มกราคม 2565

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
ทริปขี้เกียจ...เรียบๆเบาๆที่...หนองเต่าซิตตี้
สถานที่ท่องเที่ยว : หมู่บ้านปกาเกอะญอ บ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่, เชียงใหม่ Thailand
พิกัด GPS : 18° 35' 20.56" N 98° 30' 3.19" E

ทริปขี้เกียจ...เรียบๆเบาๆที่...หนองเต่าซิตตี้

@ปลายเดือนกันยายน พ.ศ.2561 ณ หมู่บ้านปกาเกอะญอ บ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่

     
1 สัปดาห์ที่หนองเต่าซิตตี้...จากกรุงเทพสู่เชียงใหม่ ใช้เวลากว่า15ชั่วโมง ไม่มีแพลนอะไรในหัวเลย แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีซะที่เดียวคอนเซ็ปท์ที่ได้รับมาของทริปคือ”ขี้เกียจ” เดี๋ยวเล่าไปเรื่อยๆจะได้รู้ว่าอะไรคือขี้เกียจ เราลุ้นมากเพราะนี่คือการมาเชียงใหม่ครั้งแรกและเราจะได้ใช้ชีวิตจริงๆ กับชาวบ้านในรูปแบบโฮมสเตย์ เรามาถึงหมู่บ้านปกาเกอะญอก็มืดค่ำ ไม่รู้เลยว่าทางที่ผ่านมามีชัยภูมิเป็นอย่างไร นั่งรถตู้มาก็เวียนหัวมากรู้สึกเพียงว่าผ่านมาหลายร้อยโค้ง รถก็โคลงไปตามโค้งของถนน อาการก็หลับๆตื่นๆ ในรถเงียบมากต่างจากตอนกลางวัน ที่มีเสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ว่าเคยไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เดินทางอย่างไร ประสบการณ์ที่พบเจอเป็นอย่างไร และเรื่องสำคัญที่พูดกันเสียส่วนใหญ่ก็คือมีอาหารอะไรอร่อยบ้าง เราหนีไม่พ้นจริงๆกับเรื่องของกินเพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทุกเรื่องราวที่ได้รับฟังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ได้รู้จักตัวตนของเพื่อนร่วมทางมากขึ้นอีกด้วย

      

     ค่ำคืนที่มืดมิดและงวยงง รถตู้จอดที่ลานหญ้าที่ไหนสักแห่ง สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเรามองดูรอบๆซึ่งมีแสงไฟอันริบหรี่เปิดอยู่ และส่องให้พอรู้ว่ามีอะไรบ้าง มองทางขวามีบ้านไม้หลังใหญ่ยกพื้นสูง มองทางซ้ายมีบ้านเล็กๆและโต๊ะนั่งหน้าบ้าน ดูแล้วสถานการณ์ปลอดภัยด้วยความที่เรานั่งติดประตูจึงลงจากรถก่อนใครเพื่อน เอ้า!เหยียบโดนอะไรเปียกๆไม่ใช่ฝนนี่นาแต่นี่เป็นหมอก ช่วงดึกหมอกลงหนาจัดยอดหญ้านี้คือเปียกชุ่มมาก อากาศก็หนาวเย็นยังดีที่เราใส่เสื้อกันหนาวมา มีเจ้าถิ่นมารอต้อนรับเราด้วยถึงแม้เราจะมาถึงช้ากว่าเวลานัดนิดหน่อย ทุกคนลงจากรถและหยิบสัมภาระของตัวเองแล้วเดินลัดเลาะตามเจ้าบ้านไปทางด้านหลังบ้าน ซึ่งผ่านต้นไม้สูงพอๆกับอกบ้างและสูงขึ้นเรื่อยๆจนท่วมหัวเดินมาประมาณ300เมตรได้ ก็มาถึงจุดนัดพบ...ประชุม นัดแนะ และแยกย้ายเข้าบ้านโฮสต์กันเล้ย

    หลังจากที่ประชุมเสร็จก็จะมีเจ้าบ้านมารับเรา คือและเพื่อนๆถูกจัดให้อยู่บ้านหลังละ2คน และบ้านที่เราได้พักจะอยู่ช่วนกลางๆของหมู่บ้าน เดินออกจากจุดรวมพลมาสัก800เมตรได้ ตามทางเดินที่สลัวๆมาถึงบ้านหลังใหญ่ ในบ้านไม้2ชั้น เรา2คนกับห้องไม้ที่มิดชิดและตกแต่งแบบบ้านๆ เดินขึ้นบันไดมาบนชั้นที่2ของบ้าน ทางซ้ายมือก็จะมีห้องนอนขนาดพอดี เปิดประตูเข้าไปในห้องมีที่นอนแบบปูกับพื้นและมุ้ง4หูกางไว้อย่างเรียบร้อย ตรงปลายที่นอนมีชั้นวางผ้าห่มอีกหลายผืน และหมอนอีกหลายใบเลย โฮสต์บอกพวกเราว่าฝันดีนะ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกันตอนทานมื้อเช้า เรารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวจึงลงไปชั้นล่างเข้าห้องน้ำล้างหน้านิดหน่อย เพราะอาบน้ำไม่ได้เลยมันหนาวมากๆๆมากแทบตัวแข็งเลยทีเดียว รีบสิรออะไร...เราและเพื่อนก็ว่านอนสอนง่าย ผลจากการที่เรานั่งรถแบบมาราทอนยาวๆ จึงทำให้เรารีบมุดตัวเข้าใต้ผ้าห่มและนอนหลับอย่างสบายใจ140

      เสียงครกกับสากประสานกันดังท๊อบๆๆ ตามมาด้วยกะทะกับตะหลิวกระทบกันพร้อมกับเสียงซู่ๆๆ กลิ่นหอมๆของกระเทียมเริ่มลอยเข้ามา และกลิ่นเครื่องปรุงต่างๆก็ตามมาเรื่อยๆไม่ไหวแล้ว... สวัสดีตอนเช้าค่ะ เสียงทักทายของโฮสต์ดังแว่วมา อากาศดีมากเมื่อคืนนอนหลับสบายด้วย แทบไม่อยากลุกขึ้นมาจากที่นอนเลยเพราะอากาศเย็นมากเรารีบตอบทันที เราจึงเดินเข้าไปในครัว ว้าว!มาก...เป็นครัวที่น่ารัก มีเตาไฟแบบโบราณ มีชุดโต๊ะเตี้ยๆและตั่งนั่งรอบโต๊ะอยู่กลางครัว สุดยอดเราชอบที่นี่ แล้วไปล้างหน้าล้างตาเตรียตัวมาทานข้าวเช้ากับครอบครัวของโฮสต์

    อาหารหลายอย่างทั้งข้าวสวยร้อนๆ ผัดผัก ไข่เจียว ต้มจืดผักรวม น้ำพริกปู ผักสดผักต้ม กล้วยน้ำว้า ลูกพลับ บ้านหลังใหญ่นี้เป็นบ้าน2หลังเชื่อมกัน เป็นเสียงของคุณพ่อโฮสต์ที่แนะนำตัวกับพวกเรา ในระหว่างที่เรานั่งมองอาหารอยู่ มีผู้อาศัยอยู่6คนมี คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว พี่เขยและหลานอีก2คน ครอบครัวทำไร่ทำนา สำหรับอาหารมื้อนี้ก็เป็นการนำพืชผักในไร่ และแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้านมาบ้างเพื่อประกอบอาหารในแต่ละวัน เพราะเราไม่สามารถปลูกผักทุกชนิดได้หมด เดี๋ยวถ้ามีเวลาเยอะๆจะพาไปดไร่ด้วยนะ เฮอะๆๆๆเสียงหัวเราะของคุณพ่อกับพวกเราทุกคนก็ปิดฉากการสนทนาลง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามากก็ลงมือกันเลยเดี๋ยวอาหารเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย เราก็ทำความรู้จักแลกเปลี่ยนกันในระหว่างมื้อเช้า

   หลังจากทานข้าวเสร็จพี่สาวโฮสต์ก็แนะนำที่ต่างๆในบ้าน การอยู่กินก็แบบบ้านๆทำตัวสบายๆและที่เซอร์ไพส์มากกว่าคือครอบครัวนี้นับถือศาสนาคริสต์ เป็นอีกสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ด้วยจ้า

    ที่นี่หนองเต่า สายๆวันนี้เราจะต้องมาที่จุดรวมพลเพื่อที่จะมาฟังโปรแกรมกิจกรรม เราจึงมีโอกาสได้เดินดูหมู่บ้าน(บางส่วน) วิถีชุมชนการใช้ชีวิตของชาวบ้านไปด้วย เราเดินผ่านบ้านหลายหลังส่วนใหญ่จะเป็นบ้านที่สร้างด้วยไม้ บ้านยกพื้นสูง บ้านแบบโบราณแต่น่าอยู่ถนนหนทางสะอาดสะอ้านดี หน้าบ้านแต่ละหลังก็มักจะมีต้นไม้ดอกไม้ประดับเพื่อพิ่มความสดใสให้บ้าน ร้านค้าขายของชำก็มีขนมนมเนย ของใช้ทั่วไปเหมือนบ้านเรา แต่สิ่งที่ต่างจากบ้านเราคือที่หนองเต่าไม่มีรถจอดเต็มถนน รถราค่อนข้างน้อยถือว่าเป็นชุมชนที่สงบเหมาะกับการมาพักผ่อน ที่มีฟิลลิ่งแบบเหมือนพักที่บ้านเงียบๆในฤดูหนาวได้เลย 

   เรามารอที่จุดนัดพบก็มีเจ้าบ้านมาคุยด้วยแลกเปลี่ยนแนะนำตัวกันไปพอประมาณ และเพื่อนๆก็ทยอยมาเรื่อยๆ เราจึงพูดคุยกับเพื่อนว่าได้พักที่ไหน บ้งคนก็งงอยู่กว่าจะหาทางมาจุดนัดพบได้ก็หลงทางหลายรอบ เพราะตอนมาถึงมันดึกมากมองทางไม่ค่อยออก เราผู้ชอบจดจำเส้นทางจึงแนะนำทางแก่เพื่อนๆว่าต้องสังเกตร้านค้า สังเกตถนนที่มีต้นไม้แบบนั้นบ้างแบบนี้บ้าง บางคนพักอยู่ติดกับจุดรวมพลเลย บางคนพักที่สุดปลายหมู่บ้านติดกับทุ่งนา บางคนพักห้องเดี่ยวที่ใหญ่มากๆนอนไม่หลับ บางคนบอกว่ามีผลอะโวคาโด้หล่นใส่หลังคาบ้านนอนสะดุ้งทั้งคืน เพื่อนบางคนบอกว่าหนาวมากผ้าห่มไม่พอไม่กล้าไปขอเพิ่มจากโฮสต์ จึงเอาเสื้อผ้ามาใส่ซ้อนกันตั้งหลายตัว ทำให้เราจินตนาการว่าบ้านเพื่อนน่าไปเที่ยวเล่นมากคงสนุกดีแน่ๆ ทานอะไรกันมาบ้างมื้อเช้านี้ มีเมนูแปลกใหม่มากมาย พูดคุยกันเหมือนเปิดเทอมใหม่ แล้วเล่าเรื่องที่พบเจอมาตอนปิดเทอมก่อนลย และจุดสังเกตในตอนนี้คือเพื่อนบางคนแปลงร่างเป็นชาวปกาเกอะญอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือสะพายย่ามมาอวดกันด้วย คุยกันสนุนสนานจนทุกคนมารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตา แนะนำตัวกับเพื่อนใหม่และผู้ร่วมทาง นัดแนะกันเพื่อจะ...เดินป่า...ในวันพรุ่งนี้

    กลับมานั่งเล่นที่ร้านกาแฟ Lazy Man Coffeeกับเพื่อนอีกที (เราไม่ค่อยอินกับกาแฟเท่าไหร่ เราขอข้ามจุดนี้นะคะเพราะไม่มีความรู้ด้านนี้จริงๆ) เกิดข้อสงสัยว่าเรานั่งรถมาจากทางไหนของหมู่บ้าน จึงสอบถามพี่ที่ร้านกาแฟพูดคุยกันต่ออีกสักพัก เอาของที่ซื้อมาแชร์และแบ่งกันดูเผื่อใครอยากได้อะไรก็แนะนำร้านกันใหญ่เลย ฝากของที่ร้านกาแฟแล้วลองออกไปสำรวจดูทางเข้าหมู่บ้าน เราเดินออกมาห่างจากหมู่บ้านค่อนข้างไกลเลยทีเดียว แดดก็ไม่มากร่างกายก็อุ่นสบายดี ทางขึ้นก็เป็นเนินสูงขึ้นเรื่อยๆ เรามองกลับไปที่หมู่บ้านเหมือนเป็นหุบลงไปจึงได้รู้ว่าที่ หมู่บ้านหนองเต่าตั้งอยู่กลางหุบเขานี่เอง ทางเข้าก็มีต้นไม้ริมถนนเขียวขจี ถึงว่าอากาศหนาวมากจนถึงบ่ายเลย โชคดีที่วันนี้ไม่มีฝนเราจึงทัวร์หนองเต่าได้เต็มที่เลย

    บ่ายอ่อนๆอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาหน่อย ทุกคนทราบโปรแกรมแล้ววันนี้ก็กลับบ้านไปพักผ่อนกันได้พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่ แต่สำหรับเราทุกอย่างพร้อมเริ่มเสมอ  สืบเนื่องมาจากตอนสายๆที่เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อน จึงทำให้อยากรู้จักหมู่บ้านหนองเต่ามากขึ้นจึงชวนเพื่อนๆเดินดูหมู่บ้าน สำรวจชุมชนเพิ่มอีกจึงเห็นโรงเรียน วัด รพ.สต. อีกฝั่งของหมู่บ้านยังมีคริสตจักร สุดทางหมูบ้านเราจะมองเห็นทุ่งนากว้างๆ มองไกลออกไปอีกจะเห็นว่าเป็นภูเขาล้อมรอบ มีร้านค้าอีกหลายร้านจึงได้แวะไปใช้บริการ เดินไปเจอบ้านโฮสต์ที่เพื่อนพักอาศัยก็แวะคุยไปเรื่อยๆ ดูสินค้าชุมชนจากหลายๆบ้าน การแต่งกายก็เป็นเอกลักษณ์แบบชาวปกาเกอะญอ ขากลับจึงมีย่ามสะพาย ขนมหลากหลายชนิด และเส้นด้ายสำหรับปักผ้าหลากหลายสีสันติดมือมาอีกด้วย ขนาดเดินยังไม่ทั่วหมู่บ้านยังเต็มมือเลย ถ้าเดินรอบหมู่บ้านคนซื้อกระเป๋าเพิ่มอีกใบแน่ คนในชุมชนน่ารักมากๆ บ้านหนองเต่าจัดเป็นหมู่บ้านโฮมสเตย์ การเป็นอยู่และนักท่องเที่ยวจึงราบรื่นขึ้นมาก

     

      พักผ่อน... จากที่เราไปตะลอนทัวร์หมู่บ้านหนองเต่าจนเหนื่อยแล้ว เราจึงกลับมาที่บ้านช่วงบ่ายแก่ๆแบบนี้ที่บ้านเงียบมากๆ พ่อ แม่ และพี่เขยไปทำไร่ หลานๆก็ไปโรงเรียน ส่วนพี่สาวอยู่บ้านคอยำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำพวกเรา เราจึงเดินไปพูดคุยในห้องเล็กๆติดประตูหน้าบ้าน ห้องนี้เป็นห้องทำงานของพี่สาวโฮสต์ มีจักรเย็บผ้าเล็กๆ2ตัว มีเครื่องปั่นด้าย มีเครื่องทอผ้าแบบทอมือ 1 เครื่อง มีอุปกรณ์การเย็บผ้าจัดวางในตะกร้าเรียบร้อยอีกหลายใบ พี่สาวกำลังปักผ้าอยู่พอดีด้วยความที่เรากำลังอินเรื่องผ้าอยู่ จึงคุยกันถูกคอพี่สาวโฮสต์ปักผ้าเก่งมากๆ ชาวบ้านมักจะนำผ้ามาให้พี่สาวปักให้อยู่เสมอ และนี่ก็เป็นการหารายได้เสริมเข้าสู่ครอบครัว เราจึงรีบฝากตัวเป็นศิษย์ทันทีเลยหลังจากนี้เราก็บเพื่อนก็นั่งขลุกอยู่กับผ้าจนถึงมื้อเย็นเลยทีเดียว

     มื้อเย็น... เป็นอีกครังที่เราได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับต้อนรับพวกเราพ่อโฮสต์บอกว่ามีต้มไก่ดำ ซึ่งเป็นของหายากทานแล้วดีต่อสุขภาพ และมีอาหารพื้นถิ่นที่เรียกว่า “ข้าวเบ๊อะ”มีลักษณะเหมือนโจ๊ก ที่มีผักและหมูหรืออื่นๆอีกมากมาย อาหารถ้วยนี้มีที่มาที่น่าประทับใจมากๆ เพราะเป็นอาหารที่ประกอบขึ้นมาจากอาหารและข้าว ที่เราทานเหลือจากทานในตอนเช้าและตอนกลางวัน จึงนำมาต้มรวมกันและปรุงรสตามที่ชื่นชอบได้เลย พ่อโฮสต์บอกว่าลองชิมดูถ้าอร่อยจะทำให้ทานอีก ถ้าไม่อร่อยก็อย่ากินข้าวเหลือเป็นคำทิ้งท้ายของท่านพร้อมเสียงหัวเราะของทุกคนอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเราตั้งวงพร้อมลงมือทานข้าวมีเสียงพูดคุยกันในครอบครัวดูอบอุ่นมาก จริงๆเราว่าข้าวเบ๊อะก็รสชาติดีนะ เหมือนข้าวต้มทรงเครื่องทานได้ง่ายด้วย เราจึงบอกโฮสต์ว่าพรุ่งนี้พวกเราจะ...ไปเดินป่าและไปสวนคนขี้เกียจ...

     นอนหลับสบายอีกคืน  ตื่นมาแบบพร้อมมาก เช้านี้ทานข้าวเสร็จต้องออกไปจุดนัดพบ โฮสต์เตรียมข้าวเหนียวใส่ห่อใบตองพร้อมกล้วยน้ำว้าอีก 1 หวีให้เพื่อไปเดินป่า รู้สึกเหมือนแม่เตรียมห่อข้าวให้ไปเดินทางไกลเลย เพื่อนบางคนมีกระติ๊บข้าว กระบอกน้ำไม้ไผ่ มีดพก พร้อมแล้วก็ไปกันเลย...

    พะตี่จอนิเเละพี่โอชิ ผู้ที่จะนพาพวกเราไปสำรวจโลกหนองเต่าในวันนี้ เราเริ่มออกเดินทางช่วงสายๆหน่อยมีแสงแดดอ่อนๆ ผู้นำทางเริ่มเล่าความเป็นมา​ของพื้นที่ในชุมชน​ความสัมพันธ์กับป่าไม้ พวกเราเดินเรียงเเถวไปตามถนน ผ่านหมู่บ้าน​ เจอต้นไม้มากมายมีทางเดินไปได้และแสงส่องมาเหมือนอุโมงค์ เดินสุดต้นไม้น้อยใหญ่ จนมาโผล่ที่ทุ่งนาอีกด้านของหมู่บ้านซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อน เหมือนในโลกนิยายเลยระยะทางเพียง500เมตรจากชุมชนใครจะคาดคิด ข้างหลังเป็นต้นไม้ใหญ่ไม่หนามากหลังหมู่บ้าน สามารถมองไปเห็นบ้านเรือนคนได้ ด้านหน้าเป็นลำน้ำเล็กๆเพียงเมตรกว่าๆ ​มองข้ามลำน้ำไปจะเห็นท้องทุ่งสีเขียวขจีของต้นข้าว เป็นไร่นาลดหลั่นขั้นบันไดสวยงาม มีกระท่อมน้อยใหญ่ปลูกอยู่กลางทุ่งนากระจัดกระจายกันไป หลังฉากจะเป็นภูเขาเขียวๆและมีหมอกจางๆลอยอยู่ หลายๆคนตื่นเต้นมากกับการได้เดินข้ามสะพานก้อนหิน เสียงพูดคุยกันจอแจตลอด บ้างก็เสียงเชียร์เพื่อให้เพื่อนข้ามสะพาน เสียงก้อนหินหล่นลงน้ำ กว่าเราจะข้ามลำน้ำได้เพื่อนที่เดินก่อนก็ไปได้ไกลมากแล้ว เราก็เดินเรียงแถวกันไปเรื่อยๆอากาศก็เริ่มอบอ้าวขึ้น ของทุกอย่างเริ่มหนัก กล้วย 1หวีเริ่มหายไปทีละน้อยทีละน้อย ทุกสิ่งอย่างรอบตัวเราที่สวยงามก็ได้ถูกบันทึกลงในเมมโมรีกล้องไปตลอดทาง คันนาเล็กๆที่เราเดินย่ำไปก็แฉะขึ้นเรื่องๆ เริ่มเดินยากขึ้นทางก็ชันขึ้นเรื่องๆมองไปข้างหน้าหลายๆคนเดินไปไกลมากแล้ว ขอแวะพักที่กระท่อมเก็บภาพบรรยากาศก่อนนะคะ

    เราเดินลัดเลาะไปจนสุดทุ่งนาจะมีเนินขึ้นเรื่องๆ ก็เจอทางที่รถมอเตอร์ไซด์สามารถขับผ่านได้ มีลวดหนามกั้นเขตแดนของพื้นที่ต่างๆ มองกลับมาด้านหลังที่ผ่านมาก็ไกลโขแล้ว ตอนนี้เหมือนเราอยู่ริมทางด้านขวาคือป่าเขา ด้านซ้ายคือหุบลงไปมีทุ่งนาขั้นบันไดที่ผ่านมา เราไม่รู้จุดหมายปลายทางคือทีใดเพราะคนนำทางเดินอยู่เบื้องหน้า อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นทางก็ชันขึ้นเรื่อยๆ ตามทางเดินก็เริ่มเล็กลง ต้องข้ามรั้วบ้างปีนเขาบ้าง จนมาถึงสะพานไม้ไผ่เล็กๆเราก็ชั่งใจเพราะมันเล็กมากๆ น้ำหนักตัวเราก็ไม่ใช่น้อยๆ คนที่เดินออกไปก่อนหน้าก็เยอะพสมควรจะรับน้ำหนักเราได้ไหม  ยืนมองพิจารณาสักพักก็ตัดสินใจหยิบไม้ที่แข็งแรงหน่อยเดินพยุงไม้ข้ามไปด้วย เพื่อจะได้ไม่เหยียบสะพานแรงจนเกินไป ข้ามสะพานไม้เสร็จก็เจอสะพานก้อนหินอีกทีน้ำขึ้นสูงมากเห็นก้อนหินนิดหน่อย น้ำก็มีตะกอนมากๆแล้วเนื่องจากมีร่องรอยคนก่อนหน้าลื่นไปหลายรอยเหมือนกัน กลัวว่ารองเท้าจะเปียกอีก เพื่อนที่เดินตามมาด้านหลังก็ส่งเสียงใกล้เข้ามาจึงต้องเสียสละทางเดินให้เพื่อนไปก่อน ตอนนี้เรารั้งทางแล้วหล่ะทั้งเหนื่อยทั้งกลัวหลง ลมก็ไม่มีเริ่มร้อนขึ้นดื่มน้ำไปเยอะเลย​ พักแป๊บหนึ่งแล้วตัดใจเดินเหยียบก้อนหินไปทีละก้อนเพื่อข้ามลำน้ำน้อยๆนี้ จนเข้าถึง​บริเวณป่า​ บรรยา​กาศเริ่มเปลี่ยนไป​ ความร่มรื่น​ เขียวชอุ่ม​ ชุ่มชื้น​ของต้นไม้เเละผืนป่า​ หยุดหายใจเข้าปอดอีกเต็มฟอด จนพี่โอชิผู้นำทางต้องยืนรอกันเลยงานนี้ จากแนวหน้าสู่เบื้องหลัง พี่โอชิก็รู้แหละว่าเราเหนื่อยกันมากจึงชวนคุย เล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง พาเก็บพากินผลไม้ป่า ใบไม่ใบหญ้าต่างๆก็กินกันไป เดินมาได้สักพักทริปนี้ก็ต้องหยุดพักก่อนเพราะฝนเริ่มตกปรอยๆแล้ว

      ฝนตกกลางป่า นี่แหละคือที่มาของอากาศ​ที่ร้อนอบอ้าว เราก็งัดไม้เด็ดคืออย่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เดี๋ยวอาจเกิดฟ้าผ่าได้ จึงหักกิ่งไม้ที่มีใบหนาๆหน่อยมาทำร่ม และเดินไปเรื่อยๆทางก็รื่นขึ้น พอดีพะตี่จอนิก็หยุดรอและตัดใบกล้วยส่งมาให้ทุกคน ช่างเป็นโชคดีของพวกเราแท้ๆที่มีต้นกล้วยอยู่ตรงนี้พอดี โชคชั้นที่2ก็คือแม้ทางจะรื่นแต่ทางก็ยังกว้างอยู่ ตอนนี้ร่มใบตองก็นำพาพวกเรามารวมกันที่ตีนเขาแล้ว ฝนก็เริ่มซา ที่เราไม่หยุดเดินเพราะจะถึงที่หมายช้าลงและจะได้ทานข้าวเที่ยงช้าไปอีก จึงต้องเดินไปเรื่อยๆแต่เดินช้าลงได้

    ตลอดเส้นทางก่อนหน้าที่เริ่มเดินเรารู้สึกอินกับบรรยากาศแปลกใหม่นี้มาก พอเริ่มเหนื่อยบวกกันฝนตกทำให้เราไม่มีเวลาจะเก็บภาพบรยากาศข้างทางอีก ต้นไม่ใบหญ้าปลไม้ป่าก็ไม่น่ากินแล้ว แต่เราต้องเดินต่อไปเราจึงพักหายใจเข้าลึกๆหายใจยาวๆช้าๆเพื่อไม่ให้เหนื่อยมาก เราเริ่มอยู่กับตัวเองมากขึ้นและตั้งใจที่จะไม่ให้ตัวเองเดินย้อนกลับทางเดิม เพราะมีหลายๆคนตัดใจเดินกลับไปแล้วเนื่องจากเส้นทางที่ลำบากขึ้น และฝนก็ตกลงมาอีกด้วย

       ฮึบ! เริ่มเดินอีกรอบทางเริ่มไม่ใช่ทางแล้ว เป็นป่าจริงๆแล้วเราต้องเดินลัดเลาะไปตามป่า สิ่งที่เราขาดไม่ได้คือไม้สำหรับพยุงเดิน เพื่อทำให้เราเดินสะดวกขึ้นและมีที่ยึดเผื่อว่าเหยีบยโดนใบไม้รื่น ไม่งั้นก็เกาะต้นไม้ที่แข็งแรงหน่อย เราซึ่งมีความเด็กบ้านนอกได้สัมผัสการเดินป่าแบบนี้มาแล้วก็ค่อนข้างชำนาญอยู่เด้อ แต่ที่ต่างจากบ้านเราคือที่นี่เป็นเขาและมีต้นไม้หนากว่าป่าบ้านเราเยอะเลย ทางก็ชันชึ้นเรื่องๆเราไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เพราะเราเดินช่วงกลางๆของกลุ่มเพื่อน ส่วนผู้นำทางก็เดินอยู่หน้าสุดจนมาถึงลานกว้างน่าจะอยู่กลางยอดเขาแล้ว ที่นี่คือที่พักสงฆ์มีพระสงฆ์มาถือศีลอยู่ตรงนี้แต่วันนี้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว เราจึงจับจองพื้นที่แถวใกล้ๆนี้เพื่อพักกินข้าวที่ห่อ​มา​ ความสนุกเริ่มมาอีกครั้งแล้วเวลากลางวันที่สนุกสนาน ไม้ไผ่ท่อนใหญ่และยาววางอยู่เราเริ่มนั่งลงบนท่อนไม้ทีละคนเรียงแถว แกะห่อข้าวมากินและได้รับแจกอีกคนละห่อ เราแบ่งข้าวกันกินเพราะบางคนข้าวเปียกน้ำทานไม่ได้แล้ว บางคนปลอกไข่ไม่ได้ บางคนทำน้าปลาหก บางคนลืมช้อน จึงมีเสียงพุดคุยกันให้หายเหนื่อยหน่อย เริ่มมีเพื่อนมาร่วมทานข้าวมากขึ้นเรานั่งห่างๆกันแต่ก็ได้คุยกันเพื่อเป็นกำลังใจให้เดินทางกลับอย่างราบรื่น เพราะนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเอง

     กลางป่าบนดอย​ ฟ้าหลังฝนเริ่มสดใส​ หลังจากนั้นก็เดินต่อสู่ทางกลับหมู่บ้าน​ ผ่านป่าสน​ เดินไปคุยกันไปสนุกสนานทางเดินก็เริ่มเป็นทางใหญ่ขึ้นและไม่ชันมาก​ ระหว่างทางเดินป่าก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพะตี่จอนิเเละพี่โอชิ อย่างเช่นใบไม้ที่มีแป้งผลัดหน้า UZEENหนองเต่ามากเราชอบจริงเพราะอยากทาแป้งคือหน้าฉ่ำมากๆ จึงขอใบไม้มาสองใบใช้ใบไม้ถูๆกันแล้วเกิดมีผงสีขาว แรกๆเรากลัวมากคิดว่าขนจากใบไม้อาจทำให้คันผิว จึงไม่ทาพอผู้นำทางทาให้ดูนี่ก็เริ่มใช้ผงขาวๆทาที่หลังมือนิดหน่อย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จัดการทาทั่วใบหน้าไปเลย จะได้ผ่องๆ พอเพื่อนเดินมาเห็นก็ขอไปทาบ้าง ผ่านป่าสนก็เก็บดอกสนมาเล่นขากลับนี้เราเริ่มอยู่แนวหน้าอีกทีเพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆจากผู้นำทาง เดินมาจนถึงทางเข้าหมู่บ้านและไปพักในคริสตจักรเข้าห้องน้ำกันก่อนจะไปต่อที่...สวนคนขี้เกียจ

    เราเดินมาถึงสวนคนขี้เกียจ​ พะตี่จอนิก็ได้เล่าเรื่องราวที่มาของสวนคนขี้เกียจที่มีพื้นที่7ไร่นี้​ ปลูกป่าเเละพืช​ผสมผสาน​ หลากหลายเป็นร้อยชนิด เช่น อะโวคาโด กาแฟ สาลี่ ไม้ไผ่ ต้นหวาย ฝรั่งขี้นก มะม่วง ลูกพลับ  ให้ต้นไม้ใหญ่ดูแลต้นไม้เล็ก หญ้าก็ปล่อยไว้​ไม่ต้องตัด​ให้ควายที่เลี้ยงไว้ได้กิน​ ต้นไม้ก็ไม่ต้องดูเเลเยอะ​ เจาะรูเล็กๆที่กระบอกไม้ไผ่​ ปักไม่ไผ่กับดินไว้​ใส่น้ำลงไปให้เต็ม​ เเล้วก็ไปเที่ยว​ได้ตามสบาย​ สไตล์คนขี้เกียจ ทำทีเดียวแต่ได้ผลระยะยาว ถ้าใครชื่นชอบวิธีนี้ก็ทำตามได้นะคะ

   ระหว่างออกจากสวนเดินทางกลับบ้านพัก พะตี่จอนิเล่าเรื่องต้นไม้ประจำตัวของเเต่ละคนในชนเผ่า​ เมื่อมีเด็กคลอดออกมา​ ก็จะนำสายสะดือมาผูกกับต้นไม้​ต้นใดต้นหนึ่ง​ กลายเป็นต้นไม้ประจำตัวของคนคนนั้น​ เเละจะมีการทำสัญลักษณ์​ไว้ด้วย​ ชาวปะกาเกอญอเชื่อว่าวิญญาณ​จะผูกติดกับต้นไม้​ เวลาจะทำพิธีอะไรก็จะมาทำพิธีกับต้นไม้​ หรือเวลาไม่สบายก็จะมาทำพิธีขอกับต้นไม้เเทน​ ซึ่งต้นไม้ต้นนั้นก็จะถูกห้ามตัดเด็ดขาด​ เป็นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ​ผ่านวิถีชีวิต​ วัฒนธรรม​เเละความเชื่อ ระหว่างทางกลับเรายังเจอชาวบ้านอยู่ในไร่ ทำสวนกันอย่างขมักเขม้น เดินไปเก็บผลไม้ในสวนของชาวบ้านที่เราเดินผ่านกินไปด้วย ระหว่างทางกลับก็มีรีสอทต์เล็กๆที่พักทำจากไม้ไผ่น่ารักมากๆ ผ่านทุ่งนาที่โอบล้อมไปด้วยป่าเขาที่สดชื่น ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายไปในตัว หมดเวลาสนุกแล้วแยกย้ายกลับที่พักกันได้เลยจ้า

    จากเมื่อวานที่ไปเดินป่ามา มีความอ่อนเพลียมากเลยพลาดกิจกรรมรอบกองไฟตอนเย็น หลังจากนี้ทุกคนก็จะได้พักผ่อนตามอัธยาสัย เราจึงมีเวลาในการปักผ้า ได้เรียนรู้การทอผ้ากับพี่สาวโฮสต์ หลังจากนี้อีกหลายวันเราคงได้พักผ่อนเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำพักแบบสบายๆกันไปเลย ตัวเรานี้ชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับผ้าก็ศึกษาหาความรู้กับชาวบ้านไปเรื่อย ได้ลายปักผ้าสวยๆมาหลายลายเลยทีเดียว

   หนองเต่า...เรามาที่นี่ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ ตั้งแต่แรกเลยได้มีโอกาสมาสัมผัสบรรยากาศหนาวๆ ไอหมอกหนายามเช้า ได้ชิมกาแฟที่ชาวบ้านปลูกเอง คั่วเองทุกขั้นตอน และนำมาชงให้เราดื่ม ได้เดินป่าที่เป็นป่าจริงๆมีต้นไม้นานาพรรณ ที่กินได้และกินไม่ได้ มีความหลากหลาย ได้เรียนรู้และทอผ้าจากเครื่องทอมือ จากเส้นด้ายเล็กๆหลายๆเส้นถักทอรวมกันจบเป็นผืนใหญ่ ปั่นด้าย ย้อมสีด้ายจากสีธรรมชาติ ได้ไปชมสวนของคนขี้เกียจแต่เป็นสวนที่สมบูรณ์แบบ ได้ไปขายผักและข้าวปลอดสารพิษที่บ้านโฮสต์ปลูกเอง ได้ทำกะหล่ำผัดน้ำปลาให้ครอบครัวโฮสต์ทาน และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมากๆ ได้เห็นวัฒนธรรมของชาวบ้าน การเป็นอยู่แบบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีผักมาแลกปลา มีไข่ไปแลกข้าววัฒนธรรมแบบนี้ยังมีอยู่จริง และที่สำคัญสิ่งที่เราปลื้มใจมากๆคือในบ้านแต่ละหลังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยชิ้นมาก สิ่งที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นทีวี พัดลม หม้อหุงข้าว สัญญาณโทรศัพท์ก็ถือว่าใช้ได้ดีแต่ชาวบ้านไม่ค่อยเล่นโทรศัพท์ ส่วนใหญ่จะไปทำไร่ หรือแม่บ้านจับกลุ่มนั่งคุยกันปักผ้าไป

       วันสุดท้ายแล้วซินะ ทุกคนได้มารวมตัวกันที่จุดนัดพบ มีทั้งผู้ร่วมทริป โฮสต์ทุกๆบ้าน ชาวบ้านที่ร่วมดูแลพวกเรา วันนี้อากาศเย็นสบาย มีหมอกตั้งแต่เช้าสายๆมาก็มีแดดอุ่นๆแซมมาบ้าง หลังจากทานอาหารมื้อเช้าร่วมกัน โดยแม่ๆของแต่ละบ้านได้นำวัตถุดิบมารวมกันเพื่อให้แม่ครัวประกอบอาหารและทานร่วมกัน เป็นมื้อเช้าที่แสนพิเศษอีกวัน หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็ได้มาร่วมพิธีทำขวัญ โดยมีพะตี่จอนิเป็นผู้ใหญ่นำทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ขณะที่เรากำลังเริ่มพิธีบริเวณหุบเขารอบๆตัวเราเริ่มมีหมอกลงในเวลาสายๆแล้ว หมอกเริ่มหนาขึ้นๆจนทำให้เรามองวิวด้านนอกไม่เห็นอะไรเลย ทุกคนดูหนาวมากจนขยับเข้านั่งชิดๆกัน หรือไม่ก็ไปเอาผ้าห่มมาคลุม มันดูมีมนต์ขลังมากตลอดระยะเวลาที่เราประกอบพิธี หมอกเริ่มจางออกไปเรื่อยๆ

   ผูกขวัญ...เป็นวัฒนธรรมของชุมชน โดยผู้ใหญ่จะนำเส้นด้ายมาผูกข้อมือให้กับลูกหลานเป็นการรับขวัญ และอวยพรเมื่อต้องจากบ้านไปหรือไปทำงาน ไปเรียนต่างถิ่นต่างแดน เพื่อให้สิ่งดีๆคุ้มครองให้ปฏิบัติตัวตามครรลองครองธรรม คุณย่า คุณยายก็มาผูกด้ายอวยพรให้เรา ที่บ้านโฮสต์ของเราก็ผูกขวัญให้ในคืนวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ

    เรารู้แหละว่ามีพบเจอก็ต้องมีจากลา แต่ทุกครั้งการจากลามักจะทำให้น้ำตาไหลออกมาเสมอ ครั้งนี้เรารู้สึกรักและผูกพันธ์จริงๆ ที่นี่ก็เหมือนบ้านของเราที่มีพ่อ-แม่ พี่น้องลูกหลานอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ เรามีความสุขมากๆตั้งแต่ตื่นนอน ทานข้าวพร้อมกัน ร่วมพูดคุยกันสอนงานกัน สอนการบ้านน้อง จนถึงเข้านอนอีกครั้ง เป็นฟิลลิ่งแบบอยู่บ้านจริงๆ มาเชียงใหม่ครั้งนี้เรารู้สึกอยากกลับบ้านแต่ก็อยากอยู่ที่นี่ด้วยในเวลาเดียวกัน




Create Date : 17 มกราคม 2565
Last Update : 18 มกราคม 2565 10:48:54 น.
Counter : 1178 Pageviews.

6 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณKavanich96

  
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:7:33:49 น.
  
โดย: บ่กะละ วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:8:46:31 น.
  
ธรรมชาติยอดเยี่ยม
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:9:40:06 น.
  
กล่องข้อความ พิมพ์ตัวหนังสือมองไม่เห็นค่ะ
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:9:43:42 น.
  
ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำ พึ่งลองเขียนบล็อก และฝึกปรับแต่งใหม่ เดี๋ยวแก้ไขให้ดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ
โดย: บ่กะละ วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:9:57:09 น.
  
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 19 มกราคม 2565 เวลา:3:05:07 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Live a good story
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments