Structure of the skin (1)
สวัสดีครับทุกท่าน ผมหมอกอล์ฟ มือใหม่หัดเล่นบล็อกแก๊ง จึงไม่ค่อยทราบว่าต้องแนะนำตัวอย่างไรดีคือว่าจุดประสงค์ของหมอ คือต้องการให้ประชาชนตระหนักและมีความรู้ความเข้าใจ ในโรคทางผิวหนังต่างๆ ทั้งทางด้าน cosmetic และ disease เพื่อเป็นแนวทางในการวินิจฉัยโรคและรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งอย่างแรกที่ทุกคนควรรู้คือ Basic science of the skin ซึ่งจะทำให้ทุกๆคนเข้าใจถึงตัวโรคต่างๆมากขึ้นครับ จริงๆ เรื่องนี้หมอเคยเห็นคุณปูเป้โพสต์ไว้บ้างแล้ว แต่เนื่องจากหมออยากทำให้เป็นไสตล์ของตัวเองจึงขอโพสต์ซ้ำอีกคงไม่ว่ากันนะครับ(อิอิ) ใครที่มีความรู้ตรงจุดนี้แล้วจะข้ามไปเลยก็ได้นะครับ ปล. เนื้อหาในนี้สำหรับแพทย์ผิวหนัง หรือผุ้เชี่ยวชาญบางท่านอาจเห็นว่ายังตกหล่นไม่ครบถ้วน แต่จุดประสงค์ของหมอจริงๆแล้วคือต้องการให้ความรู้เบื้องต้นกับประชาชนทั่วไปครับ จึงขออภัยแก้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายมา ณ ที่นี้ด้วยครับ เนื่องจากว่าข้อความเยอะเกินไปจึงขอแบ่งเป็น 2 ตอนนะครับ
โครงสร้างของผิวหนัง
ผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีพื้นที่กว้างที่สุดในร่างกายมนุษย์ ผู้ชายจะมีพื้นที่ 1.9 ตารางเมตร หรือ 20 ตร .ฟุต ส่วนผู้หญิงมีพืนที่ 1.6 ตารางเมตร หรือ 17 ตารางฟุต
ผิวหนังแต่ละแห่งมีความหนาบางไม่เท่ากัน เช่นที่ Eyelid จะมีความหนา 0.5 มม . เป็นหนังกำพร้า 0.04 มม . ซึ่งบางที่สุด ในขณะที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้ามีความหนามากที่สุดคือ หนาถึง 4 มม . เป็นหนังกำพราเสีย 0.6 มม . โดยเฉลี่ยแล้ว ผิวหนังจะหนาประมาณ 1.2 มม . ส่วนของหนังแท้จะหนามากกว่าหนังกำพร้า 10 เท่า ผิวหนังจะมีน้ำหนักประมาณ 16 % ของน้ำหนักร่างกาย เช่น ถ้าคนหนัก 50 กก. ก็จะเป็นน้ำหนักของผิวหนังถึง 8 กก. ผิวหนังแบ่งเป็นสามชั้นด้วยกันได้แก่
EPIDERMIS DERMIS SUBCUTANEOUS FAT EPIDERMIS
หนังกำพร้าเป็น STRATIFIED SQUAMOUS EPITHELIUM ที่มี METABOLIC RATE สูงมากประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด ได้แก่ KERATINOCYTE , MELANOCYTE , LANGERHAN,S CELL และ MERKEL CELL
KERATINOCYTE ; เกือบทั้งหมดของหนังกำพร้าประกบด้วยเซลล์ชนิดนี้ หนังกำพร้ายังแบ่งอกเป็นสองส่วนคือ
ชั้นขี้ไคล หรือชั้นที่ไม่มีชีวิต ( CORNIFIED LAYERS , STRATUM CORNEUM) เป็นเซลล์แบนๆรูปกระสวย ซึ่งซ้อนขนานกันเป็นชั้นๆ เป็นเซลล์ที่ตายแล้วประกอบด้วยสารโปรตีนที่เรียกว่า KERATIN ซึ่งมีความแข็งแรงและทนต่อสารเคมี ไม่ละลายน้ำ จำนวนชั้นของ STRATUM CORNEUM มีตั้งแต่ 15-40 ชั้น ระหว่างเซลล์จะยึดเกาะกันด้วย WAXLIKE SUBSTANCE เรียก SKIN FAT ซึ่งมีส่วนประกบของ FATTY ACID , AMINO ACID , PENTOSE และอื่นๆ ซึ่งสามารถดูดความชื้นช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและนุ่มนวล ปกติ STRATUM CORNEUM จะลอกตัวออกมาเป็นขี้ไคลตลอดเวลา โดยเซลล์ของหนังกำพร้าชั้นล่างจะเคลื่นตัวเข้ามาแทนที่ ระยะเวลาที่เซลล์ชั้นล่างสุดจะเคลื่อนตัวขึ้นมาและหลุดลอกออกเป็นขี้ไคลนั้นกินเวลา 28 – 45 วัน แต่ในโรคบางโรคอย่างเช่น PSORIASIS ขบวนการน้จะใช้เวลาเพียง 24 – 72 ชั่วโมงเท่านั้น จึงเห็นลักษณะขงโรคว่ามีสะเก็ดหนาหลุดลอกออกมาตลอดเวลา ชั้นเซลล์ที่มีชีวิต ( LIVING CELL) ประกบด้วยชั้นต่างๆดังนี้ (จากบนลงล่างสุด) - STRATUM GRANULOSUM หรือ GRANULAR LAYER เป็นเซลล์กลมๆหรือหลายเหลี่ยมเรียงเป็นชั้นที่มีส่วนของ SPINE LIKE PROCESS ยึดเกาะกัน
- STRATUM SPINULOSUM หรือ MALPIGHIANLAYER หรือ PRICKLE CELL LAYER เป็นเซลล์กลมๆหรือหลายเหลี่ยมเรียงเป็นชั้นที่มีส่วนของ SPINE LIKE PROCESS ยึดเกาะกัน
- STRATUM BASALE หรือ BASAL CELL LAYER หรือ COLUMNAR CUBOIDAL CELL นิวเคลียสรูปไข่ขนาดใหญ่เรียงตัวเป็นแถวเดียวเป็นชั้นที่มีความสำคัญมากเพราะมีการแบ่งตัวเป็นเซลล์ใหม่อยู่ตลอดเวลาเซลล์ใหม่นี้ก็จะเคลื่อนที่ไปทดแทนเซลล์ที่ตายแล้วและหลุดลอกออกไป
ขบวนการเปลี่ยนแปลงจากเซลล์ชั้น BASAL CELL กลายเป็น CORNIFIED CELL หรือชั้น STRATUM CORNEUM นี้เรียกว่า ‘ KERATINIZATION ‘
เนื่องจากเซลล์ในชั้น CORNIFIED LAYER เป็นตัวที่อยู่ผิวนอกสุดของร่างกายจึงเป็นตัวกั้นระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นชั้นนี้จึงมีความสำคัญดังนี้คือ
- MAJOR BARRIER มีคุณสมบัติต้านทานต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ทั้ง CORROSIVE , PHYSICAL , FRICTION , ELECTRICAL IMPEDANCE , RESTORE PASSAGE ของ ELECTRICAL CURRENT และป้องกันการเจริญของ MICROORGANISM
- RATE LIMITING MEMBRANE ป้องกันการซึมผ่านของน้ำและ MOLECULES อื่นๆระหว่างร่างกายและสิ่งแวดล้อมแต่ไม่ถึง 100% เพราะจะเห็นได้ว่าบางอย่างสามารถซึมผ่านชั้นนี้ได้จึงเกิดภาวะ ALLERGIC CONTACT DERMATITIS แต่คุณสมบัตินี้ก็ช่วยป้องกันการเสียน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย แต่ถ้ามี INJURY ต่อ CELL ชั้นนี้อย่างมาก ก็อาจเกิดภาวะ DEHYYDRATION และ ELECTROLYTE IMBALANCEได้
MELANOCYTE
เป็น DENDRITE CELL ที่สร้าง MELANIN PIGMENTและกระจาย MELANIN นี้ไปให้แก่ KERATINOCYTES , CELL พวกนี้มาจาก NEURAL CREST แล้วจึง MIGRATEมาที่ EPIDERMIS , MUCOUS MEMBRANE , DERMIS , EPITHELIUM , HAIR FOLLICLES , RETINA . ที่ผิวหนังจะพบ MELANOCYTE บริเวณ DERMO-EPIDERMAL JUNCTION โดยมีจำนวน MELANOCYTE : BASAL CELL 1;10 โดยทั่วไปไม่ว่าคนเชื้อชาติใด ผิวขาวหรือผิวดำ จะมีจำนวน MELANOCYTEเท่าๆกัน แต่แตกต่างกันที่ขนาด จำนวน และการกระจายตัวของ MELANIN GRANULES , หน้าที่สำคัญของ MELANIN คือ ป้องกันผิวหนังจากรังสี ULTRAVIOLET ดังนั้นจะพบว่าคนผิวขาว หรือพวก ALBINISM จะมี AGED SKIN AND SKIN CANCER มากกว่าคนในผิวคล้ำที่ได้รับการปกป้องจากแสงแดดด้วย MELANIN PIGMENT
LANGERHAN’S CELL
เป็น DENDRITIC CELL เช่นเดียวกับ MELANOCYTE แต่ถ้าตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบ ORGANELLE ที่มีรูปร่างคล้ายไม้เทนนิส ( TENNIS-RACKET) มีจำนวน 4% ของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า เข้าใจกันว่าหน้าที่เป็นแบบ MONOCYTIC MACROPHAGE OR PHAGOSOME เก็บกินหรือย่อยสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วในชั้น EPIDERMIS และยังเป็นเซลล์จับ ANTIGEN หรือสิ่งแปลกปลอมรวมทั้งเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งไปส่งยัง T-LYMPHOCYTE ซึ่งมีหน้าที่กำจัดหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมนี้โดยตรง ดังนั้นเซลล์ชนิดนี้จึงมีบทบาทสำคัญในเรื่อง ALLERGIC CONTACT DERMATITIS
MERKEL’S CELL
เป็น DENDRITIC CELL อยู่ตรง BASAL CELL LAYER มีหน้าที่เป็น TOUCH RECEPTOR ชนิดหนึ่ง ซึ่งทำงานสัมพันธ์กับ FINE UNMYELINATED NERVE เพื่อช่วยความผิดปกติของ KERATINOCYTE
DERMIS
จะประกอบด้วยเนื้อที่เป็นเส้นใยและมีความยืดหยุ่น ( FIBRO ELASTIC TISSUE) เป็นส่วนใหญ่แทรกอยู่ด้วยรูขุมน ,ต่อมไขมัน ,ต่อมเหงื่อ ,เส้นเลือด ,ท่อน้ำเหลือง ,กล้ามเนื้อและเส้นประสาท แล้วแต่ตำแหน่ง หนังแท้แบ่งออกเป็น 2โซนด้วยกันคือ
PAPILLARY DERMIS หรือหนังแท้ชั้นบน เป็นชั้นที่อยู่ติดกับหนังกำพร้าประกอบด้วยเส้นใยคอลลาเจนบางๆละเอียดเรียงเป็นแนวตรงตั้งฉาก มีเนื้อเยื่ออื่นๆแทรกอยู่น้อย และมีกลุ่มของเส้นเลือดฝอย ( SUPERFICIAL CAPILLARIES AND VENOUS PLEXUSES) อยู่ในชั้นนี้ นอกจากนี้เป็นที่อยู่ของปลายประสาท ( NERVE ENDING) ชนิดต่าง RETICULAR DERMIS เส้นใยคอลลาเจนในชั้นนี้ จะมีความแข็งแรงมากกว่า การเรียงตัวต่างกับคอลลาเจนใน PAPILLARY DERMIS คือ เรียงขนาน มีกลุ่มของเส้นใยที่ให้ความยืดหยุ่น ( ELASTIC FIBER) แทรก ล้อมรอบปะปนมี CELL FIBROBLAST เส้นเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( GROUND SUBSTANCE) มากกว่าและมีกล้ามเนื้อเล็กๆ แทรกปะปนอยู่ด้วย โดยเฉพาะผิวหนังบริเวใบหน้า ผิวหนังแต่ละแห่งก็จะมีความหนาของหนังแท้ต่างกัน เช่น หนังแท้ที่บางที่สุดของร่างกาย ก็คือ แถวหนังตา ( EYELIDS) และหนังแท้ที่หนาที่สุดของร่างกายก็คือหลัง ไม่ใช่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เนื้อเยื่อของหนังแท้ชั้น PAPILLARY จะหนาขึ้นมากกว่าปกติ ถ้ามีการเสียดสีขัดถูนานๆ ( LONG STANDING RUBBING) เช่นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังบางชนิดที่เรียกว่า LSC หรือ LICHEN SIMPLEX CHRONICUS และ RETICULAR DERMIS จะหนาอย่างทั่วถึงในโรค SCLERODERMA
หนังแท้จะบางลงได้ในโรคบางโรค เช่น ATROPHIC SCAR หรือแผลเป็นชนิดหลุม ซึ่งจะทำให้หนังกำพร้าพลอยทรุดตามลงมาเกิดเป็นรอยขึ้น
เซลล์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ของหนังแท้คือไฟโบรบลาสต์(FIBROBLAST) สร้างเนื้อเยื่อที่เป็นเส้นใย ( FIBRILLAR COMPONENT) และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( GROUND SUBSTANCE) FIBROBLASTมีลักษณะเป็นเซลล์แบนๆ เรียวๆ รูปร่างเหมือนกระสวย นอกจากสร้างแล้ว เชื่อว่ายังเป็นตัวทำลายหรือย่อยเส้นใยต่างๆ ที่เสื่อมแล้วด้วย
อีลาสติน ( ELASTIN) เป้นโปรตีนที่สร้างจากไฟโบรบลาสต์ และเรียงตัวเป็นเส้นใยเล็กๆ มักจะอยู่ติดกับคอลลาเจนเสมอ คอลลาเจนมีหน้าที่ยึดเหนี่ยวให้ความแข็งแรงกับผิวหนัง ในขณะที่อีลาสตินให้ความยืดหยุ่นทำให้ผิวกลับสู่ที่เดิมหลังจากดึงขึ้นมา
ถ้าคอลลาเจนหรืออีลาสตินเสื่อมการทำงานหรือเสียไป ก็จะทำให้ความเต่งตึงและความยืดหยุ่นของผิวหนังเสียไปด้วย เช่นในโรค CUTIS LAXA โรคที่ ELASTINเสีย จึงทำให้ผิวยืดได้มากกว่าปกติ เช่นสามารถดึงหนังให้หย่อนยืดยาวได้มากว่าคนธรรมดา งอนิ้วกลับมาติดหลังมือได้ ดึงมุมปากให้ยืดกว่างไปถึงใบหู เป็นต้น อีกกรณีหนึ่งที่ทำให้อีลาสตินเสื่อมคือการทำลายจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต ซึ่งภาวะนี้จะเกิดตามวัย และเวลาที่ได้รับแสงแดด ไม่เพียงแต่อีลาสตินเท่านั้นคอลลาเจนก็พลอยถูกทำลายไปด้วยทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ( WRINKLES)
คอลลาเจนและอีลาสติน อาจจะถูกทำลายได้อีกประการหนึ่งคือ ภาวะที่เรียกว่า ATROPHY จึงอาจจะเกิดจากการอักเสบหรือจากฤทิ์ยา STEROID โดยเฉพาะยาฉีด
นอกจากนี้ไฟโบรบลาสต์ ยังสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆ เช่น ACID MUCOPOLYSACCHARIDE , HYALURONIC ACID , CHONDROITIN SULFATE AND DERMATAN SULFATE ซึ่งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเหล่านี้มีความสามารถในการรวมตัวกับน้ำได้ดี จึงเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วย
ในภาวะบางอย่างทำให้มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมากผิดปกติ เช่น ในโรค HYPOTHYROIDมี ACID MUCOPOLYSACCHARIDE มาก เกิดการบวมที่กดไม่บุ๋ม ( MYXEDEMA) ขึ้นที่หน้าแข้ง
นอกจาก FIBROBLAST แล้ว เซลล์ที่มีความสำคัญอีกอย่างในชั้นหนังแท้ ก็ได้แก่ HISTIOCYTE ซึ่งช่วยทำหน้าที่ขจัดเซลล์ที่ตายและสารที่ร่างกายไม่ได้ใช้ เช่น HEMOBIDERINจากเม็ดเลือดแดงที่ตายแล้ว เม็ดสีที่ตกค้าง , ไขมันและเซลล์ DEBRIS
เส้นเลือดฝอยของหนังแท้
กลุ่มเส้นเลือดฝอย SUPERFICIAL CAPILLARIES AND VENOUS PLEXUS จะขึ้นไปเลี้ยงผิวหนังแค่ชั้น PAPILLARY PLEXUS ไม่ขึ้นไปถึง EPIDERMIS
คำแปล EPIDERMISว่าหนังกำพร้านั้น จึงถูกต้องและเหมาสมแล้ว เพราะไม่มีเส้นเลือดฝอยไปเลี้ยงดูนั่นเอง แต่อาศัยการซึมผ่านของสารอาหารและออกซิเจนขึ้นไปจากหนังแท้ส่วนบน กลุ่มเส้นเลือดของหนังแท้จะมี 2 กลุ่มด้วยกันคือ
1 . SUPERFICIAL CAPILLARIES PLEXUS อยู่ตื้นแถว PAPILLARY DERMIS
2 . DEEP PLEXUS อยู่ใน RETICULAR DERMIS เกือบติดกับชั้นไขมัน
หน้าที่ของเส้นเลือดฝอยในชั้นหนังแท้
1. THERMOREGULATION เป็นหน้าที่สำคัญที่สุด ควบคุมโดย HYPOTHALAMUS คือ ถ้าเมื่ออากาศร้อน ความรู้สึกจะผ่านมาทางปลายประสาทสู่สมองและต่อม HYPOTHALAMUS จะกระตุ้นผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เส้นเลือดขยายตัวมี BLOOD FLOW สูงขึ้น ช่วยระบายความร้อน แต่ถ้าอากาศหนาวก็จะตรงข้ามคือ เสส้นเลือดฝอยจะหดตัว
2. SUPPLY NUTRIENTS TO SKIN
3. มีบทบาทในเรื่องการอักเสบ ซึ่งจะมีการขยายตัวของเส้นเลือดมาเลี้ยงบริเวณที่อักเสบมากขึ้น
จากความรู้ BASIC SCIENCE ของ DERMIS จะสามารถตอบคำถามภาวะที่พบบ่อยได้ เช่น
1. แผลเป็นชนิดหลุม เกิดจากการอักเสบทำให้คอลลาเจนถุกทำลายและฝ่อบางลง จนทำให้ผิวชั้นบนหรอหนังกำพร้าทรุดหรือยุบตามลงมากลายเป็นหลุมแผลเป็น
2. การฉีดยาหรือทา STEROID จะหยุดยั้งการเจริญของ COLLAGEN และหยุดยั้งการทำงานของ FIBROBLAST ก็ทำให้ผิวหนังฝ่อ ATROPHY ได้
3. บริเวณที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงผิวหนังมากกว่าเพื่อน ได้แก่ใบหน้าและมือ จะเห็นได้ว่า เวลาเย็บแผลที่บริเวณนี้จะตัดไหมเร็วกว่าบริเวณอื่น ( 3-4 วันแผลก็ติดสนิทแล้ว)เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องนวดหน้า เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดเลย เพราะบริเวณใบหน้ามีการไหลเวียนดีอยู่แล้ว
4. หน้าแดงอาจจะเกิดจากความร้อน ซึ่งส่งผ่านปลายประสาทสู่ HYPOTHALAMUSและกระตุ้นผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ ที่มาเลี้ยงเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดขยายตัว เพราะฉะนั้นคนไข้ที่ใช้ยาที่มีส่วนผสมของวิตามิน เอ แอซิด ซึ่งจะกระตุ้นให้มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงหนังแท้มากกว่าปกติ ควรจะระวังการตากแดดหรือได้รับความร้อน เช่น จากเตาไฟ รวมทั้งหลีกเลี่ยงสารที่ช่วยกระตุ้นการขยายเส้นเลือดอื่นๆ เช่นอาหารเผ้ดร้อน เครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ เพราะจะช่วยกันส่งเสริมให้เส้นเลือดขยายตัวและหน้าแดงมากขึ้น
5. คอลลาเจนและอีลาสติน จะถูกทำลายถ้าได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเลตเกิดภาวะผิวแก่ก่อนวัย ซึ่งมีลักษณะเป็น COAESW WRINKLE และพบว่า ELASTIN จะเปลี่ยนแปลงหนาขึ้น …….และสูญเสียคุณสมบัติความยืดหยุ่นเรียกว่า SOLAR ELASTOSIS ภาวะนี้ถ้าเป็นระยะแรกอาจช่วยให้ดีขึ้นได้ โดยใช้ยากันแดดร่วมกับไวตามินเอ แอวิด ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของไฟโบรบลาสต์ให้สร้างอีลาสตินใหม่ๆขึ้นมาแทนที่
SUBCUTANEOUS FAT
ชั้นนี้อยู่ใต้ชั้น DERMIS ประกอบด้วย LIPOCYTEซึ่งมี TRIGLYCERIDEเป็นส่วนมาก โดยมี COLLAGEN แบ่งกลุ่มของ LIPOCYTEเป็น LOBULE ภาวะ LIPOMA ที่พบบ่อยๆก็คือ BENIGN TUMOR ของ NORMAL-APPEARING FAT CELL ที่ไม่มี STRAND ของ COLLAGEN ที่เรียกว่า TRABECULAE หรือ SEPTA มาแบ่งเป็น LOBULEนั่นเอง ในชั้นนี้ยังอาจพบ COILED SECRETORY TUBULES ของ ECRINE GLAND และ APOCRINE GLAND รวมทั้ง HAIR BULBS ได้
SUBCATANEOUS FAT ในแต่ละส่วนของร่างกาย ก็มีความหนาไม่เท่ากัน เช่น หนามากในบริเวณเอว แต่บางมากจนเกือบไม่มีเลยที่ EYELID , PENIS และ SCROTUM
หน้าที่ของชั้นนี้ได้แก่ HEAT INSULATOR , SHOCK ABSORBER , NUTRITIONAL RESERVIOR ซึ่งจะนำมาใช้ในขณะอดอาหาร และยังช่วยให้ผิวหนังมีการเคลื่อนไหวได้ดี เหนือ UNDERLYING STRUCTURE อีกด้วย
Free TextEditor
Create Date : 01 กรกฎาคม 2552
Last Update : 1 กรกฎาคม 2552 16:24:48 น.
Counter : 4050 Pageviews.