|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
 |
|
|
ในสนธยาวาร... ในสนธยา บทหลับ ... ถ้า... ถ้าที่หมายความว่า ถ้า... ความฝัน...ที่ไม่ใช่เรื่องราวเพียงหลับไป ความฝัน...ที่ไม่ใช่ความใฝ่ฝันที่จะต้องพยายามคว้ามาให้ได้ในวันข้างหน้า แต่กลับเป็นเวลาห้วงหนึ่ง ที่เราเผลอคิด...ให้มันเกิดขึ้นมา ดั่งเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ... หอสมุดหมู่บ้านภาวี ใต้ร่มไม้ใหญ่แห่งกาลเวลา บางครั้ง...ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังคงอยู่ บางครั้ง...ต้นไม้ต้นนี้ก็หายไป มันคงอยู่ที่...วันเวลา และการคงอยู่ตามกาลสมัย ปีนั้นเราโมเมว่าเราไม่รู้เวลา ต้นไม้ต้นนี้ยังยืนต้นร่มเงาให้ความชุ่มชื่นใจแก่เราอยู่ มันเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นของวันเวลา ที่แสนจะน่าเบื่อ ทุกคนที่มาพบกัน พร้อมกันที่นี่ ล้วนแล้วแต่มีปัญหาที่แก้กันไม่ตกทั้งสิ้น โต๊ะไม้สี่ที่นั่ง รายล้อมด้วยชั้นหนังสือที่ดูมีมนต์ขลัง หนังสือบางเล่มถูกกางอยู่ในมือของชายหนุ่ม เขาทำแต่เพียงมองมันผ่านๆ ไม่นานนัก...มีเสียงย่างกรายของบุคคลเข้ามาด้านหน้าประตู เข้ามานั่งยังที่ข้างๆ ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาหันหน้าไปมองผู้ที่มาเยือน “ว่าไง ว่างกันนักเรอะ” ผู้มาเยือนโยนตลับหมากฝรั่งลงไปบนโต๊ะ เสียงกระทบดังขึ้นเบาๆ “ไม่ว่าง แต่ฉันเลือกที่จะมาที่นี่ตอนไม่ว่าง” ผู้โยนหมากฝรั่งตอบ ... ย้อนกลับไปอีกเวลาหนึ่ง ... “ไปหามะพร้าวเต่ากันเถอะ” ชายหนุ่มที่ทำเป็นเท่ห์พูดชี้ชวน ใบหน้าหวานหยดย้อยแต่ดูค้านกับจิตใจส่วนลึก สายตามองเพื่อนผู้มาเยือน “เราจะไปกันยังไง” ชายหนุ่มถาม ใบหน้าเรียว ตาชั้นเดียวมองนิ่ง “พาหมาขึ้นไปด้วย” หนุ่มหน้าหวานกล่าว พลางถือไม้ไผ่กระชับมือ ‘หมั่นโถว’ สุนัขพันธุ์ไทยสีขาวเดินตามไปอย่างไม่รู้ประสา แต่ยังไงขีดความสามารถก็ยังเหนือกว่าสองหนุ่มที่กำลังจะขึ้นเขาอยู่ดี มันเป็นหลังบ้านของชายหนุ่มที่ชื่อ ‘กุนเชียงชาญ บริบาลรักษ์’ เป็นเนินเตี้ยๆ ที่ค่อยๆ ลาดขึ้นไปยังภูเขาสูง พวกเขา...2 คน กับอีก 1 ผู้ระแวดระวังทาง ลุยป่าโปร่งเข้าไปในยามบ่ายของวันหยุดหลังจากหมดภาระจากการบ้านที่โรงเรียนแล้ว แสงแดดยามบ่ายไม่ได้อ่อนลง เพียงแต่ร่มเงาของไม้ใหญ่ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น...ก็เท่านั้น ทั้งสองเดินไปตามทางที่มีคนเคยผ่านมาแล้ว ต้นมะพร้าวเต่าขึ้นตามจุดต่างๆ ประปราย เดินกันต่อ...ไปจวนจะสุดปลายยอดเขา ก็ยังไม่เหน็ดเหนื่อย แดดบ่ายค่อยๆ โรยตัวเย็นลงตามลำดับ ชายหนุ่มผู้ไปเยื่อนถิ่นเพื่อน มองความงดงามของสายัณห์กาลและประทับมันไว้ในดวงใจของตน พวกเขาหิ้วมะพร้าวเต่ากันคนละต้นลงเขาไป มีหมั่นโถววิ่งระวังภัยคอยเป็นเพื่อนให้อุ่นใจตลอดระยะการเดินทาง ... “หมั่นโถวตายแล้ว” “อ้าว มันเป็นไร” สาเหตุตามธรรมชาติถูกเอื้อนเอ่ย และแผ่วพลิ้วไปตามสายลมของฤดูร้อนที่พัดผ่านหน้า มันจะมีวันที่เขา...ยุรกรณ์ ปั่นจักรยานโบราณคันแกร่งและสภาพดีไปเที่ยวหากุนเชียงชาญ เขาเคยแลกจักรยานกับกุนเชียงชาญในการขับขี่ รถจักรยานของกุนเชียงชาญโหลยโท่ยสิ้นดี ล้อคด แฮนด์ไม่เสถียร “เพื่อเพื่อน คนเรายอมกินเหล้าก็เพื่อเพื่อน แม้จะกินแล้วผื่นขึ้นก็ตาม” กุนเชียง-ชาญเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือเท่ห์ แต่มันไม่เท่ห์เอาเสียเลยในความรู้สึกของยุรกรณ์ “หากกินแล้วผื่นขึ้น แล้วยังกล้าบีบบังคับให้ดื่ม ก็อย่ามาเป็นเพื่อนกันเลย” ยุรกรณ์เปรยกลับ วันนั้น...จักรยานของสองหนุ่มโลดแล่นไปตามทางสายเปลี่ยว หมาประจำถิ่นเรียงรายล้อมพวกเขาเต็มถนนหนทาง จักรยานของยุรกรณ์พากุนเชียงชาญรอด เพียงขับหนี แล้วหันหน้ามามองยุรกรณ์กับรถโหลยโท่ย หมาเข้าล้อมรอบตัวยุรกรณ์ กุนเชียงชาญเพียงหัวเราะหึๆ “เอ็งไปคิดเอาเองเถอะพ่อหนุ่ม” หมาอาวุโสพูด (สื่อแบบ...?) แล้วก็ทำสัญญาณถอนกำลัง ยุรกรณ์รอด ... การเดินเขาแบบเด็กๆ ของกุนเชียงชาญกับยุรกรณ์เป็นเพียงความทรงจำรางๆ เมื่อพวกเขาพากันขึ้นไปยังเขาอีกเทือก ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นดังที่คิด ไม่มีหมั่นโถวคอยระวังภัย และเป็นเทือกสูงที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่าเทือกตะวันส่องที่เคยผ่านมา แต่ในทางกลับกัน มันก็มีความงามที่แทบจะทำให้ยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่ หนทางที่เต็มไปด้วยพงหญ้าในฤดูร้อนยังพอโล่งเตียนให้เดินได้สะดวก ขึ้นไปยังเนินเตี้ยๆ ก็สามารถมองผ่านป่าไม้โปร่งที่มองเมืองได้ทั้งเมือง บนสุดของยอดเขา...มีสถานีปฏิบัติการอะไรสักอย่างอยู่บนนั้น มีการตัดทางขึ้นไปได้อย่างสะดวกสบายในยุคหลัง แต่ในป่าที่กำลังจะเดินกันขึ้นไป ระหว่างทางย่อมมีเรื่องราวบางช่วงที่พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่เข้าใจ แตะผัสสะและกระทบใจพวกเขาเป็นระลอกๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นและสนุกสนาน จากที่เคยขึ้นไปแค่จุดที่มีสุสานตั้งอยู่ ยุรกรณ์ก็ได้เดินขึ้นไปอีกตอนของช่วงเขา ความรู้สึกอยากรู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มุมสูงที่มองเห็นทิวทัศน์ที่แสนสวยขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักเขาทั้งสองก็ขึ้นไปถึงส่วนของต้นไม้ที่ถูกตัดจนโล่งเตียน มองจากมุมด้านล่างตรงจุดที่กล่าวถึงนี้คือจุดที่สายไฟทอดยาวจากเสาสูงพาดผ่าน ดังนั้นในส่วนของผู้เกี่ยวข้องจึงต้องทำให้เตียนโดยไม่ให้เกะกะสายไฟอยู่เสมอ ที่ตรงนั้น...ยุรกรณ์กับกุนเชียงชาญไปพบก้อนหินก้อนหนึ่ง มองขึ้นไปด้านบน ถ้าเดินไปอีกอึดใจเดียวก็จะถึงยอดเขาที่มีสถานีปฏิบัติการและเสาเรดาร์ยักษ์ตั้งอยู่ ส่วนช่วงเขาในตอนนี้ แสงแดดทอจ้า เป็นส่วนที่สว่างที่สุดเท่าที่ผ่านมา มองลงไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง เห็นสุดขอบฟ้าเป็นขอบเขตที่ราวกับไร้ขอบเขตเส้นหนึ่ง ฟ้าใส ความรู้สึกห่างไกลกับผู้คน ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวที่เกาะกินใจถึงขีดสุด เป็นความงามที่เลือนราง ล้ำค่า และหาโอกาสไปดูได้ยากมากในชั่วเวลาหนึ่งของชีวิต เวลากระดิกเร็วกว่าที่พวกเขาคิด จำใจต้องลงเขาโดยเดินตามร่องน้ำแห้งกันลงไป พอเข้าเขตบังของหมู่ไม้ แสงแดดพลันหาย ราวกับว่าเวลาของยามบ่ายได้สูญไปเสียสิ้น ราวกับว่าสายัณห์กาลเร่งหลบเร้นลงรวดเร็ว...ก็มิปาน กุนเชียงชาญไม่ฟังเสียง เขาเดินแกมวิ่งทิ้งยุรกรณ์ไว้ข้างหลัง ใจเกิดเสียขึ้นมาเพราะอาณาของพงไพรที่หาสาเหตุแห่งใจนั้นมิได้ รู้เพียงให้ออกจากป่าโปร่งนี้โดยเร็วที่สุด ยุรกรณ์เช่นกัน เขารู้สึกว่าทางกลับน่าจะเร็วกว่าตอนขึ้นเขา แต่ทำไมเวลาช่างดูวกวนและยาวนาน เหมือนเดินไปในสายัณห์กาลที่โรยตัวลงจนเกือบจะมืดมิดแล้ว พวกเขาผ่านออกไปสู่แสงสว่างอีกครั้ง เห็นรถราวิ่งผ่านแถบถนนตรงตีนเขา แดดบ่ายยังคงสว่างจ้า ราวกับเวลาหมุนกลับ แล้วปรากฏการณ์ที่เกือบมืดมิดจนทำให้กลัว เงื้อมเงาของต้นไม้ที่แกว่งไกวยามที่ลมยังไม่ทันพัด ห้วงอารมณ์ที่ใกล้เคียงกับห้วงฝันร้ายกลายๆ มันคืออะไรกันแน่ กุนเชียงชาญเป็นเพื่อนสนิทของยุรกรณ์ แต่ก็ไม่ได้ยืนยงถึงขนาดที่ว่าจะเป็นเพื่อนตายได้ บนโลกนี้...มิตรภาพที่ดีนั้นมีแน่ แต่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ถ้าใครสักคนหนึ่งเจอง่ายๆ นั่นคือพวกเขามีวาสนาและบุญเก่าที่ดี
มยุราบันทึก โดย คิมหันต์วิษุวัต
ติดตามในรูปแบบ E-Book ที่ Meb : https://shorturl.at/huykF Pinto : https://pintobook.com/sl/n5lozrs0vy
ติดตาม ในสนธยาบทหลับ อ่านฟรี ที่ Meb : https://shorturl.at/XaAq1 Pinto : https://pintobook.com/sl/l2dqwok09v
Create Date : 29 มกราคม 2568 |
Last Update : 29 มกราคม 2568 14:07:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 219 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | Smember |  | ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
เป็นความฝัน ดวงตะวัน กลางคืนเที่ยง ที่ร้อยเรียง ความทรงจำ อันล้ำค่า เล่าให้ฟัง ใต้ต้นไม้ แต่นานมา จึงเล่าผ่าน อักษรา เป็นความเรียง
|
|
 |
|