|  
      
     | 
     
      
         
           
             
                 
                    
                         
                            | 
                                 ความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส ? /ทำไมว่าความรักเป็นทุกข์ 
                                
  หลวงพ่อคะ ความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส /ทำไมว่าความรักเป็นทุกข์
  คำตอบ          ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์ แต่ถ้ารักชาวบ้าน ยังต้องถามต่อว่ารักแบบไหน ถ้าเป็นความรักความสงสาร โดยไม่มีราคะความใคร่เจือปน เขาเรียกว่า เมตตา รักแบบนี้พอใช้ได้นะ       หากรักเพราะมีราคะ คือรักแบบอยากให้เขามาอยู่ด้วยใกล้ๆ หรือตามเขาต้อยๆ ไป เข้าทำนองไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวไม่ลงคอ รักแบบนี้ความจริงไม่ใช่หวังดี หรือบริสุทธิ์หรอก คิดจะผูกเขาไว้กับตัวหรืออยากให้เขาผูกเราไว้           สิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องผูกไว้หรือจูงไปเขาเรียกอะไร? เพราะฉะนั้นถ้าไปรักใครแบบนี้ให้รีบถอนตัวออกมาเสียเถอะนะ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ไม่ต้องไปรักใครหรอก นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วจะหายโง่เอง
 
  &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
 
  คำถาม: หลวงพ่อคะ ทำไมจึงว่า ความรักเป็นความทุกข์ คะ?
   คำตอบ: ความรัก โดยเฉพาะความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล เพราะเมื่อความรักเกิดขึ้นในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น 
            คือยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากน้ำตา
        เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรัก ก็ไม่ต้องเสียน้ำตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือเมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำให้เป็นทุกข์อยู่ดี         ตั้งแต่โบราณกาลมา หญิงชายคนใดสามารถครองตัวเป็นโสดหรือออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ มักได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เพราะอย่างน้อยที่สุด แม้จะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องประสบกับความทุกข์จร คือทุกข์ที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ การประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความทุกข์เหล่านี้หมุนเวียนกันเข้ามาให้เผชิญทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็น           ในพระพุทธศาสนา จึงสรรเสริญคนอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตว่า เป็นผู้ฉลาดเลี่ยงทุกข์ และยิ่งกว่านั้นคนโสดยังมีโอกาสสร้างบุญบารมีแสวงหาความสุขทางธรรมได้โดยสะดวกอีกด้วย
 
 
 
  
                                  
                                
									
										| Create Date : 17  มีนาคม  2555  | 								  | 								  | 										
									 
									 									
                                        | Last Update : 17 มีนาคม 2555 18:41:48 น. | 
                                     
                                     									
                                        | Counter : 554 Pageviews. | 
		                                 |   | 
										 
                                         | 
                                     
									
									   | 
									 
                                    
                                 
                             | 
                         
                                    
                     
                    
	             | 
             
            
             
		    		  
			
             
                 
                    
                         
                            | 
                                 ถ้ามีใครว่าร้ายพระรัตนตรัยจะทำอย่างไรดี 
                                
 
  
  คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้ามีใครว่าร้ายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ฟังจะทำอย่างไรดีครับ?   คำตอบ: ก่อนอื่น อย่าเพิ่งโกรธเขา แต่ควรให้ความสงสารเขามากกว่า เพราะเขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย และกำลังหาบาปด้วยปากแท้ๆ ถ้ามีโอกาสก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาทราบความจริง จะได้ล้มเลิกความเป็นผิดนั้นเสีย คือต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ช่วยแก้ข้อสงสัยต่างๆ ให้เขาด้วยเหตุผล เพื่อปลูกฝังความเห็นถูกให้ เขาจะได้ไม่ผิดพลาดอีกต่อไป แต่การที่เราจะทำอย่างนี้ได้นั้น เราเองจะต้องประพฤติตนดังนี้           1) ฝึกตัวเองให้เป็นคนมีใจหนักแน่น มั่นคง แต่ความคิดต้องไม่คับแคบ แบบตีกรอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำใจเปิดกว้าง อดทน ต่อการว่าร้ายจากผู้ที่เราหวังดี แล้วพยายามเข้าไปชี้ทางถูกให้ ซึ่งการจะกระทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกสมาธิ(Meditation)เป็นประจำทุกวัน           2) ต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจจริงๆ จนสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ ในกรณีที่เรายังไม่สามารถแก้ความเห็นผิดให้แก่เขาได้ ให้พยายามชี้ชวนชักนำให้เขาไปหาผู้ที่มีความรู้ดีจริงๆ ให้ช่วยแก้ไขความเห็นผิดของเขา วิธีนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย           3) ประพฤติธรรมอย่างเคร่งครัด จนปรากฏผลออกมาเป็นบุคลิกภาพที่น่าเลื่อมใส เพื่อจะได้เป็นพยานแก่พระศาสนาว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น ส่งผลให้ชีวิตราบรื่นเป็นสุขได้จริง เป็นการทำให้ดู แทนการพูดปากเปล่า
 
 
  
                                  
                                
									
										| Create Date : 17  มีนาคม  2555  | 								  | 								  | 										
									 
									 									
                                        | Last Update : 17 มีนาคม 2555 10:05:20 น. | 
                                     
                                     									
                                        | Counter : 295 Pageviews. | 
		                                 |   | 
										 
                                         | 
                                     
									
									|   | 
									 
                                    
                                 
                             | 
                         
                                    
                     
                    
	             | 
             
            
             
		    		  
			
             
                 
                    
                         
                            | 
                                 ----------------  ความเดือดร้อนของคนเขลา --------------- 
                                
  พระพุทธภาษิต
 
  ปุตฺตา มตฺถิ ธนมตฺถิ อิติ พาโล วิหญฺญติ อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ ฯ
  คำแปล
 
  คนเขลาย่อมเดือดร้อนว่า เรามีบุตร เรามีทรัพย์ แต่ความจริงแล้วตนของตนเองก็ไม่มี บุตรและทรัพย์จะมีอย่างไร
 
 อธิบายความ 
 
  พระอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ดังนี้ :-
  คนเขลาย่อมเดือดร้อนเพราะความอยากเกี่ยวกับเรื่องบุตรและเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์ว่า บุตรของเรา ทรัพย์ของเรา ย่อมลำบาก ย่อมถึงความทุกข์ ย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรา ทรัพย์ของเรา ปรวนแปร พินาศไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรา ทรัพย์ของเรา จักปรวนแปร จักพินาศ 
  คนเขลาย่อมเดือดร้อนด้วยอาการ ๖ อย่าง ดังกล่าวมานี้
  ขยายความย้ำความตามคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ตอนนี้ว่า คนเขลาอยากมีบุตร อยากมีทรัพย์ เมื่อไม่ได้บุตรไม่ได้ทรัพย์ตามปรารถนาก็เดือดร้อน ถึงทุกข์, เมื่อได้บุตรได้ทรัพย์สมปรารถนาแล้ว ก็เดือดร้อนด้วยการบริหารเลี้ยงดู คุ้มครองรักษา ซึ่งเป็นภาระหนักอย่างหนึ่งของมนุษย์, การเลี้ยงดูบุตรเป็นความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย การคุ้มครองรักษาทรัพย์เป็นภาระหนักและที่ตั้งแห่งความกังวลใจ บางคนต้องเสียชีวิตเพราะการคุ้มครองรักษาทรัพย์ก็มีอยู่ และมีอยู่ไม่น้อย บางพวกต้องเป็นโจรประกอบกรรทำเข็ญเพราะความต้องการทรัพย์ และเลี้ยงดูบุตร 
 
 
 
  
                                  
                                
									
										| Create Date : 25  กุมภาพันธ์  2555  | 								  | 								  | 										
									 
									 									
                                        | Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2555 23:19:05 น. | 
                                     
                                     									
                                        | Counter : 325 Pageviews. | 
		                                 |   | 
										 
                                         | 
                                     
									
									|   | 
									 
                                    
                                 
                             | 
                         
                                    
                     
                    
	             | 
             
            
             
		    		  
			
             
                 
                    
                         
                            | 
                                 ----------------ผู้ไม่หลับไม่นอน มักตื่นอยู่ในยามราตรี--------------- 
                                  "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ ประเภทเหล่านี้ ย่อมหลับน้อยตื่นมากในราตรี คือ 
                ๑. สตรีผู้มีความประสงค์บุรุษ 
                ๒. บุรุษผู้มีความประสงค์สตรี 
                ๓. โจรผู้มีความประสงค์จะลักทรัพย์ 
                ๔. พระราชาผู้ประกอบในราชกรณียกิจ 
                ๕. ภิกษุผู้มีความประสงค์จะปราศจากสัญโญชน์๓ 
                "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ ประเภทเหล่านี้แล ย่อมหลับน้อยตื่นมากในราตรี." 
  พระไตรปิฏก ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๑๗๕ 
 
 
  
                                  
                                
									
										| Create Date : 19  กุมภาพันธ์  2555  | 								  | 								  | 										
									 
									 									
                                        | Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2555 22:06:05 น. | 
                                     
                                     									
                                        | Counter : 443 Pageviews. | 
		                                 |   | 
										 
                                         | 
                                     
									
									|   | 
									 
                                    
                                 
                             | 
                         
                                    
                     
                    
	             | 
             
            
             
		    		  
			
             
                 
                    
                         
                            | 
                                 บ่อทรัพย์ใหญ่ 
                                วิสุทธิวาจา1- พระมงคลเทพมุนี (สด จันทฺสโร)
  ๓๓.บ่อทรัพย์ใหญ่
  นักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมรับรองกล่าวบุคคลนั้นว่า เป็นคนไม่จน เมื่อมีคุณธรรม๔ ประการอยู่ในตัวเช่นนี้แล้ว เป็นคนไม่จน
  คือเป็นคนเชื่อในพระคถาคตเจ้า มีศีลอันดีงามที่พระอริยเจ้าใคร่ชอบใจ เลื่อมใสในพระสงฆ์ ความเห็นของตนเป็นธรรมชาติทรง หรือเห็นธรรม
  นี่แหละยืนยันทีเดียว ไม่ใช่คนจน  ถ้าเราไม่อยากเป็นคนจน อยากเป็นคนมั่งมีแล้วต้องมีศีล ๔ ประการนี้อย่าให้เคลื่อน ให้มีไว้ในตัวเสมอ ถ้าเคลื่อนแล้วละก็ ใจจะไม่ผ่องใส จะคิดถึงแต่สมบัติบ้าๆ เข้าใจแค่สิ่งหยาบๆ เที่ยวคว้าเรื่อยเปื่อยทีเดียว วุ่นวายไปตามกัน
  เพราะเหตุว่าไม่มีธรรม ๔ อย่างนี้ประจำอยู่ในตัว ถ้ามีธรรม ๔ อย่างนี้ ประจำอยู่ในตัวแล้วไม่วุ่นวาย ไม่คลาดเคลื่อนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ยิ้มกริ่มทีเดียว เพราะไปเจอบ่อทรัพย์ใหญ่เข้าแล้ว
 
  พระธรรมเทศนาเรื่อง อริยธนคาถา ๑๙ มีนาคม ๒๔๙๗
  
 
  
                                  
                                
									
										| Create Date : 26  พฤศจิกายน  2554  | 								  | 								  | 										
									 
									 									
                                        | Last Update : 26 พฤศจิกายน 2554 13:32:41 น. | 
                                     
                                     									
                                        | Counter : 260 Pageviews. | 
		                                 |   | 
										 
                                         | 
                                     
									
									|   | 
									 
                                    
                                 
                             | 
                         
                                    
                     
                    
	             | 
             
            
             
		    		  
			
 |       | 
         
       
     | 
     
      
     |