|
 |
 |
 |
 |
|
Return of The Queen
อีกสักพักจะกลับมา เขียนเรื่องราว สนุกแสบสันต์ มันส์ฮาและขมขื่น เร็ว ๆ นี้
Create Date : 09 สิงหาคม 2556 | | |
Last Update : 9 สิงหาคม 2556 12:07:25 น. |
Counter : 783 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
3:193
25 พฤษภาคม 2554 ครบรอบ 3 ปี การต่อสู้ 193 วัน มีความสุขมาก เลิกงานไปเอาบัตรประชาชนก่อนแล้วก็ไปชุมนุมต่อ ไม่ได้ไปหลายเดือน เปลี่ยนไปเยอะมาก คนเพียบ มีเต๊นท์เยอะ คนเยอะ ฟ้าครึ้ม แต่ก็ไม่หวั่น
เห็นพี่ตั้วบนเวที และเสียงน้องเก๋-กมลพร พยายามเดินไปหน้าเวที คนเยอะกว่าเดิม เข้าไปไม่ได้กว่าเดิม แต่ก็พอจะถ่ายรูปได้
หลาย ๆ คนเริ่มมาบนเวที ร้องเพลง 193 วันรำลึก พอวรรคแรกขึ้น "วันวานไม่เคยหวนคืนย้อนมา" น้ำตาก็มาแล้ว ... ร้องจนจบเพลง มีความสุข ....  
Create Date : 25 พฤษภาคม 2554 | | |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2554 20:56:06 น. |
Counter : 426 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Daily diary
วันที่ 21 พฤษภา อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือน events เยอะแยะ ไล่ไปเรื่อย ๆ จนสิ้นเดือน อบรม ประชุมกรรมการยา audit งาน ฯลฯ
อีกไม่นานก็จะเข้าสู่เดือนสุดท้ายของครึ่งแรกของปี 2554 ...
เวลาไวมาก ไวจนน่าใจหาย แต่จะว่าไปบางทีก็ช้า เวลาเป็นเรื่องสัมพันธ์มาก ๆ ถ้ามีความสุขเค้าก็ว่าเวลาจะเดินเร็ว ถ้ามีความทุกข์เวลาก็จะเดินช้า ...
Just believe ....
Create Date : 21 พฤษภาคม 2554 | | |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2554 21:40:56 น. |
Counter : 420 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
หนักแน่นเด็ดเดี่ยวชัดเจน ความรักจึงดูโดดเด่นในปีนี้ รักไม่มีเปลี่ยนแปลง อาจจะต้องแต่งงานหรือหมั้นเกิดขึ้น แต่จะชอบการเลือกคู่ที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า ทั้งวุฒิภาวะและอายุ เป็นคนไม่หวือหวา ดังนั้นคู่รักจึงต้องคอยให้กำลังใจร่วมคิดร่วมทำ อาจจะเคยทำบุญร่วมกันมาก่อนหากเป็นคู่แท้ แต่ถ้าอกหักจะปวดร้าวอย่างหนัก ผู้ที่เกิดในราศีนี้หากใครได้เป็นเนื้อคู่จะดีนักแล การเสริมพลังรักควรวางมังกรหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พกจี้ รูปเล้งไว้กับตัวหรือห้อยไว้ที่บ้าน ห้องนอน การเสริมฮวงจุ้ยยังทำได้โดยการสร้างถาวรวัตถุ โบสถ์ วิหาร จะแก้เคล็ดดีนักแล
ถ้าคบกันมาก่อนและไม่ใช่เนื้อคู่ก็จะแยกกันไปในปี 2553-2554 นี้ ส่วนเนื้อคู่ที่แท้นั้นอาจจะเจอกันและครองคู่ได้ตั้งแต่เมษายน 2556-2557 ช่วงดีอยู่ในเดือน มกราคม เมษายน สิงหาคม ส่วนช่วงควรระวังอยู่ในเดือนธันวาคมและกรกฎาคม
Create Date : 01 มีนาคม 2554 | | |
Last Update : 1 มีนาคม 2554 20:50:59 น. |
Counter : 385 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
TABLET สีม่วง
จบจุฬาฯ ตอนมีนาคม ปี 2543 ข้ามฝั่งจากสามย่านมาทำงานแถวฝั่งธนบุรี เมษายน 2543 ชีวิตมาจากภาวะวิกฤติฟองสบู่แตก เป็นยุคที่ต้องกระเสือกกระสนหางาน พอ ๆ กับที่ตำแหน่งงานก็มีให้เลือกไม่มาก เพื่อนจุฬาฯ ที่เข้ามาด้วยกัน 4 ชีวิตตอนนี้เหลือเพียงฉันคนเดียว ก่อนจะเข้ามานี่ก็ลำบากพอดู เพราะมาสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกก็ไม่ติด ชีวิตไม่เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาก่อนเลย มาครั้งที่สองนี่แหละเขาถึงตัดสินใจรับ ชีวิตตั้งแต่เรียนจบมา เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น ความจริงก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนัก ชีวิตช่วง เมษายน 2543 ถึง พฤษภาคม 2546 ชีวิตค่อนข้างราบรื่นดี แม้ว่าจะมีการป่วยให้เห็นเป็นระยะ ๆ ชีวิตการทำงานในที่นี่ไม่เคยทำให้ฉันต้องอดตาหลับขับตานอนมากเท่าไรนัก มีบ้างที่ต้องเอามือนอนก่ายหน้าผาก แต่ก็ไม่เคยคิดจะถอดถอนใจ หรือร้องเฮ้อ มากมายนัก ความสนุกสุขสมก็มีมาเยือนเป็นระยะ ๆ พอให้สนุกสนาน แต่กิจกรรมบันเทิงกลับเป็นงานที่ฉันลงไปคลุกคลีมากกว่าสมัยที่เรียนปริญญาตรี ทุกวันนี้กลับไปที่คณะเห็นรุ่นน้องแล้วก็รู้สึกว่า เอ ทำไมช่วงนั้นฉันไม่นึกอยากทำ... แต่ชีวิตหลัง มิถุนายน 2546 นี่สิ ที่ทำให้รู้สึกว่า นรกมีจริง !! ฉันกลับไปเรียนปริญญาโทที่จุฬาฯ อีกรอบและเลือกทำวิทยานิพนธ์กับอาจารย์ท่านเดิมที่เคยทำ Senior Project ด้วยกันมาสมัยปริญญาตรี ชีวิตการเป็นนิสิตเริ่มต้นอีกรอบ การเรียน lecture ไม่ทำให้ฉันกลัวมากมายเท่าไรนัก เพราะประสบการณ์ที่ขมขื่นสมัยปริญญาตรี สอนให้ฉันอดทนมาพอสมควรแล้ว จำสภาพได้ว่า ต้องร้องไห้ และก็ตื่นแต่เข้าไปหาอาจารย์ให้ช่วยติว organic chem. ให้ หรือการสอบตกคณิตศาสตร์ในเทอมแรกของชีวิตการเป็นนิสิตจุฬาฯ แถมด้วยเกรดเฉลี่ยที่น่าใจหาย 2.00 !! อย่างนี้เป็นต้น 10 มกราคม 2548 วันที่ฉันเอาเอกสารไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาลงนามเพื่อขยายเวลาเรียนออกไปอีก 6 เดือน ฉัน appreciate กับอาจารย์ท่านนี้มาก ช่วยทุกอย่าง .. ไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจ รังงอนอะไร และก็รู้สึกว่าจะคอยเป็นกำลังใจให้ฉันตลอดมา เอาเอกสารไปยื่นที่ฝ่ายแล้ว อีกไม่นานคงจะได้รู้กัน.. 21 มกราคม 2548 เป็นวันที่เอกสารขอขยายเวลาส่งกลับมาอีก และตามมาด้วยการที่ฉันจะต้องทำเอกสาร ทำสัญญากับนิติกรของมหาวิทยาลัยอีกมากมาย ฉันรำคาญกับ processes ที่มากมายขนาดนี้ ก็เลยคิดว่ากลับบ้านดีกว่า (พอดีฉันเสี่ยงทายไว้ว่า วันนี้ถ้าธรรมศาสตร์ชนะบอล ฉันจะกลับ แล้วธรรมศาสตร์ก็ชนะจุฬาฯ 1-0) อาจารย์ที่ปรึกษา ก็รู้สึกว่าโอเค เขากลัวว่าฉันจะใจเย็น แต่มันไม่มีทางใจเย็นได้แน่นอน พี่ ๆ ที่ทำงานก็โอเคที่ฉันจะกลับไป สรุปว่า วันที่ 1 มิถุนายน 2548 ฉันจะกลับภูมิลำเนาเดิม แต่จะพยายามจะไม่ใจเย็น และจบให้ได้ภายในกรกฎาคม 2549 นานแค่ไหนก็จะรอ
14 สิงหาคม 2547 หลังจาก 1 เดือนที่ไม่มีเวลาเขียนบันทึกอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ฉัน defense proposal เรียบร้อยไปเมื่อ 10 สิงหาคม 2547 แล้ว โดยที่การนัดอาจารย์ยากลำบากลำบนมาก แต่ advisor ฉันก็ช่วยออกแรงอยู่เบื้องหลัง ฉันรู้ดี ถ้าไม่ได้อาจารย์งานจะไม่ออกมาง่ายขนาดนี้ ขณะนี้ที่เขียนนี่คือ วันที่ 2 ธันวาคม 2547 ซึ่งก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าใดในเรื่องวิทยานิพนธ์ ขณะนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะต้อง ไปเก็บ case ที่อื่น ๆ ด้วย ขณะเดียวกันฉันก็สมัครเรียน มสธ. สาธารณสุขศาสตร์ เอกบริหารสาธารณสุขไว้อีก 1 ใบ มันช่างเป็นการหาเรื่องอะไรเช่นนี้ เวลามีไม่พอแล้วยังดิ้นรนทำอะไรแบบนี้อีก แต่เอาน่าก็มันสมัครไปแล้วนี่นา The Show Must Go On !! วันที่เขียนวันนี้คือ 21 ธันวาคม 2547 ผลการจัดการปัญหาวิทยานิพนธ์ของฉันก็คือการเปลี่ยนหัวข้อโดยที่ไม่ต้องไปทำที่อื่นเพิ่มเติม ก็ดีจะได้ไม่ต้องวิ่งไป วิ่งมา เหนื่อยนะโว้ย เพราะไม่งั้นจะไม่จบเอา สภาพฉันตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรจาก โมเสสที่เดินถือไม้เท้าลงไปในทะเล เพื่อรอคำสั่งจากพระเจ้าให้เอาไม้ฟาดลงไป ปาฏิหาริย์จะมีจริงไม่ ? อีกไม่นานก็จะรู้ ... บางที เหมือนตายแล้วเกิดใหม่นะ กับการที่มาถึงทางตัน ต้นไม้ใกล้จะตาย แต่ยังมีใบเขียว ๆ อยู่อีกใบ รอให้เราเอาไปลงดินซ้ำ รดน้ำ เดี๋ยวมันก็จะเจริญเติบโตใหม่ได้อีก ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ ... วันที่เขียนวันนี้คือวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548 มีเรื่อง very big surprise สุดฤทธิ์เกิดขึ้น (วันที่ 23 กุมภาพันธ์ นั่นแหละ) อาจารย์โทรมาที่บ้านมาถามข่าวคราว มาถามว่างานไปถึงไหนแล้ว อาจารย์เป็นห่วง แต่ที่น่าดีใจมาก ๆ คือ อาจารย์ให้ลด number of cases ลงเหลือ 15 cases/group ก็เท่ากับว่าเรามาได้ครึ่งทางพอดี เราร้องไม่ออกน่ะ มันตื้นตันในหัวอก หนึ่งคือ Advisor กูทำไมน่ารักปานนี้ สอง ทำไมโชคดีจึงเพิ่งจะมาบังเกิดกับกูเอาตอนที่กูจะไม่ไหวอยู่แล้ว อืม ก็พยายามเขียน thesis เข้าแล้วกัน อาจารย์เขาก็ช่วยได้เพียงบางเรื่อง แต่จะพยายามครับ !! 3 มีนาคม 2548 หลังจากที่เอาชีวิตรอด คำนวณ N ได้ตามที่ต้องการคือ 15 คน (เกือบไม่รอด) ก็รีบ print ไปส่งอาจารย์ โชคไม่ดีที่โทรไปที่ภาควิชาอาจารย์ไม่อยู่แล้ว แต่รู้สึกโล่งใจที่คำนวณ N ได้ตามที่ต้องการ เหมือนกับจะต้องวน loop ไปเริ่ม processes ต่าง ๆ ใหม่ แต่ถ้าจะทำให้จบเร็วขึ้นก็ยอมนะ (คิดเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ชีวิตมันช่างทรหดสิ้นดี) [กำลังเตรียมตัวผ่าตัดไส้เลื่อนวันที่ 9 มีนาคม 2548] วันที่ 7 มีนาคม 2548 เตรียมตัว ไป admit เพื่อผ่าตัดไส้เลื่อน วันที่ 8 มีนาคม ก็ไม่มีอะไรมาก เราเตรียมพร้อม เจ็บมาก หรือไม่มาก เดี๋ยวก็รู้ -ผู้ชายอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เข้ามา แต่ว่าไม่ใช่หัวใจ- ชอบจังเลย Quoting อันนี้ ของดร.เสรี วงษ์มณฑา รู้สึกว่าถ้าทำได้แบบนี้จริง ๆ จะเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ แต่บางที คนเราที่มีเนื้อหนังมังสา มันย่อมจะปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งการที่มีใครเข้ามาสักคน ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี โอเคนะ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกว่า ฉันเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า และเชื่อในคำพูดที่ว่า อย่าฝากความหวังไว้กับใคร นอกจากพระเจ้า ฉันก็ยังโหยหาสิ่งที่เรียกว่าผู้ชายอยู่ดี ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้ฉันพยายามจะรักและทุ่มเทให้กับงาน ครอบครัว และตัวเองมากกว่าผู้ชาย แต่...ผู้ชาย ก็มีค่าเท่ากับ ผงชูรส ชั้นเอกที่จะมาชะโลมจิตใจฉัน , ฉันเชื่อว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่คิดแบบนี้ straight male ก็คิด ย้อนกลับมาเรื่องสุขภาพบ้าง วันนี้ (13 มีนาคม 2548) ฉันยังไม่ค่อยได้ออกไปไหนเพราะเรื่องแผลผ่าตัดที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางดี เมื่อคืนก็เจ็บเสียจนต้องตื่นขึ้นมากินยา มันช่างเป็นอะไรที่ทรมานจริง ๆ คิดผิดมั้ยเนี่ยที่ตัดสินใจผ่า แต่ช่างมันเหอะ อดทนแป๊บเดียวเอง มิถุนายน จะได้กลับไปทำงานแบบสบายอกสบายใจเสียที เรื่อง cases ทั้งหลายก็เลื่อนไปเก็บเอาเมษายนก็ได้ 19 มีนาคม 2548 เมื่อวานไป follow up เรื่องแผลผ่าตัด ทุกอย่าง โอเคเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาอะไร วันพรุ่งนี้ advisor ของฉันก็จะกลับมาแล้ว ช่วงนี้ เริ่มเขียน thesis ไปได้บ้างแล้ว แต่ก็เพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้นมาก ๆ ยังต้องเขียนอีกเยอะ .. 22 มีนาคม 2548 เมื่อวานเอาเอกสารไปให้อาจารย์เซ็น ก็ได้คุยกันหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้ง thesis ด้วย ก็เพิ่งได้เล่าให้อาจารย์เขาฟังว่า เออ เราร้องไห้แฮะ ! อาจารย์ก็งง ๆ แต่เขาก็ไม่แปลกใจหรอก มีใครบ้างเหรอที่ไม่ร้องไห้ ? แต่อาจจะไม่ได้ร้องไห้ทุกเดือนแบบฉันแน่นอน .. 15 เมษายน 2548 กำลังจะกลับไปทำงาน รู้สึกแปลก ๆ หลังจากที่ไม่ได้ชีวิตแบบคนที่ต้องตอกบัตรทำงานมานาน 2 ปี ระบบคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ต้องไปเรียนรู้ เตรียมตัวทำงานสุดฤทธิ์ ชีวิตความรักก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ คบกัน แล้วก็เลิกกัน ชีวิตไร้สาระตั้งแต่นายตำรวจท่านหนึ่งจากไปเมื่อ 9 เมษายน 2547 พยายามจะไม่จำ แต่มันไม่เคยลืมได้สักที 18 กรกฎาคม 2548 วันนี้ คนสายสื่อสารมวลชนท่านหนึ่ง ที่เคยมาอัดรายการนั้น มาคุยมากินข้าวด้วย เราเองก็มีความรู้สึกที่ positive กับเขาอยู่แล้วก็เลยวันนี้ได้บอกออกไป อาย แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง รู้สึกว่าเออ เราดีใจที่ได้บอกเขาไป แม้ว่า เราเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตาม เขาเองก็น่ารัก ที่ไม่รู้สึก anti- อะไรเลย (เหตุการณ์หลังจากที่เราได้บอกไป มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น สรุปว่าเป็นเพื่อน [สาว] กันแน่นอน หลัง ๆ ก็ยังมีการโทรมาขอความช่วยเหลือเป็นระยะ ๆ หลังจากที่ได้วัดใจไปแล้วเรียบร้อยก่อนไปสัมมนาที่พัทยา ด้วยการตอบบทสนทนาว่าเขาไม่ว่าง สุ้มเสียงที่ไม่ปรารถนาจะคุยด้วย) ดีกว่าให้มันคับอกคับใจเรา เรามีโอกาสได้บอกออกไปก่อนที่จะไม่มีโอกาส 31 กรกฎาคม 2548 ส่งท้ายเดือน หลังจากที่ไปสัมมนามาแล้ว ก็เป็นอันว่าจบสิ้นสุดการรอคอยที่จะปิดฉาก ชีวิตการแสดงลงได้ วันนี้อาจารย์โทรมาหา ก็เรื่องงานและ cases ต่าง ๆ มีเรื่องเก็บตกจากสัมมนา ก็คือ คนที่ทำงานของฉันบางคน เธอริษยาในความโดดเด่น ความกล้าหาญของเรา กระแนะกระแหนเรื่องที่เราได้รางวัลจากการแข่งขันอะไรกันบางอย่าง ไม่ได้ด่าเราตรง ๆ ด่ากรรมการ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดออกมาจากคนที่เป็นระดับรองหัวหน้า และเป็นคนที่อ่านหนังสือธรรมะ น่ารังเกียจจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย เพราะรู้ดีว่าคนที่ได้ยิน ได้ฟัง เขาคงจะคิดได้ว่าใครผิด ? 27 สิงหาคม 2548 เหตุการณ์ปกติยังไม่มีอะไรมาก ทำงาน ทำ thesis ต่อไปอย่างสงบ พยายามจะไม่หาเรื่อง ไม่อะไรทั้งสิ้น ความรัก ก็มีวูบวาบ เศร้าซึมมาเป็นพัก ๆ 3 กันยายน 2548 มีเรื่องที่แปลก ๆ เกิดขึ้น ก็บังเอิญว่าคนรู้จักที่เขียนหนังสือแนว ๆ สีม่วง ๆ มาติดต่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับ G-lifesyle ของเรา มันก็ไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแต่ว่าเรารู้สึกว่าอยากจะทำอะไรให้มัน complete ก็เลยมาขออนุญาต ก็ปรากฏว่าจริง ๆ ที่บ้านคงจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไร แต่อาจจะขัดไม่ได้ ที่แย่ที่สุด (หรือจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเรื่องดี) คือ มีเสียงพูดออกมาว่า แน่ใจหรือว่าจะไม่มีใครจำเสียงแกได้ ฉันก็รู้นะว่าไอ้โรคแบบนี้มันรักษาไม่หาย แต่ฉัน อาย ที่จะให้คนทั่ว ๆ ไปรู้ว่ามีน้องชายเป็นเกย์ สาธุ ! ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงที่ทำให้ฉันได้ยินคำ ๆ นี้ ในที่สุดก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วคนที่บ้านฉัน ยัง ไปไม่ถึงไหน เลยเรื่องแบบนี้ ก็เข้าใจล่ะนะ .. พ่อเองก็พูดในทำนองเรื่องการที่ผู้ชายรักผู้ชายว่า มันไม่ได้ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ชายมันก็ต้องรักผู้หญิง พูดทำนองว่าความศักดิ์สิทธิ์มันเกิดขึ้น รังสรรค์ขึ้นได้ด้วยความรักต่างเพศ กระนั้น ลองมาดูความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตจริงที่ฉันได้รู้เอง เห็นเองมาดีกว่า พี่พนักงานของฉันคู่หนึ่งมีลูกชายกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ปรากฏว่าหลังจากที่ใช้ชีวิตบนหนทางความศักดิ์สิทธิ์มา 10 กว่าปี ก็ขอยุติความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวลง ฝ่ายหญิงกล่าวกับฉันว่า ชีวิตหลังจากที่แยกกันอยู่แล้ว ศักดิ์สิทธิ์ และมีความสุขมากกว่าสมัยก่อนเสียอีก ... แล้วทีนี้จะว่าอย่างไร
23 ตุลาคม 2548 วันนี้เมื่อปีที่แล้ว เราได้ไปทำงานนอกสถานที่ที่ชะอำ และกลับมาพร้อมกับ อี-เมลบอกเลิกจากว่าที่แฟนอย่างไม่ทันตั้งตัว การที่เราอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็แสดงว่า เราเข้มแข็งมากพอสมควร และก็แสดงว่า ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมีใครสักคนที่อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา ทั้งคุณตำรวจเอย, คุณบรรณารักษ์ห้องสมุดเอย, คุณเซลลส์เอย,รวมทั้งคุณวิศวกร เหล่านี้ล้วนเป็นประจักษ์พยานที่ดีว่า เราเองก็สามารถอยู่ได้ โดยไม่มีใคร และก็เป็นเรื่องจริงที่เราเองนั้น ร้อนนิรันดร์ ในเรื่องความรัก แต่บางทีก็เป็นเรื่องที่น่าน้อยใจนะ สำหรับคน ๆ นึงที่อยากมีรักสักที 24 ตุลาคม 2548 เตรียมตัวไปประชุม 3 วัน ไม่มีอะไรมาก เวร ก็หมดแล้ว ยกไปบ้างแล้ว วันที่ 31 plan จะไปเก็บ cases ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่คน เฮ้อ อีกนิดนะ ... 5 พฤศจิกายน 2548 ไปเก็บเคสนอกสถานที่มา ได้มา 2 เคส สนุก และเหนื่อย แต่ก็คุ้มค่า วันที่ 31 ตุลาคม เป็นวันที่รู้สึกว่าชีวิตกูคุ้มจริง ๆ ไปหลายที่ ฝ่าการจราจรที่สาหัสสากรรจ์ไปโรงพยาบาล แต่ในความโชคร้ายก็มีโชคดีปนมาเสมอคือ ได้เคส และเคสก็ดีด้วย การ present งานให้ผู้บริหารดูแล้ว เขายอมรับออกมาด้วยปากเองว่า เราทำงานเกินร้อยเปอร์เซนต์ แต่ทิฐิมานะส่วนตัว มันไม่หมดไปง่าย ๆ หรอก ช่วงสองสามอาทิตย์มานี้ รู้สึกเหนื่อยและท้อถอยมาก ไฟหมด 13 พฤศจิกายน 2548 งานแต่งงานของเพื่อนสนิท ผ่านไปแล้วด้วยดี ทุกอย่างโอเค ไม่เหนื่อยมากเท่าไร เพราะว่านักดนตรีค่อนข้างเป็นมืออาชีพ ก็ดีใจที่เห็นเพื่อนเป็นฝั่งเป็นฝาไปอีกคนนึง กลับมาจากงานนี้ก็ไม่ค่อย depressed สักเท่าไร เพื่อนอีกคนก็มารับกลับบ้าน มันน่ารักเสมอสำหรับฉัน ...และก็มีน้ำใจดีตลอดมา วันพรุ่งนี้นัดเคสไว้ ก็โอเคสำหรับ case เขาให้ความร่วมมือดีพอสมควร อยากจะซื้อวิตามินให้ตอนหลัง เพื่อเป็นการขอบคุณด้วย เดี๋ยววันที่ 23 ก็มีนัดกับ case อีกคนหนึ่ง ก็อดทนอีกสักระยะแล้วกัน 26 พฤศจิกายน 2548 ช่วงนี้เหนื่อย ๆ นิดหน่อย แต่ก็ยังใจสู้สม่ำเสมอ ไปเก็บ case ทำหน้าที่ให้เสร็จอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตารางเวรงานใหม่ออกมา น่ากลุ้มใจนิดหน่อยที่อยู่เวรถี่ เกรงใจพ่อแต่ก็จะทำยังไงได้ เรื่องไปเป็นอาจารย์ก็ไม่ได้ สรุปว่าก็ต้องอยู่กับตรงนี้ต่อไป การงานก็เรื่อย ๆ ไม่มีอะไรหวือหวามาก 27 พฤศจิกายน 2548 วันนี้ ไปดูดวงกับพระมา ลักษณะดวงก็ไม่มีอะไรหวือหวามาก ดวงความรักก็ไม่มีอะไรที่เกินความคาดหมาย ดวงเรื่องคู่ไม่มี แต่งงานช้า แต่งงานยาก แถมคู่ชีวิตก็ไม่เวิร์ค หมายถึง ภรรยาน่ะ สามี....ไม่ได้พูดถึงหรอก พระอาจจะเกรงใจหรือยังไงก็ไม่รู้สิ แต่สรุปว่าไม่มีทาง เรื่องการเรียนเป็นอะไรที่เวิร์คมากกว่า ก็สมควร ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างใช่มั้ย ทำงานต่อไปดีกว่า .. 4 ธันวาคม 2548 เดือนสุดท้ายของปี 2548 แล้ว วันที่ 2-3-4 นี่อยู่เวรได้ทรหดมันส์มาก วันเสาร์นี่เหนื่อยที่สุด ไม่เข้าใจว่าอะไรที่มันวางแผนได้ทำไมไม่ทำกันหนอ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นใจคนทำงาน บ้างหรือยังไง .. ได้ case ครบแล้ว เหลือแต่การตามให้ครบ ก็เริ่มนับถอยหลังได้แล้ว 11 ธันวาคม 2548 วันนี้ไปเก็บเคสมา ก็โอเค case ให้ความร่วมมือดี เหนื่อยนิดหน่อย รู้สึกเศร้า ๆ ความรู้สึกที่แปลก ๆ เรื่องชีวิตคู่ทำไมมันเข้ามารบกวนจิตใจบ่อยเหลือเกิน พยายามจะสลัด แต่ก็ไม่ค่อยจะหลุดเอาซะเลย อ้อ วันที่ 10 ธันวาคม ไปบรรยายมา ตอนเย็นไปกินข้าว กินข้าวกับน้อง ๆ หนุ่ม ๆ ก็มีความสุขดีไปอีกแบบ 17 ธันวาคม 2548 มาได้ครึ่งเดือนแล้ว งานเริ่มชุก thesis ก็ส่ง material & method ไปให้อาจารย์ดูแล้ว คงจะมีเวลาอ่านงานเราได้สบาย ๆ เลย งานปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น เพราะไม่ได้เตรียมการแสดงอะไรไว้เลย (จริง จริ๊ง) 24 ธันวาคม 2548 Christmas Eve เตรียมตัวสำหรับงานปีใหม่ ไม่มีอะไรมาก เพราะไม่ได้เตรียมการแสดงอะไรไว้เลย มีหลายเสียงที่ขอให้มีการแสดง แต่เราเองก็ตั้งใจไว้แล้ว .. ช่างเหอะ 30 ธันวาคม 2548 อีกไม่กี่ชั่วโมงปี 2548 ก็กำลังจะผ่านพ้นไป งานปีใหม่ผ่านไปแล้ว ค่อนข้างจะกร่อย เพราะเราไม่มีการแสดงอะไร แขกที่มาค่อนข้างคาดหวังว่าจะมีการแสดง แต่ไม่มี ทีนี้ก็รู้แล้วสินะครับว่ามันเป็นยังไง กำลังจะเริ่มอยู่เวรของงานใหม่ เราประเดิมวันที่ 1 มกราคม 2549 พอดิบพอดี ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เราคงจะต้องทบทวนตัวเองอะไรหลาย ๆ อย่าง เกี่ยวกับความประพฤติ พฤติกรรม ค่านิยมอะไรต่าง ๆ ควรจะปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม เหลืออย่างเดียวที่ปรับไม่ได้น่าจะเป็น sexual orientation นี่แหละมั้ง .. 31 ธันวาคม 2548 กับเวลาอีกไม่ถึง 6 ชั่วโมง ปี 2549 ก็จะมาถึงแล้ว เวลาเดินทางมาจนสิ้นสุด ปี 2548 แล้ว thesis ก็ยังคงดำเนินต่อไป อดทนกันต่อไป แล้วก็คิดว่าปีหน้าที่จะมาถึง คงจะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ขอให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ ขอบ่นนิดนึงเกี่ยวกับเรื่องหัวใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมจนป่านนี้ยังทำใจไม่ได้กับเรื่องความรัก .. ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ limitations อยู่แล้ว จะกระเสือกกระสนไปทำไมกับสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาด้วย เป็นความพยายามที่สูญเปล่า ซึ่งไม่ควรจะให้มันเกิดขึ้นบ่อยนัก 4 มกราคม 2549 ปีใหม่เข้ามาแล้วประมาณ 4 วัน อยู่เวรแล้วก็สนุกดี มีเรื่องที่แปลกคือ พี่ตำรวจที่กรุงเก่าโทรมาหา คุยไปคุยมา เราก็บอกว่าเสียงของเขาเหมือนกับคุณตำรวจคนเก่าที่เดินจากชีวิตของเราไปที่เป็นตำรวจอีกคนเหมือนกัน (แต่เสียงเหมือนกันจริง ๆ นะ ขอบอก) เราบอกไปเสร็จ เวร.. เสือกร้องไห้ เออ เขาคงงงนะ ว่าอีนี่เป็นอะไร ตอนเย็นเอาตัวเล่มไปให้อาจารย์ดู ก็มีแก้ไขในส่วน materials & methods ค่อนข้างเยอะ การเรียงลำดับอะไรต่อมิอะไร อาจารย์บอกว่า ถ้าไม่ทันเดี๋ยวเทอมหน้าอาจารย์ออกค่าเทอมให้ โฮ้ย อาจารย์ผมน่ารักจริง จริ๊ง 19 มกราคม 2549 ช่วงนี้ บันทึกถี่นิดนึง วันนี้รู้สึกล้า ๆ เหนื่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะเรื่องอยู่เวร แต่ก็คงจะปริปากบ่นไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาพยายามทำหน้าที่ให้ดี เดือนนี้ตั้งใจจะให้เป็นวันสุดท้ายของการเก็บเคส แต่ final แล้วก็จะเสร็จภายในมกราคม 2549 แน่ๆ 5 กุมภาพันธ์ 2549 เหลือเวลาอีกไม่นานจะเข้าสู่ช่วงที่ลำบากลำบนแน่นอน ทั้งการ สอบป้องกันวิทยานิพนธ์ สอบ final มสธ. จะตายมั้ยนี่ เรา 14 กุมภาพันธ์ 2549 วันวาเลนไทน์ วันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน เป็นวันที่คุณตำรวจคนแรก โทรมา อันที่จริงต้องบอกว่าเราโทรไปหาก่อน พี่เขาโทรมาเพื่อส่งความปรารถนาดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ และจากนั้นไม่นานความจำพรากก็มาเยือนฉัน วันนี้ - โทรไปหาคุณตำรวจที่กรุงเก่า ก็ไม่ได้มีอะไรมาก เราเข้าใจว่า อาชีพแบบนี้ ก็คงจะมานั่งนับไม่ได้หรอกว่า วันไหนวันวาเลนไทน์ วันไหนกูจะต้องทำอะไรสวีท ๆ แต่ที่พูดออกมาแล้วชื่นใจ 1 ประโยคคือเรียนจบเมื่อไรบอกด้วย อยากให้พี่เขามางานรับพระราชทานปริญญาเราจัง ... ตบท้ายจะไปดู หุบเขาเร้นรักแล้วแต่รอบหนังไม่ match กับเราเลยต้องกลับ เสียดายว่ะ 25 กุมภาพันธ์ 2549 วันนี้ได้ไปดู Brokeback Mountain สมใจแล้ว ไม่มีอาการสะอื้น ร้องไห้แต่อย่างใด เปิดฉากมาด้วยความระทึกใจ doggy กันแต่หัววัน (รู้สึกว่าจะเห็น K พระเอกด้วยแหละ) ฉากตระการตาของธรรมชาติมันช่างหอมหวาน แต่เมื่อหวนกลับสู่ชีวิตที่เป็นจริง ก็พบว่าสองพระเอกตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชีวิตแบบจารีตนิยม ท้ายสุด พระเอกที่ชื่อ Jack Twist ก็ถูกฆาตกรรม (กระแสข่าวหลักบอกว่า ไม่ใช่) น่าสงสาร ตั้งใจว่าจะพยายามไปดูอีกรอบให้ได้ 27 กุมภาพันธ์ 2549 ไปดู Brokeback Mountain อีกครั้งที่ Emporium ค่าตั๋วถูกกว่า บรรยากาศดีมาก คนน้อย ดูสนุก และก็ได้ความบันเทิงมาก มีความสุข แต่มันก็มีความรู้สึกเล็ก ๆ ว่าสงสารเมีย ๆ ของพวกเขา คิดว่า เอ ผู้ชายมันเห็นแก่ตัวหรือเปล่า? เขาทำตามอารมณ์ของตัวเองมากไปหรือเปล่า มีทางออกที่ดีกว่านี้มั้ย ? ร้องไห้มา 3-4 ตลบแล้วนะนี่ Brokeback ก็เหมือนกับสถานที่อะไรสักอย่างที่เราจะเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด เป็นที่ปลดปล่อย เป็นที่ระบาย เป็นโลกส่วนตัว พ้นไปจากหน้ากาก ขนบประเพณีที่สร้างขึ้นมาครอบพวกเรา 6 มีนาคม 2549 ช่วงของการลาอีกแล้ว ขอลาประมาณ 3 วัน จะทำงานให้เสร็จ ๆ เฮ้อ เหนื่อย ผลออสการ์รู้สึกว่าจะออกแล้ว อัง ลี ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม ในขณะที่ตัวหนัง ดาราไม่ได้รางวัล ก็เป็นไปตามที่เคยอ่านมาก่อนหน้านี้ว่า โลกฮอลลีวู้ดเองก็ไม่ได้ยอมรับในเรื่องนี้สักเท่าไร ตะวันตกที่เราคิดว่า มีการยอมรับ มี freedom, liberty แท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงอะไรที่ฉาบเคลือบไว้เฉย ๆ เท่านั้น 15 มีนาคม 2549 ช่วงนี้ ไม่ค่อยมีอะไรที่น่าจะบันทึกเท่าไร เหตุการณ์ค่อนข้างจะปกติ เหลืออีกเพียง 1 เดือนที่ thesis จะต้องเสร็จแล้ว ตอนนี้ อาจารย์ก็ไปญี่ปุ่น กลับมาประมาณ 26 มีนาคม อยากจะพยายามให้เสร็จ คุณตำรวจคนนั้นที่กรุงเก่า จะได้มาร่วมแสดงความยินดีกับเราได้ อดทนอีกนิดนะ 22 เมษายน 2549 หลังจากที่ไม่ได้บันทึกอะไรมานานมาก ช่วงนี้เข้าด้ายเข้าเข็มมากจริง ๆ นัดสอบป้องกันวิทยานิพนธ์แล้วช่วงบ่าย ไม่มีอะไรมาก อาจารย์เองก็ช่วยเต็มที่อดหลับอดนอนไปกับเราและก็อีกหลายประการ appreciate อาจารย์เขามาก ๆ ตอนนี้พยายามจะไม่สนใจเพราะว่า ขอเอาเรื่องของตัวเองให้เสร็จก่อนที่จะลงไปรบราฆ่าฟันกับคนที่ทำงาน มันเป็นช่วงเวลาที่งวดมาก ๆ งวดเข้าทุกที เหนื่อยก็พยายามจะอดทน แล้วเราน่าจะได้มาเจอกันหลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 นะ ... 10 พฤษภาคม 2549 ในที่สุด ชีวิตได้ก็เดินทางมายังโค้งสุดท้ายของชีวิตนิสิตปริญญาโท หลังจากที่หยุดกระหน่ำอำลางานมาตั้งแต่ 4 พฤษภาคม 2549 ทำงานกับอาจารย์เกือบทุกคืน เจอกันทุกวัน การสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ของฉันก็ผ่านไปได้ วันที่จะสอบ อาจารย์ดูจะตื่นเต้นกว่าฉันอีก แน่สิ โทรเรียกลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็เฉย มัวแต่จัดการเรื่องเปเปอร์อยู่ ตื่นเต้นน่ะตื่นเต้น แต่พอเห็นอาจารย์แล้ว ความตื่นเต้นหายไปเลย ไม่มีการซ้อมใด ๆ ทั้งสิ้น จัดเรียงสไลด์ใหม่เสร็จปั๊บก็เดินเข้าห้องสอบไปเลยครับ.. การ present ลื่นไหลเพราะอาจารย์ช่วยเรียง sequences ไว้ดี อาจารย์เขาเหนื่อยกับฉันมาก รู้เลยแหละ แต่ก็เหมือนกับงานสร้างของ Brokeback Mountain แหละ ความอดทนมีรสขม แต่ผลของมันมีรสหวาน งานวิทยานิพนธ์ของฉันได้รับความกรุณาให้ได้ Very Good เพราะมัน unique, explore มาก ๆ ดีใจนะ หายเหนื่อย มันตอบแทนกับสิ่งที่ทำลงไปได้ดีทีเดียว 15 พฤษภาคม 2549 วันสุดท้ายของชีวิตนิสิตปริญญาโท จุฬาฯ ไปส่งเล่ม ด้วยความช่วยเหลือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉันได้รับการพิจารณาวิทยานิพนธ์จากผู้ตรวจที่ใจดี ปล่อยผ่านมาอย่างฉลุย ได้ข่าวมาว่ามีคนไปส่งเยอะมาก ๆ ช่วงบ่าย (ทราบมาตอนหลังว่า วันที่ 16 ก็ยังมีคนไปส่ง รุ่นนี้ล้างบางกันสุด ๆ จริง ๆ) เฮ้อเหนื่อยแทน การส่งเล่มมันยากยิ่งกว่าสอบ defense เสียอีก จบแล้ว เริ่มต้นชีวิตใหม่ซะที 3 มิถุนายน 2549 เลยวันปิดภาคการศึกษาไปแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าชื่อฉันจะขึ้นบนรายชื่อผู้สำเร็จการศึกษา เฮ้อ ให้มันมาลุ้นเอาช่วงสุดท้ายเนี่ยนะ 12 มิถุนายน 2549 ในที่สุดรายชื่อฉันก็ขึ้นไปอยู่ในรายชื่อผู้สำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นอันว่าโอเค complete รับปริญญาจริงวันที่ 14 กรกฎาคม 2549 รอบบ่าย แล้วก็ผลสอบมสธ. ก็ออกมาแล้วด้วย ได้ S มีความสุขมาก ทำไมเรื่องความรักเราแม่งไม่โชคดีอย่างนี้ว้า ... ในที่สุดแล้วความสัมพันธ์ แบบไม่ถึงครึ่งเดือนของเรากับว่าที่แฟน ก็เป็นอันว่าจบลงด้วยการที่เรา ทำแบบเดิมอีกแล้วคือเมลไปขอยุติความสัมพันธ์กับเขาเอง ไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นคนชิงบอกเลิกนะ มันไม่สำคัญหรอกว่าใครบอกเลิกใคร .. ใครลงมือก่อน ฉันอาจจะผิดเองที่ทนความไม่สามารถของเขาได้ในการรับโทรศัพท์ ฉันรู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงไป ฉันรับไม่ได้ กับคนที่ไม่รักษาคำพูด การที่เขาบอกว่า จะโทรกลับ แล้วไม่โทรกลับ นั่นแสดงว่าจริง ๆ แล้ว เราไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย อย่างนั้น (หรือเปล่า ?) ก็เป็นอีก ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เรานี่ไม่มีความสามารถเอาซะเลยในการมีชีวิตคู่ แต่ช่างแม่งเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เมื่อวานไปดูไฟในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของในหลวงมาสนุกดี เหนื่อยนิดหน่อย เป็นการเที่ยวตอนกลางคืนที่ official legally กลับมาไม่โดนด่า แม้ว่าจะกลับดึกดื่นก็ตาม 18 มิถุนายน 2549 ใกล้วันซ้อม วันถ่ายรูปหมู่ เข้ามาทุกที ก็ไม่มีอะไรมาก เตรียมตัวไปเรื่อย ๆ 1 กรกฎาคม 2549 พรุ่งนี้ ไปถ่ายรูปหมู่ที่มหาวิทยาลัย นัดกับพี่ ๆ ไว้ตอน 10 โมงเช้าคุณตำรวจที่กรุงเท่า มาได้ 1 วัน ก็ยังดีครับ ขอบคุณพี่มาก ๆ ครับที่มาเป็นกำลังใจให้ผม อ้อมีข่าว update ว่า วันที่ 30 มิถุนายน 2549 ว่าที่แฟนคนที่ฉันเคยพูดไปน่ะ โทรมาหา ไม่เชิงขอคืนดี แต่โทรมาคุยด้วยใหม่ สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงช่วงนั้นคือ แฟนของเขาเสีย เราเองก็บอกไม่ถูก ได้แต่บอกไปว่า เขาน่ะใจร้ายมาก ที่ทำกับเราแบบนี้ ทำไมไม่บอกกัน อยากรู้จังเลยว่านี่เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่คุณตำรวจคนเก่าเดินจากเราไปหรือเปล่า ? 2 กรกฎาคม 2549 ขออนุญาตร้องไห้อีกวัน คุณตำรวจที่กรุงเก่ามาไม่ได้ ติด event ที่ตลก ๆ เรื่องน้ำท่วมแล้วก็เงินในมือถือที่เติมไว้หมด เขาบอกว่าติดต่อเราไม่ได้ มันตลกตรงที่เฮ้ยคุณอยู่ กรุงเก่านะ ไม่ใช่ แม่สอด เจาะไอร้อง บัตรเติมเงินน่ะ หาซื้อง่ายนะ แต่ก็ช่างมันเหอะ ในที่สุด เราก็รู้ว่าในเวลาจริง ๆ แล้วมีใครบ้างที่อยู่กับเรา พี่เอ๊กซ์ - ตำรวจที่ไม่ใช่เกย์โทรมาให้กำลังใจ เออ.. ตลกดี แต่ขอบคุณพี่เขาแหละ วันนี้ก็มีคนที่ทำงานที่สนิท ๆ กันมาช่วยให้กำลังใจ เฮ้อในที่สุด ก็มีแต่เพื่อนสาวที่อยู่กับเกย์ เศร้าจริง ๆ แต่ The Show Must Go On ยังไงชีวิตดิชั้นก้อต้องดำเนินต่อไป เจ็บมารอบหนึ่งแล้ว จะเจ็บอีกสักรอบจะเป็นไรไปเว้ย (Motto ของแก๊งชะนีกับอีแอบบอกว่า แฟนหนุ่มเดินเข้ามาแล้วก็เดินจากไป แต่เพื่อนสาวนั้นไซร้อยู่ยั้งยืนยง) 7 กรกฎาคม 2549 วันนี้ไปซ้อมรับปริญญามา ก็โอเคไม่มีอะไรมาก ผ่านไปได้ด้วยดี วันจริงไม่น่าจะมีอะไรขลุกขลัก ลำดับเข้ารับอยู่ในช่วง 30 คนแรก ตื่นเต้น ๆ 15 กรกฎาคม 2549 ผ่านวันสำคัญไปอีกวันแล้ว ก็เป็นอันว่าคุณตำรวจที่กรุงเก่าไม่มาจริง ๆ และก้อไม่โทรมา โอเค ก็เป็นอันว่าจบกันเท่านี้จริง ๆ ส่วนคุณตำรวจคนแรกไม่ต้องพูดถึง เพราะมันจบไปนาน นานมากแล้วจริง ๆ พี่ที่ทำงานคนนึงรู้ใจมาก ๆ เอาซีดีคาราบาวมาให้ ถูกใจมาก แล้วก็ปูกับแฟนหนุ่มเอาดอกไม้มาให้ น่ารักมาก ส่วนเพื่อนสาวก็มาให้เมื่อวานก็เอา Parker product มาให้ ได้ถ่ายรูปกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่สุกที่รัก เอามาลัยไปให้อาจารย์ตามที่ตั้งใจไว้ทุกคน event ในหอประชุมไม่มีอะไรมาก ร้องไห้ตอนที่ CU chorus มาร้องเพลง (ถ้าอยากฟังอีกรอบต้องมาเรียนปริญญาเอก แต่ท่าทางจะไม่มีหวัง) ร้องไห้ไม่ได้มากนักเพราะ อยู่ใกล้เวที ฝนตกตอนเสร็จพิธี แต่ก็ไม่ได้ตกแรงอะไรมาก กลับบ้านตอนหกโมงกว่า สลบไสลไปตาม ๆ กัน วันที่ 30 ไปดู แกงค์ชะนีกับอีแอบมา เป็นรอบแรก ดูแล้วสงสารพระเอก คือไม่รู้จริง ๆ ว่า ผู้หญิง 4 คนนั้น ไปรื้อค้นความเป็นเกย์ หรือยัดเยียดความเป็นเกย์ให้พระเอก งงโคตร พระเอกดูว่าอาจจะอยากลืม อยากเริ่มชีวิตใหม่ แต่สิ่งเก่า ๆ ที่สร้างไว้ ก็ย้อนกลับมาหาตัว ดูแล้วนึกถึงตัวเอง แต่บอกตรง ๆ ว่า เรารู้ตัวเองดีว่าเราเป็นอะไร ชอบและมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เมื่อ 2-3 วันก่อน ก็คุยเรื่องนี้กับพ่อไปทีนึง พ่อยังไม่เข้าใจดีว่า เกย์ กับกะเทยมีความแตกต่าง แต่พ่อก็พูดได้สะใจดี (ขอเซ็นเซอร์แล้วกัน) ผมเองอ่ะนะ อยากจะเป็นผู้ชาย ของข้างนอกมันพอจะทำกันได้ แต่ข้างในนี่สิครับ มันทำใจลำบาก ไม่เคยมีความคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่ไหนเลย ชีวิตผ่านมา 29 ปี ไม่เคยสักครั้ง ที่จะฝันว่าจะไปร่วมชีวิตกับผู้หญิงที่ไหน มันทำไม่ได้ ทำงานอยู่คนเดียว มีความสุขกับชีวิตแบบนี้ ไม่อยากเอาใครที่เราไม่ได้รักเขาจริง มาร่วมชีวิตด้วย เขามาลำบากกับเรา ลำบากมากด้วย แต่ถึงไม่มีผู้ชายมาร่วมชีวิตกับเรา ก็ไม่เสียใจนะ ดีใจมากกว่า ที่เราสามารถยืนหยัดในสิ่งยืนหยัดได้ยาก มากกว่าการทำตามกระแสสังคม โดยที่ทุกข์ใจ เพราะการที่เรา ไม่เป็นตัวของตัวเอง สังคมไม่ได้มาทุกข์กับเราด้วย เราและคนที่เราไปหลอกเขามานั่นแหละ ทุกข์ใจที่สุด 24 สิงหาคม 2549 วันนี้หยุดอยู่กับบ้าน เซ็ง แล้วก็ วันที่ 16 สิงหาคม 2549 เราก็ได้ยุติความสัมพันธ์กับคุณถั่วอย่างเป็นทางการแล้ว และไม่มีทางหวนกลับมาได้เหมือนเดิมแล้ว ก็ช่างมัน เขาอาจจะไปเจอคนที่ดีกว่าเรา คนที่ไม่สงสัยอะไรมากมายเหมือนเรา 8 กันยายน 2549 รู้สึกเบื่อ ๆ และเพลีย ๆ กับการทำงาน การอยู่เวร ไอ้ความรู้สึกที่เซ็งเพื่อนร่วมงานมันมาอีกแล้ว ไม่อยากพูดมากอ่ะนะ เอาเรื่องดี ๆ ดีกว่า ผลสอบมสธ. ออกมาแล้วผ่านได้ S โอเคมากเลย 20 กันยายน 2549 รวบหลายอย่าง พิมพ์ diary นี้นอกสถานที่ (ที่ทำงาน) มีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่สำคัญ ๆ ขึ้นมา อย่างแรก คืนวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เข้ามาทำการคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองที่อึมครึมมานานเกี่ยวกับการปกครองประเทศที่นำโดย พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อจริยธรรม ศีลธรรม ตัดตอนก่อนการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย เพียงไม่กี่วัน ! นี่เป็นอะไรที่รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ มันเร็วมาก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาสู่ การเปลี่ยน schedule ของการทำงานวันนี้ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การยกเลิกการประชุม มีการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ แต่ที่ทำงานฉันก็หยุดไม่ได้ เพราะต้อง stand by เผื่อมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมา นายเรียกตามคนทำงานแต่เช้า แต่ไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว แถวนี้นั้นมีทหารมาคุมกำลังเป็นระยะ ๆ ตอนเช้าที่ฉันนั่งรถไปทำงาน ไม่มีตำรวจตามแยกไฟ มีรถ (เข้าใจว่าเป็น GMC หรือจิ๊บ) ของทหารมาจอดตามขอบวงเวียนใหญ่ นับ ๆ ได้ประมาณ 4-5 คัน มีทหารจับกลุ่มเยอะ ตอนคืนวันที่ 19 กันยายน คนแถวบ้านโทรศัพท์มาแจ้งข่าวรัฐประหารที่บ้าน ฉันคลานลงไปดูข่าวที่โทรทัศน์ ด้วยอาการที่อยากรู้ เพราะสมัยก่อน พฤษภาคม 2535 พฤษภาทมิฬ ฉันไม่มีโอกาสได้รับทราบ เราเด็กมากยังไม่มีความคิดทางการเมืองอะไรมากมาย วันนี้นั่งฟัง FM 92.25 MHz ตลอดวัน สรุปว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคมไทย เรื่องที่สอง หลังจากที่ฉันได้ระบายความอัดอั้นตันใจทั้งมวลให้พี่ใหญ่และพี่รองฟัง เรื่องก็มาที่คนใกล้ตัวฉันแล้ว วันนี้มีการแบ่งงานกัน ฉันไม่ได้ต้องการให้มีการแบ่งงานกันอย่างเป๊ะ ๆ ลงตัว เพราะฉันเองก็ยอมรับว่า ไม่สามารถทำงานบางอย่างที่คนอื่น ๆ รับผิดชอบอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันอยากได้ความมีแก่ใจในการติดตามงานของผู้ร่วมงานบ้าง ... ก็เท่านั้น 1 ตุลาคม 2549 วันนี้ 16.45 น. พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศไทย หวังว่าเหตุการณ์อะไรต่ออะไรมันคงจะดีขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2549 ไปหาหมอดูเกย์ที่ประดิพัทธ์ ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เหมือนกับที่ดู ๆ มา คือเรื่องความรักนี่ไม่สมหวังมาก ๆ ปีนี้ก็ไม่มี ปีหน้าก็ไม่มี แต่เรื่องงานก็รุ่งไปตามระเบียบ เนี่ยนะเค้าว่าดวงของคนเรา ถ้ามันจะเอื้อ อยู่ ๆ ก็ไม่ต้องออกแรงมาก อะไรที่มันไม่มีดวงก็อย่าไปหวัง มันเป็นเหมือนกับพายเรือทวนน้ำ นอกจากจะต้องออกแรงลำบากแล้ว ดีไม่ดีเรือก็ล่มอีกต่างหาก เราก็ส่ง message ไป ขอทบทวนความสัมพันธ์กับหลาย ๆ คนประดามีที่คบ ๆ อยู่ เออ มันก็สบายใจดีนะ มันต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องคิดว่าวันนี้ฉันจะโทรไปหาใคร นัดกินข้าวกับใคร เสียตังค์ค่าข้าว ค่าโทรศัพท์ให้ใคร ฯลฯ เอาเวลาไปเรียนดีกว่า ตั้งใจว่าจากเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 จะเรียนต่อด้านรัฐศาสตร์ ที่มสธ.อีก รอให้จบปริญญาตรีของบริหารสาธารณสุขก่อน จริง ๆ ก็เรียนสัมฤทธิบัตรไปพลาง ๆ ก่อนแล้วจับมาเทียบโอนก็ได้นะ .. 26 ตุลาคม 2549 วันนี้อยู่เวร มีเรื่องที่กรี๊ดสลบคือ ได้คุยกับคุณคนไข้เรา อย่างที่เคยบอกว่าเรามีความรู้สึกดี ๆ ให้เพราะเขามีอะไรที่ดี ๆ ให้เราก่อน คุยกันทาง MSN เขาก้อส่งรูปมาให้ อย่างที่เห็นเนี่ย เราก็เออ .. งงอ่ะ ส่งรูปให้เราด้วย และเพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้ากัน เราก็ส่งรูปไปให้มั่ง .. เฮ้อ แล้วให้ประโยคลงท้ายว่า take care มันยิ่งทำให้เรารู้สึกวาบ ๆ ในหัวใจ .. กลัวใจตัวเองว่าจะคิดมาก และผิดหวังอีกนะ .. 31 ตุลาคม 2549 ครบรอบ 1 ปี ที่รู้จักกับคุณคนไข้คนหนึ่ง เมื่อวานนี้ (30 ตุลาคม 2549) ไปที่โรงพยาบาลแล้วปรากฏว่าอาจารย์แพทย์ไม่มาก็เลยได้ทีไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารสมพงศ์แถวเกษตร-นวมินทร์ ก็นั่งคุยไปกินไปร่วม 2 ชั่วโมง คุยกันแต่เรื่องเกย์ ๆ น่ะ มันไม่ใช่การคาดคั้นความจริงอะไรกัน มันคือการเปิดอกพูดคุยและรับฟังซึ่งกันและกัน เราเองไม่ได้ปิดบังอะไรก็บอกไปแบบทางการ เราเริ่มบอกไปก่อนว่า สำหรับผม ที่บ้านรู้เป็นที่สุดท้าย ประโยคที่เขาพูดออกมาคือ แต่สำหรับผม..ที่บ้านรู้เป็นที่แรก มันไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องให้มาบอกว่า ผมเป็นเกย์นะ signals ที่มีมันก็บอกได้ ฟัง ๆ ดูแล้วเขาเป็นคนเสน่ห์แรงทีเดียว spec เขาเป็นแบบไหนก็ไม่รู้ ก็ช่างมันเหอะ พยายามจะตัดใจนะ เราอาจจะไม่ใช่แบบที่เขาชอบ เมื่อคืนก็ดันฝันถึงเขาอีกว่าโทรไปหาตอนสองยาม เวรจริง ๆ แต่ก็ขอบคุณที่ช่วงหนึ่งเราได้มีความสุขกันแบบนี้ ... 1 พฤศจิกายน 2549 อุณหภูมิยังสูงอยู่สำหรับความรู้สึกลึก ๆ ที่เกิดมีขึ้นมาสำหรับคุณคนไข้รายนี้ เฮ้อ หลังจากที่เอาเรื่องนี้ไปโพสที่ xq28.net ก็มีคนเชียร์เต็มเลยที่จะให้พูดบอกไป .. โอ้ยกลัวโว้ย 4 พฤศจิกายน 2549 วันนี้มานั่งอยู่เวร เรื่องคุณคนไข้ก็ยังเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ในหัวใจ เมื่อวานโทรไปหาเขาก็เสียงดูแปลก ๆ อาจจะเป็นไปได้ที่ 1. เขามีคนรักอยู่แล้ว 2. เขาเป็นขั้วเดียวกับเรา 3. เราไม่ใช่ spec เขา ก็ไม่รู้สินะ ก็พยายามทำให้ดีที่สุด วันจันทร์นี้ก้อจะได้เจอกันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังไงบ้าง 9 พฤศจิกายน 2549 ในที่สุดความอึดอัด อัดอั้นตันใจทั้งมวลของเราก็จบสิ้นลง วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ตอนประมาณสี่โมงเย็น เราก็ส่งเพลง เพื่อนสนิท ไปให้เขาฟัง set เวลาไว้ตอน 17.30 น. ประมาณสัก 6 โมงเย็นเขาก็โทรมา พอดีกำลังจะกินราดหน้า ก็เลยปล่อยให้เป็น missed call ไม่หรอก .. กลัวว่าคุยกันแล้วจะกินต่อไม่ลงมากกว่า เราโทรไปหาอีกทีตอน 18.45 น. ก็ชวนคุยเรื่องอื่น ๆ ไปก่อน อายเหมือนกัน สักพักเขาก็เข้าเรื่องว่า ส่งเพลงมาให้ใช่มั้ย .. มีนัยยะอะไรหรือเปล่า ก็บอกไปว่า ตามนั้นแหละครับ เงียบกันไปได้สักพัก เราก็บอกว่า ตามนั้นแหละครับ กำลังจะคุยกันต่อ ก็พอดีมีสายเข้า เลยวางโทรศัพท์มันไว้แบบนั้น เขาก็ฟังเรารับ case ไปด้วย ก้อเลยบอกเขาว่าจะโทรกลับแล้วกัน แต่ระหว่างนั้นเราก็โทรไปหาพี่ที่ออฟฟิศอีกคน .. ไปร้องไห้ ร้องไห้อีกแล้วกับเรื่องความรัก ก็ไม่มีเกิดขึ้น จนกระทั่ง 00.09 น. ของวันที่ 8 พฤศจิกายน เขาก็โทรมาเข้าเครื่อง DTAC คุยกันอยู่ 52 นาที 53 วินาที ก็ไม่มีอะไร เขาบอกว่า ไม่เคยมีใครส่งเพลงมาให้เขาแบบนี้ และก็เขาบอกว่าเรากล้าที่บอกแบบนั้นไป ก็ทำไงได้ล่ะ ไม่บอกจะอกแตกตายแน่ ๆ ก็บอกเขาไปแล้วว่าไม่คาดหวังกับการบอกไป ขอแค่บอก (ตามที่ใจคิด) เท่านั้น results จะเป็นยังไง .. ช่างมัน (เพลงจากงาน ทอล์คโชว์ของ ดร. เสรี วงษ์มณฑา (5 พฤศจิกายน 2549) ตอน ฒ. ผู้เฒ่าขอเม้าธ์หน่อย บอกว่าเป็นอะไรก็ช่างมัน เป็นอะไรก็ช่างมัน นี่คือ ความรู้สึกของฉัน ..)
16 พฤศจิกายน 2549 เรื่องคุณคนไข้ก็ยังไม่มีอะไรที่เรียกว่า คืบหน้า หรือคืบหลัง เมื่อ 2 วันก่อนได้มีโอกาสคุยกันทางโทรศัพท์ ก็ไม่มีอะไรมาก พอดีเขาไปจัดการจี้รากขนที่หนวดเขาละมัง มันเป็นกระแสไฟฟ้า ทำมาเสร็จเขาก็รู้สึกไม่สบายตัว กลัวว่าจะชัก ก็เลยโทรไปหาอาจารย์แพทย์ให้ ก็ไม่สมควรจะทำจริง ๆ ก็บอกเขาไปว่าอย่าเสี่ยงทำเลยจะไม่คุ้มกัน ได้บอกเขาไปด้วยเรื่องขอเอารูปไปอัด 4*6 (อัดเสร็จแล้วเพิ่งเสือกไปบอกเขา ทุเรศสิ้นดี) เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แหม ลืมบอกไปว่ารูปมีอีกในกระเป๋าตังค์ด้วยนะครับ 19 พฤศจิกายน 2549 0.18 น. วันนี้อยู่เวรมีโอกาสมานั่งพิมพ์ ๆ อะไรเรื่อยเปื่อย เมื่อวันศุกร์ก็ได้ไปงานเมาลิดกลางมา ขอบคุณพ่อที่อนุญาต ปีนี้มีการต้องเดินผ่านเครื่องตรวจจับโลหะและมีการตรวจค้นอาวุธด้วย ไปซื้ออินทผลัมให้คนที่ทำงาน โสร่ง 2 ผืน (ให้ตัวเอง 1 พี่ที่ออฟฟิศ 1) ผ้าคลุมไหล่สไตล์อาหรับ ซื้อมะตะบะมาให้เพื่อน ๆ ก็ไม่มีอะไรมาก เรื่องที่จะตัดใจไม่เมลหาคุณคนไข้คนนั้น ก็อดไม่ได้ คนมันเคยจะเมลหากัน เมลไปหาเค้า เล่าเรื่องน้องที่ห้องท้องเสีย อาเจียน เขาเข้าใจว่าเป็นเราก็เลยโทรมามั้ง ? คิดเข้าข้างตัวเองนะ 21 พฤศจิกายน 2549 วันนี้อยู่เวรอีกแล้ว เมื่อวานไปโรงพยาบาล สู้อุตส่าห์หอบหิ้วเอาเครื่องสำอางค์ไปให้เขาก็ไม่มา ก็จริง ๆ มันก็ไม่น่าจะมาหรอก เพราะเขาไม่มีนัดตรวจ แต่ก็ยังดีที่เขาโทรมาบอก ปากเราก็บอกว่าไม่เป็นไร ๆ แต่พอวางสายมันผิดหวังนะ พอดีกับที่ในทีวีมี บริษัทประกันรัก 100% ดูต่าย-ณัฐพลแล้วดันคิดถึงคุณคนไข้ น้ำตาไหล ไม่มีแก่ใจจะทำงานแล้ว กลับบ้านดีกว่า ขากลับมานั่งรถมาก็ร้องไห้ เรารักเขามากเกินไปหรือเปล่า ?? เขาไม่ได้คิดอะไรกับเราแบบนั้นแหง ๆ เฮ้อ ทำไงดีหนอ ??
Create Date : 07 ธันวาคม 2549 | | |
Last Update : 7 ธันวาคม 2549 19:47:39 น. |
Counter : 380 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
 |
 |
 |
|
|