Group Blog |
ทริปขี้เกียจ...เรียบๆเบาๆที่...หนองเต่าซิตตี้ สถานที่ท่องเที่ยว : หมู่บ้านปกาเกอะญอ บ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่, เชียงใหม่ Thailand พิกัด GPS : 18° 35' 20.56" N 98° 30' 3.19" E ทริปขี้เกียจ...เรียบๆเบาๆที่...หนองเต่าซิตตี้ @ปลายเดือนกันยายน พ.ศ.2561 ณ หมู่บ้านปกาเกอะญอ บ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่
ค่ำคืนที่มืดมิดและงวยงง รถตู้จอดที่ลานหญ้าที่ไหนสักแห่ง สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเรามองดูรอบๆซึ่งมีแสงไฟอันริบหรี่เปิดอยู่ และส่องให้พอรู้ว่ามีอะไรบ้าง มองทางขวามีบ้านไม้หลังใหญ่ยกพื้นสูง มองทางซ้ายมีบ้านเล็กๆและโต๊ะนั่งหน้าบ้าน ดูแล้วสถานการณ์ปลอดภัยด้วยความที่เรานั่งติดประตูจึงลงจากรถก่อนใครเพื่อน เอ้า!เหยียบโดนอะไรเปียกๆไม่ใช่ฝนนี่นาแต่นี่เป็นหมอก ช่วงดึกหมอกลงหนาจัดยอดหญ้านี้คือเปียกชุ่มมาก อากาศก็หนาวเย็นยังดีที่เราใส่เสื้อกันหนาวมา มีเจ้าถิ่นมารอต้อนรับเราด้วยถึงแม้เราจะมาถึงช้ากว่าเวลานัดนิดหน่อย ทุกคนลงจากรถและหยิบสัมภาระของตัวเองแล้วเดินลัดเลาะตามเจ้าบ้านไปทางด้านหลังบ้าน ซึ่งผ่านต้นไม้สูงพอๆกับอกบ้างและสูงขึ้นเรื่อยๆจนท่วมหัวเดินมาประมาณ300เมตรได้ ก็มาถึงจุดนัดพบ...ประชุม นัดแนะ และแยกย้ายเข้าบ้านโฮสต์กันเล้ย หลังจากที่ประชุมเสร็จก็จะมีเจ้าบ้านมารับเรา คือและเพื่อนๆถูกจัดให้อยู่บ้านหลังละ2คน และบ้านที่เราได้พักจะอยู่ช่วนกลางๆของหมู่บ้าน เดินออกจากจุดรวมพลมาสัก800เมตรได้ ตามทางเดินที่สลัวๆมาถึงบ้านหลังใหญ่ ในบ้านไม้2ชั้น เรา2คนกับห้องไม้ที่มิดชิดและตกแต่งแบบบ้านๆ เดินขึ้นบันไดมาบนชั้นที่2ของบ้าน ทางซ้ายมือก็จะมีห้องนอนขนาดพอดี เปิดประตูเข้าไปในห้องมีที่นอนแบบปูกับพื้นและมุ้ง4หูกางไว้อย่างเรียบร้อย ตรงปลายที่นอนมีชั้นวางผ้าห่มอีกหลายผืน และหมอนอีกหลายใบเลย โฮสต์บอกพวกเราว่าฝันดีนะ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกันตอนทานมื้อเช้า เรารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวจึงลงไปชั้นล่างเข้าห้องน้ำล้างหน้านิดหน่อย เพราะอาบน้ำไม่ได้เลยมันหนาวมากๆๆมากแทบตัวแข็งเลยทีเดียว รีบสิรออะไร...เราและเพื่อนก็ว่านอนสอนง่าย ผลจากการที่เรานั่งรถแบบมาราทอนยาวๆ จึงทำให้เรารีบมุดตัวเข้าใต้ผ้าห่มและนอนหลับอย่างสบายใจ เสียงครกกับสากประสานกันดังท๊อบๆๆ ตามมาด้วยกะทะกับตะหลิวกระทบกันพร้อมกับเสียงซู่ๆๆ กลิ่นหอมๆของกระเทียมเริ่มลอยเข้ามา และกลิ่นเครื่องปรุงต่างๆก็ตามมาเรื่อยๆไม่ไหวแล้ว... สวัสดีตอนเช้าค่ะ เสียงทักทายของโฮสต์ดังแว่วมา อากาศดีมากเมื่อคืนนอนหลับสบายด้วย แทบไม่อยากลุกขึ้นมาจากที่นอนเลยเพราะอากาศเย็นมากเรารีบตอบทันที เราจึงเดินเข้าไปในครัว ว้าว!มาก...เป็นครัวที่น่ารัก มีเตาไฟแบบโบราณ มีชุดโต๊ะเตี้ยๆและตั่งนั่งรอบโต๊ะอยู่กลางครัว สุดยอดเราชอบที่นี่ แล้วไปล้างหน้าล้างตาเตรียตัวมาทานข้าวเช้ากับครอบครัวของโฮสต์ อาหารหลายอย่างทั้งข้าวสวยร้อนๆ ผัดผัก ไข่เจียว ต้มจืดผักรวม น้ำพริกปู ผักสดผักต้ม กล้วยน้ำว้า ลูกพลับ บ้านหลังใหญ่นี้เป็นบ้าน2หลังเชื่อมกัน เป็นเสียงของคุณพ่อโฮสต์ที่แนะนำตัวกับพวกเรา ในระหว่างที่เรานั่งมองอาหารอยู่ มีผู้อาศัยอยู่6คนมี คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว พี่เขยและหลานอีก2คน ครอบครัวทำไร่ทำนา สำหรับอาหารมื้อนี้ก็เป็นการนำพืชผักในไร่ และแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้านมาบ้างเพื่อประกอบอาหารในแต่ละวัน เพราะเราไม่สามารถปลูกผักทุกชนิดได้หมด เดี๋ยวถ้ามีเวลาเยอะๆจะพาไปดไร่ด้วยนะ เฮอะๆๆๆเสียงหัวเราะของคุณพ่อกับพวกเราทุกคนก็ปิดฉากการสนทนาลง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามากก็ลงมือกันเลยเดี๋ยวอาหารเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย เราก็ทำความรู้จักแลกเปลี่ยนกันในระหว่างมื้อเช้า หลังจากทานข้าวเสร็จพี่สาวโฮสต์ก็แนะนำที่ต่างๆในบ้าน การอยู่กินก็แบบบ้านๆทำตัวสบายๆและที่เซอร์ไพส์มากกว่าคือครอบครัวนี้นับถือศาสนาคริสต์ เป็นอีกสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ด้วยจ้า ที่นี่หนองเต่า สายๆวันนี้เราจะต้องมาที่จุดรวมพลเพื่อที่จะมาฟังโปรแกรมกิจกรรม เราจึงมีโอกาสได้เดินดูหมู่บ้าน(บางส่วน) วิถีชุมชนการใช้ชีวิตของชาวบ้านไปด้วย เราเดินผ่านบ้านหลายหลังส่วนใหญ่จะเป็นบ้านที่สร้างด้วยไม้ บ้านยกพื้นสูง บ้านแบบโบราณแต่น่าอยู่ถนนหนทางสะอาดสะอ้านดี หน้าบ้านแต่ละหลังก็มักจะมีต้นไม้ดอกไม้ประดับเพื่อพิ่มความสดใสให้บ้าน ร้านค้าขายของชำก็มีขนมนมเนย ของใช้ทั่วไปเหมือนบ้านเรา แต่สิ่งที่ต่างจากบ้านเราคือที่หนองเต่าไม่มีรถจอดเต็มถนน รถราค่อนข้างน้อยถือว่าเป็นชุมชนที่สงบเหมาะกับการมาพักผ่อน ที่มีฟิลลิ่งแบบเหมือนพักที่บ้านเงียบๆในฤดูหนาวได้เลย เรามารอที่จุดนัดพบก็มีเจ้าบ้านมาคุยด้วยแลกเปลี่ยนแนะนำตัวกันไปพอประมาณ และเพื่อนๆก็ทยอยมาเรื่อยๆ เราจึงพูดคุยกับเพื่อนว่าได้พักที่ไหน บ้งคนก็งงอยู่กว่าจะหาทางมาจุดนัดพบได้ก็หลงทางหลายรอบ เพราะตอนมาถึงมันดึกมากมองทางไม่ค่อยออก เราผู้ชอบจดจำเส้นทางจึงแนะนำทางแก่เพื่อนๆว่าต้องสังเกตร้านค้า สังเกตถนนที่มีต้นไม้แบบนั้นบ้างแบบนี้บ้าง บางคนพักอยู่ติดกับจุดรวมพลเลย บางคนพักที่สุดปลายหมู่บ้านติดกับทุ่งนา บางคนพักห้องเดี่ยวที่ใหญ่มากๆนอนไม่หลับ บางคนบอกว่ามีผลอะโวคาโด้หล่นใส่หลังคาบ้านนอนสะดุ้งทั้งคืน เพื่อนบางคนบอกว่าหนาวมากผ้าห่มไม่พอไม่กล้าไปขอเพิ่มจากโฮสต์ จึงเอาเสื้อผ้ามาใส่ซ้อนกันตั้งหลายตัว ทำให้เราจินตนาการว่าบ้านเพื่อนน่าไปเที่ยวเล่นมากคงสนุกดีแน่ๆ ทานอะไรกันมาบ้างมื้อเช้านี้ มีเมนูแปลกใหม่มากมาย พูดคุยกันเหมือนเปิดเทอมใหม่ แล้วเล่าเรื่องที่พบเจอมาตอนปิดเทอมก่อนลย และจุดสังเกตในตอนนี้คือเพื่อนบางคนแปลงร่างเป็นชาวปกาเกอะญอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือสะพายย่ามมาอวดกันด้วย คุยกันสนุนสนานจนทุกคนมารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตา แนะนำตัวกับเพื่อนใหม่และผู้ร่วมทาง นัดแนะกันเพื่อจะ...เดินป่า...ในวันพรุ่งนี้ พักผ่อน... จากที่เราไปตะลอนทัวร์หมู่บ้านหนองเต่าจนเหนื่อยแล้ว เราจึงกลับมาที่บ้านช่วงบ่ายแก่ๆแบบนี้ที่บ้านเงียบมากๆ พ่อ แม่ และพี่เขยไปทำไร่ หลานๆก็ไปโรงเรียน ส่วนพี่สาวอยู่บ้านคอยำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำพวกเรา เราจึงเดินไปพูดคุยในห้องเล็กๆติดประตูหน้าบ้าน ห้องนี้เป็นห้องทำงานของพี่สาวโฮสต์ มีจักรเย็บผ้าเล็กๆ2ตัว มีเครื่องปั่นด้าย มีเครื่องทอผ้าแบบทอมือ 1 เครื่อง มีอุปกรณ์การเย็บผ้าจัดวางในตะกร้าเรียบร้อยอีกหลายใบ พี่สาวกำลังปักผ้าอยู่พอดีด้วยความที่เรากำลังอินเรื่องผ้าอยู่ จึงคุยกันถูกคอพี่สาวโฮสต์ปักผ้าเก่งมากๆ ชาวบ้านมักจะนำผ้ามาให้พี่สาวปักให้อยู่เสมอ และนี่ก็เป็นการหารายได้เสริมเข้าสู่ครอบครัว เราจึงรีบฝากตัวเป็นศิษย์ทันทีเลยหลังจากนี้เราก็บเพื่อนก็นั่งขลุกอยู่กับผ้าจนถึงมื้อเย็นเลยทีเดียว มื้อเย็น... เป็นอีกครังที่เราได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับต้อนรับพวกเราพ่อโฮสต์บอกว่ามีต้มไก่ดำ ซึ่งเป็นของหายากทานแล้วดีต่อสุขภาพ และมีอาหารพื้นถิ่นที่เรียกว่า “ข้าวเบ๊อะ”มีลักษณะเหมือนโจ๊ก ที่มีผักและหมูหรืออื่นๆอีกมากมาย อาหารถ้วยนี้มีที่มาที่น่าประทับใจมากๆ เพราะเป็นอาหารที่ประกอบขึ้นมาจากอาหารและข้าว ที่เราทานเหลือจากทานในตอนเช้าและตอนกลางวัน จึงนำมาต้มรวมกันและปรุงรสตามที่ชื่นชอบได้เลย พ่อโฮสต์บอกว่าลองชิมดูถ้าอร่อยจะทำให้ทานอีก ถ้าไม่อร่อยก็อย่ากินข้าวเหลือเป็นคำทิ้งท้ายของท่านพร้อมเสียงหัวเราะของทุกคนอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเราตั้งวงพร้อมลงมือทานข้าวมีเสียงพูดคุยกันในครอบครัวดูอบอุ่นมาก จริงๆเราว่าข้าวเบ๊อะก็รสชาติดีนะ เหมือนข้าวต้มทรงเครื่องทานได้ง่ายด้วย เราจึงบอกโฮสต์ว่าพรุ่งนี้พวกเราจะ...ไปเดินป่าและไปสวนคนขี้เกียจ... นอนหลับสบายอีกคืน ตื่นมาแบบพร้อมมาก เช้านี้ทานข้าวเสร็จต้องออกไปจุดนัดพบ โฮสต์เตรียมข้าวเหนียวใส่ห่อใบตองพร้อมกล้วยน้ำว้าอีก 1 หวีให้เพื่อไปเดินป่า รู้สึกเหมือนแม่เตรียมห่อข้าวให้ไปเดินทางไกลเลย เพื่อนบางคนมีกระติ๊บข้าว กระบอกน้ำไม้ไผ่ มีดพก พร้อมแล้วก็ไปกันเลย... พะตี่จอนิเเละพี่โอชิ ผู้ที่จะนพาพวกเราไปสำรวจโลกหนองเต่าในวันนี้ เราเริ่มออกเดินทางช่วงสายๆหน่อยมีแสงแดดอ่อนๆ ผู้นำทางเริ่มเล่าความเป็นมาของพื้นที่ในชุมชนความสัมพันธ์กับป่าไม้ พวกเราเดินเรียงเเถวไปตามถนน ผ่านหมู่บ้าน เจอต้นไม้มากมายมีทางเดินไปได้และแสงส่องมาเหมือนอุโมงค์ เดินสุดต้นไม้น้อยใหญ่ จนมาโผล่ที่ทุ่งนาอีกด้านของหมู่บ้านซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อน เหมือนในโลกนิยายเลยระยะทางเพียง500เมตรจากชุมชนใครจะคาดคิด ข้างหลังเป็นต้นไม้ใหญ่ไม่หนามากหลังหมู่บ้าน สามารถมองไปเห็นบ้านเรือนคนได้ ด้านหน้าเป็นลำน้ำเล็กๆเพียงเมตรกว่าๆ มองข้ามลำน้ำไปจะเห็นท้องทุ่งสีเขียวขจีของต้นข้าว เป็นไร่นาลดหลั่นขั้นบันไดสวยงาม มีกระท่อมน้อยใหญ่ปลูกอยู่กลางทุ่งนากระจัดกระจายกันไป หลังฉากจะเป็นภูเขาเขียวๆและมีหมอกจางๆลอยอยู่ หลายๆคนตื่นเต้นมากกับการได้เดินข้ามสะพานก้อนหิน เสียงพูดคุยกันจอแจตลอด บ้างก็เสียงเชียร์เพื่อให้เพื่อนข้ามสะพาน เสียงก้อนหินหล่นลงน้ำ กว่าเราจะข้ามลำน้ำได้เพื่อนที่เดินก่อนก็ไปได้ไกลมากแล้ว เราก็เดินเรียงแถวกันไปเรื่อยๆอากาศก็เริ่มอบอ้าวขึ้น ของทุกอย่างเริ่มหนัก กล้วย 1หวีเริ่มหายไปทีละน้อยทีละน้อย ทุกสิ่งอย่างรอบตัวเราที่สวยงามก็ได้ถูกบันทึกลงในเมมโมรีกล้องไปตลอดทาง คันนาเล็กๆที่เราเดินย่ำไปก็แฉะขึ้นเรื่องๆ เริ่มเดินยากขึ้นทางก็ชันขึ้นเรื่องๆมองไปข้างหน้าหลายๆคนเดินไปไกลมากแล้ว ขอแวะพักที่กระท่อมเก็บภาพบรรยากาศก่อนนะคะ ฝนตกกลางป่า นี่แหละคือที่มาของอากาศที่ร้อนอบอ้าว เราก็งัดไม้เด็ดคืออย่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เดี๋ยวอาจเกิดฟ้าผ่าได้ จึงหักกิ่งไม้ที่มีใบหนาๆหน่อยมาทำร่ม และเดินไปเรื่อยๆทางก็รื่นขึ้น พอดีพะตี่จอนิก็หยุดรอและตัดใบกล้วยส่งมาให้ทุกคน ช่างเป็นโชคดีของพวกเราแท้ๆที่มีต้นกล้วยอยู่ตรงนี้พอดี โชคชั้นที่2ก็คือแม้ทางจะรื่นแต่ทางก็ยังกว้างอยู่ ตอนนี้ร่มใบตองก็นำพาพวกเรามารวมกันที่ตีนเขาแล้ว ฝนก็เริ่มซา ที่เราไม่หยุดเดินเพราะจะถึงที่หมายช้าลงและจะได้ทานข้าวเที่ยงช้าไปอีก จึงต้องเดินไปเรื่อยๆแต่เดินช้าลงได้ ตลอดเส้นทางก่อนหน้าที่เริ่มเดินเรารู้สึกอินกับบรรยากาศแปลกใหม่นี้มาก พอเริ่มเหนื่อยบวกกันฝนตกทำให้เราไม่มีเวลาจะเก็บภาพบรยากาศข้างทางอีก ต้นไม่ใบหญ้าปลไม้ป่าก็ไม่น่ากินแล้ว แต่เราต้องเดินต่อไปเราจึงพักหายใจเข้าลึกๆหายใจยาวๆช้าๆเพื่อไม่ให้เหนื่อยมาก เราเริ่มอยู่กับตัวเองมากขึ้นและตั้งใจที่จะไม่ให้ตัวเองเดินย้อนกลับทางเดิม เพราะมีหลายๆคนตัดใจเดินกลับไปแล้วเนื่องจากเส้นทางที่ลำบากขึ้น และฝนก็ตกลงมาอีกด้วย เราเดินมาถึงสวนคนขี้เกียจ พะตี่จอนิก็ได้เล่าเรื่องราวที่มาของสวนคนขี้เกียจที่มีพื้นที่7ไร่นี้ ปลูกป่าเเละพืชผสมผสาน หลากหลายเป็นร้อยชนิด เช่น อะโวคาโด กาแฟ สาลี่ ไม้ไผ่ ต้นหวาย ฝรั่งขี้นก มะม่วง ลูกพลับ ให้ต้นไม้ใหญ่ดูแลต้นไม้เล็ก หญ้าก็ปล่อยไว้ไม่ต้องตัดให้ควายที่เลี้ยงไว้ได้กิน ต้นไม้ก็ไม่ต้องดูเเลเยอะ เจาะรูเล็กๆที่กระบอกไม้ไผ่ ปักไม่ไผ่กับดินไว้ใส่น้ำลงไปให้เต็ม เเล้วก็ไปเที่ยวได้ตามสบาย สไตล์คนขี้เกียจ ทำทีเดียวแต่ได้ผลระยะยาว ถ้าใครชื่นชอบวิธีนี้ก็ทำตามได้นะคะ ระหว่างออกจากสวนเดินทางกลับบ้านพัก พะตี่จอนิเล่าเรื่องต้นไม้ประจำตัวของเเต่ละคนในชนเผ่า เมื่อมีเด็กคลอดออกมา ก็จะนำสายสะดือมาผูกกับต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง กลายเป็นต้นไม้ประจำตัวของคนคนนั้น เเละจะมีการทำสัญลักษณ์ไว้ด้วย ชาวปะกาเกอญอเชื่อว่าวิญญาณจะผูกติดกับต้นไม้ เวลาจะทำพิธีอะไรก็จะมาทำพิธีกับต้นไม้ หรือเวลาไม่สบายก็จะมาทำพิธีขอกับต้นไม้เเทน ซึ่งต้นไม้ต้นนั้นก็จะถูกห้ามตัดเด็ดขาด เป็นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติผ่านวิถีชีวิต วัฒนธรรมเเละความเชื่อ ระหว่างทางกลับเรายังเจอชาวบ้านอยู่ในไร่ ทำสวนกันอย่างขมักเขม้น เดินไปเก็บผลไม้ในสวนของชาวบ้านที่เราเดินผ่านกินไปด้วย ระหว่างทางกลับก็มีรีสอทต์เล็กๆที่พักทำจากไม้ไผ่น่ารักมากๆ ผ่านทุ่งนาที่โอบล้อมไปด้วยป่าเขาที่สดชื่น ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายไปในตัว หมดเวลาสนุกแล้วแยกย้ายกลับที่พักกันได้เลยจ้า จากเมื่อวานที่ไปเดินป่ามา มีความอ่อนเพลียมากเลยพลาดกิจกรรมรอบกองไฟตอนเย็น หลังจากนี้ทุกคนก็จะได้พักผ่อนตามอัธยาสัย เราจึงมีเวลาในการปักผ้า ได้เรียนรู้การทอผ้ากับพี่สาวโฮสต์ หลังจากนี้อีกหลายวันเราคงได้พักผ่อนเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำพักแบบสบายๆกันไปเลย ตัวเรานี้ชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับผ้าก็ศึกษาหาความรู้กับชาวบ้านไปเรื่อย ได้ลายปักผ้าสวยๆมาหลายลายเลยทีเดียว หนองเต่า...เรามาที่นี่ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ ตั้งแต่แรกเลยได้มีโอกาสมาสัมผัสบรรยากาศหนาวๆ ไอหมอกหนายามเช้า ได้ชิมกาแฟที่ชาวบ้านปลูกเอง คั่วเองทุกขั้นตอน และนำมาชงให้เราดื่ม ได้เดินป่าที่เป็นป่าจริงๆมีต้นไม้นานาพรรณ ที่กินได้และกินไม่ได้ มีความหลากหลาย ได้เรียนรู้และทอผ้าจากเครื่องทอมือ จากเส้นด้ายเล็กๆหลายๆเส้นถักทอรวมกันจบเป็นผืนใหญ่ ปั่นด้าย ย้อมสีด้ายจากสีธรรมชาติ ได้ไปชมสวนของคนขี้เกียจแต่เป็นสวนที่สมบูรณ์แบบ ได้ไปขายผักและข้าวปลอดสารพิษที่บ้านโฮสต์ปลูกเอง ได้ทำกะหล่ำผัดน้ำปลาให้ครอบครัวโฮสต์ทาน และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมากๆ ได้เห็นวัฒนธรรมของชาวบ้าน การเป็นอยู่แบบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีผักมาแลกปลา มีไข่ไปแลกข้าววัฒนธรรมแบบนี้ยังมีอยู่จริง และที่สำคัญสิ่งที่เราปลื้มใจมากๆคือในบ้านแต่ละหลังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยชิ้นมาก สิ่งที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นทีวี พัดลม หม้อหุงข้าว สัญญาณโทรศัพท์ก็ถือว่าใช้ได้ดีแต่ชาวบ้านไม่ค่อยเล่นโทรศัพท์ ส่วนใหญ่จะไปทำไร่ หรือแม่บ้านจับกลุ่มนั่งคุยกันปักผ้าไป วันสุดท้ายแล้วซินะ ทุกคนได้มารวมตัวกันที่จุดนัดพบ มีทั้งผู้ร่วมทริป โฮสต์ทุกๆบ้าน ชาวบ้านที่ร่วมดูแลพวกเรา วันนี้อากาศเย็นสบาย มีหมอกตั้งแต่เช้าสายๆมาก็มีแดดอุ่นๆแซมมาบ้าง หลังจากทานอาหารมื้อเช้าร่วมกัน โดยแม่ๆของแต่ละบ้านได้นำวัตถุดิบมารวมกันเพื่อให้แม่ครัวประกอบอาหารและทานร่วมกัน เป็นมื้อเช้าที่แสนพิเศษอีกวัน หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็ได้มาร่วมพิธีทำขวัญ โดยมีพะตี่จอนิเป็นผู้ใหญ่นำทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ขณะที่เรากำลังเริ่มพิธีบริเวณหุบเขารอบๆตัวเราเริ่มมีหมอกลงในเวลาสายๆแล้ว หมอกเริ่มหนาขึ้นๆจนทำให้เรามองวิวด้านนอกไม่เห็นอะไรเลย ทุกคนดูหนาวมากจนขยับเข้านั่งชิดๆกัน หรือไม่ก็ไปเอาผ้าห่มมาคลุม มันดูมีมนต์ขลังมากตลอดระยะเวลาที่เราประกอบพิธี หมอกเริ่มจางออกไปเรื่อยๆ ผูกขวัญ...เป็นวัฒนธรรมของชุมชน โดยผู้ใหญ่จะนำเส้นด้ายมาผูกข้อมือให้กับลูกหลานเป็นการรับขวัญ และอวยพรเมื่อต้องจากบ้านไปหรือไปทำงาน ไปเรียนต่างถิ่นต่างแดน เพื่อให้สิ่งดีๆคุ้มครองให้ปฏิบัติตัวตามครรลองครองธรรม คุณย่า คุณยายก็มาผูกด้ายอวยพรให้เรา ที่บ้านโฮสต์ของเราก็ผูกขวัญให้ในคืนวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:7:33:49 น.
โดย: บ่กะละ วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:8:46:31 น.
ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำ พึ่งลองเขียนบล็อก และฝึกปรับแต่งใหม่ เดี๋ยวแก้ไขให้ดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ
โดย: บ่กะละ วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:9:57:09 น.
|
Live a good story
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
| |||||