อันว่าด้วยเรื่องบวชชีพราหมณ์ ถือศีล 8 แบบแนว แนว (1)
สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ จริง ๆ แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่เซียนเรื่องวัดเรื่องวาหรือเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าเท่าไหร่ และก็ไม่ใช่สายสมาธิอย่างเคร่งครัดหากแต่ก็เหมือนชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่ พอมีเรื่องอยากได้อยากมีอะไรคิดไรไม่ออกบอกไม่ถูกก็หันหน้าเข้าวัดไป นั่งหายใจเข้าออก ดูเปลือกตาของตัวเองบางครั้งสมองมันก็จะเหมือนถูกเรียบเรียงเอกสารใหม่อะไรไม่เข้าที่ก็เหมือนจะถูกจัดเรียงให้เป็นระบบมากขึ้น จิตใจสงบมากขึ้นเมื่อจิตนิ่งหัวคิดก็จะแล่นปรื๊ด ๆ ประหนึ่งอิคคิวซังตอนเอาน้ำลายละเลงหัว "ใช้หมองนั่งมาธิ"อะไรที่อยากได้อยากมีก็อาจจะปลดปลงหายอยากหรืออาจจะเกิดปัญญา เห็นแสงสว่างที่ีปลายอุโมงค์เมื่อทางสว่างบังเกิด อะไรก็จะสำเร็จได้โดยง่าย แล้วเรามักจะคิดว่านั่นแหละคือปาฏิหาริย์ ทั้ง ๆ ที่อยู่ที่ตัวเรา จิตเรา ทั้งนั้นแหละค่ะ คุณขา ประสบการณ์บวชชีพราหมณ์ นุ่งขาว ห่มขาว ถือศีล 8 ของข้าพเจ้า เริ่มตอนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เนื่องจากเรียนก็แสนหนักหนากวดวิชาเต็มอัตราศึก อ่านหนังสือก็แล้ว เรียนพิเศษก็แล้ว แต่เพื่อความแน่ใจ พ่อของข้าพเจ้าพาไปหาหมอจะหมออะไรล่ะคะ หมอดูสิคะ คุณขา ถ่อสังขารไปถึงต่างจังหวัด เพื่อไปพบคุณลุงคนหนึ่งอายุไม่น่าจะห่างจากพ่อข้าพเจ้าเท่าไหร่ แกก็ดูธรรมด๊า ธรรมดา ไม่มีโต๊ะหมู่บูชาไม่มีสายสิญจน์ หัวกระโหลกปักเทียนเหมือนในหนัง แต่พ่อของข้าพเจ้าบอกว่า "แม่นมากกกกกกก"หลังจากลุงเอากระดาษปากกามาขูดๆ เขียน ๆ ซักพัก แกก็บอกว่า "จะเรียนไม่จบ" (หมัดแรกเข้าสีข้าง) "จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้" (คราวนี้โดนเข้าไปเต็มๆ จนเห็นดาว) "จะท้องก่อนเรียนจบ" (ห๊ะ! อะไรนะ ตอนนั้นนู๋ยังเป็นทอมอยู่เลย) "จะต้องเป็นเมียน้อยเค้า".................................................... คราวนี้เหมือนถูกหมัดน็อคลงไป TKO ไม่ต้องนับถึงสิบ กรูปล่อยโฮคาบ้านหมอดูเลยสิคะจะรออะไร ชนิดแม่กับพ่อต้องช่วยกันลากสังขารข้าพเจ้ากลับกรุงเทพฯ กินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน ก็แหม! แต่ละอย่าง ชีวิตมันแสนบัดซบซะเหลือเกิ๊น แถมพ่อของข้าพเจ้าก็ดันสำทับอีกว่า"แกแม่นมากเลยนะ" ย้ำเข้าไปอีกสิคะ คุณพ่อขาหลังจากคร่ำเคร่งกับการสอบเข้ามหาลัย นาน ๆทีเสียงพ่อหมอจะดังก้องเข้ามาในหัวกระบาล พอดีลูกพี่ลูกน้อง ชื่อ พี่อ้อ ซึ่งที่สนิทกับข้าพเจ้ามากเสมือนเป็นพี่เลี้ยงของข้าพเจ้ามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ได้ชวนข้าพเจ้าไปบวชชีพราหมณ์ถือศีล 8 ที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่พี่อ้อให้คำจำกัดความว่า ขลังมาก เพื่อป้องกันมิให้ชะตาชีวิตตกต่ำไปตามคำของหมอดูข้าพเจ้าจึงตกปากรับคำในทันใด ประกอบกับช่วงที่วางแผนว่าจะไป วัดจะจัดงานสมโภชน์หรืออะไรซักอย่างนึงพอดีก็ดีเหมือนกันจะได้ช่วยงานวัด โดยหวังว่ากุศลคงส่งให้ได้เรียนต่อมหาลัยกับเค้าบ้าง นอกจากนี้ พ่อแม่ของข้าพเจ้าก็ตัดสินใจส่ง(จริง ๆ ก็บังคับนั่นแหละ) ให้น้องชายของข้าพเจ้าบวชเณรขัดเกลาจิตใจด้วย วัดแห่งนี้ชื่อวัดเขา........... อยู่จังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก โดยเป็นวัดที่อยู่บนเขาไม่สูงมาก ทั้งวัดมีเจ้าอาวาสที่เราเรียกกันว่า "หลวงพ่อ"1 รูป และพระหนุ่ม ๆ อีก 1 รูป ที่แอบสติไม่เต็มเต็งหน่อยๆ (สาธุ นินทาพระ บาปแล้วมั๊ยล่ะตรู) แต่ได้ยินมาว่าโยมแม่บริจาคที่ดินสร้างวัดเลยได้บวชที่นี่ สำหรับการเดินทางพ่อกับแม่ขับรถพาคณะนักบวช 3 ชีวิต ได้แค่ ข้าพเจ้า น้องชาย และลูกพี่ลูกน้องที่ชวนนั่งรถเก๋งปุเลงปุเลง ลุยถนนลูกรังๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ ชนิดใครท้องซัก 8 เดือน ลูกคงหลุดออกมาโดยไม่ต้องออกแรงเบ่ง กว่าจะถึงวัดก็ราว 3 ชั่วโมงกว่า พื้นที่ของวัดส่วนใหญ่อยู่เชิงเขา มีทางขึ้นเขาเป็นบันไดนาค มี 2ชั้น ชั้นแรกมีกุฏิพระว่าง ๆ เรียงรายริมหน้าผาโดยพ่อของข้าพเจ้าก็ได้มาสร้างกุฏิไว้ด้วยหลังนึง ถ้าเดินอ้อมไปด้านหลังจะมีถ้ำซึ่งข้างในมีอะไรก็ไม่ทราบ เพราะเป็นเขตปลอดสตรีผู้หญิงห้ามเข้า จะอยู่กัได้เฉพาะบริเวณปากถ้ำเท่านั้นซึ่งมีเสียงเล่าลือมาว่า ถ้ำแห่งนี้เคยเป็นถ้ำที่สมเด็จพระนเรศวรเคยเสด็จมาประทับแรมที่นี่ข้างในถ้ำจะมีดาบโบราณและอาวุธต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองนะ เค้าเล่ามาอีกทีขึ้นบันไดชั้นบนจะมีโบสถ์รูปทรงกลม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่อันเป็นรูปเสมือนของพระพุทธเจ้า5 พระองค์ ประดิษฐานเรียงรายอยู่ มีความงดงามอลังกาลมาก เราลงมาดูข้างล่างกันบ้างซึ่งส่วนใหญ่เราจะใช้ชีวิตกันข้างล่างนี้แหละที่นอนของเราจะเป็นศาลาอเนกประสงค์ชั้นเดียวโล่ง ๆ ก่อปูนเป็นกำแพงครึ่งนึงมีประตูหน้าต่างรายรอบ มีพระพุทธรูป 1 องค์ เรากินอยู่หลับนอนสวดมนต์ทำวัตรกันที่นี่ ห้องน้ำก็เป็นแถวอยู่ห่างไป 10 ก้าวได้สมัยนั้นเป็นส้วมยอง ๆ มีถังน้ำตักอาบ ออกจะมืดๆ ดำ ๆ ด้านหลังเป็นทุ่ง ริมป่าเสียงหรีดหริ่งเรไรระงมทั้งวัน ช่วงที่ข้าพเจ้าไปบวช มีคนมาบวชชีพราหมณ์ประมาณ 20 - 30 คนได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงสูงอายุ ผู้ชายก็มีบ้างหรอมแหรม 2 - 3 คน หลังจากอาบน้ำอาบท่า ผลัดเสื้อผ้าเป็นนุ่งขาวห่มขาว งดเว้นการประแป้ง ทาเครื่องหอมเครื่องสำอาง โลชั่นประทินผิวทุกชนิด คณะว่าที่ชีพราหมณ์ก็มาร่วมกันรับศีล 8ส่วนน้องชายของข้าพเจ้าพิเศษกว่าหน่อย บรรพชาเป็นสามเณรรับศีล 10พิธีจะเยอะขึ้นมานิดนึง พอรับศีล 8 เสร็จ ก็จะถือว่าเป็นชีพราหมณ์เต็มตัว มันช่างครึ้มอกครึ้มใจเสียนี่กระไรเริ่มต้นการเป็นชีพราหมณ์ครั้งแรกในชีวิต กิจวัตรประจำวัน คือ ตื่นมาตี 4 จากนั้นเราก็จะนั่งสวดมนต์ทำวัตรเช้าโดยมีหลวงพ่อเป็นผู้นำสวดที่ขาดไม่ได้คือพระชัยมงคลคาถา (คาถาพาหุงฯ) จากนั้นหลวงพ่อจะออกไปบิณฑบาตส่วนใหญ่ก็เป็นการรับนิมนต์ฉันเช้าตามบ้านที่เค้านิมนต์ไว้ก่อนเนื่องจากหลวงพ่อเป็นพระแนวมีคาถาอาคม (แอบกระซิบ...เป็นร่างทรงด้วยนะไว้วันหลังค่อยเล่า) จึงมีญาติโยมเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่ท่านจะจำพรรษาอยู่กรุงเทพฯพอมาวัดนี้เมื่อไหร่คิวนิมนต์ยาวเป็นหางว่าว หลังจากหลวงพ่อไปฉันเช้า บรรดาชีพรามณ์จะทำอาหารเช้า อาหารเช้าจะมี 2 ประเภทประเภทเจ และประเภทชอ (อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ ว่าทำไมถึงเรียกชอ) ก็คืออาหารธรรมดามีเนื้อสัตว์ปกตินั่นแหละทำเสร็จก็จะล้อมวงกินข้าวกัน อาหารเจอร่อยมากกกกกก โดยเฉพาะถั่วลิสงต้มน้ำเกลือกินได้ทุกมื้อไม่มีเบื่อกินข้าวเช้าเสร็จก็จะสวดมนต์กันอีก และที่ขาดไม่ได้คาถาพาหุงฯ ซึ่งข้าพเจ้าก็จะส่งเสียงสวดดังเจื้อยแจ้วทุกรอบสิน่าเพลก็กินข้าว แล้วก็สวดกันอีก บ่ายอาบน้ำ เย็นก็สวดอีก ค่ำก็สวดอีกเป็นที่น่าสังเกตว่า ที่นี่เน้นการสวดมนต์ บรรดาคาถาต่าง ๆ สวดกันได้ตลอดโดยเฉพาะคาถาพาหุงฯ ต้องสวดทุกรอบไม่มีขาด โดยไม่มีการเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ เว้นวันงานสมโภชน์ะ สำหรับวันพระก็จะพิเศษหน่อย สวดพาหุงฯ 108จบเลยจ้า กว่าจะสวดเสร็จเล่นเอาคณะชีพราหมณ์คอแหบคอแห้งกันไปตาม ๆกัน การบวชชีพราหมณ์ในครั้งนี้ เป็นการบวชครั้งแรกของข้าพเจ้าจึงมีแต่เรื่องตื่นตาตื่นใจ ประกอบกับอายุยังเป็นวัยละอ่อน หัวอ่อน ไม่มีีเขี้ยวเล็บใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ จึงได้รับความเอ็นดูจากบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในวัดที่บวชด้วยกันยิ่งพอทราบกันว่าข้าพเจ้าชอบกินถั่วลิสงต้มน้ำเกลือกับข้าวสวยร้อน ๆ บรรดาป้าๆก็จัดมาให้ทุกมื้อ แถมวันไหนบ่าย ๆ ง่วงเอนลงนอนกลางวัน ได้ยินเสียงหลวงพ่อถามดุๆว่าใครนอน บรรดาป้าขาใหญ่ประจำวัดก็จะส่งเสียงเอ็ดหลวงพ่อว่า "เด็กมันยังเด็กปล่อยให้มันนอนไป" เห็นมั๊ย ขนาดหลวงพ่อผู้มีอาคมแก่กล้ายังไม่กล้าหือ ข้าพเจ้าจึงบวชได้ด้วยความสุขสนุกสนาน ในบรรดาผู้บวชชีพราหมณ์ด้วยกันมีร่างทรง 2-3 คน ถ้าไม่นับหลวงพ่อ ป้าคนนึงเป็นร่างทรงพระแม่อุมาเทวี ยามปกติแกพูดจาอ่อนหวานไพเราะมีฝีมือในการจัดดอกไม้และทำบายศรี พอเปลี่ยนเป็นเจ้าแม่กาลี ป๊าด.....ด่าไฟแลบเลยจ้า อีกคนเป็นร่างทรงพระนางเรือล่ม คนนี้ยังสาวสวย รูปร่างดีเป็นช่างตัดเสื้อ ชุดชีพราหมณ์จึงออกแบบอย่างสวยงามทุกชุดพอประทับทรงทีก็จะร้องไห้อย่างเดียว ส่วนคนอื่นเป็นไง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ละ เรื่องผี ผี วัดนี้ก็มีเยอะนะ แต่ส่วนใหญ่ข้าพเจ้ามารู้เอาภายหลังแถมมีเรื่องอื่น ๆ ให้ตื่นเต้นด้วย ไว้ค่อยเล่าเนอะ หลังจากการบวชในครั้งนี้ ผลออกมา "ข้าพเจ้าเรียนจบ" (ปัจจุบันปริญญา 5ใบนะจ๊ะ ขอบอก) "ข้าพเจ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้" "ข้าพเจ้าแต่งงานแล้ว 1 ปีถึงจะท้อง" (แถมขณะที่ยังเรียนไม่จบ ข้าพเจ้าเวอร์จิ้นจ้า ไม่เคยมีแฟนเลยมีคนมาชอบ มาจีบ แต่ไม่จีบจริงจังซักผู้สิน่า กว่าจะเจออดีตสามีหลังเรียนจบทำงานแล้วด้วย) "ปัจจุบันก็ยังไม่เคยเป็นเมียน้อยใคร" (แถมไม่มีแววด้วยก็ออกจะดุปานนี้) ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุญกุศลที่ได้จากการบวชชีพราหมณ์ในครั้งนั้นหรือหมอดูแกมั่ว อโหสินะลุง (ปัจจุบันแกถึงแก่กรรมแล้ว) แต่ก็เอาเถอะประสบการณ์บวชครั้งนี้ได้ให้อะไรกับข้าพเจ้าเยอะเลย สุดท้ายนี้ บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมา ขออุทิศให้ "หลวงพ่อ"ซึ่งได้มรณภาพไปแล้ว และเท่าที่ทราบมา มีอาจารย์ท่านนึงได้อัญเชิญหลวงพ่อมาเป็นประทับทรงด้วยเอากับเค้าสิ มีการจัดงานไหว้ครูหลวงพ่อซะยิ่งใหญ่อลังการ แต่วัดก็ยังคงแทบไม่มีพระจำพรรษาสำหรับหลวงพี่อีกรูปที่ว่าไม่ค่อยจะ 100% นั้นนะเหรอท่านได้แสดงวีรกรรมในครั้งนั้น เป็นเหตุให้ต้องอำลาจากวงการพระสงฆ์ไปไว้จะเล่าให้อ่านทีหลังนะตะเอง วันพอแค่นี้ ขอทำมาหากินก่อนนะคะ บ๋าย บาย
Create Date : 25 มกราคม 2561 |
Last Update : 31 มกราคม 2561 17:07:01 น. |
|
2 comments
|
Counter : 783 Pageviews. |
|
|