4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
ตำนวนกวนเกษียรสมุทร

เดิมทีนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า อสูร (แทตย์) และเทวดาเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน คือ พระกัศยปเทพบิดร เพียงแต่ต่างมารดาโดยอสูรเป็นบุตรของนางทิติ(มีที่สุด) และ เทวดาเป็นบุตรของนางอทิติ(ไม่มีที่สุด)  โดยนางทิตินั้นก็ยังเป็นพี่สาวของนางอทิติด้วย ดังนั้นสวรรค์ในเบื้องต้นจึงเป็นของเหล่าอสูรเพราะมีศักดิ์เป็นพี่ แต่ไม่นานก็ถูกเทวดาแย่งชิงมาโดยการนำของพระอินทร์โดยเหล่าเทวดาหลอกให้อสูรดื่มกินเหล้าจนเมาแล้วช่วยกันจับโยนลงจากสวรรค์ แล้วเหล่าเทวดาก็เข้าครอบครองสรวงสวรรค์และยกพระอินทร์เป็นราชาแห่งสวรรค์มาโดยตลอดนับแต่นั้นเป็นต้นมา นี่แหละที่สร้างความโกรธแค้นที่มีต่อเหล่าเทวดาของเหล่าอสูร และ เกิดเทวาสุรสงครามแย่งชิงสวรรค์กันมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างทวยเทพกับเหล่าอสูรครั้งใด ราหูนี่เองก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำทัพอสูรบุกอมราวดีของพระอินทร์ทุกครั้ง แต่เหล่าอสูรก็ไม่สามารถเอาชนะทัพของท้าววัชรินทร์ได้ ต้องถอยร่นกลับมาทุกครั้ง โดยเทวาสุรสงครามครั้งนี้ต่างรบพุ่งกันเป็นเวลาหลายหมื่นปี




จนมาวันหนึ่งท้าวเมฆวาหน (นามพระอินทร์ แปลว่า ผู้ชอบขี่เมฆ) และพระชายาศจี ทรงออกท่องเที่ยวชมมนุษยโลก ระหว่างทางได้สวนทางกับมหาฤาษีทุรวาสผู้ได้ชื่อว่าเป็นมหาฤาษีที่ขี้โมโหและมีประวัติสาปเทวดามาแล้วมากมาย มหามุนีนั้นได้รับพวงมาลัยสักการะมาจากอัปสรผู้หนึ่งจึงรับไว้ แต่เนื่องด้วยเป็นมหามุนีจึงไม่เห็นควรที่จะคล้องประดับด้วยดอกไม้หอม เมื่อเห็นท้าวสักกะผ่านมาจึงเห็นสมควรมอบพวกมาลัยนั้นเป็นของขวัญในการเสด็จลงมาเยี่ยมชมโลกมนุษย์ในทันที ท้าวศักรินทร์ก็ทรงรับพวงมาลัยนั้นแล้วนำไปมอบให้พระศจี ด้วยกลิ่นอันหอมประหลาดของดอกไม้ทิพย์ทำให้พระศจีมึนเมา จึงเอาพวงมาลัยนั้นทิ้งเสียต่อหน้าต่อตาของมหามุนีทุรวาส

เมื่อเห็นเช่นนี้มหาฤาษีทุรวาสก็บังเกิดความขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง จึงต่อว่าพระอินทร์ว่าไม่ให้เกียรติตน ตนนั้นตั้งใจมอบพวงมาลัยเพื่อเป็นการต้อนรับการมาเยือนของอคันตุกะ แต่องค์จอมสรวงกลับนำไปมอบต่อให้ชายาแล้ว ปล่อยให้พระศจีชายาทิ้งเสียต่อหน้าต่อตา เป็นการหมิ่นเกียรติของมหามุนีทุรวาสซึ่งเป็นพรหมฤาษีโดยสิ้นเชิง พระอินทร์และชายาต่างอธิบายต่างๆ นานาว่าไม่ใช่ความผิดของพระองค์แต่ด้วยฤทธิ์ของดอกไม้สวรรค์ แต่พรหมมุนีก็หาฟังไม่ กลับต่อว่าอีกว่าพระอินทร์ไม่ห้ามปรามควบคุมเตือนชายาให้ดี พร้อมเอ่ยปากและเทน้ำสาปแช่งองค์เพชรปาณีว่า “ดีแหละเทวราช !!! เมื่อพระองค์หมิ่นในเกียรติแห่งเราผู้จัดว่าเป็นหนึ่งในมหาฤาษีเป็นอย่างยิ่ง เราขอสาปท่านและเหล่าบริวารของท่าน ให้อ่อนกำลังแล้วพ่ายแพ้แก่เหล่าอสูรผู้เป็นญาติผู้พี่ของเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของสวรรค์ครั้นปฐมกาลในการต่อไปเถอะ และ เหล่าทวยเทพจะได้ทราบในอำนาจแห่งคำสาปนี้ของเราว่าเนื่องมาจากท่าน ทวยเทพจะถูกสังหารจนลดจำนวนลงอย่างมากมาย“ เมื่อสาปเสร็จพระอินทร์ทรงก้มกราบลงอ้อนวอนเท่าใดมหาฤาษีทรุวาสก็หาผ่อนปรนไม่ แล้วมหาฤาษีก็เดินทางจากไป

นับแต่นั้นมาเหล่าเทวดาก็เริ่มอ่อนกำลังลงด้วยฤทธิ์แห่งคำสาป เหล่าอสูรเองก็ล่วงรู้ในการสาปแช่งครั้งนี้ต่างก็รีบกรีฑาทัพบุกตะลุยสวรรค์ในทันที เทวาสุรสงครามครั้งนี้เหล่าเทวดาถูกอสูรสังหารล้มตายเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ท้าวสักกะก็ได้แต่มองดูบริวารล้มตายด้วยความอาลัย เมื่อสิ้นปัญญาในการที่จะต่อสู้ต่อไปอีก ท้าววัชรินทร์จึงตัดสินใจให้ทวยเทพถอยทัพ แล้วพากันไปทูลองค์พระพรหมาให้พระพรหมาพาไปเข้าเฝ้าองค์นารายณ์ไวกูณฐ์นาถเพื่อวิงวอนของความช่วยเหลือ พระพรหมาทรงปราณีจึงนำทวยเทพเสด็จไปยัง ณ ไวกูณฐ์สวรรค์ และ ทูลขอความช่วยเหลือ เมื่อองค์หริบุรุษทราบความดังนั้นแล้วจึง ตรัสบอกกับทวยเทพว่า

"ดูก่อน!!! ศจีบดี หนทางแก้ไขนั้นพอมีอยู่ แต่วิธีนั้นช่างลำบากยิ่งนัก พวกทวยเทพจะมีกำลังสักปานใดเล่า พวกเทวาทั้งหลายจะทำการนี้ไหวหรือ การครั้นนี้คือการกวนเกษียรสมุทร เพื่อให้บังเกิดน้ำอมฤตเพื่อพวกเจ้าจะได้ดื่มกิน เมื่อดื่มแล้วพวกเจ้าก็จะได้รับความเป็นอมตะมีชีวิตยืนยาวตราบชั่วฟ้าดิน พละกำลังก็จะกลับคืนมาและมากกว่าเดิมอีก การกวนเกษียรสมุทรนั้นหาใช่ของง่ายลำพังพวกท่านแต่กลุ่มเดียวคงกระทำการนี้ไม่ไหวหรอก พวกท่านต้องจำใจยอมนอบน้อมยกยอปอปั้นแก่เหล่าอสูรเสียก่อน แล้วค่อยเกลี่ยกล่อมเหล่าอสูรมาช่วยกันกวนน้ำอมฤตการครั้งนี้ถึงจะลุล่วงลงได้ โดยพวกท่านจงออกอุบายว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้อสูรร่วมดื่มกินด้วยกึ่งหนึ่ง พวกอสูรเมื่อเห็นผลประโยชน์ส่วนนี้ก็จะมาร่วมการในครั้งนี้อย่างแน่นอน พอบังเกิดน้ำอมฤตแล้วเราจะหาทางเลี่ยงมิให้พวกเหล่าอสูรได้ดื่มกินน้ำอมฤตนั้นเอง เรื่องนี้ไว้เป็นภาระของเราเองเถิดจอมสรวง เมื่อพระจตุรภุชตรัสจบ เหล่าเทวดาก็ต่างยินดียิ่งและปฏิบัติตามที่พระอัจยุตตรัสสั่งไว้ ต่างพากันไปนอบน้อมยอมแพ้แก่เหล่าอสูร แล้วไปตกลงทำสัญญาในการกวนเกษียรสมุทรกับเหล่าอสูรจนเป็นที่สำเร็จ

เมื่อวันแห่งการกวนเกษียรสมุทรมาถึง พระวิษณุชลไศยินก็เสด็จมาเป็นองค์ประธาน แล้วตรัสให้เหล่าเทวาอสูรช่วยกันถอนภูเขามันทรคีรีอันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์มาตั้งลงในท่ามกลางทะเลน้ำนมที่สถิตอยู่ในไวกูณฑ์สวรรค์นั้น แล้วให้ช่วยกันเก็บหาสมุนไพรนานาชนิดจำนวนมหาศาลมาผสมลงในเกษียรสมุทรนั้น และ มอบหมายให้จอมนาควาสุกิ มาเป็นเชือกพันรอบมันทรคีรีต่างสายชักโยงโดยออกอุบายยกยอให้เกียรติอสูร ว่าพวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูรหลงกลต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกิทันที ฝ่ายเทวดาก็มาชักทางหาง ทั้งเทวดาและอสูรช่วยกันชักดึงมันทรคีรีกันอย่างเต็มกำลังให้ภูเขานั้นหมุนเพื่อกวนสมุนไพรให้เข้ากับน้ำนมในทะเลนั้น ต่างพากันปั่นไปมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ด้วยพญาวาสุกินาคราชซึ่งร่างกายถูกเสียดสีจากการพันรอบภูเขาตลอดเวลาทั้งเหนื่อยมาตลอด ด้วยความเจ็บและเหนื่อยจำต้องอ้าปากคายพิษเป็นไฟร้อนออกมาทีละน้อย ยังผลให้เหล่าอสูรเกิดความร้อนอ่อนแรงไปตามๆ กันตรงข้ามกับเหล่าเทวดาซึ่งรู้กลอุบายนี้ที่ไปฉุดฝั่งหางเลยไม่โดนไอร้อนนี้ ซ้ำพระลักษมีปติยังช่วยบันดาลฝนให้โปรยปรายชุ่มชื่นตลอดเวลา

ฝ่ายพญาอสุรินทร์ราหูก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องออกแรงฉุดอยู่ทางเศียรนาค ก็บังเกิดความเหนื่อยอ่อนดั่งอยู่ในนรกทั้งเป็นเช่นกัน ทำให้เกิดความลำบากจะเลิกเสียก็เสียดายที่ต้องสู้ทนมาเป็นเวลาหลายร้อยปีจนใกล้สัมฤทธิผลแล้ว เมื่อบังเกิดน้ำอมฤตแล้วค่อยคิดบัญชีกับเหล่าเทวดาก็ยังไม่สาย ราหูเป็นอสูรตนเดียวที่ตั้งมั่นกำหนดจิตว่าต้องดื่มกินน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะให้ได้ ระหว่างนั้นมันทรที่กวนเกษียรสมุทรนั้นใช้การมานานก็เริ่มเอียงคลอน พระหริทราบความจึงรีบอวตารไปเป็นเต่า (กูรมาวตาร) เพื่อหนุนดันภูเขามันทรให้ตั้งตรงขึ้นดังเดิมอีกครั้ง ฝ่ายวาสุกินาคราชนั้นได้รับความทุกข์ทรมานมากกว่าใครๆ ด้วยร่างที่พันกับภูเขาซ้ำยังเป็นเชือกปั่นให้ภูเขาหมุนกวนอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเหนื่อยล้าจอมนาคก็พ่นพิษเป็นไฟกรดออกมามากมาย มีทั้งควันพิษที่พวยพุ่งออกมาจากลมหายใจของราชาแห่งนาคอย่างไม่ขาดระยะ มืดคลุ้มไปทั้งจักรวาลด้วยความร้อนแห่งพิษนั้นทำให้สามโลกเดือดร้อน เพราะถูกแผดเผาราวกับจะให้มอดไหม้เป็นภัสมธุลีลง




เหล่าทวยเทพแลอสูรเห็นดังนั้น ต่างพากันตกใจกลัวลนลานแตกตื่นหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างโกลาหล แต่ก็มองหาทางไม่เห็นเนื่องด้วยควันพิษนั้นปกคลุมมืดมิดจนมองอะไรแทบไม่เห็น ทันใดนั้นเองพระคังคธร (ผู้ทรงไว้ซึ่งคงคา นามหนึ่งของพระศิวะ) ก็เสด็จมาปรากฏ ณ เกษียรสมุทร ด้วยพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตในสามโลกอย่างไม่มีการแบ่งแยกชั่ว-ดี พระมฤตุญชัยก็ทรงอ้าพระโอษฐ์ดูดกลืนควันพิษร้ายเข้าสู่พระอุระในทันที พร้อมทั้งตักเอาพิษที่พญาวาสุกิพ่นออกมา มาดื่มกินเพื่อช่วยเหลือก่อนที่สามโลกจะมลายไปก่อนกาลอันควร ด้วยพิษกรดอันร้ายแรงของพญาวาสุกิอันหาผู้ใดทัดทานไหวเมื่อพระหะระดื่มกินเข้าไปก็เผาผลาญพระศอจนไหม้เกรียมเป็นสีดำดังนิล เหล่าเทวาอสูรต่างแสดงความยินดีสวดมนตร์สรรเสริญและกล่าวนามเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของพระศิวะในครั้งนี้ว่า “ศรีนิลกัณฐะ” อันแปลว่าผู้มีคออันงดงามเป็นสีนิลหรือน้ำเงินอมม่วง แล้วพระนามอันศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เป็นที่จดจำไปทั้งสามโลก ตราตรึงในความกรุณาของพระภูเตศวรประทับในหัวใจตลอดกาลไป เพราะนามนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละเพื่อความรักอันมีต่อสรรพชีวิตอย่างไม่แบ่งแยกอันเป็นภาวะแห่งรักอันสูงสุด ยอมทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสอันเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวงซึ่งไม่มีใครในสามโลกจะกล้าที่จะกระทำ โดยพระองค์ไม่ต้องคอยให้สาวกต้องร้องขอให้ช่วย ซ้ำไม่เคยเรียกร้องความเห็นใจจากสาวกของพระองค์เลย และ ไม่เคยทวงบุญคุณในการกระทำของพระองค์ในครั้งนี้จากผู้ใด ดังนั้นวีรกรรมในครั้งนี้จึงถูกจารึกลงในบทสวดเพื่อสรรเสริญพระศิวะตรีศังกรเจ้ามาตลอกกาลตราบจนทุกวันนี้ในความรักความเสียสละอันบริสุทธิ์

เมื่อขณะที่พระศรีกัณฐะกำลังเอาพระหัตถ์ตักพิษมาดื่มกินนั้น มีพิษบางส่วนได้ตกหล่นอยู่บนยอดหญ้าคาพวกงู และ สัตว์พิษทั้งหลายก็รีบตรงเข้ารวบรวมพิษนั้นไว้ใช้เฉพาะตน พวกงูต่างรีบตักตวงโดยใช้ลิ้นเลียลงบนยอดหญ้าคา ด้วยความคมของยอดหญ้าคาจึงบาดลิ้นของพวกงูออกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นมา เมื่อทรงดื่มกินจนหมดความมืดมิดก็ผ่านพ้นไปท้องฟ้าเริ่มแจ่มใสขึ้นอีกครั้ง ทะเลน้ำนมที่ปั่นป่วนมานับพัน ๆ ปีก็เริ่มสงบนิ่ง บังเกิดแสงประหลาดสว่างไปทั่วเกษียรสมุทรเป็นสิ่งบอกให้ทราบว่าความพยายามที่กระทำมานานนั้นกำลังจัดเกิดเป็นผลสำเร็จสมบูรณ์ในชั่วขณะพริบตานี้แล้ว

ทันใดนั้นเองของทิพย์วิเศษสุด 14 อย่างก็ทยอยกันผุดขึ้นมาจากเกษียรสมุทรตามลำดับ อย่างแรกคือดวงจันทร์ เหล่าทวยเทพแลอสูรต่างสำนึกในบุญคุณแห่งการเสียสละของพระศรีกัณฐะจึงต่างเห็นพ้องกันว่าของวิเศษประการแรกควรถวายแด่องค์พระโยเคศวรศิวะเจ้า พระเป็นเจ้าจึงหยิบเอาดวงจันทร์นั้นมาทัดเป็นปิ่นทันที เทวดาและอสูรได้เห็นพระรัศมีที่งดงามของพระเป็นเจ้าศิวะและของดวงจันทร์คู่กันอย่างเหมาะสมลงตัว จึงต่างสรรเสริญพระนามให้ใหม่ในทันทีว่า “จันทรเศขร”

สิ่งที่ ที่ผุดขึ้นมา คือ แก้วเกาสตุภะ เทวดาและอสูรก็นำไปถวายแด่องค์พระวิษณุมัธวะ 

สิ่งที่ ที่ผุดขึ้นมา คือ ดอกบัวซึ่งมีพระลักษมีเทวีประทับอยู่ในนั้น แล้วพระลักษมีก็เสด็จออกจากกลางดอกบัว ทั้งเทวดาอสูรและเหล่าฤาษีต่างมองกันอย่างไม่กระพริบตาด้วยความงดงามขนาดจินตกวียังไม่รู้จะหาคำใดมาพรรณาในความงามนี้ได้อย่างถูกต้อง ทันใดนั้นพระวิศวกรรมจอมช่างก็ได้เนรมิตเครื่องทรงถวายพระศรี แล้วพระศรีทรงคล้องพวงมาลัยทิพย์ที่ไม่รู้จักเหี่่ยวมาสวมไว้ แล้วเสด็จตรงโดยไม่ใยดีผู้ใดในสามโลก ตรงมาเข้าเฝ้าพระอนันตไศยินในทันทีพระวิษณุก็ทรงรับสวมกอดเอาไว้ด้วยพระศรีนั้นเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง ทั้งสามโลกจึงไม่มีใครกล้าปฏิเสธในการเลือกของพระเทวีในครั้งนี้

สิ่งที่ ที่ผุดขึ้นมา คือ นางวารุณีเทวีแหล่งเหล้า 

สิ่งที่ 5 ตามมาด้วยช้างเผือกเอราวัณ พระอินทร์นั้นรับไว้เป็นพาหนะประจำพระองค์ 

สิ่งที่ 6 จากนั้นก็ตามมาด้วยม้าอุจไจศรพ พระอินทร์ก็รับไว้เป็นพาหนะอีก แล้วก็ตามมาด้วย   

สิ่งที่ 7 ต้นปาริชาติ อันมีดอกที่หอมมาก มีสรรพคุณสามารถระลึกชาติได้ ต้นไม้นี้ก็ล่องลอยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ทันที

สิ่งที่ ที่ผุดขึ้นมา คือ โคสุรภี หรือกามเธนุ เป็นโควิเศษสามารถบันดาลอะไรได้ตามต้องการ    

สิ่งที่ ที่ผุดขึ้นมา คือ หริธนู 

สิ่งที่ 10 คือ สังข์ 

สิ่งที่ 11 ที่ผุดขึ้นมา คือ เหล่านางอัปสรผู้เลอโฉม 35 ล้านตน แต่หามีเทวาและอสูรรับพวกนางไว้ครอบครอง เลยต้องกลายเป็นของกลางไม่ตกแก่ใคร เป็นนางบำเรอสร้างความสุขทั่วไป 

สิ่งที่ 12 ที่ผุดขึ้นมา คือพิษร้าย ซึ่งไม่มีใครรับไว้ครอบครองนอกจากพวกเหล่าอสรพิษทั้งหลาย

สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อม ๆ กันคือ ธันวันตริผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤตซึ่งเป็นสิ่งวิเศษลำดับที่ 14ขึ้นมาด้วยแล้วค่อยๆ ประคองวางลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร

ฝ่ายองค์พระวิษณุเห็นดังนั้น จึงออกกลอุบายในขณะที่เหล่าเทวดาและอสูรต่างแย่งชิงของวิเศษ 12 อย่างที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ก็ทรงแบ่งอวตารพระกายเป็นสตรีรูปงามราวกับพระศรีลักษมี นามว่า “โมหิณี” ตรงมายั่วยวนยังเหล่าอสูร พวกอสูรเห็นดังนั้นต่างกรูกันไปโอบล้อมนางไว้หวังได้นางมาครอบครอง นางผู้เป็นอวตารของพระวิษณุจึงออกอุบาย ว่าพวกเทวดานั้นต่างเป็นพวกอ่อนแอ หาเข้มแข็งเท่าเหล่าอสูรไม่ เราจะรับอาสาแบ่งปันน้ำอมฤตตามส่วนให้ โดยอสูรนั้นจะได้ ใน ส่วน แต่เนื่องด้วยเหล่าอสูรเป็นผู้เข้มแข็งกว่า ให้ถือเสียว่าให้ทานพวกเทวดาได้ดื่มกินก่อนเถอะ เพื่อแสดงน้ำใจและความมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเหล่าอสูร ด้วยเหล่าอสูรหลงในมนตร์เสน่ห์นางจำแลงพระวิษณุ นางว่าเช่นไรก็ว่าตามเช่นนั้น นางจึงนำน้ำอมฤตไปแบ่งปันให้เหล่าเทวดาก่อน โดยล่อเหล่าอสูรให้สนใจไปในอีกทางหนึ่ง

ฝ่ายอสุรินทร์ราหูนั้นเป็นแทตย์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมสูง รู้ทันกลอุบายของพระวิษณุและด้วยความตั้งมั่นที่จะเป็นอมตะแต่อย่างเดียว แตกต่างกับอสูรทั้งหลายที่มุ่งมั่นแต่กามกิเลส ราหูจึงแปลงกลายเป็นพราหมณ์ชราเข้าไปปะปนในหมู่เทวดา ฤาษี เพื่อรับการปันน้ำอมฤตดื่มกิน เทวดาและเหล่ามหาฤาษีต่างก็ไม่ได้ระแวง ราหูจึงได้ดื่มกินน้ำอมฤตด้วยความยินดี น้ำอมฤตได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หายเหนื่อยเมื่อยล้า เรี่ยวแรงก็เพิ่มขึ้นมากมายกลายเป็นทิพยภาวะอมตะบุคคลไปในทันที

ฝ่ายสุริยเทพและจันทรเทพนั้นอยู่บนที่สูง แลเห็นการแปลงกายของราหูโดยตลอดเนื่องด้วยปรากฏเงาแห่งอสูร ก็รีบทูลพระนารายณ์ให้ทราบโดยทันที พระนารายณ์จึงทรงขว้างจักรสุทรรศน์อันเป็นเทพศัสตราอันทรงฤทธิ์ประจำกายพระองค์ออกไปตัดร่างของราหูขาดออกเป็นสองท่อนๆ ล่างได้กลายเป็นพระเกตุไป ในขณะที่กำลังดื่มกินน้ำอมฤตอยู่ โลหิตของจอมอสูรราหุตกลงบนพื้นดินแดงฉาน แต่ราหูก็หาได้เสียชีวิตไม่ด้วยได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นอมตะไปแล้ว ขณะเดียวกันน้ำอมฤตที่ดื่มกินเข้าไปบางส่วนก็หยดลงบนพื้นดินด้วยกลายเป็นหอมขาว ส่วนเลือดของราหุที่หยดลงไปกลายเป็นหอมแดง พระวิษณุผู้เป็นเจ้าจึงมีเทวประกาศิตแก่ธันวันตริแพทย์สวรรค์ว่า

“ธันวันตริ !!! เธอจงจารึกไว้ในคัมภีร์อายุรเวท (ว่าด้วยวิชาแพทย์)ของเธอเพื่อสั่งสอนมนุษย์เป็นการสืบไปภายภาคหน้าว่า อันหอมแดงนั้นเป็นโทษเพราะมีกำเนิดจากโลหิตของอสุรินทร์ราหู ผู้ใดบริโภคหอมแดงจะเกิดโทษมีโรคภัยเบียดเบียน แต่ถ้าผุ้ใดบริโภคหอมขาวอันกำเนิดจากน้ำอมฤตผู้นั้นจะมีพลานามัยที่สมบูรณ์ มีชีวิตยืนยาว ด้วยคุณวิเศษแห่งน้ำอมฤตนั้น”

ตรัสจบพระวิษณุก็มอบหม้อน้ำอมฤตที่ยังเหลืออยู่ให้แก่พระอินทร์ แล้วรับนำไปเก็บรักษายังสวรรค์ห้ามผู้ใดได้แตะต้องอีก เหล่าเทวดาก็พากันโห่ร้องด้วยความดีใจ จนได้ยินมาถึงพวกอสูร เหล่าอสูรจึงหันกลับมาดูจึงรู้ว่าเสียรู้พวกเทวดาแล้ว จึงรีบกรูกันเข้ามาแย่งชิงน้ำอมฤตจากเหล่าเทวดาในทันที แต่ด้วยว่าเสียรู้เพราะเทวดาได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งมีความเป็นอมตะไม่มีวันตายแล้ว พละกำลังก็เพิ่มมากขึ้นมากมาย ซ้ำเหล่าอสูรก็เพิ่งจะเหน็ดเหนื่อยหมดแรงมาจากการกวนเกษียรสมุทรด้วย เหล่าอสูรจึงพ่ายแพ้จำใจต้องถอยทัพกลับ โดยที่ไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย เหล่าเทวดาก็ได้กลับไปครอบครองสวรรค์ดังเดิม

เหล่าเทวดา ฤาษี เมื่อช่วยกันขับไล่อสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ตรงกลับกราบมาสักการะพระศิวะ พระนารายณ์ และ พระศรีลักษมี แล้วขอให้พระเป็นเจ้าช่วยคุ้มครองช่วยเหลือ พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามก็ยินดี แล้วพระศิวะก็เสด็จกลับไปยังไกลาสในทันที ส่วนพระวิษณุก็ลงไสยาศเหนือทิพยอาสน์ของพญานาคเศษะกลางเกษียรสมุทรโดยมีพระลักษมีเทวีคอยปรนนิบัติพัดวีด้วยความรักในพระวิษณุเจ้า และแล้ว พระผู้มีพระเนตรเรียวงามราวกับกลีบดอกบัวก็เข้าสู่นิทรารมณ์อีกครา

เมื่อพระเป็นเจ้าวิษณุบรรทมสินธุ์แล้ว สามโลกก็กลับร่มเย็นตามเดิมอีกคราหนึ่ง แต่ไฟแค้นของอสุรินทร์ราหูยังครุกลุ่นอยู่ด้วยเพราะการที่สุริยเทพและจันทรเทพไปทูลพระวิษณุ จนตนนั้นถูกตัดขาดออกเป็น ท่อน (ท่อนบนเรียกว่าราหู ส่วนท่อนล่างเรียกว่าเกตุ) ด้วยตนนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะได้ดื่มกินน้ำอมฤตเช่นกันตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน แต่กลับต้องมาต้องอาญาด้วยประการฉะนี้ พระอาทิตย์และพระจันทร์ต้องชดใช้ในการกระทำครั้งนี้อย่างสาสม ด้วยเหตุนี้ราหูจึงคอยหาโอกาสจับสุริยเทพและจันทรเทพมากลืนกินเสียด้วยความพยาบาท แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ล่วงพ้นไปได้ในชั่วเวลาไม่นานนัก เพราะราหูนั้นมีกายเพียงครึ่งท่อนเทพทั้งสองจึงหลุดออกไปได้ การจองเวรเช่นนี้จึงเกิดคราสเรื่อยมา

ราหูหลังจากนั้นก็มิได้เข้าร่วมทำสงครามแย่งสวรรค์จากเทวดาอีกเลย ด้วยเหลือกายเพียงครึ่งเดียว และ ราหูก็เป็นทิพย์เหมือนเทพไปแล้ว ก็เฝ้าแต่บำเพ็ญตบะเพิ่มฤทธิ์ตน และ คอยจับกลืนพระอาทิตย์และพระจันทร์เท่านั้น จนพระพรหมธาดาเสด็จมาประธานพรในผลตบะนั้น โดยมอบเกียรติยศให้ราหู-เกตุ ได้เป็นสมาชิกของเทวสภาด้วยผู้หนึ่ง นับว่าเป็นอสูรที่พิเศษกว่าอสูรทั้งปวงเป็นเพียงอสูรตนเดียวที่ได้รับเกียรติสูงส่งนี้ และ ยังเป็นอสูรเพียงตนเดียวที่ได้รับการสักการะบูชาโดยมีปฏิมาอยู่ในเทวลัยร่วมด้วยกับปฏิมาของเทพองค์อื่น ๆ ครั้งหนึ่งราหูเคยอาละวาดจนสวรรค์พังมาแล้ว  แต่เมื่อเป็นเทพแล้วก็กลับใจได้ทำตนดีขึ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัวราหู-เกตุเพราะในอีกมุม ราหู-เกตุก็ให้คุณได้เช่นเป็นดวงที่ต้อง ค้าขายกับต่างชาติ  หรือมีธุรกิจที่เกียวข้องกับสุรา หรือสถานที่อโคจรทั้งหลายยมวิกาล

ในวิษณุปุราณะพรรณนาว่า พระราหู ทรงราชรถเทียมม้าดำ ตัว สีกายดำหรือสีหมอก รถนี้มีไว้เพื่อเตรียมพร้อมในเวลาที่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์ และเรียกจุดดักจับนี้ว่า “พารวัน” (node) ส่วนเวลาอื่นราหูจะทรงเสือโคร่ง หรือ สิงห์ดำเป็นพาหนะ มี กร ถือโล่ ดาบ หอก ตรีศูล คทา ลูกศร ดอกบัว บ้าง ส่วนอีกกรประทานพร นามนั้นก็มีมากมายตามเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนเทวดาทั่วๆ ไปคือ อัมพรปิศาจ (ปิศาจแห่งท้องฟ้า), ภารณีภู(กำเนิดในกลุ่มดาวฤกษ์ภรณี)ครหะ(ผู้จับ)

ส่วนพระเกตุ ทรงราชรถเทียมม้าสีแดง ตัว มีกายสีทองแดงหรือสีแดงน้ำรัก บ้างก็ว่าทรงแร้ง บ้างก็ว่าไม่ทรงพาหนะแต่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ใบหน้ามีสิวมากส่วนท่อนหางเป็นงูแทน บ้างก็ว่ามีเศียรเป็นงูกายเป็นมนุษย์ มี กร ถือ คทา โล่ ดาบ ธง อีกกรประทานพร บางที่ก็ว่ามีแค่ กร นามก็มีอีกเช่น กปันธะ(ผู้ปราศจากหัว) อกะชะ(ไม่มีขน) อเลศะ ภาวะ(ถูกแบ่งออก) มุนธะ


ตามตำนานการกวนเกษียณสมุทรนั้นฝ่ายเทวดาซึ่งนำโดยพระอินทร์ปรารถนาที่จะมีชีวิต เป็นอมตะ เพื่อจะได้รบชนะฝ่ายอสูร จึงได้ไปขอพรจาก พระนารายณ์ พระองค์จึงแนะนำให้ทำพิธี "กวนเกษียณสมุทร" เพื่อจะได้น้ำอมฤตมาดื่มกินจะทำให้ชีวิตยืนยาว




โดยพญานาคท้าววาสุกรีนั้นได้รับตำแหน่งสำคัญคือเอาตัวเองไปพันกับภูเขามันทละแล้วให้เทวดา กับอสูรมาช่วยกันชักเย่อตัวท้าววาสุกรี ครั้นจะให้อสูรมาช่วยก็คงจะยาก พระอินทร์จึงออกอุบายกับเหล่าอสูรว่า เมื่อกวนเสร็จแล้วจะแบ่งน้ำอมฤตให้ดื่ม เพื่อจะได้เป็นอมตะ ฝ่ายอสูร จึงยอมร่วมมือแต่โดยดี แต่การกวนต้องใช้ระยะเวลายาวนานซึ่งจะทำให้เขามันทละลึกลงจนถึงโลกมนุษย์ ซึ่งโลกอาจจะแตกได้ ร้อนถึงพระนารายณ์จำต้องอวตารลงมาเป็นเต่ายักษ์ เพื่อเอากระดองมารองรับภูเขามันทละเอาไว้ การกวนเกษียรสมุทร ได้ดำเนินไปเนิ่นนานพันปี จึงได้ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น 10 อย่าง ซึ่ง หนึ่งในนั้น คือนางอัปสรจำนวน 35ล้านองค์ ออกมาร่วมร่ายรำอำนวยพรให้กับเทวดาทั้งหลายที่กำลังร่วมกันกวนเกษียณสมุทร กับอสูร เพื่อช่วยให้เกิดความเพลิดเพลินไม่รู้สึกเหนื่อย พระนารายณ์ได้มีบัญชาให้ ไปเป็นบาทบริจาริกาให้กับเทวดาที่ทำพิธีกวนเกษียณสมุทร หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "กูรมาวตาร"





เกษียรสมุทรนั้นตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของจักรวาลมีน้ำสีขาวคือเกษียร (แปลว่า น้ำนม) ไหลเต็มอยู่ตลอดปี การจะกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำอมฤตเป็นการใหญ่ที่หมู่เทวดาเพียง ลำพังจะกระทำกันเองไม่ได้เพราะมีเรี่ยวแรงน้อย ดังนั้นจึงหลอกล่อเหล่าอสูรโดยสัญญาว่าเมื่อได้น้ำอมฤตแล้วก็จะแบ่งกันดื่ม เพื่อความเป็นอมตะตลอดไป

เหล่าอสูรได้ฟังดังนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่องตกลงสมานฉันท์ ร่วมแรงร่วมใจในพิธีครั้งนี้โดยเริ่มจากช่วยเหล่าเทวดาถอนเขามันทละซึ่งมี ความสูงพ้นพื้นดิน 11,000 โยชน์ และหยั่งฐานรากอยู่ใต้ดินอีก 11,000 โยชน์ เพื่อใช้เป็นไม้กวนเกษียณสมุทร โดยใช้พญานาควาสุกรีผู้เป็นพี่ของพญาเศษะ (เส-สะ หรือ พญาอนันตนาคราชหรือพญานาคพันเศียรที่เป็นแท่นบรรทมของพระนารายณ์)
 ต่างเชือกพันกับเขามัทละทั้งยังโปรยสมุนไพรอันเป็นทิพย์ลงในเกษียรสมุทรอีก ด้วย ฝ่ายเทวดารู้ว่าเมื่อพญาวาสุกรีถูกชักลากไปมาจนเวียนหัวจะสำรอกพิษออกทางปาก จึงออกอุบายเยินยอเหล่าอสูรว่าเป็นผู้มีกำลังมากสมควรได้รับเกียรติให้ถือฝั่งหัวพญานาค




ส่วนเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์น้อยจะขอถือฝั่งหางเอง ข้างฝ่ายอสูรได้ยินคำเยินยอเช่นนั้นก็หลงเข้าใจว่าปวงเทวาให้เกียรติจึงรับคำจะถือฝั่งเศียรพญานาคเอง 





พระนารายณ์ในฐานะองค์ต้นดำริการกวนเกษียณสมุทรจึงต้องมีส่วนช่วยให้การครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเป็นอันมาก โดยพระองค์ประทับนั่งเหนือเขามันทละที่ใช้ต่างไม้พาย แล้วแบ่งภาคหนึ่งลงช่วยเหล่าเทพชักพญาวาสุกรีเนื่องจากลำพังหมู่เทวะเองมี กำลังน้อย พระนารายณ์ยังทรงแจ้งด้วยทิพยญาณว่าเกษียณสมุทรเมื่อถูกเขามันทละกวนไป เรื่อยๆจะทะลุแล้วน้ำจะไหลไปท่วมมนุษยโลกพระองค์จึงแบ่งภาคเป็นเต่า (กุรมะ =กุ-ระ-มะ) ใช้กระดองรองรับเกษียรสมุทรไว้จึงเป็นที่มาของ กุรมะวตาร อันเป็นปางที่สามในนารายณ์สิบปาง




 ระหว่างที่กวนเกษียรสมุทรอยู่นั้น พญาวาสุกรีถูกดึงไปมาก็เกิดเวียนหัวจึงสำรอกพิษร้ายซึ่งกระเด็นไปโดนเหล่า อสูรเป็นที่ปวดแสบปวดร้อนจึงเป็นเหตุให้เหล่าอสูรมีหน้าตาผิวพรรณตะปุ่มตะป่ำนับแต่นั้นเป็นต้นมา พิธีดำเนินไปได้พันปีเกษียณสมุทรพลันบังเกิดหม้อบรรจุพิษ "หะราหระ ลอยออกมาเป็นลำดับแรก อันหม้อ หะราหระนั้นเป็นพิษร้ายแรง หากตกลงยังมนุษยโลกก็จะบังเกิดเป็นเพลิงกรดเผาโลกให้เป็นจุลไปได้ พระศิวะมหาเทพทรงทราบด้วยทิพยญาณว่าพิษร้ายนี้ไม่มีใครจะกำจัดลงได้เว้นแต่ พระองค์เอง เมื่อดำริดังนั้นแล้วจึงทรงดื่มพิษหาลาหละนั้น ฝ่ายพระแม่ปรวาตีเห็นพระสวามีกลืนพิษร้ายจึงได้กดพระศอพระศิวะไว้เพื่อไม่ ได้พิษไหลลงสู่พระอุทรได้ด้วยความร้ายกาจแห่งพิษนั้นยังผลให้พระศอพระศิวะเป็นสีดำพระองค์จึงมีอีกพระ นามหนึ่งว่า นิลกัณฐ์ หรือผู้มีคอสีนิลนับแต่นั้นเป็นต้นมา

สิ่งวิเศษลำดับที่สองที่ลอยขึ้นมาคือวัว "กามเธนุ" แปลว่าแม่โคอันพึงปรารถนา รู้จักกันในอีกนามหนึ่งว่าโคสุรภีซึ่งต่อมาให้กำเนิดวัวอุศุภราชหรือนันทิเก ศวรอันเป็นเทพพาหนะทรงของพระอิศวร โดยมีเทวดานามเวตาลเป็นพ่อ บางตำนานว่ากัศยปมุนีปรารถนาจะนำโคกามเธนุไปเป็นพาหนะแต่ติดว่าเป็นโคเพศ เมียจึงเนรมิตตนเป็นพ่อโคเข้าผสมด้วยโคกามเธนุจนเกิดลูกโคสีขาวบริสุทธิ์ ตั้งชื่อให้ว่า อุศุภราช มีลักษณะงดงาม





ตามตำราจึงได้นำไปถวายพระอิศวรเพื่อเป็นเทพพาหนะ บางตำรากล่าวว่านนทิเกศวรแท้จริงแล้วคือเทพบุตรนามว่า นนทิ เป็นผู้เฝ้าสัตว์ในเขาไกรลาสและหัวหน้าแห่งปวงศิวะสาวก เมื่อพระศิวะปรารถนาจะไปยังที่ใด นนทิก็จะแปลงกายให้เป็นโคเผือกเพื่อเป็นเทพพาหนะ  อันแม่วัวกามเธนุนั้นเป็นโควิเศษสามารถเนรมิตสิ่งต่างๆตามที่เจ้าของปรารถนาได้

สิ่งที่สามคือม้าสีขาวนามว่า "อุจเจศรวัส  ซึ่งต่อมาพระอาทิตย์นำไปเทียมราชรถและเป็นต้นเหตุของการพนันระหว่างนางวินตา และนางกัทรุในตำนานการเกิดของครุฑ

สิ่งที่สี่คือช้างไอราวัตหรือช้างเอราวัณซึ่งเป็นช้างผือกสีขาวมีสามเศียรอันเป็นเทพพาหนะของพระอินทร์



(เป็นผลงานงานการออกแบบของ อ.สุดสาคร ชายเสม) หอศิลป์ กรุงเทพ

สี่งที่ห้าคือ เกาสตุภมณีซึ่งเป็นเพชรล้ำค่าที่สุดในสามโลก ต่อมาพระนารายณ์นำไปประดับพระอุระ

สิ่งที่หกคือต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์สามารถอำนวยความสำเร็จให้แก่ผู้ขอพรได้

สิ่งที่เจ็ดคือพระแม่ลักษณมีซึ่งเป็นเทพแห่งโชคลาภเงินทอง ต่อมาพระนารายณ์รับไปเป็นพระชายา

สิ่งที่แปดคือสุระ (ที่มาของคำว่าสุรา) เป็นน้ำเมาชนิดหนึ่งเกิดขึ้นพร้อมเทวีวารุณีซึ่งเป็นเทวีแห่งการทำเหล้า

สิ่งที่เก้าคือเหล่านางอัปสรซึ่งแปลว่าผู้เกิดจากการเคลื่อนไหวของน้ำลอยขึ้นมาจากเกษียรสมุทร 35 ล้านองค์

ทันใดนั้นพลันเกษียรสมุทรเกิดคลื่นน้ำไหลวนปั่นป่วนปรากฏเทพบุตรนามว่า "ธนวันตริ" ทูนคนโทบรรจุน้ำอมฤตลอยขึ้นมาเป็นลำดับสุดท้าย  

ด้วยเกรงว่าเหล่ายักษ์จะแย่งชิงน้ำอมฤตไปดื่ม พระนารายณ์จึงแปลงกายเป็นเทวีหน้าตางดงามนามว่า "โมหิณี" หลอกล่อให้ยักษ์ตามพระองค์ไป ฝ่ายอสูรเห็นหญิงงามก็พากันลืมเรื่องน้ำอมฤตแล้ววิ่งตามพระนารายณ์แปลงใน ทันทีเหล่าเทพเห็นสบโอกาสเหมาะจึงแบ่งกันดื่มน้ำอมฤตในทันใด ในหมู่ยักษาทั้งหลายที่พากันหลงใหลสะคราญโฉมของพระนารายณ์แปลงยังมียักษ์อยู่ ตนหนึ่งนามว่าราหูเป็นยักษ์ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมเหมือนอิ๊กคิวซัง ไม่หลงกลต่อกับดักของเหล่าเทวดา ราหู ซึ่งรู้ในอุบายนี้จึงแปลงกายให้เหมือนเทวดาแล้วไปแฝงอยู่ในหมู่เทพเพื่อดื่ม น้ำอมฤต แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นผิดสังเกตเพราะราหูซึ่งถึงแม้แปลงเป็นเทวดา แต่ยังมีเงาทอดลงพื้นจึงเพ่งด้วยทิพยเนตรก็แลเห็นเป็นร่างยักษาแฝงอยู่ เมื่อแจ้งในความจริงเช่นนั้นแล้วพระอาทิตย์และพระจันทร์จึงนำความไปฟ้องพระ นารายณ์ ทันใดนั้นพระองค์จึงขว้างจักรสุทรรศนะไปต้องกายราหูขาดเป็นสองท่อน แต่ด้วยฤทธานุภาพแห่งน้ำอมฤตที่ราหูดื่มไปแล้วทำให้ถึงแม้ร่างกายถูกตัดออก เป็นสองส่วนก็ไม่สิ้นชีพ

ราหูเจ็บแค้นที่พระอาทิตย์และพระจันทร์ไป เพ็ดทูลพระนารายณ์จนทำให้กายขาดสองท่อนจึงสาบานที่จะจับพระอาทิตย์และพระ จันทร์กินเสียหากโคจรมาเจอกัน ฝ่ายพระจันทร์นั้นโคจรอยู่ในวิมานเบื้องต่ำจึงมักเจอกับราหูอยู่บ่อยๆต่าง กับพระอาทิตย์ซึ่งโคจรอยู่สูงจึงไม่ค่อยพบกับราหูนัก ราหูนั้นมีกายเพียงครึ่งเดียวจึงทำให้กลืนพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เพียง ชั่วคราวก็หลุดออกมา ด้านกายท่อนล่างของราหูนั้นเรียกว่าพระเกตุ เป็นต้นกำเนิดของดาวหางและอุกกาบาตทั้งปวง

ด้านฝ่ายอสูรหลังจากที่ ตามนางโมหิณีและถูกเหล่านางอัปสรมอมสุราพึ่งสร่างจึงพบว่าฝ่ายเทวดาได้ดื่ม น้ำอมฤตหมดแล้วก็บังเกิดความโกรธหมายจะเข้าโรมรันแต่เหล่าเทวะได้ดื่มน้ำ อมฤตแล้วจึงเป็นอมรไม่มีวันตายอีก ฝ่ายยักษาสู้ไม่ได้ก็พ่ายแพ้กลับไปไม่กล้าเข้ามารุกรานสวรรค์อีก หมู่ยักษ์เมื่อได้พบบทเรียนเช่นนี้แล้วจึงปวารณาตนไม่ดื่มเครื่องดองของเมาอีก จึงเป็นที่มาของคำว่า "อสูร" (อ+สุระ) หมายถึงผู้ไม่ดื่มสุรา ต่างกับเหล่าเทวะที่ยังดื่มสุราดังเช่นคำเรียกที่อยู่ของเทวดาที่ว่า "ฟากฟ้าสุราลัย" (สุระคือเหล้า สนธิกับคำว่าอาลัยแปลว่าที่อยู่) หมายถึงที่อยู่ของผู้ดื่มสุราคือสวรรค์นั้นเอง


ที่มา : //miraclemilksea.blogspot.com/






Create Date : 16 ตุลาคม 2557
Last Update : 16 ตุลาคม 2557 14:13:39 น. 1 comments
Counter : 5805 Pageviews.

 


โดย: สมาชิกหมายเลข 1770075 วันที่: 16 ตุลาคม 2557 เวลา:17:16:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.