Mind and Sword in Accord

ทัวร์ซามูไร



แวะมาใส่รูปและตั้งหัวข้อเอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาขยายและเขียน เพราะบ่ายนี้มีเรียนดาบซามูไรกับเซนเซ ถ้าไปเรียนสายเดี๋ยวโดนสั่งคว้านท้อง ฮี่ ๆ ๆ

สรุปสั้น ๆ ยั่วน้ำลายก่อนก็คือ การไปญี่ปุ่นหนล่าสุดของฉันนี้ ฉันตั้งชื่อไว้ว่าเป็นทัวร์ซามูไรอย่างแท้จริง เพราะเริ่มตั้งแต่คนพาไป คือเซนเซฉันนั้นท่านเป็นซามูไร (จริง ๆ) ที่สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพของเมืองฟุกุชิม่า ที่บ้านเขายังอยู่ใกล้ปราสาทของเจ้าแคว้นอยู่เลย (สมัยก่อนต้องอยู่ใกล้ ๆ ไว้คอยเป็นบอดี้การ์ดไดเมียว)

ไปรายการแรกก็ไปสำนักดาบซามูไรฉันก่อนเลย ไปเยี่ยมคารวะอาจารย์ใหญ่ และเอาชุดไปด้วย ไป...อ่า...บอกไม่ได้....แหะ ๆ ความลับของสำนัก

แล้วก็ไปดูเทศกาลซามูไร ที่มีมากว่าพันปีแล้ว คนเข้าร่วมแต่งชุดเกราะเต็มยศก็เป็นพันคนเหมือนกัน ล้วนแล้วแต่จากตระกูลซามูไรใหญ่และเก่าแก่

แล้วไปสำนักช่างตีดาบมือหนึ่งของประเทศ มือหนึ่งอย่างไร วันหลังจะมาขยาย ท่านให้ฉันได้ตีคู่กับท่านด้วย หู...ครั้งหนึ่งในชีวิต!!!

แล้วมีอะไร ๆ ซามูไรอีกเยอะ รวมทั้งการไปเยือนหมู่บ้านเอโด ที่เซนเซจับลูกศิษย์จากเมืองไทยใส่ชุดซามูไรโบราณ ให้ไปเดินเล่นในหมู่บ้านโต๋เต๋อยู่ตลอดบ่าย ไปดูการแสดงโบราณเกี่ยวกับซามูไรต่าง ๆ เหมือนยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ได้อารมณ์ดีมาก เพราะชุดหนักด้วย พกดาบด้วย มีคนญี่ปุ่นมาขอถ่ายรูปกับพี่ที่ไปด้วย เพราะหน้าท่านเหมือนโชกุน ฮิ ๆ

พอแยกจากคณะใหญ่ จากต่างจังหวัดวกเข้ากรุงโตเกียว มีคนนำเป็นเซนเซของเรา จะเหลือเรอะ รายการแรกก็นู่นเลย ร้านขายดาบอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในซอกเล็ก ๆ แถวกินซ่า

แต่อย่าหมายว่าท่านจะได้เห็นอะไรดี ๆ ถ้าไม่มีคนพาไป เพราะมันเหมือนหนังเจมส์ บอนด์ เด๊ะ ตรงที่ของดีจะอยู่หลังร้าน และต้องซุบซิบบอกเจ้าของร้าน เขาจะได้รู้ว่าเป็นคนวงในแนะนำมา และจะได้มีการมองหัวจรดเท้าก่อนพาไปดู

มันไม่ได้ผิดกม.หรอก แต่ว่ามันเป็นศิลปะโบราณล้ำค่าน่ะ คือว่ามันแพงนั่นเอง ท่านผู้ชม จึงจำเป็นต้องเก็บมิดชิด

ฉันนั้นมันแค่นักเรียน จึงซื้อแค่หนังสือวิธีผูกเชือกรัดฝักดาบให้ถูกต้องตามธรรมเนียมโบราณแบบต่าง ๆ เหมือนวิชาผูกเงื่อนลูกเสือนั่นเอง แต่คนญี่ปุ่นโบราณทำอะไรเป็นศิลปะไปหมด หนังสือแสนสวย ตื่นตา ตื่นใจ แถมวิธีดูแลดาบ

แค่การฝึกผูกเงื่อนต่าง ๆ นี้ฉันว่ามันเป็นการฝึกสติที่ยากมากแล้ว เพราะฉันก็ยังทำไม่ได้เสียที เวลาก่อนเรียนดาบแต่ละทีตอนทำพิธีเคารพเซนเซดาบฉันดูไม่เรียบร้อยเหมือนของเซนเซเลย แย่จริง

แต่จะไปเทียบกันได้อย่างไร ฉันมันซามูไรมือใหม่ ท่านนั้นระดับเจ้าสำนัก แหะ ๆ

หลังจากนั้น ก็ไปพิพิธภัณฑ์ดาบโบราณ อันนี้ขนาดคนญี่ปุ่นเองยังไม่ค่อยรู้จักและได้ไปเลย อยู่ในซอกซอยมาก เซนเซต้องบอกทาง กางแผนที่ให้แท๊กซี่ดู ซึ่งปกติแท๊กซี่มี จีพีเอส กันทุกคันแล้วน่ะ ป้อนข้อมูลเข้าไปกดสองสามทีมันก็บอกทางให้แล้ว อันนี้ของรัก ของหวง ศิลปของชาติเขาทีเดียว

แล้วเซนเซก็ยังเมตตาพาไปตระเวณโบ๊เบ๊ญี่ปุ่น ฉันเรียกเสียเขาเสียหายเลย จริง ๆ มันคือ ตลาดนัดอูเอโนะนั่นแหละ แต่พาไปทำไมน่ะหรือ ไปร้านที่เขาขายของประมาณว่าซามูไร ๆ นั่นแหละ เสื้อผ้า เกี๊ยะ อาวุธต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน

พวกครูบาอาจารย์ที่สอนศิลปโบราณของญี่ปุ่น เช่น ซูโม่ ฯลฯ แม้นเวลาปกติ เขาก็ใส่ชุดประจำชาติกัน เหมือนเป็นศิลปินของชาติ เซนเซฉันก็เหมือนกัน เท่มาก

ฉันยังคิดเลยว่า เมืองไทยน่าจะอนุรักษ์ของเราอย่างนี้บ้างด้วย ดีออก

เซนเซพาไปแต่ละที่ จะต้องมีปรัชญาสอนใจอยู่เสมอ สมกับเป็นอาจารย์สอนปรัชญาเซนผ่านทางดาบซามูไรจริง ๆ และฉันเชื่อแล้วว่าพวกซามูไรเขาให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์มาก เพราะเซนเซให้เราลงจากแท๊กซี่เพื่อแวะถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์หมาที่ชิบุย่า (ใช่ไหมนี่ ต้องไปดูในไดอารี่) โดยเฉพาะ เนื่องจากมันซื่อสัตย์รักเจ้านายมาก แม้นเจ้านายตายไปแล้ว

ถ่ายรูปอย่างเดียวจริง ๆ แล้วก็ขึ้นรถไปทำอย่างอื่นต่อ ถ้าเป็นลูกทัวร์ธรรมดาคงมีค้อนควับ แต่นี่เป็นลูกศิษย์ ไม่ใช่ลูกทัวร์ ก็เลยต้องเดินตามต้อย ๆ ซ้าย ขวา ซ้าย อย่างเป็นระเบียบ ใจสงบนิ่งแบบซามูไรที่ดีและสุภาพมีเมตตา (ว่าเข้านั่น)

อ้าว เล่าข้ามขั้น เพิ่งนึกออกว่าสองสามวันแรกเซนเซพาไปปราสาทเจ้าแคว้นเก่าเมืองไอซุ ที่มาของหนัง The Last Samurai นั่นเอง และก็พาไปบ้านของแม่ทัพในเมืองเดียวกันนั้นด้วย ให้เห็นสภาพความเป็นอยู่คนในสมัยนั้น

สมัยที่ฉันกะจะใช้เป็นช่วงที่เจาะทำวิทยานิพนธ์นี่แหละ แหม ถูกใจมาก เหมือนเห็นวิทยานิพนธ์มาลอยอยู่ตรงหน้า (แต่ยังไม่ได้เขียนอะไรไกลไปกว่าบทนำ เฮ้อ)

อ้อ, เดี๋ยวจะหาว่าเป็นทริปที่ไม่มีการพักผ่อนหย่อนใจเลย เซนเซพาไปพักด้วย หลังจากโหด ๆ ที่สำนักดาบของเรากับอาจารย์ใหญ่ และกับงานแข่งม้าซามูไรคลุกโคลนกันหนักหนาสาหัสสบักสบอมกันมาแล้ว

วันทึ่ไปปราสาทเจ้าแคว้นฉันแอบซนไปยิงธนูแบบโบราณ แขนเลยช้ำจ้ำใหญ่ เพราะไม่มีเกราะป้องกัน แต่ดี จะได้จำไว้ว่ามันเจ็บอย่างนี้ ขนาดยิงแค่ไม่เกิน ๕ ลูกศรนะนั่น คันธนูยาวมากกว่าสมัยนี้มาก แต่ลูกธนูสวยและพุ่งตัวไปไกลเหลือเชื่อด้วยการออกแบบของซามูไรโบราณ ไม่ใช่ด้วยฝีมือการยิงของฉัน

คุณลุงซามูไรแก่ ๆ ที่มาสอนฉันยิง ก็พูดอังกฤษไม่ได้ ฉันก็พูดญี่ปุ่นได้โหลยโท่ยมาก สรุปว่าเรียนด้วยภาษาใบ้นี่แหละ ภาษาสากลที่สุด แต่มีความรู้สึกว่า ระหว่างคนเอเชียด้วยกันนี้แล้ว ฉันรู้สึกอบอุ่นใจในการสื่อสารกับคนญี่ปุ่นนะ

คือฉันอาจจะคิดไปเอง แต่ฉันว่าคนญี่ปุ่นกับคนไทยนี่สามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่องด้วยใจน่ะ หมายถึงในระดับหนึ่งน่ะนะ คือมีความเข้าใจในเรื่องพื้นฐานที่คล้ายกัน มีความขี้เกรงใจเหมือนกัน ฯลฯ

กลับมาเรื่องเที่ยวดีกว่า อ้อ น้ำตกใช่ไหม แต่ขอโทษ ขนาดพาไปน้ำตก เซนเซก็ยังอิงประวัติศาสตร์ซามูไร เอาไว้เล่ายาว ๆ ทีหลังดีกว่า แต่ที่แน่ ๆ น้ำตกนี้มีโชกุนคนหนึ่ง(มั้ง) บอกไว้ว่า "อย่าเพิ่งบอกว่าที่ไหนสวย ถ้ายังไม่เคยไปนิกโก้" ฮิ ๆ ประมาณนั้น

อือ...สวยจริงอย่างที่ว่า สวยแบบซามูไร ๆ เพราะได้เดินออกกำลังกายขากันน่องกล้ามขึ้น ดูเซนเซเดินแบบสบายใจบนเกี๊ยะ แต่ลูกศิษย์นั้นขาลากกันหมดแล้ว เพราะมันเหมือนเดินขึ้นเขาหลายลูก หอบแฮ่ก ๆ แต่อากาศบริสุทธิ์และเย็นชื่นใจมาก ไม่อยากกลับกรุงเทพเลย ให้ตายเถอะ

กระโดดย้อนกลับมาโตเกียวอีกที ในทริปส่วนตัวฉันตอนอยู่คนเดียว ไม่นับตอนเข้าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่มหาลัย ฉันก็ไปศาลเจ้ายาสุคุนิในโตเกียว ที่เป็นที่ระลึกเก็บวิญญาณซามูไรสองล้านกว่าคน เพราะฉันมีเหตุผลส่วนตัว ซึ่งต้องขยายเหมือนกัน

แล้วก็ไปห้องสมุดประวัติศาสตร์ทหารญี่ปุ่น อันนี้ก็ซามูไร้ ซามูไร มีทหารตะเบ๊ะฉันทั้งขาเข้าและขาออก เท่มาก

แล้วจะไม่ให้เรียกทริปนี้ว่าทัวร์ซามูไรได้อย่างไรกัน?

บันไซ!!




 

Create Date : 03 สิงหาคม 2549   
Last Update : 3 สิงหาคม 2549 14:10:20 น.   
Counter : 1640 Pageviews.  

คุโรซาว่า และ การดวลดาบครั้งแรกของฉัน



After the Rain (Ame Agaru 1998)

-----------------------------------------------------------
>**หมายเหตุ** ความจริงเรื่องนี้เขียนนานแล้ว แต่โพสต์ไว้บล๊อกภาษาอังกฤษอันเก่าแก่-----------------------------------------------------------
เมื่อคืนวานนี้เพิ่งดูหนังเรื่องนี้จบ เซนเซให้ยืมมาดู บอกว่าดีกว่า Last Samurai มาก แต่ไม่ได้บอกว่าดีกว่ายังไง ให้เรามาคิดเอง พอมาดูแล้วก็ชอบจริง ๆ ด้วย มันคนละอารมณ์กับ Last Samurai นะ คงเพราะเป็นคนญี่ปุ่นทำนั่นเอง และไม่ใช่คนญี่ปุ่นธรรมดา ๆ เสียด้วย แต่เป็นถึงระดับ Kurosawa เป็นคนเขียนบท และมือขวาของเขาเป็นคนกำกับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่ Kurosawa เขียนบทก่อนจากไป

ที่ว่าหนังดีนั้น เอาในแง่ทั่วไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าเรียนดาบซามูไรแล้วก็จะจ้องดูแต่เรื่องกระบวนท่า เพลงดาบ วิทยายุทธ อะไรไปนั่น จริง ๆ แล้วเรื่องนี้สอนเรื่องจิตใจของมนุษย์นะ สอนว่าซามูไรที่แท้จริงแล้วต้องเป็นอย่างไรต่างหาก เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างพระเอกนี่แหละ นั่นก็คือ มีชีวิตเรียบง่าย สมถะมากที่สุด มีจิตใจดี ไม่เสแสร้ง ไม่เก๊ก มีความเมตตา มีความอ่อนโยนต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยกว่า เป็นทุกข์กว่าเขา จนทุกคนสัมผัสได้ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง ว่างั้น เป็นแบบ unpretentious ด้วย คือ ไม่ได้หวังผลตอบแทน ไม่ได้มีความหวังที่ยิ่งใหญ่อะไร เพราะชีวิตเขาเรียบง่ายจริง ๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ มุ่งฝึกพัฒนาจิตใจตน อีกทั้งยังเป็นสามีที่ดี มีความเอื้ออาทรห่วงใย ดูแล เกรงใจ ให้เกียรติภรรยา อะไรจะเป็นคนเพอร์เฝ็คท์ขนาดนั้น ในโลกนี้ยังมีคนดีอย่างนี้อีกหรือ

แน่นอน ระดับ Kurosawa แล้ว จึงสามารถเขียนบทสอดแทรกจุดด้อยของมนุษย์แต่ละคนลงไปได้อย่างกลมกลืน อย่างในเรื่องนี้จะเรียกว่าพระเอกเป็นคนดีเกินไปก็ได้ ขี้เกรงใจเกินไปก็ได้ หรือว่าโชคชะตาไม่ค่อยเข้าข้างก็ได้ ฝนฟ้าไม่เป็นใจ แดดออกเร็วเกินไปไม่เป็นใจก็ได้ แล้วแต่จะมอง แถมยังขมวดปมจบดื้อ ๆ แบบไม่จำเป็นต้องตอบข้อสงสัยทุกข้อที่ค้างอยู่ในใจคนดูอีกด้วย เท่มาก Kurosawa เท่จริง ๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่สะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจพระเอก กับนางเอกได้เป็นอย่างดี คือเขามีความสุขของเขาอย่างนั้นอยู่แล้วน่ะ การขมวดปมจบอย่างนั้น ถ้าคนดูตั้งสติดี ๆ ก็จะรู้ตัวเหมือนกันนะว่า ตัวเองกำลังใช้มาตรฐานของตัวเอง (ซึ่งถ้ายอมรับความจริงแล้วจะพบว่ามันไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป หรือดีเสมอไป) ไปคาดหวัง หรือตัดสินให้กับชีวิตคนอื่น ซึ่งในที่นี้ คือชีวิตพระเอก



แต่ความจริงพระเอก หรือ Kurosawa กำลังสอนเราต่างหากว่า สิ่งที่สำคัญที่แท้จริงที่สุดของชีวิต อาจหาใช่เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง ตำแหน่งใหญ่โต อะไรไม่ หากคือ ความสุขเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ การเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่างสมดุลย์ ความสุขสงบทางจิตวิญญาณ ความปลอดโปร่งของจิตใจที่อิสระ ที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการของกิเลสตัณหาทั้งมวล คือความกล้าหาญที่จะก้าวเดินออกไปเผชิญโลกกว้างข้างหน้าอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว โดยไม่พะวงเหลียวหลังกลับมา นั่นแหละ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะทำให้ได้ ครั้งหนึ่งชีวิต


นั่น ยกให้ Kurosawa คนนึง เท่เสียไม่มี นี่ยังไม่นับฉากที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับดาบเลยนะนี่ เพราะว่าในฐานะคนที่เรียนการใช้ดาบซามูไรมาได้ปีนึงพอดีเลยนี่ ข้าพเจ้าดูด้วยความตื่นตาตื่นใจมาก โดยเฉพาะฉากที่พระเอกไปประลองฝีมือเพื่อทดสอบว่ามีคุณสมบัติสมควรได้เป็นอาจารย์ดาบของเจ้าแคว้นหรือเปล่านั้น ต้องแอบถอยหลังไปดูถึงสองสามรอบ เพราะรู้สึกว่าคล้ายที่เซนเซสอนมาก ๆ และอาจเจอกับตัวเองในอนาคตตอนเรียน พระเอกเล่นได้เนียนมาก วันนี้ตอนเรียนเสร็จก็เลยถามเซนเซว่า พระเอกเป็นนักดาบจริง ๆ หรือเปล่า เซนเซบอกว่า จริง ๆ แล้วเป็นนักแสดง แต่ Kurosawa บอกว่า ถ้าอยากเล่นเรื่องนี้ ให้ไปหัดดาบมาก่อน สองปี เขาก็ยอม เพราะเขาสนใจอยู่แล้ว โห...สุดยอด นักแสดงญี่ปุ่น อย่างนี้สิถึงเรียกว่า ทุ่มสุดตัว มิน่า ฉากประลองนี้สิ่งแรกที่เราสะดุดตาคือ พลังจากสายตาเขาเลย ถ้าเขาสามารถส่งพลังออกมานอกจอได้ขนาดนี้น่ะ เราว่าไม่ธรรมดา

ทำให้เรานึกถึงที่เคยอ่านเรื่อง มูซาชิ เพราะสายตาเขาประมาณนั้นจริง ๆ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่นมุมกล้อง หรือ ใช้เสียงเร้าใจอะไรช่วยแบบฮอลลีวู้ดเลย ถ่ายดิบ ๆ นี่แหละ เหมือนสุด เพราะฉะนั้น สายตาที่มีพลังแรง แวววาว ดุดันมาก ๆ นี่ มันส่งออกมาได้จริง ๆ นะ เราเข้าใจเลยว่า ที่มูซาชิฝึกนั้น มันออกมาได้ผลจริง ๆ ยังไง ไม่ต้องอะไรเลย ขนาดเซนเซเรา “จิก” สายตาตอนถ่ายรูปให้สัมภาษณ์ลง จีเอ็ม ตอนนั้นน่ะ ยังทำเพื่อนเราที่ไม่รู้จักบอกว่าเห็นแล้วกลัวแทบแย่เลย

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวตัวตั้งแต่ยังไม่ออกดาบของพระเอกนี้ก็ธรรมชาติมาก รู้เลยว่าฝึกมาเองดี ไม่ต้องมีสตั๊นท์ เห็นแล้วนึกถึงที่เซนเซสอน เรื่องการเคลื่อนไหวจากท้อง เกี่ยวกับกำลังภายในแบบญี่ปุ่นน่ะ แต่ไม่สามารถเขียนอธิบายยาวในนี้ได้ เพราะเป็นความลับของสำนัก แหะ ๆ ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาว่า ฮึ้ย ๆ เขาทำอย่างที่เซนเซสอนด้วย แล้วดูวิธีที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ดาบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ชักดาบ ถ้าไม่จำเป็น ว่างั้น ก็ยิ่งตรงกับนโยบาย เอ๊ย แนวคิดของสำนักเราอีกด้วย ก็เลยทำให้สงสัยว่า เอ๊...ตกลงซามูไรญี่ปุ่นนี้เหมือนกันทุกสำนักเลยหรือเปล่าหนอ ว่าแล้วเดี๋ยวต้องจดลิสต์คำถามไปถามเซนเซหนหน้าเลยดีกว่า วันนี้ไม่มีเวลาถาม เพราะต้องมีคลาสของเด็กต่ออีก


วันนี้เซนเซสอนเทคนิคตอนเก็บดาบตอนจบการฟันท่านี้ให้เราใหม่ เพราะบอกว่าท่าเรายังทำอันตรายเกินไป (คืออาจบาดมือตัวเองได้นั่นเอง แหะ ๆ)


แต่พอชักดาบที เราก็สังเกตุว่า พระเอกจะไม้เน้นทำร้ายถึงตาย แต่จะเน้นให้อีกฝ่ายทิ้งดาบ หรือปล่อยอาวุธ โดยอาจจะตีไปที่มือก่อน อย่างนี้เป็นต้น อันนี้พูดถึงฉากประลองฝีมือนะ ไม่นับฉากที่พระเอกโดนรุมจากแก๊งค์อันธพาลตอนหลัง อูยยย อันนั้นค่อนข้างจะน่ากลัวไปหน่อยสำหรับเรา ค่อนข้างจะเลือดสาด พุ่งกระฉูดของจริง คือมันก็ไม่ถึงกับคอกระเด็น เหมือน Last Samurai หรอกนะ แค่ให้รู้ว่าตอนใดตอนหนึ่ง (ที่มองไม่ทันเพราะเร็ว หรือว่ามุมกล้องบัง) ดาบพระเอกได้เฉือน หรือ จิ้ม หรือ ตัดเส้นเลือดที่คอผู้ร้ายเข้าให้แล้ว และเลือดมันพุ่งออกมาเป็นน้ำพุเท่านั้นเอง อึ๊ย ดีนะที่มันเป็น Long Shot แบบหมู่อยู่ไกล ๆ และมีแป๊บเดียว ไม่งั้นคงจะแย่หน่อย เหนื่อย


ที่ชอบตอนประลองมากกว่าเพราะว่าใช้ดาบไม้นั่นเอง ดาบไม้นี่โดยเฉพาะคู่หลังนี้เห็นฝีมือพระเอกชัดเจนเลย โดยเฉพาะลีลาการ “ให้โอกาส” คู่ต่อสู้อย่างมีน้ำใจเป็นนักกีฬาถึงสามครั้ง และเห็นการใช้หลัก Mushin หรือ No mind กับตาเลยว่า โห...มันเป็นอย่างนี้นี่เอง สุดยอด มันมองไม่ทันจริง ๆ นะ คือไม่ใช่เป็นการเล่นจังหวะ หรือ มุมกล้องอย่างเดียว คือมันเป็นเรื่องของจิตใจล้วน ๆ เลยน่ะ ซึ่งวันนี้เซนเซก็ได้บอกอีกตอนซ้อมเสร็จว่า เป็นเรื่องของจิตใจล้วน ๆ



ฉากประลองที่วังเจ้าแคว้นด้วยดาบไม้ เป็นการสู้กันที่ใจ ไม่ใช่ที่ร่างกาย


ความจริงวันนี้ตั้งใจจะยกเอาหนังเรื่องนี้มาเกริ่นนำนิดหน่อยเพื่อจะเล่าเรื่องการเรียนดาบ ไหงปรากฏว่าออกมายาวอย่างนี้ได้ เพราะความจริงวันนี้สิ่งที่อยากเล่ามากกว่าคือ รู้สึกว่าเป็นวันที่เรียกได้ว่าเป็น milestone ในการเรียนของเราก็ว่าได้ มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักหนาหรอก แต่ว่าเริ่มตั้งแต่เรียน Chanbara แล้ว ที่เซนเซลงทุนใส่หน้ากากมาต่อแถวกับเด็ก ๆ เพื่อมาซ้อมคู่กับเรา แค่นี้เราก็ซาบซึ้งและปลาบปลื้ม ยินดี ดีใจ รู้สึกเป็นเกียรติจะแย่แล้ว เพราะตลอดปีที่ผ่านมา เซนเซไม่เคยลงมาเล่นคู่กับเราเลย ถึงแม้เซนเซจะฟาดเราเสียงสนั่นจนพวกแม่ ๆ ที่มานั่งดูลูกเล่นคงจะสะดุ้งกันไปหมด แต่เรากลับดีใจที่ได้เรียนเทคนิคต่าง ๆ โดยตรง (หมายถึงโดยการโดนฟาดโดยตรง เพราะมันจะเข้าใจและเห็นมุมมองต่างกัน) สรุปว่าชอบมาก พยายามตั้งใจจำท่าและเลียนแบบท่าของเซนเซแทบตายแต่ก็ไม่ทันเพราะไม่รู้จะมองอะไร เซนเซไวมาก และเราต้องพยายามนึกถึงหลัก Mushin อยู่เสมอ รวมถึงที่เซนเซชอบสอนเด็ก ๆ ว่าให้ “มองกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง”

แต่ที่เจ๋งยิ่งไปกว่านั้น คือพอเด็ก ๆ เรียนเสร็จ เซนเซถามว่า มีเวลาอีกไหม เราบอกว่ามี เซนเซบอกว่าให้ใส่หน้ากาก โห....ดีใจสุด ๆ เพราะว่าเซนเซมาซ้อมคู่ให้!!!!! ตอนแรกก็ซ้อมแบบอิสระ ไม่จำกัดพื้นที่ แต่ไม่นานเราก็หอบอยู่ในหน้ากากนี่แหละ เซนเซคงจะเห็นว่าไม่ได้การล่ะมั้ง ก็เปลี่ยนกฏใหม่ให้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น โดยให้ถอยไปมาได้ไม่เกินสองก้าว ทีนี้ล่ะ คุณเอ๋ย โดนน่วมเลยข้าพเจ้า แต่เซนเซก็ยังนับว่าใจดีมีเมตตาเหมือนพระเอกหนังของ Kurosawa มาก นั่นก็คือ อย่างเก่งก็ตีช่วงมือและแขน แต่มีอยู่เหมือนกันตอนระหว่างคลาส หรือตอนซ้อมคู่แบบอิสระก็ไม่รู้ คิดว่าโดนตีหัวแบบจัง ๆ นี่ หัวสั่น หัวคลอนเหมือนกันนะ ถึงแม้จะมีหน้ากากก็เถอะ เพราะเซนเซฟาดแบบเก็บคะแนนน่ะ คือฟาดแบบสะบัดทั้งแขนดังเปรี้ยง คือความจริงถ้าตอนนั้นไม่ได้ทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมให้เด็กเล็กทั้งแถวที่ต่อแถวเรียงเหมือนงูกินหางมาสู้กับเราทีละคนแล้ว เราคงอยากลงไปนอนวัดพื้นตรงแทบเท้าเซนเซแล้วล่ะ แต่มันลงไปนอนไม่ได้ เลยเดินเป๋ไปมา แป๊บนึง เซนเซหัวเราะฮ่า ๆ ๆ อย่างอารมณ์ดี คงจะขำในความโง่ของเราที่เอาหัวไปรับดาบ

แต่มือนี่น่ะ มือข้าพเจ้าตอนนี้ ไม่อยากเชื่อเลย ว่าคำว่า “ช้ำใน” มันจะเจ็บได้ขนาดนี้ เพราะก่อนแยกย้ายกลับ เซนเซถามว่า เจ็บไหม ถ้าเจ็บ ให้เอาน้ำแข็งประคบนะ ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเจ็บ มันก็ดูแดง ๆ นิดหน่อยแค่นั้น ก็บอกเซนเซว่า ไม่เจ็บ ตอนสมัยเรียนเทควันโด เจ็บกว่านี้ โห...พอกลับบ้านเท่านั้นแหละ อยู่เฉย ๆ ไม่รู้นะ แต่เผลอเอาหลังมือข้างที่จับดาบไปดันปิดลิ้นชักเท่านั้นแหละ ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นเลย เฮ้ย...ทำไมมันเจ็บอย่างนี้ล่ะ???? ยกมือขึ้นมาดูก็ไม่เห็นมันมีอะไรผิดปกติเลยนะ แต่แตะไม่ได้เลยนะ แตะแล้วสะดุ้งโหยงเลย ตายแน่ ๆ ชักจะเริ่มกลัวว่าคืนนี้หัวถึงหมอนแล้วจะสะดุ้งไหมเนี่ย ฮือ ตกลงวันนี้เราโดนเซนเซฟาดโดนอะไรไปมั่งเนี่ย แล้วมันจะช้ำในไปกี่จุดนะเนี่ย สงสัยพรุ่งนี้คงต้องทั้งกิน ทั้งทา และทั้งอาบ น้ำใบบัวบก ฮี่ ๆ ๆ

อ้อ วันนี้เซนเซสอนท่าศิลปป้องกันตัว มือเปล่าของซามูไรเพิ่มอีกสองสามท่า และก็เหมือนเคย ตอนที่สาธิตให้ดู เซนเซบอกว่า ถ้าเจ็บก็บอก ทุกทีเป็นท่านั่ง ซึ่งจากท่านั่งถ้าเซนเซจับพลิกมือเราบิดลงไปนอนจังหวะเดียวถ้าเราล้มตัวทัน หรือ ล้มเป็น หรือเซนเซยึดไว้ทันมันก็ไม่เจ็บมากใช่ไหม แต่วันนี้มันดันเป็นจากท่ายืน แล้วเซนเซนึกสนุกยังไงไม่ทราบ เล่นแรง วันนี้เล่นเร็ว จังหวะเดียวเลย เราเลยลงพรวดเดียวเลยไม่มีเวลาบอกเซนเซเลยว่าเจ็บ คือยืนจับข้อมือเซนเซอยู่ดี ๆ รู้ตัวอีกทีนอนตาเหลือกแก้มติดพื้นดิ้นกระแด่ว ๆ ด้วยความเจ็บข้อมือร้องโอ๊ย ๆ แล้ว เซนเซก็ไม่ว่าอะไร หัวเราะอีกตามเคยก่อนจะดึงเราขึ้นมาแล้วให้ลองทำเซนเซบ้าง ซึ่งก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลพอใช้ กว่าจะทำเป็น แต่พอทำเป็นแล้วชักจะสนุก จนเซนเซบอกว่าช่วยออกแรงดึงมือให้สูงกว่านี้หน่อยก่อนที่จะพลิกมือกดเซนเซลงไปนอน เพราะว่าถ้าเราทิ้งมือต่ำไป(เหมือนทำกับผู้ร้ายจริง ๆ) และทำเร็วด้วย หัวเซนเซจะกระแทกพื้น อันตราย เลยต้องออกแรงดึงช่วยเซนเซจังหวะสุดท้ายก่อนหัวกระแทก อารมณ์คล้าย ๆ บังจี้ จั๊มปิ้ง

ว่าแล้วสมควรไปเตรียมตัวทำสมาธิก่อนนอน หมู่นี้ได้นั่งสมาธิบ่อย ดีจัง รู้สึกว่ามีผลทั้งกับการทำวิทยานิพนธ์ และกับการเรียนดาบด้วย วันนี้จบแค่นี้จ้า Oyasuminasai


ฉากนี้เด็กเล็กควรปิดตา



ซามูไรธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีน้ำใจงดงาม




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 2:13:41 น.   
Counter : 1147 Pageviews.  

ดาบเล่มแรก





เป็นเวลามากกว่าปีครึ่งแล้ว นับจากวันที่เซนเซเรียกฉันให้เข้าไปนั่งคุกเข่าตรงพื้นไม้ข้างหน้าหลังจากจบการเรียนดาบซามูไร แล้วท่านก็หันไปข้าง ๆ เพื่อหยิบดาบเล่มนี้มามอบให้ด้วยท่าที่เป็นทางการ

นั่นก็คือ หยิบสองมือ แนวนอน ตรงกลางดาบ แล้วยกขึ้นสูงเล็กน้อยประมาณศีรษะ เหมือนจะเป็นการแสดงความเคารพครูบาอาจารย์ในอดีต แล้วก็ยื่นออกมาให้ฉัน

ฉันจำได้ว่าตาโตมาก เพราะเซนเซไม่เคยบอกอะไรล่วงหน้า นี่เป็นการเรียนการสอนแบบเซนชนิดหนึ่ง คือฝึกสติให้พร้อมรับสถานการณ์ในปัจจุบันทันท่วงทีเสมอ

ฉันรับดาบเล่มแรกในชีวิตมาด้วยความเป็นทางการเหมือนกัน พยายามเลียนแบบท่าเซนเซ เพราะฉันก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกันว่าเขาต้องทำกันยังไง ใช้สัญชาตญาณและความเคารพเอา

หลังจากนั้น เซนเซก็มอบถุงผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม พร้อมปักชื่อฉันสีเหลืองด้านบนอย่างเรียบร้อยมาให้ เป็นถุงใส่ดาบ

คนญี่ปุ่นนี่ต้องยกให้เขาเรื่องหนึ่ง คือ ความประณีต เซนเซสอนให้ดูว่าต้องทำยังไงถึงจะรัดด้านบนให้แนบสนิท ดูรัดกุมแบบโบราณ ขลังดี ไม่ต้องใส่ถุงหนังสำหรับใส่ไม้ไดรฟ์กอล์ฟเหมือนฝรั่งเขาทำกัน

หลังจากนั้น เซนเซสอนเรื่องการดูแลดาบ เรื่องการชโลมน้ำมัน ฯลฯ

เซนเซถามว่า มีอะไรสงสัยอยากถามอีกไหม ฉันเลยถามว่าดาบนี้ทำที่ไหน เพราะก่อนหน้านั้น เซนเซวัดความสูงตัวฉัน และวัดความยาวแขนไปนานแล้ว และให้ลองเหวี่ยงแขนกับดาบต่าง ๆ ดู

ขนาดที่เหมาะที่สุด จะต้องยาวให้เรี่ยพื้นพอดีในจังหวะฟันลง แต่ต้องไม่ถึงพื้น ดาบซามูไรจะยาวกว่าดาบอื่น ๆ มาก จากที่ฉันสังเกตดู วงการฟันจะกว้างมาก จึงฝึกยาก เพราะจะต้องอาศัยความแม่นยำเป๊ะ ๆ ไม่งั้นมันไม่ได้ผล นั่นก็คือ ฟันลงพื้น หรือไม่ก็ฟันไม่ถึง

เรียกว่าเหมือนวัดตัวสำหรับไม้เท้ากายสิทธิ์ของแฮรี่ พ้อตเต้อร์ ยังไงยังงั้นทีเดียว

คืนนั้น (วันที่ฉันถ่ายรูปรูปนี้) ฉันตื่นเต้นมาก เพราะพอเซนเซบอกว่าดาบสั่งตีจากเมือง Gifu จากญี่ปุ่น ฉันก็เลยไปค้นเวบดู เห็นเขามีชื่อเสียงเรื่องหาดทรายด้วย ฉันเลยหยิบฝักดาบขึ้นมาดู พบว่าเขาได้มีการนำจุดเด่นของเมืองมาตกแต่งอย่างละเอียดด้วย

อย่างที่บอก คนญี่ปุ่นให้ความสนใจรายละเอียดปลีกย่อยของธรรมชาติมาก มันเป็นส่วนหนึ่งของเซนที่สำคัญเลยล่ะ ฉันว่านะ

ฉันเลยตั้งชื่อดาบของฉันว่า Gifu no Fushichoo หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า The Phoenix of Gifu

ทั้งนี้เนื่องจากฉันวัดเอาจากความรู้สึกของฉันตอนที่ได้รับดาบ มีความรู้สึกว่ามันเติมพลังที่หายไปขึ้นมาใหม่ ฉันเลยตั้งชื่อเอาฤกษ์ เอาชัย ให้มันเป็นเหมือนสิ่งเติมพลังเมื่อฉันเหนื่อยล้า หรือ ท้อถอย แล้วหยิบมันมาฝึก เพราะนกชนิดนี้มันจะฟื้นขึ้นมาใหม่จากกองขี้เถ้าได้ ในเทพนิยายน่ะนะ

วันนั้นฉันเขียนในบล๊อกภาษาอังกฤษอันเก่าแก่ของฉันว่า Phoenix of Gifu, Welcome Home.

ตอนนั้นฉันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมซามูไรโบราณเขาถึงผูกพันกับดาบของเขานัก ขนาดเซนเซมาขอจะเอาไปซ่อมให้ฉัน (เพราะฉันทำพัง!!) ฉันยังรู้สึกห่วงหาอาวรณ์มันจะแย่เลย

จบเรื่องดาบเล่มแรก




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 18 กรกฎาคม 2549 0:20:53 น.   
Counter : 1871 Pageviews.  

ขัดพื้นสำนัก--รู้จักถ่อมตน



เสน่ห์ของการเรียนศิลปป้องกันตัวญี่ปุ่นแบบโบราณกับเซนเซที่มีความอนุรักษ์มาก ๆ ก็คือ ท่านจะใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องการถ่ายทอดความสำคัญของการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใด

ไม่เว้นแม้กระทั่งหมดคาบเวลาเรียนแล้ว อย่างเช่นธรรมเนียมการขัดพื้นสำนัก ที่ทุกคนต้องลดอัตตาตัวตนลงมาทำอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะสายอะไร อายุเท่าไหร่ ฝึกมานานหรือยัง

ฉันพบว่า มันเป็นการฝึกความสามัคคี ความมีน้ำใจให้กันได้ดีมาก ๆ เพราะมันยากที่จะทำให้ได้พร้อม ๆ กัน และมันก็จะหกคะเมนตีลังกาลื่นลงไปนอนเหยียดยาวกันทีละคนสองคน รวมถึงผู้ช่วยสอนอย่างฉันด้วย แต่ทุกคนก็จะคอยช่วยกันตลอด จะรอกัน จะมองกัน จะไปพร้อม ๆ กัน

ไม่มีใครทิ้งกันเลย เป็นกิจกรรมที่ทำให้รักกันมากเลยแหละ ขอบอก

ไม่นับประโยชน์ที่ทำให้ได้ฝึกหลายกล้ามเนื้อไปพร้อม ๆ กันเป็นการ วอร์ม ดาวน์ ได้ทั้งยืดเส้น และกึ่ง ๆ แอโรบิคส์ไปในตัวนะฉันว่า

วิธีการทำ ก็คือ เซนเซจะแจกผ้าขาวสะอาดใหม่เอี่ยมให้คนละผืน พร้อมกับสอนวิธีการพับให้ ฉันต้องพยายามอ่านปากเซนเซไปด้วย เพราะเซนเซพูดภาษาญี่ปุ่นเร็วปรื๋อ

อย่าว่าแต่ฉันเลย เจ้าคุมะ น้องหมีอ้วน เด็กอนุบาลญี่ปุ่นตากลมโต แก้มยุ้ย ขาวจั๊วะ ที่ชอบนั่งข้างฉัน ก็ยังตามเซนเซไม่ทันเลย เจ้าหมีน้อยทำหน้าเหยเก แล้วก็พับบิดเบี้ยวไปมา

ลำบากฉันต้องแอบชะโงกดูของเด็กอีกคน คือ อิบุกิ ซึ่งพับเสร็จก่อน แล้วก็พยายามพับตามให้ ตกลงเสร็จพร้อม ๆ กันพี่หมี กับน้องหมี

เสร็จแล้วทุกคนก็เข้านั่งเรียงแถว โหย่งตัวอย่างในภาพ (ซึ่งเป็นของสำนักอื่น ขอยืมมาประกอบการเล่า เนื่องจากสำนักเราไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ) แล้วเซนเซเป็นคนให้สัญญาณ ก็ไถปื๊ดดดดดด กันไปจนสุดโถง Dojo

พอสุด ก็จะกระเถิบขึ้นไปหนึ่งแถวไม้กระดาน แล้วก็กลับตัว (เหมือนว่ายน้ำ) ทุกคนตั้งแถวเตรียมพร้อม รอเซนเซให้สัญญาณ แล้วก็ถูไปพร้อม ๆ กันใหม่

ระหว่างนั้น ก็จะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็ก ๆ สลับกับเสียงร้องโอดโอยของคนที่ล้ม และเสียงฟืดฟาดของลมหายใจหอบ กับสารพัดเสียง รวมทั้งเสียงเร่งจังหวะแบบดุไม่มากของเซนเซ คือเสียงใหญ่ ๆ ทุ้ม ๆ กึ่งเป็นทางการแบบอมยิ้มเล็กน้อย เพราะถือว่าหมดคาบการฝึกแล้ว

แต่จะว่าไปแล้ว สำหรับการเรียนกับเซนเซ ตลอดเวลาคือการฝึก เพราะจุดประสงค์ของการที่ผู้ปกครองพาเด็ก ๆ มาฝากให้เซนเซฝึก ก็คือ ให้เด็กมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลานี่แหละ

เห็นคนญี่ปุ่นเขาฝึกระเบียบเด็กอนุบาลแล้ว นักศึกษาปริญญาเอกคนไทยอย่างฉันรู้สึกอายเล็กน้อย(ถึงอายมาก) ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนไม่มีระเบียบขนาดนั้น แต่เป็นเพราะว่ากว่าฉันจะรู้จักวิธีการเจริญสตินั้น ก็ปาเข้าไปค่อนชีวิตแล้วมั้ง

และก็รู้จักในคอร์สวิปัสสนาเสียด้วย

แต่เด็กพวกนี้ เซนเซสอนให้รู้ตัวทั่วพร้อม เหมือนที่ฉันรู้จักในคอร์สวิปัสสนาเลย ไม่ว่าจะลุกขึ้นยืนจากท่านั่งเอี้ยมเฟี้ยมคุกเข่าน่ารักมาก เอามือเล็ก ๆ สองข้างวางบนตัก ว่าต้องเอาเข่าไหนขึ้นก่อน (สำหรับซามูไรแล้ว ต้องขาขวาก่อน เพราะดาบจะอยู่ข้างซ้าย)

และช่วงเวลาพัก ก็เดินเหมือนเราเดินจงกรมนี่แหละ คือรู้ตัว ไปถึงประตูก็โค้ง และมีคำบริกรรมเหมือนเรามีด้วย และออกไปจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบ

การจัดรองเท้าของตัวเองนี้ ก็เป็นปรัชญาเซนชั้นสูงเหมือนกัน ฉันจำเต็ม ๆ ไม่ได้ ฟังไม่ทัน รู้แต่ว่า ประมาณว่า ให้เรียนรู้ชีวิตตัวเองจากรองเท้า โห...

จริง ๆ แล้วมีอีกแยะ แต่เอาเป็นว่า แค่เรื่องจัดรองเท้า เพื่อให้หมั่นสำรวจตนเอง และเรื่องขัดพื้นสำนัก ให้ถ่อมตัว รู้รักสามัคคี มีน้ำใจห่วงใยเพื่อนฝูง แค่นี้ ก็เป็นวิธีเรียนที่แสนจะได้ผลโดยไม่ต้องสอนปากเปียกปากแฉะเท่าไหร่แล้ว เพราะมันได้โดยตรงจากการปฏิบัติ เด็ก ๆ เขาเข้าใจ และทำกันได้เอง เมื่อเห็นแล้วก็ชื่นใจ

อือ...หวังว่าสักวันหนึ่ง เมืองไทยจะทำอย่างนี้ได้อย่างแพร่บ้างตั้งแต่อนุบาล เพราะถ้าทำได้ เราก็คงจะได้พลเมืองที่มีวินัย มีน้ำใจ และรู้รักสามัคคีเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย

โอ้โฮ...ฝันแต่วันเลยนี่ฉัน




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 22:31:35 น.   
Counter : 685 Pageviews.  

วิทยายุทธเซน: ธรรม v. การชิงแชมป์โลก

สิ่งแรก ๆ ที่ฉันได้จากการไปปฏิบัติธรรม ก็คือการเห็นความไม่เที่ยงของทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น

ไม่ต้องพูดถึงสิ่งรอบตัวฉัน เช่น พวกราคาน้ำมัน อะไรให้ยุ่งยากเลย เอาแค่กายกับใจของฉันเองนี้ ในแต่ละเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปนั้น มันก็เปลี่ยนไปไม่รู้ตั้งกี่อย่างแล้ว

ฉะนั้นจึงไม่แปลก ที่เด็กอ้วนคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเด็กเรียน และไม่เอาอ่าวเรื่องกีฬาใด ๆ เลย จะมาฮึดไล่ตามความฝัน (ซึ่งไม่ใช่อแคดามี่ฯ) ด้วยการลองตั้งเป้าว่าจะไปให้ถึงการแข่งชิงแชมป์โลกของศิลปป้องกันตัวชนิดหนึ่งเอาตอนแก่

จริง ๆ แล้วมันก็แปลก เพราะตอนเด็ก ๆ ก็ชอบเชียร์มวยไทยกับพ่อและอา ๆ ลุง ๆ ตั้งแต่จำความได้ พอโตหน่อยเชียร์ได้เอง ก็ชอบเชียร์มวยไทยชิงแชมป์โลก แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ความจริงการที่จับพลัดจับผลูมาเรียนเจ้าสิ่งนี้ มันเกิดจากการเป็นเด็กเรียนปนเด็กวัดแท้ ๆ เชียว

เพราะถ้าไม่ใช่เพราะวิทยานิพนธ์ ซึ่งดันอยากจะเปรียบเทียบวิปัสสนากับเซน ก็คงไม่ไปเรียนดาบซามูไรโบราณ ซึ่งเน้นเรื่องการฝึกสมาธิแบบเซน

ซึ่งนำไปสู่การเรียน chanbara หรือศิลปป้องกันตัวร่วมสมัยที่จำลองเอาอาวุธต่าง ๆ ของซามูไรมาให้ใช้สู้กันได้จริง ๆ โดยไม่ตายกันไปข้างนึงเสียก่อน

แล้วอยู่ ๆ วันหนึ่ง เซนเซดาบก็บอกว่า ให้ไปเขียน thesis มาส่ง ในหัวข้อที่ฟังดู เซ้น เซน ว่า สภาพจิตใจในปัจจุบันขณะ ของผู้ที่จะเข้าสู่ 1st DAN นั้นเป็นอย่างไร

กำลังเคลิ้ม ๆ กับหัวข้อที่ฟังดูเป็น abstract กึ่ง ๆ poetic เล็กน้อยของเซนเซอยู่ดี ๆ (ในใจแอบคิดว่าเขียนด้วยพู่กันจีน บนกระดาษสา เป็นไฮกุส่ง ก็คงจะเท่ไม่น้อย) แล้วก็สะดุ้งเฮือกตื่นจากความฝัน เมื่อนึกได้ว่า

"อึ๊ย...1st DAN นั่นมันสายดำนี่นา....." เซนเซล้อกันเล่นรึเปล่า วิทยายุทธเพลงดาบยังโหลยโท่ยอยู่เล้ย ตอนเซนเซให้เกียรติมาลงนวมคู่ เอ๊ย มาซ้อมคู่ด้วย ยังโดนฟาดเสียน่วมไปหมด แล้วจะให้ไปสอบสายดำหรือนี่

ปรากฏว่าเซนเซไม่ได้ล้อเล่น คราวนี้คนที่เครียดเลยกลายเป็นข้าพเจ้าแทน แต่เป็นเครียดปนขำ เพราะว่าเกิดมาก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่าวิทยายุทธสายนี้เขาต้องมีสอบข้อเขียนเชิงอัตนัยด้วยถ้าจะขึ้นสายดำ แต่ก็นับว่าถูกกับจริตดี เนื่องจากเป็นคนพูดมาก

แต่ข้อสอบนี้ไม่ง่ายเลยน่ะ Please describe in 1-2 pages, the present state of the mind of someone entering 1st DAN. hmm....

เรื่องการเน้นเรื่องจิตใจนี้ มันมีที่มาที่ไปมาจากวิชาดาบซามูไรโบราณ หรือ บัตโต จูทซึ นี่แหละ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวต้องไปนึกทบทวนจากวิชานู้นอีกที เรียกว่า มีวิทยายุทธเท่าไหร่ ต้องงัดขึ้นมาใช้ให้หมด

และเซนเซก็บอกว่า ได้ไปสมัครให้เราแล้ว สำหรับการไปเตรียมแข่งเพื่อจะให้ทันชิงแชมป์โลกปลายปีนี้ที่ญี่ปุ่น!! ทั้งนี้ เนื่องจากเซนเซรู้ว่าเราจะไปทำวิจัยอยู่ที่นั่นพอดีสามเดือนนั่นเอง โห....เครียด ๆ ๆ

ไงล่ะเนี่ย เริ่มจากปฏิบัติวิปัสสนา ไป ๆ มา ๆ ไหงจะกลายไปชิงแชมป์โลก chanbara ได้ยังไงเนี่ย

ตอนแรกก็ถามว่า เขาแบ่ง อายุ นน. อะไรอย่างนี้หรือเปล่า ฮิ ๆ แต่พอเซนเซบอกว่า เปล่า แข่งรวมกันหมด แถมรวมผู้หญิงผู้ชายอีกต่างหาก แบ่งแค่ประเภทของอาวุธ และอาจจะแบ่งสายเข็มขัดแค่นั้นเอง

อ้าว เลยเครียดหนักเข้าไปอีกเลยทีนี้ นึกว่าจะได้ใช้นน.รุ่นซูเปอร์เฮฟวี่เวทของสภามวยโลกให้เป็นประโยชน์เสียหน่อย หรือได้แข่งลีกผู้สูงอายุก็ยังดี อดเลยเรา

อยู่ดี ๆ ไปหาเรื่องให้คนเอาอาวุธมาไล่ตีหัวหรือเปล่าเนี่ยวุ้ย

ไม่ได้ ๆ สู้ตาย เพื่อชาติ (เอ๊ะ..ชักฟังเหมือนบล๊อกการเมือง)

อะนะ...อย่างน้อยต่อให้ตกรอบแรก แต่ก็ถือว่าได้ไปซ้อมปฏิบัติธรรมในเวทีประลองฝีมือแหละ

ไปซ้อมกำหนดดูสภาพจิตใจตัวเองไง ไปฝึกดูความกลัวเสียให้เข็ด หรือไม่ก็ไปกำหนดดูฐานเวทนานุปัสสนาก็ได้ ในกรณีที่โดนฟาดจนบาดเจ็บน่ะนะ

อือ...ถ้าเรารู้จักหมุนจิตให้เป็นกุศลได้ทุกเรื่อง ทุกขณะจิต ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบกายใจ มันก็น่าจะมีแต่ได้กับได้น่ะเนอะ




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 16 กรกฎาคม 2549 11:20:26 น.   
Counter : 578 Pageviews.  

1  2  

kenzen
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Kenzen 健全 เป็นคำคุณศัพท์ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า สมบูรณ์ทั้งร่างกายและความคิด เพราะว่าคนทำบล็อกนี้อ้วน แต่ถ้าเขียนด้วยตัวอักษรคันจิอีกแบบ จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนวน "Ken Zen Ichi Nyo" 剣禅一如 หรือ ดาบกับใจเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งฟังดูท่าทางจะเท่กว่าเยอะ
[Add kenzen's blog to your web]