผมลงไปเกลือกกลิ้งเพียงชั่วครูก็ค่อยๆ สงบลง เอนหลังพิงกับโซฟาหายใจหอบ


“ผมปวดหัว อยู่ดีๆ ก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา”


“ไปหาหมอมั๊ยพี”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย


“แต่ผมว่าไปหาหมอดีกว่านะ เผื่อเป็..............”


“บอกว่าไม่ก็ไม่ไง” ผมตัดบทคนหน้าหวานด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก้องบดินทร์เงียบไปเหมือนทำอะไรไม่ถูก ผมลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาแล้วตักผัดไทยจานนั้นเข้าปากเคี้ยวๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้องยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นมานั่งข้างผมอีกครั้ง แล้วผมก็พูดขึ้นลอยๆ เหมือนไม่ได้จงใจพูดกับใคร


“ไม่ต้องกลับบ้าน นอนนี่แหละ” ก้องบดินทร์หันมองผมอึ้งๆ


“ถ้าปวดหัวอีก แล้วไม่มีใครอยู่ผมจะทำยังไง”


พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่คนหน้าหวานก็ระบายยิ้มออกมาเต็มใบหน้า ก่อนที่จะโผเข้ามากอดผมแน่น แต่ผมก็ยังคงเก๊กโหด.....เหมือนเดิม


“ได้พี ผมจะอยู่ ผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุดเลย ผมรักคุณนะพี”



ผมมีความสุขจัง...........





“พี คุณหลับแล้วเหรอ”



“อืม”




ก้องบดินทร์ที่นอนอยู่ข้างๆสะกิดเรียกผมที่นอนหันหลังให้ ผมส่งเสียงในลำคอออกมาเหมือนรำคาญ คนหน้าหวานลุกขึ้นนั่งแล้วเขย่าตัวผมเบาๆ


“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”


“อืม”



“ผมจำทุกอย่างได้แล้วนะ”



“อืม”

“นี่คุณไม่ดีใจเลยเหรอ” เสียงของคนหน้าหวานอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมยังคงหลับตาหันหลังให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“แล้ว......แล้ว......ผมกับพี่นิค.......”


ผมพลิกตัวมาคร่อมคนหน้าหวานเอาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับฉกริมฝีปากของผมบดเบียดกับริมฝีปากของก้องอย่างรุนแรง ก้องบดินทร์อึ้งไปอย่างคิดไม่ถึงว่าผมจะทำแบบนี้


“ผมไม่อยากได้ยินชื่อของมัน” ผมบอกคนใต้ร่างด้วยน้ำเสียงดุดัน

“แต่ผมกับพี่นิค.........”


ผมก้มลงไปจูบคนหน้าหวานอีกครั้งอย่างจาบจ้วง ลิ้นร้อนไล้เลียไปตามริมฝีปากอิ่มอย่างเอาแต่ใจ ตักตวงจนพอใจแล้วก็ถอนจูบออก


“พี่นิคไม่ได้............”



คราวนี้ผมใช้มือบีบปลายคางของก้องให้อ้าปากออกมารับลิ้นอุ่นๆของผมที่ซอกซอนซุกไซร้ไปทั่วโพรงปากหวาน ริมฝีปากของผมประกบกับริมฝีปากของก้องอย่างแนบแน่น คนหน้าสวยส่งเสียงประท้วงอู้อี้ในลำคอพร้อมกับใช้กำปั้นทุบอกผมระรัว ผมเลยรวบมือของก้องเอาไว้เหนือศีรษะด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้มีอีกข้างสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อหยอกล้อกับยอดอกสีสวย เสียงประท้วงในตอนแรกกลับกลายเป็นเสียงครางผะแผ่ว ลิ้นร้อนยังคงสอดแทรกเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กๆอย่างถือสิทธิ์ แล้วจงใจถอนจูบออกตอนที่ก้องอารมณ์กระเจิงถึงขีดสุด



“จำเอาไว้ ถ้าคุณพูดชื่อไอ้นั่นอีกผมก็จะจูบคุณอีก แล้วมันจะเพิ่มความรุนแรงทุกครั้งที่คุณพูดออกมา แล้วถ้าผมเหลืออดมากๆ ผมก็จะจับคุณปล้ำซะเลย”



ผมพลิกตัวกลับไปนอนหันหลังให้ก้องเหมือนเดิม ปล่อยให้ก้องทรมานกับบทลงโทษแสนหวานที่ผมตัดอารมณ์ไปอย่างจงใจ ท่อนแขนเรียวของคนหน้าหวานเอื้อมมากอดเอวของผมเอาไว้แล้วซบใบหน้าสวยลงมาที่แผ่นหลังของผมอย่างออดอ้อน

“ผมขอโทษนะพี ผมจะไม่พูดถึงเค้าอีกแล้ว ผมขอโทษนะ”


ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แล้วผล็อยหลับไปพร้อมๆ กับอ้อมแขนอบอุ่นของก้องที่โอบกอดผมเอาไว้ทั้งคืน




ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของสวนสวยใจกลางกรุงเทพฯ ในยามเช้าทำให้สมองของผมปลอดโปร่งและสดชื่น มองไปที่สนามหญ้าสีเขียวและต้นไม้ใหญ่ข้างทางที่อยู่รายรอบก็ทำให้รู้สึกสบายตา ดอกสีชมพูสวยหวานของต้นชมพูพันทิพย์พากันบานสะพรั่งอวดสายตาของผู้ที่ผ่านมาพบเห็น ก้องบดินทร์พาผมมาเดินเล่นที่สวนวชิรเบญทัศหรือสวนรถไฟในวันหยุดสุดสัปดาห์ กล้องดิจิตอลขนาดกะทัดรัดที่ผมซื้อให้ก้องเมื่อปีที่แล้วถูกคนหน้าหวานยกขึ้นมากดซัตเตอร์เก็บบรรยากาศรอบข้างอย่างมีความสุข บ่อยครั้งที่เลนส์ถ่ายภาพเล็งมาที่ผมทั้งที่รู้สึกและไม่รู้สึกตัว แต่ผมก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับช่างภาพสักเท่าไหร่ พยายามใช้มือปัดป้องไม่ให้เก็บภาพตลอดเวลา สุดท้ายก้องคงจะอดรนทนไม่ได้เลยยื่นหน้าเข้ามาอยู่ในเฟรมด้วยซะเลย ผมทำเป็นหลบไม่ทันปล่อยให้ก้องเก็บภาพได้สมใจ คนหน้าสวยยิ้มกว้างที่ได้รูปของผมชัดๆสักที ก่อนที่มือเรียวจะสอดเข้ามาคล้องแขนของผมไว้ให้เดินไปด้วยกันตามถนนเส้นยาวที่ลดเลี้ยวไปมาภายในสวนสวย



“พี ถ้าผมทำอะไรให้คุณโกรธหรือไม่พอใจผมขอโทษนะ คุณอย่าโกรธผมเลย ดีกันนะ น๊า”



“...............”



“พี หายโกรธน๊า ผมลงทุนง้อคุณขนาดนี้คุณยังจะใจแข็งอีกเหรอ”



“...............”



“ไม่หย่าได้มั๊ย ผมไม่ได้อยากหย่า” เสียงหวานๆเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาหวานที่มองหน้าผมเริ่มมีน้ำใสๆเอ่อคลอ ผมหยุดเดินกะทันหัน แล้วหันไปสบตาคนหน้าหวาน



“ทำไมคุณถึงไม่อยากหย่า คุณไม่ได้รักไอ้นิคอะไรนั่นแล้วเหรอ”



“ไม่พี ผมไม่ได้รักพี่นิคแบบนั้น ผมรักพี่นิคแบบพี่ชายจริงๆนะ ผมไม่มีวันรักพี่นิคแบบนั้นแน่นอน”



“แล้วคุณรักใคร”



“คุณไม่รู้จริงๆเหรอพี”



ผมแกล้งหันหลังเดินหนีก้อง ทำเป็นไม่สนใจ เสียงหวานๆของก้องตะโกนไล่หลังผมมาติดๆ




“ผมรักคุณ!”



“อะไรนะ” ผมหันหลังกลับมาสบตากับก้องอีกครั้ง



“ผมรักคุณ!”



“อะไรนะ ผมไม่ได้ยิน ดังๆหน่อย”



“ผมรักคุณ ผมรักคุณ ได้ยินมั๊ย


ผม............รัก.............คุณ.............!!”


ก้องบดินทร์ตะโกนออกมาสุดเสียง คนทั้งสวนหันมามองผมกับก้องเป็นตาเดียว คนหน้าสวยทำหน้าเหรอหรา เกาหัวแกร๊กๆ แก้เขิน ผมหลุดขำออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ก้องบดินทร์หันขวับมาทำหน้าเหวี่ยงใส่ผม แล้วกำปั้นน้อยๆก็ระรัวมาที่ต้นแขนผมทันที



“นี่คุณแกล้งผมเหรอ”


“เปล่า...โอ๊ย ผมไม่ได้แกล้งนะ ฮะฮะ ก็ผมไม่ได้ยินจริงๆนี่” ผมยังคงหัวเราะไม่หยุด คนหน้าสวยก็เลยยิ่งทำหน้าบึ้งใส่



“ผมอายเค้านะ ไอ้บ้าพี” ก้องบดินทร์โวยวายใส่ผม แต่แล้วดวงตาคู่สวยก็วาวโรจน์ด้วยความโกรธเคือง



“อ๋อ....ที่แท้คุณแกล้งผมมาตั้งแต่ต้นเลยใช่มั๊ย ที่เที่ยวให้ผมคอยตามง้อคุณ คอยเอาอกเอาใจคุณน่ะ สนุกมากมั๊ยอ่ะพี” หยาดน้ำใสเริ่มคลออยู่ในดวงตาคู่สวยอีกครั้ง ทำให้ใจผมกระตุกวาบด้วยความรู้สึกผิด



“โอ๋ๆ ผมยอมรับก็ได้ว่าหายโกรธคุณตั้งนานแล้ว แต่นานๆทีคุณถึงจะตามใจผมแบบนี้นี่นา ผมก็เลย..........”



“เลยแกล้งทำให้ผมเสียใจเสียน้ำตาแบบนี้ใช่มั๊ยพี คุณรู้มั๊ยว่าตอนที่คุณปัดช้อนกระเด็นตกพื้นที่โรงพยาบาลในวันนั้นผมเสียใจมากแค่ไหน คุณเย็นชา คุณหมางเมินใส่ผม คุณทำเหมือนผมไม่มีค่าไม่มีความหมายในสายคุณเลย” ก้องบดินทร์พูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น หยดน้ำตาไหลลงระแก้มเนียนสวยเป็นทางทำให้ผมรู้สึกผิดอีกเป็นร้อยเท่าพันทวี



“ก้อง.......ผมขอโทษ แต่วันนั้นผมยังโกรธคุณจริงๆ ก็ผมตื่นขึ้นมาเห็นคุณกับไอ้นิคกอดกันผมก็เลยเข้าใจผิด แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะปัดเค้กของคุณตกพื้นนะ ก็....วันนั้นผมหลับตาอยู่ ก็เลยพลาดปัดช้อนของคุณไป”



“จะยังไงก็ช่าง แต่คุณก็ทำให้ผมต้องเสียใจอยู่ดี”



“ก้อง อย่าโกรธนะ ดีกันนะ” ผมชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้าคนหน้าสวย แต่ก้องบดินทร์ก็หันหลังเดินออกไปไม่สนใจใยดีผมเลยสักนิด



“ก้องคุณจะไปไหนอ่ะ”



“ผมจะกลับแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะอยู่ต่อเดี๋ยวผมกลับแทกซี่เองก็ได้”



“จ้าๆ กลับจ้า กลับ อย่าโกรธกันเลยน๊า นะ”


“แล้วคืนนี้ห้ามเข้ามานอนในห้องนะ ไปนอนที่โซฟาเลย”


แง่ะ....เมียไล่


“ก้องอ่ะ”


“หรือจะให้ผมกลับไปนอนที่บ้าน”



“ครับๆ นอนที่โซฟาก็ได้คร้าบ แต่หายโกรธกันนะ”



“.............”



“ก้อง.........”



“.............”



“ไม่ง้อผมต่อแล้วเหรอ”



“.............”



หลังจากนั้นก้องบดินทร์ก็ไม่พูดอะไรกับผมเลยสักแอะ แต่ก็ยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปหาแม่ฟอง เห็นทีว่าคราวนี้ผมคงจะต้องตามง้อก้องบดินทร์ไปอีกนาน




เฮ้อ..........ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆ





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ผ้าห่มสีครีมกับหมอนใบใหญ่หล่นแหมะอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา เห็นอยู่เหมือนกันว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังทำหน้าละห้อยหูลู่หางตกเหมือนลูกหมาหาเจ้าของไม่เจอ ผมเมินเฉยแล้วเดินไปเตรียมมื้อเย็นทานในครัว วุ่นอยู่ซักพักสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าส่งกลิ่นหอมน่ากินหนึ่งที่ ใช่ หนึ่งที่ก็พอ ทานคนเดียวนี่



รสชาติเค็มนิดๆติดหวานหน่อยๆแบบที่ผมชอบกับกลิ่นของชีสที่เคลือบเส้นสปาเก็ตตี้ที่ต้มจนนิ่มแทบละลายในปาก กลิ่นฉุนสไตล์อิตาเลี่ยนหอมอวลอยู่กับลิ้นทำให้ผมอยากจะสัมผัสรสชาติมันค้างไว้อย่างนั้นให้ยาวนานก่อนจะกลืนมันลงไป อร่อยมากๆ



แอบเห็นคนที่โซฟาเหล่มองด้วยหน้าตาน่าสงสารแต่ผมก็ยังทำเป็นไม่สนใจ ใช้ส้อมม้วนเส้นสีขาวเคลือบซอสครีมเข้าปากจนพร่องไปได้ครึ่งจาน กำลังจะจัดการคำต่อไปก็เห็นเจ้าของใบหน้าคมคายเดินหน้าจ๋อยมายืนอยู่ใกล้ๆ



“ก้องงง หิวอ่ะ”



ผมจัดการกับอาหารเย็นตรงหน้าต่อไปไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนที่บ่นว่าหิวๆทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆแล้ว



“ก้องครับบบ หิว กินมั่งดิ่”


ผมใช้หางตามองเล็กน้อย เหมือนลูกหมาหาเจ้าของจริงๆด้วย ไม่มีใครเอาข้าวให้กินจนต้องมาร้องหงิงๆขออยู่ข้างๆเนี่ย เฮอะ!



“อยากกินก็ทำเองสิ” พูดเสร็จก็หมดจานพอดีเลยลุกจากเก้าอี้เอาจานไปล้าง เสร็จแล้วเดินเข้าห้องไม่ได้สนใจกับเสียงครางหิวหิวหิวสิบห้าคำของคนตัวสูง ทำมาเป็นออเซาะ ไม่หนีกลับบ้านก็บุญแล้ว



ผมเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากนอกห้อง เดาว่าตาคนขี้แกล้งที่อยู่ข้างนอกคงจะกำลังหาอะไรกิน นึกเป็นห่วงขึ้นมานิดๆเพราะตั้งแต่กลับมาจากสวนพีก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย แต่ว่าของ’เวฟในตู้เย็นก็มีตั้งหลายอย่าง แค่จัดการเอาอุ่นในไมโครเวฟ ทำไม่เป็นก็ไม่ต้องกิน!



เสียงเคาะประตูสามครั้งเรียกให้สติที่กำลังจะหลุดเข้าสู่ห้วงนิทรากลับมา กำลังเคลิ้มๆอยู่แท้ๆเชียว ผมตั้งใจจะนอนต่อแต่ไม่นานมันก็ดังขึ้นใหม่ ลุกจากที่นอนด้วยความหงุดหงิดแล้วเปิดไฟที่หัวเตียงเดินกระแทกเท้าไปเปิดประตู



“อะไร!”


“ยุงมันกัดอ่ะ” คนตัวโตทำเสียงออดอ้อน ดูแล้วเตรียมพร้อมว่าจะได้กลับเข้ามานอนในห้องเต็มที่เพราะสองแขนโอบหมอนกับผ้าห่มมาเต็มไม้เต็มมือ


“แล้วไง”


“ขอนอนด้วยคนดิ่....นะ” ใบหน้าคมคายทำปากยื่นเหมือนเด็กอยากได้ของเล่นจนเกือบจะดูน่ารังน่าชัง แต่เรื่องที่มาแกล้งงอนจนผมเสียใจไม่รู้ตั้งกี่ตลบนี่ผมยอมง่ายๆไม่ได้! ผมผลักประตูปิดแต่เค้าก็ดันออกแล้วแทรกตัวเข้ามาในห้องได้ซะก่อน เล่นเอาผมอ้าปากค้าง



“นี่!! ใครให้เข้ามาไม่ทราบ!” ผมถอยออกห่างเพราะดูแล้วไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ๆ มีอะไรเกิดขึ้นทีไรสู้ไม่ได้ทุกที ต้องระวังเอาไว้ก่อน


“ไหนบอกเองไงว่าจะยอมไปนอนนอกห้อง ผิดคำพูดเหรอครับคุณพีริวิชญ์” ผมเรียกชื่อเค้าชัดถ้อยชัดคำ หรี่ตามองคนที่ทำตาละห้อยก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นยิ้มเผล่จนผมตั้งรับไม่ทัน รอยยิ้มนั้นกว้างขึ้นจนเห็นฟันขาวครบทุกซี่รวมไปถึงเขี้ยวแหลมๆที่มุมปากทำเอาหัวใจของผมเต้นถี่เหมือนกับทุกครั้งที่ได้เห็น ซักพักเค้าก็หุบยิ้มลงเหลือเพียงรอยยิ้มที่มุมปากดูเจ้าเล่ห์ๆชอบกล ผมเหลือบซ้ายแลขวามองหาที่ป้องกันตัว ไม้เบสบอลประดับห้องวางอยู่ไม่ไกลคือเป้าหมายที่ผมจ้องไว้ว่าจะต้องถลาตัวเข้าไปเอามาถือไว้ ต่างคนต่างยืนนิ่งคล้ายจะหยั่งเชิงดูว่าอีกคนจะทำอะไรอย่างกับว่ากำลังเล่นเกมจ้องตากัน ผมนับถอยหลังในใจ



ห้า



สี่



สาม



สอง


ผมรีบหันไปคว้าไม้เบสบอลมาจับเอาไว้มั่นแต่หากมันกลับหลุดมือไปอย่างง่ายดายเพราะอีกคนกระโจนเข้ามากอดจากด้านหลังแล้วแกะมันออกจากมือของผมจนมันร่วงแล้วกลิ้งแด่วๆไปถึงปลายเตียง ส่วนผ้าห่มกับหมอนที่ถือมาเค้าก็ทิ้งมันเอาไว้ที่พื้นตรงนั้นแหละ


“ไอ้บ้าพี ปล่อยนะเว้ย ปล่อยย!! ” ยิ่งตะโกนดังเท่าไหร่เหมือนแรงโอบจะแน่นขึ้นจนกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ ผมดิ้นขลุกขลัก อะไรที่ทำได้ทำหมดไม่ว่าจะยกเท้าขึ้นมาแล้วกระทืบลงไปเต็มแรงจนได้ยินเสียงซู้ดปากของคนข้างหลัง ใช้เล็บที่มีเพียงสั้นๆจิกลงไปที่วงแขนใหญ่ ใช้นิ้วหยิกบ้างทั้งทุบทั้งตีสารพัดเต็มที่ก็ได้ยินแค่เสียงร้องโอ๊ยๆนิดนึงแล้วก็หายไปก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะอยู่ข้างๆหู


“ปล่อย!! นี่!!”


“ไม่ปล่อย ปล่อยคุณก็ไล่ผมอีกอ่ะ”



“ไม่ปล่อยก็ไล่ได้ ออกไปเลย ออกไปเดี๋ยวนี้ ไอ้บ้าพี ไอ้..” คิดจาคำผรุสวาทด่าออกไปก็จนปัญญา ได้แต่ร้องโวยวายบิดตัวไปมาอยู่อย่างนั้น ไม่เหนื่อยให้มันรู้ไป


!!!


“ไอ้บ้า!! ฮึ๊ยยยย” ผมยกมือขึ้นถูๆที่แก้มหลังจากถูกไอ้บ้าข้างหลังขโมยหอมไปแล้วฟอดใหญ่ ยังดิ้นจนตัวลอยพลางก็เอี้ยวตัวหลบจมูกกับริมฝีปากด้านหลังที่คอยมาคลอเคลียอยู่ตลอด ผมรวบรวมสติแล้วตั้งใจกระทุ้งศอกอย่างแรงจนไอ้หื่นข้างหลังร้องโอ๊ยเสียงดังแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนตัวเองกับคนข้างหลังที่กำลังกอดกันกลมค่อยๆเคลื่อนที่ไปข้างหน้า พยายามใช้เท้ายั้งเอาไว้แต่คนข้างหลังก็ยังออกแรงดันไปจนเกือบจะถึงเตียงและสุดท้ายก็ล้มลงไปที่ฟูกสีขาวครีมด้วยกันจนได้



คนตัวสูงริบพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่ด้านบนจนผมเริ่มหายใจไม่ออกเค้าก็เลยใช้ข้อศอกเท้ากับเตียงเอาไว้เพื่อรักษาระยะห่างให้พอหายใจได้ มือของผมดันให้อกกว้างออกไปจากการทาบทับแล้วเค้าก็รวบมือผมทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเดียว



“นายพีรวิชญ์ ปล่อยเดี๋ยวนี้” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังและชัดเจนทุกคำ ทำหน้านิ่งๆให้เค้ารู้ว่าผมโมโหแล้ว

“อยากจูบอ่ะ”


“ไม่!!!” ผมตะโกนสุดเสียงแล้วใช้ฝ่ามือที่ยังถูกรวบเอาไว้นั่นแหละยันหน้าเค้าที่กำลังเข้ามาใกล้ให้ออกห่าง


“ผมโกรธจริงๆแล้วนะ!!” ผมตวาดทั้งๆที่ต้องย่นคอหนีจมูกที่โฉบเฉี่ยวลงมาพัลวัน



ไม่ฟังกันใช่มั้ย ไม่หยุดใช่มั้ย



ได้!!



ผมกะระยะด้วยความแม่นยำจากการได้ฝึกปรือมาบ่อยครั้งเวลาที่ไอ้บ้าบนตัวผมทำให้ผมไม่สบอารมณ์ สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วนับถอยหลังในใจอีกครั้ง ไม่หยุดเองนะ คราวนี้ไม่ตายก็จำไปนานล่ะวะ


สาม


สอง


หนึ่ง


โอ๊ย!!!


พีพลิกตัวนอนลงข้างๆพร้อมกับขดตัวแน่น ดีดดิ้นไปมาไม่ต่างกับไส้เดือนเวลาโดนน้ำร้อนลวก สองมือใหญ่กุมเอาไว้ที่จุดสำคัญกลางลำตัวที่เป็นดังลูกรัก ผมเองก็เป็นผู้ชายทำไมจะไม่รู้ว่าตรงนั้นมันบอบบางแค่ไหน ต้องคอยเฝ้าทะนุถนอมไม่ให้อะไรมากระทบกระเทือนแรงๆแบบนั้นได้ พีกัดปากร้องซี้ดซ้าด ใบหน้าคมคายเขียวซีดเล่นเอาผมที่กำลังโมโหๆจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนเผลอขำก๊ากออกมาก่อนที่รอยยิ้มของผมมันจะหุบลงเหลือไว้เพียงใบหน้าบึงตึงแบบเดิมในพริบตา


“นี่!! อย่ามาสำออย ลุกไหวก็กลับไปนอนที่โซฟา!”


“มะ..ไม่ไหว” พีโอดครวญด้วยเสียงแหบพร่า ผมไม่ใส่ใจได้แต่สะบัดหน้าหนีแล้วยืนกอดอกดูไส้เดือนหน้าเขียวว่าจะร้องเจ็บไปอีกนานแค่ไหน



เล่นกับใครไม่เล่น!!..




จะไม่ให้ผมโกรธได้ยังไง คิดดูว่าตอนที่เค้าโกรธผมน่ะผมเสียใจแค่ไหน ผมยอมอ่อนลงให้สารพัด อะไรที่ไม่เคยทำยอมก็ทำ ขนาดให้ตะโกนบอกรักเค้ากลางสวนสาธารณะก็ยังทำ อายก็อาย แต่เค้ากลับมาล้อเล่นกับความรู้สึกของผม ยอมไม่ได้เด็ดขาด ยังไงก็ต้องเอาให้เข็ดหลาบคราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่กล้าทำอีก แม้กระทั่งตอนที่ง้อเค้าในห้องแล้วเค้าโมโหตอนที่ผมพูดถึงพี่นิค ผมเองก็ยอมเค้าสุดๆ ครั้งแรกที่พูดออกไปแล้วเค้าบดจูบลงมาทำเอาผมตกใจเพราะปรับอารมณ์ไม่ทันว่าตกลงจะโกรธหรือจะหื่น แต่พอมีครั้งแรกไปก็พอจะเดาเรื่องได้ว่าถ้าผมพูดชื่อพี่นิคอีกพีเค้าจะต้องจูบอีกแน่ๆผมก็เลย....หึหึ ก็นะ..มันก็ต้องมีเทคนิคในการเข้าถึงเนื้อถึงตัวนิดนึง ในเมื่อง้อด้วยคำพูดไม่สำเร็จมันก็ต้องเอาใจเล็กๆน้อยๆบ้าง ก็เค้างอนผมตั้งหลายวันแล้ว ก็คิดถึงเหมือนกันนะ


แต่ที่ทำให้ผมโมโหมากๆก็คือ พอเค้าก้มลงมาจูบครั้งที่สาม มันนานเสียจนเล่นเอาสติของผมเตลิด ริมฝีปากอุ่นๆของเค้าบดขยี้และเรียกร้องให้ผมเปิดปากแล้วรับเอาลิ้นร้อนๆของเค้าเข้ามาเกาะเกี่ยว ตอนนั้นหัวใจของผมเต้นแรงจนลืมความตั้งใจที่จะง้อเค้าไปหมด เหลือไว้เพียงความรู้สึกวาบหวิวและเหมือนสติเลอะเลือนเพราะมันลอยละล่องไปกับรสจูบที่ทำให้ผมรู้สึกมัวเมา แต่พออารมณ์ของผมกำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ขีดสูงสุด เค้าก็กลับผละมันออกซะจนผมอารมณ์ค้าง รู้สึกงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นจนต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อลำดับความคิด จนได้รู้ว่าเค้าน่ะเอาแต่ใจ เอาความเอาแต่ใจของตัวเองในขณะที่กำลังถือไพ่เหนือกว่ามาทำให้ผมไปต่อไม่ถูก ไอ้บ้า ไอ้พีบ้า!! บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตอนนั้นผมน่ะเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว แต่ว่ายังไงก็อยากคืนดีด้วยก็เลยต้องแอบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วควบคุมสติ ท่องในใจตลอดเวลาว่า สู้ๆ สู้ๆ จงหายงอน จงหายงอน และก็หันไปโอบกอดเค้าเพื่อเข้าสู่กระบวนการง้อต่อ


มันเป็นอะไรที่ทรมานทั้งกายและใจแบบสุดๆ


แต่ต่อมาก็มารู้ทีหลังว่าความจริงแล้วเค้าหายโกรธผมตั้งนานแล้วแต่ว่าเพราะเค้าชอบให้ผมง้อก็เลยแกล้งงอนต่อไป


แบบนี้จะไม่ให้ผมโกรธได้ยังไง



“ก้องครับ วันนี้เราไปทานบุฟเฟ่ต์เค้กกันมั้ย คุณชอบไม่ใช่เหรอ เอาให้พุงกางเลยดีมั้ยๆ” ลูกหมาที่หาเจ้าของไม่เจอยื่นจมูกแหลมๆมาใกล้ ทำตาปริบๆแล้วยื่นข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจเสียจนผมลอบกลืนน้ำลาย ผมกลอกตาไตร่ตรองซักพักว่าจะยอมไปด้วยดีมั้ยเพราะไอ้กินมันก็อยากกิน ชิฟฟ่อนเค้กเนื้อนุ่มๆที่มีสตรอเบอร์รี่สีแดงจัดเชื่อมด้วยน้ำตาลวางโปะอยู่ด้านบนสุดลอยมาอยู่ตรงหน้า เค้กหน้านิ่มรสต่างๆที่โปรดปรานโดยเฉพาะรสช็อคโกแล็ตที่พีเองก็ชอบ นึกถึงช็อคโกแล็ตเยิ้มๆที่ราดลงมาบนตัวแป้งจนฉ่ำ ไหนจะชีสเค้กที่มีฐานเป็นแครกเกอร์บดกรอบๆอวลด้วยกลิ่นเนย บัตเตอร์เค้กเนื้อแน่นๆกลิ่นละมุน ไม่นับรวมกับพวกเบเกอร์รี่ต่างๆที่มีพรั่งพร้อมให้ได้เลือกกิน ชูครีม ครัวซองต์ พายเลมอน คาราเมลคัสตาร์ด บราวนี่ ตบท้ายด้วยไอศครีมหลากรสให้ฉ่ำปอด ตอนนี้สมองของผมล่องลอยไปอยู่ที่ร้านแล้ว โอ๊ยนี่ผมอยู่บนสวรรค์รึเปล่าเนี่ย!


ไม่!!!


ไม่ได้!! พีร้ายกาจมาก เอาของชอบของผมมาล่อ แต่ผมจะแพ้เพียงเพราะข้อเสนออันยั่วยวนใจพวกนั้นไม่ได้


“คุณไปเหอะ” ผมลอบกลืนน้ำลายอย่างแนบเนียนแล้วตีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่สนใจต่อสิ่งที่เค้าชวน ตายังคงมองหนังสืออ่านเล่นที่ว่าด้วยเรื่องสิ่งที่ผมสนใจ



เทซอสส้มที่ได้ลงไปโดยการจับให้เอียงไปมานิดหน่อยเพื่อให้หน้าไหลคลุมด้านข้างเค้ก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นก็จะได้เค้กส้มแสนอร่อย นำเค้กเข้าตู้เย็นให้เค้กเซ็ตตัวจากนั้นเราก็จะได้ลิ้มรสนุ่มละมุนของแป้งในแบบสปันจ์เค้กและนุ่มลิ้นกับรสหวานฉ่ำของซอสส้ม


ผมรีบปิดหน้าหนังสือแล้วหลับตาลงเพื่อควบคุมสติ หน้าปกหนังสือเขียนว่า “100เคล็ดลับการทำขนมให้อร่อย” ผมรีบโยนมันให้ออกจากรัศมีสองเมตรครึ่ง ภาพที่ผมจินตนาการถึงขนมนับสิบนับร้อยชนิดวางอยู่บนถาดเรียงกันเป็นแถว จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นสูงแล้วเหาะอยู่รอบๆตัวผมเหมือนเชิญชวน ผมหมุนตัวตามแล้วกัดริมฝีปากมองพวกมันด้วยแววตาหยาดเยิ้ม ยิ้มพรายอย่างร่าเริงเมื่อได้อยู่ในหมู่มวลเบเกอร์รี่ที่แสนหอมหวาน มีเพลงคลาสสิกบรรเลงประกอบเหมือนกำลังอยู่ในการ์ตูนดิสนี่ย์


“ก้อง ก้อง” เจ้าเบเกอร์รี่พวกนั้นพากันร่วงดิ่งลงสู้พื้นเสียจนเละตุ้มเปะ


“อะไร!” ผมหนไปตวาดคนที่เรียกเพราะโมโหที่บังอาจมาทำให้จินตนาการของผมแตกสลาย พังทลายลงในพริบตา ผมคว้าหนังสือเล่มข้างๆขึ้นมาแทนเล่มเก่าแล้วเท้าคางเอาไว้ที่สัน อดเสียดายกับความฝันที่แสนยั่วใจเหล่านั้นไม่ได้


“ก้องงงง ไปกันนะ ผมอยากให้คุณได้ทานขนมอร่อยๆจริงๆนะ คุณก็รู้นี่ว่าร้านนั้นน่ะอร่อยแค่ไหน ผมเคยพาคุณไปตั้งหลายครั้ง คุณเองก็ชอบขอให้ผมไปเป็นเพื่อนอยู่บ่อยบ่อ..”


“หยุด!!!” ผมตะโกนลั่น ไม่อยากฟังคำหว่านล้อมให้เอนเอียงได้ง่ายๆ ผมกำลังงอน ผมกำลังงอน ท่องเอาไว้ในใจ


งอน



งอน



งอน


จำได้เสียยิ่งกว่าตอนท่องบดสวดมนต์ก่อนนอนซะอีก แต่ทำไมมันถึงทำได้ยากเย็นนัก!


ผมรีบเปิดหนังสือเล่มที่หยิบได้นั้นอ่านเพื่อไม่ให้จิตใจไขว้เขวไปกับเรื่องอื่น ตัวหนังสือที่ไร่เรียงกันมาเป็นหน้าๆค่อยๆขยุกขยิกสั่นไหว และสุดท้ายมันก็เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างไปเป็นรูปก้อนเค้กกลมๆสีม่วงสด ได้กลิ่นบลูเบอร์รี่โชยออกมาจากหนังสือ ตามด้วยรูปเค้กสีเหลี่ยมชิ้นพอดีคำสีน้ำตาล บราวนี่!! ก่อนจะแตกแขนงกลายเป็นคัพเค้กถ้วยเล็กๆน่าตาน่ารักอบอวลด้วยกลิ่นของผลไม้สดที่ประดับเป็นหน้าเค้ก ไอศครีมลูกกลมๆหลากสีมีทั้งอยู่ในถ้วยกระเบื้องใสและอยู่ในโคนหมวกแหลมกรุบกรอบ



ผมปิดหนังสือเล่มหนาอย่างแรงจนเกิดเสียงดังปึก พีตกใจแล้วมองผมด้วยสีหน้าใคร่รู้ บุฟเฟต์เค้กที่พีพูดถึงกำลังจะทำให้ความอดทนของผมมันหมด และผมจะไม่ทนอีก!



“ไป”



“ฮะ?!!” พีเลิกคิ้วมองด้วยความงุนงง



“ก็บอกว่าไปไง แต่ว่า ผม-จะ-ไป-ร้าน-พี่-นิค!!” ชัดเจนทุกพยางค์ พีอึ้งไปด้วยคงนึกไม่ถึง ฮึ เอาของโปรดผมมายั่ว ก็สนองไปซะ ทีนี้ล่ะจะเอาให้กระอักเลือดตายไปเลย




ระหว่างนั่งรถมาคนขับก็เงียบมาตลอดทาง ผมเห็นเค้าขมวดคิ้วมาตั้งแต่ขึ้นรถจนกระทั่งตอนนี้ที่เกือบจะถึงอยู่แล้ว คงจะไม่พอใจที่ผมให้พามาที่ร้านของพี่นิค คอยดูเถอะ แกล้งผมเอาไว้มากผมจะเอาให้หึงจนบ้าตายไปเลย พอมาถึงร้านเค้กของพี่นิคผมก็เปิดประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย พีเดินตามมาอย่างอ้อยอิ่ง เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งที่หน้าประตูทำให้เจ้าของร้านที่อาจจะอยู่ด้านในหากว่าทำเค้กอยู่ได้รู้ว่ามีลูกค้าเข้ามา พี่นิคในคราบของคนทำขนมเดินออกมาพอเห็นผมก็ยิ้มกว้างแต่พอหันไปเห็นอีกคนที่มาด้วยพี่นิคก็เลิกคิ้วอย่างงุนงง ผมเดินเข้าไปกอดพี่นิคไว้ทั้งตัวและก็ได้รับการกอดกลับ


“เดี๋ยวเสื้อผ้าก็เลอะหรอก ถอดผ้ากันเปื้อนก่อน” พี่นิคพูดด้วยรอยยิ้มจางแล้วจัดการถอดผ้ากันเปื้อนสีขาวครีมออก


“แกมา..”


“เอ้อออออออ!!!ไม่ยักรู้ว่านายมีร้านแบบนี้ด้วยนะ” พี่นิคกำลังจะพูดอะไรซักอย่างแต่แล้วพีก็พูดขึ้นก่อน ทำไมต้องขึ้นเสียงสูงตอนต้นประโยคเหมือนตั้งใจจะพูดแทรกแบบนี้ด้วย โมโหหึงล่ะสิ ใช่มั้ย ฮะฮะ



“อ่ะ..อ่อ ก็..อย่างที่เห็น” พี่นิคชะงักไปเหมือนยังงงๆ จากนั้นก็ตอบกลับด้วยท่าทีกวนๆไม่ต่างกัน ผมย้ายฝั่งไปเกาะแขนของพี่นิคเอาไว้


“พี่นิคฮะ วันนี้ก้องอยากกินเค้ก มีอะไรแนะนำบ้าง ไม่เอาเค้กชาเขียวนะ ก้องไม่ชอบสีเขียว ” ผมพูดกับพี่นิคแต่สายตาก็มองไปทางเจ้าของใบหน้าคมคายที่มาด้วยกัน ยักคิ้วเล็กน้อยพอยั่วให้คนตรงหน้าสติแตกได้บ้าง



“ได้ครับ งั้นก้องอยากทานอะไรไปหยิบที่ตู้เลยนะ แล้วอยากได้อะไรเพิ่มเดี๋ยวพี่ทำให้กลับไปทานที่บ้านนะครับ” พี่นิคก้มลงมาตอบ ผมยิ้มเป็นการตอบรับ ดีนะที่ตอนนี้ร้านเพิ่งเปิดเพราะเพิ่งจะสายๆก็เลยยังไม่มีลูกค้าเข้ามา ไม่งั้นผมก็คงจะไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อขนาดนี้



ผมหยิบเค้กมาได้สองชิ้น เป็นเค้กช็อคโกแล็ตหน้านิ่มที่ผมชอบกับเค้กส้มที่พอได้อ่านในตำราก็นึกอยากกินขึ้นมา พีนั่งกอดอกนิ่งมองผมที่กำลังลงมือตักเค้กแสนอร่อยเข้าปาก ผมเห็นอย่างนั้นก็เลยทำทีเป็นหันหลังไปมองหาพี่นิค



“เอ..พี่นิคไปไหนน้า~ สงสัยกำลังยุ่งอยู่หลังร้าน” พูดแล้วก็เหลือบมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม พีทำหน้ายุ่งเหมือนไม่พอใจทำเอาผมแอบยิ้ม


“เอ้า! ไม่ทานเหรอครับ คุณเป็นคนชวนผมออกมาทานเค้กเองนะ ” ถึงปากจะคาบช้อนเอาไว้แต่ก็ยังพูดทั้งอย่างนั้น พีกรอกลูกตาเหมือนเบื่อๆทำปากยื่นแล้วหันหน้าหนี ผมแทบอยากจะหลุดขำออกมาด้วยความสะใจ พอพี่นิคออกมาผมก็ชวนเค้านั่งด้วยกัน ผมชวนพี่นิคคุยเรื่องต่างๆมากมายแล้วก็หัวเราะไปด้วยเมื่อรู้สึกว่าเรื่องที่คุยมันตลก พีทำเป็นไม่สนใจแล้วหันมองทางนั้นทีทางนู้นที



“เอาไว้เราไปด้วยกันสองคนดีกว่าเนอะพี่นิคเนอะ ” ผมออกปากชวนพี่นิคไปปิกนิกที่สวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน พีทำหน้าขรึมเหมือนไม่สบอารมณ์แล้วเสมองไปที่อื่น ผมเห็นแล้วก็แอบหันไปอีกทางแล้วหัวเราะคิกอยู่คนเดียว ได้แกล้งคนนี่มีความสุขอย่างงี้นี่เอง



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





โอ๊ย..........ขำ



ดู๊ ดูทำเข้า............



คนขี้งอนทำตัวสนิทสนมกับไอ้นิคอย่างจงใจคงกะว่าจะให้ผมหึง แต่.....ผมอยากจะบอกก้องบดินทร์เหลือเกินว่าเรื่องความเจ้าเล่ห์ของก้องน่ะยังช้ากว่าผมไปอีกสิบปี อย่าคิดนะว่าผมไม่เห็นตอนที่ก้องแอบหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ไม่ใช่แค่ที่ร้านไอ้นิคเท่านั้นนะ แต่ตั้งแต่ออกมาจากคอนโดก้องก็ลอบยิ้มแปลกๆ แถมแววตาวิบวับที่นานๆทีจะได้เห็นนั่นอีก ดูเอาก็รู้ว่าก้องคิดจะยั่วผม ผมก็เลย อ่ะ อ่ะ อ่ะ เล่นตามเกมเค้าซะหน่อย ก้องจะได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่า เห็นมั๊ยว่าผมเป็นคนรักที่ดีขนาดไหน



“โหยยยยย ร้ายนักนะแก ดีนะที่ฉันฉลาด เลยตามน้ำไปได้” หลังจากก้องบดินทร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ไอ้นิคที่กำลังทำงานง่วนอยู่ที่เค้าท์เตอร์ก็รีบถลาเข้ามานั่งแทนที่คนหน้าหวานทันที


“แล้วอย่างนี้ถ้าน้องก้องรู้ว่าแกแกล้งหึงจะไม่ยิ่งโกรธกันไปใหญ่เหรอ”


“ก้องไม่รู้หรอกน่า คิดมาก”



“เออ.....แล้วฉันจะคอยดูหมาหงอย” ไอ้นิคทำหน้าหมั่นไส้ผมสุดๆ “แกนี่มันเจ้าเล่ห์ตัวพ่อ ให้ตายเหอะก้องไปรักคนแบบนี้ได้ไงวะ”


ผมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่อยู่ๆไอ้นิคก็ทำหน้าตาตื่นตกใจอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างหลังผมจนผมต้องหันกลับไปมองตามสายตาของมัน



ก้อง...............




“นี่คุณหลอกผมอีกแล้วนะ” เสียงหวานๆ เหวี่ยงใส่ผมเต็มที่ คิ้วเรียวขมวดมุ่นตามแรงอารมณ์ที่ปะทุขึ้น


“พี่นิคก็ร่วมมือกับพีหลอกก้องเหรอ แล้วนี่ไปดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่”



“ก้อง ฟังผมอธิบายก่อ........” ผมถลาเข้าไปหาก้องบดินทร์ แต่คนหน้าสวยกลับถอยออกห่าง


“ผมไม่ฟัง!!!”


“ก้อง พี่ไม่ได้ตั้งใจ.....”



“ก้องไม่คิดเลยว่าพี่นิคก็จะเป็นไปกับเค้าด้วย”




โดนกันทั่วหน้า............




“ก้อง คุณจะไปไหน” คนหน้าหวานเดินออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว ผมรีบวิ่งตามออกมาติดๆ แต่ก้องก็ขึ้นแท็กซี่ไปซะก่อน ผมเดินคอตกกลับมาที่ร้าน แล้วก็เจอไอ้นิคทำหน้ากวนตีนใส่



“ก้องไม่รู้หรอกน่า คิดมาก” นคินทร์ทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนผม “เป็นไงล่ะ สมน้ำหน้า”



“ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็หุบปากไปเลย!!!!”



“เออ!!!”






เฮ้อ.........เอาไงดีล่ะพีรวิชญ์ งานเข้าซะแล้ว งานใหญ่ด้วย!




----------------------------------------------




ก็บอกแล้วว่าดราม่าไม่นาน ชริชริ โฮะๆ


ขอให้สนุกกับการอ่านฟิคนะคะ








Create Date : 28 ตุลาคม 2554
Last Update : 28 ตุลาคม 2554 23:12:39 น.
Counter : 670 Pageviews.

6 comment
บทที่ 21 ความฝัน ความจริง
ทุ่งหญ้าเวิ้งว้างสีทองกว้างใหญ่กินอาณาบริเวณยาวไปไกลจนสุดสายตา สายลมพัดเอื่อยๆ ทำให้ต้นหญ้าสูงสะบัดไหวน้อยๆ ไปตามแรงลม ท้องฟ้าเบื้องบนมีสีหม่นด้วยกลุ่มเมฆกลุ่มใหญ่ รอบข้างไร้ซึ่งสรรพสิ่งและสรรพสำเนียงใดๆ ผมเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย เนิ่นนาน...แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางที่ผมกำลังเดินอยู่ในขณะนี้จะทอดยาวไปไกลเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด



ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวน้อยที่กำลังหลงทาง ไม่รู้เลยว่ากำลังอยู่ที่ไหนและต้องทำอย่างไรต่อไป ความโดดเดี่ยวอ้างว้างเข้ามาครอบคลุมอยู่ในห้วงมโนสำนึกเปรียบเสมือนน้ำเย็นจัดที่ทำให้หัวใจของผมเหน็บหนาว ความกลัวที่แฝงเร้นค่อยๆ เผยออกมาให้เห็นเด่นชัดทีละน้อย ถ้าผมออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ถ้าผมหาทางออกไม่เจอ ผมก็คงต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง


‘พี วันเกิดของผมปีนี้ผมอยากไปทำบุญเก้าวัดอ่ะ คุณพาผมไปนะ พาแม่ พี่แก้ว พี่ปอ พี่ตุ๋ม แล้วก็พี่เจ๋งไปด้วย’


‘อืม......เอาสิก้อง’ ผมตอบคำถามคนรักโดยที่ยังไม่เงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้คนหน้าหวานส่งเสียงเหวี่ยงๆ มาให้ผม


‘พี คุณเลิกยุ่งกับคอมฯ สักแป๊บได้มั๊ย ผมเห็นคุณวุ่นวายกับมันมาตั้งหลายวันแล้วนะ หน้าจอคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดอะไรของคุณเนี่ยมันน่าสนใจมากกว่าผมนักหรือไงกัน’


‘โถ่......ก้อง ผมกำลังยุ่งอยู่ จริงๆ นะ’


‘พี ผมจะโกรธจริงๆแล้วนะ”


‘โอ๋ๆ ก้องบดินทร์สุดที่รัก อย่าโกรธผมเลยนะคร้าบ น๊า คนดี’ ปากผมงอนง้อก้องบดินทร์แต่มือและสายตาก็ยังคงง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวเก่ง ทำให้คนหน้าหวานอดรนทนไม่ได้ เข้ามาแย่งเม้าส์ออกไปจากมือของผม


‘คุณจะยุ่งอะไรนักหนาฮะพี ช่วงนี้ที่บริษัทก็ไม่ได้ยุ่งไม่ใช่เหรอ ผมขอดูหน่อยเถอะว่าคุณยุ่งจริงหรือกำลังแชทกับสาวที่ไหน’

‘เฮ้ย ก้อง อย่า ดูไม่ได้ นี่คุณ อย่านะ’ ผมรีบกันคนหน้าหวานออกไปให้พ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ก้องบดินทร์ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ สุดท้ายผมก็สู้แรงของก้องไม่ได้ทำให้ก้องบดินทร์ครอบครองคอมพิวเตอร์ได้ในที่สุด


ภาพที่คนหน้าสวยเห็นทางหน้าจอคือโปรแกรม windows movie maker ที่เปิดค้างไว้ ในส่วน time line ของโปรแกรมมีภาพหลายภาพซ้อนๆกันอยู่ แต่ก็เห็นได้ไม่ชัดเพราะรูปมีขนาดเล็ก ก้องบดินทร์กด play ที่หน้าต่างด้านขวาของโปรแกรม ทำให้เสียงเพลงบ้านของหัวใจดังขึ้นพร้อมๆกับรูปของคนหน้าหวานในอิริยาบทต่างๆ ปรากฏขึ้นมาในวีดีโอทั้งแบบตั้งใจและแอบถ่าย ก้องบดินทร์นั่งนิ่งอย่างคิดไม่ถึง ผมเลยถือโอกาสโอบกอดก้องไว้จากทางด้านหลังแล้วโยกตัวไปมาน้อยๆ


‘ว้า.....หมดกัน ความลับแตกหมดเลย’


‘พี นี่คุณถ่ายรูปผมไว้ตลอดเลยเหรอ ตอนอยู่ที่อเมริกาก็มี ตอนไปเที่ยวกับแม่ฟองก็มี แล้วนี่...รูปนี้เป็นรูปเมื่อปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ’ เสียงของก้องอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีแววหวานเจือปน ผมยิ้มน้อยๆแล้วกระซิบที่หูของคนหน้าหวาน


‘ผมกะว่าจะทำวีดีโอนี้เซอร์ไพรซ์คุณในวันเกิดน่ะ แหะๆ แต่คุณก็มาเจอซะก่อน’


‘พี ผมรักคุณจัง’ ก้องบดินทร์หันมาสบตาผมพร้อมกับจรดปลายจมูกโด่งลงมาที่ข้างแก้มสากเร็วๆ หนึ่งที คนหน้าหวานหน้าแดง หูแดงไปหมด ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยั่วเย้าคนตรงหน้าให้ได้อาย


‘อะไรกันอ่ะก้อง ผมทำตัวน่ารักขนาดนี้คุณให้รางวัลผมแค่นี้เองเหรอ’

‘ฮึ่ยยย ได้คืบจะเอาศอก’


‘ศอกอ่ะไม่เอา อยากเอาอย่างอื่นมากกว่า’ ว่าแล้วผมก็จับหน้าเรียวให้หันมาหาผมอีกครั้งแล้วประกบริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มอย่างแผ่วเบา สัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนถูกส่งผ่านไปยังคนตรงหน้า ก้องบดินทร์หลับตาพริ้มเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกที่ได้รับจากผม เนิ่นนานกว่าที่ผมจะตัดใจผละออกจากความหอมหวานที่ชวนให้ลุ่มหลงนั่นแล้วกระซิบเสียงแผ่วชิดริมฝีปากบาง
‘ผมก็รักคุณนะครับ ก้องบดินทร์’





คลื่นอารมณ์ระลอกแล้วระลอกเล่าพากันซัดสาดใส่ผมไม่หยุด ความทรงจำแสนหวานในอดีตกับความหวาดกลัวในปัจจุบันพากันรุมเร้าเข้ามาจนทำให้ผมสับสนไปหมด จะมีหนทางไหนบ้างที่จะทำให้ผมออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ จะมีบ้างไหม สักทาง..........


ท่ามกลางกอหญ้าสูงที่อยู่รายรอบตัว น้ำใสๆ หยดหนึ่งหยดลงมาที่ต้นแขนของผม กระแสอบอุ่นแล่นวาบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ความเหน็บหนาวที่เคยมีอันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ก้องบดินทร์.......คนรักของผมกำลังคอยผมอยู่ นั่นเป็นแรงผลักดันที่เร่งเร้าให้ผมพยายามออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ก็เหมือนมืดแปดด้าน เพราะทิวทัศน์รอบตัวไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว


ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละ จนกระทั่งเบื้องหน้ามีแม่น้ำสีเงินขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่ ที่ริมฝั่งมีเรือพายลำหนึ่งจอดเทียบเหมือนรอให้ใครสักคนพายมันออกไป อะไรบางอย่างกระตุ้นให้ผมเดินไปที่เรือลำนั้น แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก เมื่อสียงหวานใสของผู้หญิงคนหนึ่งหยุดผมเอาไว้

“พี.......อย่าไป”


ผมหันกลับไปมองด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ ผู้หญิงร่างบางสวยหวานคนหนึ่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ผมยาวดำขลับทอประกายต้องแสงสลัวของดวงอาทิตย์ที่อยู่หลังเมฆ ผมเดินเข้าไปหาเธอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เจอเธอที่นี่


“พี่กิ่ง.........”


“ไม่คิดว่าเราจะเจอกันเร็วขนาดนี้นะพี” หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน


“ผม........ผมตายแล้วเหรอครับ”


“สักวัน เราทุกคนก็ต้องตาย” พี่กิ่งพูดเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญอย่างที่สุด


“แต่น้อยคนนะครับ ที่ก่อนตายจะได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจครบทุกอย่าง”


“แล้วพีทำได้ครบหรือยังล่ะ”


“ผม......ผมแค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับก้อง อยากอยู่ข้างๆ คอยดูแลปกป้องเค้าไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ถ้าเลือกได้ ผมไม่อยากตายก่อน เพราะผมกลัวว่าสักวันถ้าไม่มีผมแล้วก้องจะอยู่ยังไง”


พี่กิ่งเอื้อมมือมาจับมือของผมอบ่างเบามือ กระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาถึงหัวใจ รู้สึกได้จริงๆ ว่าพี่กิ่งคือพี่สาวแท้ๆ อีกคนของผม


“พี่ดีใจนะ ที่ได้พีมาดูแลน้องชายของพี่”


“ผมก็ดีใจครับ ที่ได้ดูแลก้อง”


“กลับไปเถอะพี”


“ครับ? พี่กิ่งว่าไงนะ”


“กลับไปดูแลก้อง ดูแลน้องชายของพี่ให้ดีนะ พี่ฝากก้องด้วย”


ความปิติยินดีเติมเต็มเข้ามาในใจของผมจนล้นปรี่ ผมกระชับมือของพี่กิ่งแน่นขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ รอยยิ้มละมุมถูกคลี่ออกมาจากริมฝีปากเรียวสวย ผมส่งยิ้มให้พี่กิ่งเป็นการตอบแทนเช่นกัน จากนั้นลำแสงสว่างจ้าก็ส่องเข้ามาจนตาของผมพร่าเลือนไปหมด สัมผัสของพี่กิ่งเริ่มเลือนหายไป และ........


กลิ่นสะอาดของโรงพยาบาลลอยเข้ามาเตะจมูก ผมรู้สึกปวดหัวเหมือนมันจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ ความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ต้นแขนเกิดขึ้นมาเป็นริ้วๆ ผมพยายามจะลืมตาด้วยความยากลำบาก แต่บทสนทนาที่ผมได้ยินทำเอาผมไม่อยากจะตื่นขึ้นมาอีกเลย




‘พี่รักก้องนะ’


‘ก้องก็รักพี่นิคฮะ’




เมื่อทำใจให้ลืมตาขึ้นมาได้ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็เล่นเอาผมจุกจนพูดไม่ออก คนรักของผมกับไอ้ตี๋นั่นกำลังกอดกันอย่างแนบแน่น น้ำตาของคนทั้งคู่เหมือนเป็นสักขีพยานว่าคำรักที่พร่ำรำพันกันก่อนหน้านี้ดูดดื่มลึกซึ้งขนาดไหน ผมไม่อาจทนมองภาพบาดตานั้นได้อีกต่อไปจึงหันศีรษะไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว แต่นั่นยิ่งทำให้แผลที่ยังสดเจ็บแปล๊บมากขึ้นจนต้องร้องออกมา


“โอ๊ย”


“พี!!.......” ก้องบดินทร์ผละจากอ้อมกอดของนายนิคแล้วถลาเข้ามาหาผมทันที



“พี..พะ..พี คุณ..คุณตื่นแล้ว คุณตื่นแล้วจริงๆด้วย” ก้องละล่ำละลักเรียกผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาตอนที่เห็นว่าผมฟื้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆว่าก้องเป็นห่วงผม แต่พอนึกไปถึงภาพที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ก็ยังอดรู้สึกคลางแคลงใจไม่ได้ ผมคิดมากไปเอง หรือว่ามันเกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่ผมหลับ


“พี..คุณเจ็บตรงไหนมั้ย เจ็บรึเปล่า เจ็บมากมั้ย เมื่อกี๊คุณร้องนี่นา เจ็บใช่มั้ย” ก้องถามคำถามซ้ำไปซ้ำมาเหมือนว่าดีใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วหันไปกดกริ่งเรียกพยาบาล มือคู่สวยแตะไปทั่วตัวของผมอย่างลนลานเพื่อดูว่าผมเจ็บตรงไหน สัมผัสเบาๆราวกับกลัวว่าผมจะเจ็บ ผมเห็นสายตาของความเป็นห่วงและกังวลของก้องอย่างชัดเจน หยาดน้ำใสที่คลออยู่ที่ดวงตาคู่สวยอีกไม่นานก็คงจะหยดลงมาอีกครั้ง



“ผมไม่เป็นไร แค่ปวดหัวนิดหน่อย” ผมได้ยินเสียงอ่อนระโหยของตัวเองตอบกลับไป อดจะใช้หางตาเหลือบมองไม่ได้ว่าก้องเป็นยังไงบ้าง ทั้งตัวก้องดูเหมือนปลอดภัยดีไม่มีบาดแผลอื่นๆนอกจากแผลที่ศีรษะที่มีผ้าสีขาวพันเอาไว้ รู้สึกหัวใจกระตุกเมื่อดูแล้วเหมือนก้องจะซูบๆลงเล็กน้อย ก้องดูเป็นห่วงผมมากเหลือเกิน แต่คำบอกรักที่ก้องพูดกับไอ้นิคเมื่อสักครู่มันทำให้ผมสับสน แต่ก่อนหน้านั้นก้องก็บอกรักผมเหมือนกัน หรือว่าจะไม่ใช่........หรือนั่นเป็นแค่ความคิดของผมเองในช่วงเวลาที่มีสติไม่ครบสมบูรณ์ ผมคิดอย่างนั้นแล้วก็ต้องรีบหลบสายตาที่ก้องมองมา


ผมเลือกที่จะหนีจากความสับสนด้วยการเบือนหน้าหนีจากคนหน้าหวานและหลับตาลงเพื่อบ่งบอกว่าผมยังไม่พร้อมที่จะคุยกับใครในตอนนี้ จนกระทั่งหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจอาการของผมและกลับออกไป ผมขอร้องก้องบดินทร์ให้กลับไปก่อนทั้งๆ ที่ก้องอาสาจะนอนเฝ้าผมในคืนนี้ ผมรู้ว่าก้องสงสัยและมีคำถามมากมายอยากจะถาม แต่ผมก็ใช้มุกเดิมๆ คือการหลับตาเพื่อเป็นการตัดบททุกสิ่งทุกอย่างทำให้ก้องจำยอมต้องกลับออกไป ห้องพักฟื้นคนไข้ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เงียบเหงาเหมือนหัวใจของผมในตอนนี้




ก้องบดินทร์ ตกลงว่าคุณยังรักผมอยู่ หรือเปล่า..........





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ผมไม่เข้าใจและกำลังสับสน มันเกิดอะไรขึ้นคำพูดและแววตาที่พีใช้มองผมมันถึงได้ดูเย็นชาและเฉยเมยนัก ตอนที่ผมได้ยินเสียงร้องของเค้าหัวใจของผมมันกระตุกวาบ พอหันไปเห็นว่าเป็นเสียงของพีจริงๆผมดีใจจนทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาทั้งๆที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ให้พีเห็นน้ำตาของผมอีก ใครจะไปทนได้ ในเมื่อคนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดสัปดาห์ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลที่ยาวนานเกินไปจนทำให้ผมและใครหลายคนกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมรีบปรี่ไปหาเค้า กวาดตามองรอบๆตัวเค้าว่าเค้าเจ็บตรงไหน มองไปที่แผลของเค้าว่ามีเลือดซึมออกมารึเปล่าแต่ก็พบว่ามันปรกติ ทำอะไรไม่ถูกจนสุดท้ายก็เลยกดกริ่งเรียกพยาบาล ผมมีเรื่องอยากจะพูด อยากจะคุยกับเค้าเยอะแยะเต็มไปหมด อยากจะขอโทษ อยากจะปรับความเข้าใจ อยากจะบอกกับเค้าว่าผมคิดถึงและเป็นห่วงเค้ามากแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำเอาผมอึ้งไปก็คือการเบือนหน้าหนีและปฏิเสธที่จะให้ผมอยู่เฝ้าเค้า ผมหันไปมองหน้าพี่นิคแต่พี่เค้าเองก็นิ่งๆไปเหมือนกับว่ารู้สึกงุนงงไม่ต่างกัน ผมยกยิ้มที่มุมปากบางๆมองโลกในแง่ดีว่าพีคงจะเหนื่อยและอยากพักผ่อนจริงๆ



“พี วันนี้ผมให้พี่ตุ่มทำซุบเห็ดมาให้ จำได้ว่าคุณเคยทานแล้วบอกว่าชอบเพราะว่าซุบเห็ดฝีมือพี่ตุ่มอร่อยและไม่เหมือนกับตามร้านอาหาร ยังร้อนอยู่เลย เมื่อกี๊ผมถามพยาบาลเค้าบอกว่าคุณทานอาหารอ่อนๆได้ ทานเลยมั้ยพี” ผมเทซุบเห็ดสีครีมขุ่นในกระติกเก็บความร้อนใส่ชามแล้ววางไว้บนโต๊ะที่เลื่อนมาตรงหน้าพี พียังคงนั่งเฉยไม่แม้แต่จะมองมันแต่กลับเอนหลังพิงกับหมอนแล้วหันหน้าไปอีกทาง



“ทำไมเหรอพี ยังไม่หิวเหรอ แต่เดี๋ยวจะได้เวลายาแล้วนะ ทานหน่อยดีมั้ย” ผมยกชามขึ้นใช้ช้อนคนเบาๆแล้วตักซุบขึ้นมาเป่าให้หายร้อนยื่นไปที่ปากพี พีหลับตาลงเหมือนไม่สนใจ ทำเอาหัวใจของผมหล่นวูบ หลายวันมานี้เค้าแทบไม่ได้คุยกับผมเลย ถามคำตอบคำ ทุกครั้งที่ผมมาหาเค้าก็จะเงียบแล้วก็หลับตาเพื่อบอกอ้อมๆว่าเค้าต้องการพักผ่อน เป็นแบบนี้มาสามสี่วันแล้ว จนผมได้ออกจากโรงพยาบาลมาสามวันแล้วพีก็ยังมีท่าทีเมินเฉยเหมือนไม่ใช่พีคนเก่า


“พี่นิคว่า...พีเค้าแปลกๆไปรึเปล่าฮะ” ผมถามในขณะที่ตาก็ยังคงมองไปที่ประตูห้องของพี ผมออกมานั่งคุยกับพี่นิคที่หน้าห้องส่วนคนข้างในน่ะหลับไปแล้ว อาจจะง่วงเพราะฤทธิ์ยา อาจจะเพราะเพลียจากการเจ็บแผล หรืออาจจะเพราะ..เพราะผม


“เค้าอาจจะเหนื่อยจริงๆก็ได้ครับก้อง อย่าเพิ่งคิดมากเลย” หลังจากที่เรากลับมาเป็นเพียงพี่น้องกันพี่นิคก็เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับผมมาตลอด เหมือนได้พี่ชายเพิ่มเข้ามาในชีวิต


“ไม่รู้สิฮะ ก้องคงคิดมากไปเองมั้ง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เบ้าตาร้อนผ่าว ไม่อยากคิดอะไรมาก แต่พีเปลี่ยนไปมากจริงๆ


วันนี้อาหารเย็นของโรงพยาบาลคือไข่ตุ๋น ผัดผักรวมกับแกงจืดลูกรอก พีทานไปน้อยมากเพราะข้าวสวยพร่องไปไม่ถึงครึ่งผมก็เลยอาสาตักอาหารป้อนพี อยากให้พีทานมากๆร่างกายจะได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมเร็วๆ ไข่ตุ๋นสีเหลืองอ่อนหน้าตาน่ากินวางโปะบนข้าวสวยในช้อนขนาดพอดีคำ พีถอนหายใจออกมาเบาๆเป็นการปฏิเสธแบบกลายๆผมเลยหันไปมองหน้าพี่นิคที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พี่นิคทำเพียงยิ้มบางๆคงเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเหมือนกัน ได้ยินเสียงถอนหายใจฮึดฮัดแรงๆเหมือนหงุดหงิดจากคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียง พอหันกลับไปมองก็เห็นเพียงว่าพีกำลังนั่งทำหน้ายุ่งเหมือนกำลังไม่พอใจก่อนจะเอนหลังแล้วหลับตาลงทั้งๆที่คิ้วยังชนกันอยู่
ปรกติแล้วผมจะมาเยี่ยมพีแค่คนเดียวหรือไม่ก็จะมากับแม่ พี่ตุ่มแล้วก็พี่เจ๋งแต่ว่าวันนี้พี่นิคมาทำธุระแถวๆนี้พอดีกับที่ผมโทรไปปรึกษาเรื่องพี พอพี่นิคเสร็จงานก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมพีด้วย แต่ดูเหมือนพีจะไม่อยากรับแขกเท่าไหร่


“เอาไว้ผมออกจากโรง’บาลแล้วจะจัดการเรื่องหย่าให้ทันที ไม่ต้องห่วง”


เกร๊ง!


ช้อนกลางในมือร่วงลงไปนอนแอ้งแม้งที่พื้น ผมหันไปมองคนที่พูดด้วยความรู้สึกสับสน ผมหูฝาดใช่รึเปล่า


“คุณ..ว่าอะไรนะ”



“ผมบอกว่า ทันทีที่ผมได้กลับบ้าน ผมจะเคลียเรื่องหย่าให้”


“พี..” รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หรือว่าปัญหาขัดแย้งระหว่างผมกับพีในช่วงก่อนหน้านี้มันยังไม่ได้หมดไปอย่างที่ผมเข้าใจ หรือว่าคำพูดเหล่านั้นที่ผมเคยพูดมันกำลังจะกลับมาทำร้ายตัวผมเอง พีพูดเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่มีแม้แต่สีหน้าแสดงความอาลัยอาวรณ์ กระบอกตาของผมร้อนผ่าวและเริ่มพร่ามัว สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะทำยังไงขาของผมก็พาตัวเองก้าวออกมาจากห้องนั้นแล้วตรงไปที่ลิฟต์จนสุดท้ายน้ำตามันก็ไหลออกมาโดยไร้ซึ่งเสียงสะอื้น


คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงของมันเป็นสีทองอร่ามเผื่อแผ่ไปทั่วท้องฟ้าสีน้ำเงินที่เข้มสนิทราวกับผืนผ้ากำมะหยี่ ดาวเล็กดาวน้อยจำนวนไม่มากเพราะมีแสงจากตึกรามบ้านช่องจากตัวเมืองเข้าบดบังแต่มันก็มากพอจะทำให้พระจันทร์มีเพื่อนอยู่เคียงข้าง ผมเองหากในเวลาปรกติตอนนี้คงจะกำลังนั่งอยู่กับพีที่โรงพยาบาล เราอาจกำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องต่างๆในช่วงที่ผมความจำเสื่อม อาจจะกำลังขอโทษกันและกันและปรับความเข้าใจว่าจะไม่ทำให้ใครอีกคนต้องเสียใจอีก หรือเราอาจจะกำลังแอบนั่งทานขนมมื้อดึกด้วยกันในขณะที่คุณหมอหรือพยาบาลไม่ได้เข้ามาเห็น ในหัวยังคงสับสนและไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นพีถึงได้พูดเรื่องหย่า แต่สุดท้ายเมื่อคิดไม่ออกก็เลยต้องปัดความขุ่นมัวในใจทิ้งไปแล้วยิ้มให้กับตัวเอง ผมจะไม่ยอมแพ้ ขอแค่คุณให้โอกาส ผมก็พร้อมที่จะอธิบายทุกอย่างที่คุณคลางแคลงใจเพียงแค่ถามออกมา เราจะได้กลับไปเข้าใจกันเหมือนเดิม


“พี ทานอันนี้หน่อยสิ พี่แก้วเป็นคนทำนะ อร่อยมากเลยผมแอบชิมมาแล้ว” ผมหัวเราะคิกทั้งที่ในใจอยากจะร้องไห้ นั่นก็เพราะคนป่วยตรงหน้าไม่แม้แต่จะหันมาสนใจผมที่ถือช้อนค้างเอาไว้เลยซักนิด เค้ก ช็อคโกแลตหน้านิ่มที่พีชอบนอกเหนือจากเค้กชาเขียวถูกปฏิเสธโดยการเอนหลังพิงกับเตียงที่ปรับเอาไว้แล้วหลับตาเหมือนว่าต้องการพักผ่อน


“พี ลองชิ..”

ทั้งเค้กทั้งช้อนถูกปัดกระเด็นลงไปอยู่ที่พื้น ผมมองมันและกัดริมฝีปากแน่น เบ้าตาที่ร้อนผ่าวขับให้หยดน้ำใสๆออกมาคลอจนตาพร่ามัว


ผมไม่รู้ ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร ไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดพีถึงได้ทำกับผมแบบนี้


ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น


“โอเค คุณคงอยากพักผ่อนแล้ว ผมกลับก่อนละกันนะ”

ผมสาวเท้าเร็วๆออกมาจากห้องทันกับที่น้ำตาไหลออกมาพอดี หรือว่าผมควรจะหยุด หรือว่าผมควรจะถอย หรือว่าระหว่างเรามันมาถึงได้แค่นี้จริงๆ



หลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์หมอก็อนุญาตให้พีออกจากโรงพยาบาลได้ พีกลับไปทำงานที่บริษัทแล้วและผมเองก็ทำงานที่วิภารามตามปรกติ ยอมรับว่าตัวเองคงดูน่ารำคาญเพราะผมก็ยังคงคอยมาให้พีเจอหน้าอยู่ทุกวัน


“ผมดูตารางงานแล้ว วันที่ผมจะว่างทั้งวันคือวันอังคารหน้า เดี๋ยวผมไปรับนะ” มือที่เขี่ยอาหารในจานไปมาชะงัก ผมเงยหน้าขึ้นมอง ผมเองที่เป็นคนมาหาเค้าที่บริษัทเพื่อชวนเค้าออกมาทานข้าวด้วยกัน ท่าทีของพียังดูเย็นชาเหมือนเดิมแต่คำพูดเมื่อครู่ทำให้ผมยิ้มออกมาด้วยความดีใจ


“เราจะไปไหนกันเหรอพี”


“ไปหย่าไง รออยู่ไม่ใช่เหรอ” คำตอบของพีทำเอาผมสะอึก ผมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วกลั้นใจถามออกไป


“เพราะอะไร” พีทำเพียงเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมาเลิกคิ้วเป็นคำถาม ผมจึงพูดต่อ


“ทำไมถึงต้องหย่า”


“มันคือสิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่เหรอก้อง” ผมพูดอะไรไม่ออก ภาพเริ่มลางเลือนเพราะถูกน้ำใสๆออกมาบดบัง


“ผมไม่ได้อยากหย่า” ผมตอบด้วยเสียงแหบพร่า เบาจนแทบไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง


พีชะงักไป


“ผมไม่ได้อยากหย่า” ผมพูดซ้ำคำเดิมด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้น


“คุณเข้าใจรึเปล่าว่าผมไม่ได้ต้องการจะหย่า ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไร ตั้งแต่ที่คุณฟื้นขึ้นมาคุณก็แปลกไป แม้แต่พี่นิคเองก็ยัง..”


“ผมไม่ได้อยากฟังเรื่องของคุณกับเค้า” พีพูดแทรกขึ้นมาทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ น้ำเสียงของเค้ากระชากเสียจนผมตกใจ


“ระหว่างผมกับพี่นิคเรา..”


“ผมไม่อยากรู้” พีตอบเสียงห้วน เค้าวางธนบัตรสีเทาไว้ที่โต๊ะและก็ลุกออกไปต่อหน้าผม


อะไรของเค้าเนี่ย!


บ้าชะมัด ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ ลุกออกไปต่อหน้าต่อตาผมแบบนี้ได้ยังไง คิดจะทิ้งผมงั้นเหรอ ผมใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาที่คลออยู่ออกอย่างลวกๆ สูดหายใจเข้าจนสุดปอดเพื่อรวบรวมสติ



คิดว่าผมจะยอมแพ้ง่ายๆงั้นเหรอ ไม่มีวันซะหรอกไอ้พีบ้าเอ๊ย!




-----------------------------------




อย่า!!..อย่าเพิ่งบ่น มันไม่ไ่ด้ดราม่านานนักหรอกค่ะ จะจบแล้ว 55555

ขอให้สนุกกับการอ่านฟิคนะคะ





Create Date : 23 ตุลาคม 2554
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 22:23:49 น.
Counter : 460 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  6  

ปุยหมาม่วง
Location :
ฉะเชิงเทรา  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog