Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนจบ (ปาย, ดอยอ่างขาง, ดอยห่มปก, ดอยกาดผี)

ต่อจากสองตอนก่อนหน้านี้ครับ
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนต้น (อุ้มผาง, น้ำตกทีลอชู และ ดอกบัวตอง)
"ประมาณว่า ๖,๕๐๐ โค้ง ยังน้อยไป" ตอนกลาง (แม่ฮ่องสอน, ทะเลสาบงามปางอุ๋ง, หมู่บ้านรักไทย)


วันศุกร์ที่ ๒๐ พฤจิศกายน ๒๕๕๒
ลุกข้าวหลาม กิ่วลม ปาย

เราตื่นแต่เช้าเช่นเคย และพร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปจากแม่ฮ่องสอน มุ่งหน้าสู่อำเภอปาย เราแวะไปซื้อข้าวเหนียวหมูทอดเหมือนเช่นเคย เพราะติดใจในรสชาติ ได้แล้วเราออกเดินทางกันทันที ผมบอกเฮียประวิทย์ว่าเดี๋ยวเราจะแวะ ที่จุดชมวิว ชื่อว่า “ลุกข้าวหลาม” ผมจำได้ว่ามันสวยมาก ลุกข้าวหลาม แปลว่าที่ๆมีกอไผ่ขึ้นอยู่มาก สมัยหนึ่งชาวบ้านมาตัดไม้ไผ่อ่อนไปทำกระบอกข้าวหลามกัน วันนี้มีเหลืออยู่น้อยมาก ใกล้จะหมดแล้ว ลุกข้าวหลามอยู่ที่หลังเขาด้านขวามือนี่เอง ตลอดทางที่ผ่านมาเป็นทางที่เราผ่านกันมาแล้วเมื่อวาน เช่นถ้ำปลา เวลายังเช้าอยู่มาก ท้องฟ้าเริ่มสว่าง มีหมอกหนาตลอดเส้นทาง สมกับคำว่าเมืองสามหมอก เป็นการเดินทางที่มีความสุขมาก ผมชลอ รถให็เฮียประวิทย์ถ่ายรูปให้ เป็นระยะๆไป อากาศค่อนข้างหนาวเย็นสบาย ชอบเดินทางในบรรยากาศแบบนี้มาก
เราลงจากรถที่จุดชมวิว “ลุกข้าวหลาม” เดินไปที่เทอร์เลค ชมวิวภูเขากัน ทิวทัศน์จากที่เรายืนอยู่ มองผ่านหุบเหวลงไปยังเทือกเขาข้างหน้า สวยมากความสูงของยอดเขาที่เห็นไกลๆ ประมาณว่าสูงกว่าที่เรายืนอยู่ไม่มากนัก ปุยเมฆสีขาวนวลเกาะติดกับยอดเขาเห็นเป็นหย่อมๆหนาตาพองาม เช้านี้ที่นี่ท้องฟ้าโปร่ง แจ่มใส่ดีมาก อากาศยังหนาวเย็นอยู่ สมใจอยากที่จะได้สัมผัสความหนาวเย็นในต้นๆของฤดูหนาวนี้ ในประเทศไทยเราไปที่ไหนๆก็สวยทั้งนั้น ท่องเที่ยวไปจนชั่วชีวิต ก็ยากที่จะไปได้หมดทุกแห่ง ถ่ายรูปให้พอใจเลย คิดเอาแอ๊คใหม่ๆออกมาถ่ายโชว์กันด้วย เอาลงคอมพิวเตอร์ไว้ดู



ภาพวิวสวยๆกับผู้ชายเท่ห์ ที่จุดชมวิว ลุกข้าวหลาม


ก้อนเมฆ ภูเขา สายลมหนาว และตีนสนสามใบ สร้างบรรยากาศบนเส้นทางได้เยี่ยมมาก


ผลผลิตแบบบ้านๆ หัวมัน,ข้าวโพด เอามาขายครับ


วันนี้ชาวเขาค้าขายเป็นแล้ว


เราออกจุดชมวิวลุกข้าวหลาม ขับรถผ่านสายหมอกจางๆมุ่งไปข้างหน้า สู่อำภอปาย แต่ยังมีเหลืออีกจุดหนึ่งที่เราจะผ่านไปเฉยๆ ไม่ลงไปสัมผัสความหนาวลม ของที่ตรงนั้นไม่ได้เลย ต้องจอดรถลงไปสัมผัสความหนาวเย็นมากๆ เป็นพิเศษ ที่จุดนั้นเรียกว่า กิ่วลม กิ่วลมแปลว่า ช่องเขาขาดที่มีลมพัดเย็นตลอดทั้งปี มีเนื้อที่ประมาณหนึ่งสนามฟุตบอล มีกระแสลมหนาวพัดผ่าน ตลอดทั้งปี ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงจุดหมายที่เรียกว่า “กิ่วลม อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ห้องสอน” มีนักท่องเที่ยวมาจอดรถชมกันมากทีเดียว
ยังไม่ทันออกจากรถ ยังไม่รู้หรอกว่าข้างนอกหนาวมากขนาดไหน มันต่างกับที่จุดชมวิวลุกข้าวหลาม ราวอยู่กันคนละประเทศเลย ทั้งๆที่อยู่ห่างกันไม่ถึง ๒๐ กิโลเมตร ลมพัดหอบเอาอากาศเย็นจัดจากหุบเขาผ่านเข้ามา ทางช่องกิ่วลม แล้วทะลุผ่านออกไปอีกด้านของภูเขา ที่ตรงนี้เป็นช่องผ่านของลม เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สายลมแรงและเย็นมาก ก่อนออกจากรถผมบอกเฮียประวิทย์ว่า เอาเสื้อกันหนาวมาสวมกันหนาวหลายๆชั้น ชนิด ๑๐๐% นะครับเฮีย พร้อมแล้ว ออกจากรถลงไปสัมผัสความหนาวกันเสียให้สมอยาก จริงอย่างที่เขาบอกมาเมื่อครู่นึ้ มันหนาวลมครับ คนเฒ่าคนแก่บอกไว้ว่า ถ้าหนาวลมให้ห่มผ้า ถ้าหนาวฟ้าให้ผิงไฟ ถ้าหนาวผู้หญิงให้อิงผู้ใหญ่ ถ้าได้กอดขวัญใจคงหายหนาวจริง ตามผมมาครับ วันนี้มีกอดสาวแน่ๆ (เรื่องจริงครับ เดี๋ยวจะให้ดูรูป) ที่ๆตรงนั้นอยู่ติดหน้าผาที่ไม่ชันมาก มีที่ให้ทางการลงไปลูกต้น “บัวตอง”เอาไว้แปลงใหญ่ พากันออกดอกเหลืองอร่าม เพิ่มสีสันให้ดูดีขึ้น ถ้าทุ่มทุนปลูกไว้มากๆจะดูดีกว่านี้นะวิวตรงนี้ไม่สวยงามกว่าใคร แต่ก็ดูดีไม่แพ้ใคร ไอ้ที่ชนะใครๆก็คือ มีลมแรงพัดพาเอาความหนาวเย็นมากๆผ่านเข้ามา ทำให้ที่จุดนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ต้องจอดรถลงไปสูดความหนาวเย็นเอากลับบ้าน

พ่อขุนแผนปี ๐๙
ที่นี่มีมีชาวเขาเผ่าลีซอมาค้าขายกันเกือบทั้งหมด เรียกว่าพวกเขายึดอำนาจเอาไว้หมดแล้ว พวกเขาน่าจะมีถิ่นที่อยู่ใกล้ๆแถวนี้ มีชาวลีซอแต่งตัวเต็มยศ รวมกันอยู่กลุ่มหนึ่ง คอยชวนเชิญนักท่องเที่ยวถ่ายรูปคู่ด้วย แล้วขอค่าเหนื่อยนิดหน่อย ผมเข้าไป ขะโมย ถ่ายมาได้ ๒-๓ รูป ถูกพวกเขาโวยวาย ประมาณว่าผมขี้โกง จริงแฮะเราโกง ผมส่งกล้องถ่ายรูปให้เฮียประถือไว้ วานให้ถ่ายให้ผมที มีเด็กลีซอตัวเล็กๆอยู่ใกล้ ผมคว้าเอาเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาอุ้ม แล้วตั้งท่าให้เฮียถ่ายรูป ได้มาสองรูป จ่ายเงินให้เด็ก แล้วเดินไปที่กลุ่มลีซอสาวๆ ที่นั่งรวมกันอยู่สามคน พอผมเดินเข้าไปถึง ได้ยินเสียงเชิญชวนให้ถ่ายรูปคู่กับเธอ
ผมปากไวไปหน่อย ประเภทเอาไปแต่ปากก็พอ เท้า(ตีน)ไปหาเอาข้างหน้า พูดกับเธอแบบทีเล่นทีจริง ไม่ได้หวังผลอะไรว่า “ต้องให้หอมถึงจะเอา” ก็ปากอย่างนี้ พูดไปแล้วยังเสียวๆ แต่ผิดความคาดหมาย พวกสาวลีซอทำท่าเหมือนจะปรึกษากัน ประมาณว่ามามุกนี้ พวกเราจะเอาอย่างไรกันดี แล้วผมก็ได้ยินเธอคนหนึ่งพูดออกมาว่า “ร้อยนึ่ง” เฮ้ยได้ยินอย่างนั้นจริงหรือนี่ ปากก็พูดไปว่า “เอาๆ” เป็นพ่อหม้ายนอนหนาวมา ๘ ปีแล้ว ผมรีบกระซิบบอกเฮียประวิทย์ให้คอยถ่ายรูปให้ผมดีๆนะ อย่าตื่นเต้นไป สาวลีซอคนนั้นเอาจริงแฮะ เธอมายืนเคียงข้างผม ผมก็เลยถือโอกาสทดลองโอบดู ที่ไหนได้ พอผมโอบเธอ เธอก็หันมาหอมแก้มผมทันทีเลย ไอ้ผมรึจะยอมเสียเชิงชายเลือดปราจีน หอมเธอคืนไปบ้าง ขอยอมรับตามตรงว่ารสสัมผัสของสาวลีซอ ทำให้ใจผมเกิดหวั่นไหวได้ ใจสั่นเล็กน้อย อารมณ์นี้ไม่ได้เกิดกับผมมานานจนเกือบจะลืมไปแล้ว เป็นอันว่าเสมอกัน ช่างกล้องของผมอมยิ้ม แล้วบอกให้ผมตั้งท่าถ่ายรูปได้แล้ว เราสองคนเอียงแก้มมาชนกัน ให้เฮียประวิทย์ภ่ายรูปให้ จริงหรือนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผม ยัง

ไม่หายงงเลย บัดนี้ผมยังจำกลิ่นแก้มของสาวลีซอคนนั้นได้เลย ผมต้องมนต์เสน่หาของสาวชาวลีซอคนนั้นเข้าแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งรู้จัก ผมจะกลับไปที่ กิ่วลม แห่งนี้ใหม่อีกครั้ง เพื่อหาเธอให้พบ อนิจาผมลืมถามชื่อเธอมาด้วย เวรกรรมแท้ๆ



ผมขอถ่ายรูปกับสาวงามเผ่า “ลีซอ”




นักท่องเที่ยวเพื่อนร่วมทางกันในวันนั้น ดูท่าคนถ่ายซะก่อน




ผมและเฮียประวิทย์ หลงไหล กับหมอกยามเช้า บนยอดเขาสูง


ถึงอย่างไรก็จำต้องจากแม่สาว “ลีซอ”และกิ่วลมไป อย่างอาลัยอาวรณ์ ต้องจากไปแล้วแก้วตาพี่ ขับรถออกจากกิ่วลม ตรงไปยังอำภอปาย (pai in love) ถึงที่พักก็เกือบเที่ยงแล้ว ได้ห้องตามที่จองไว้ น่าจะเป็นห้องที่ดีทีสุดของรีสอร์ทแห่งนี้ เพราะอยู่ติดกับแม่น้ำปายเลย เยี่ยมมากพอใจมาก เป็นเพราะผมจองมาก่อนใครอื่น เก็บของเอาไว้ แล้วออกไปเที่ยวรอบๆเมืองกันเลย เพราะเรามีเวลาน้อยมาก เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น พรุ่งนี้เช้าตรู่เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ห้วยน้ำดัง แล้วเลยไปค้างคืนที่ดอยอ่างขางกัน
ที่เมืองปายผมไม่รู้อะไรเลยได้แต่ผ่านมาผ่านไป ๒-๓ ครั้ง ไม่ได้สนใจ เมื่อสักยี่สิบปีก่อนนี้ ผมเคยแวะเข้ามากินข้าวครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเริ่มมีฝรั่งเดินกันอยู่ตามถนนแล้ว นอกนั้นก็ไม่เห็นมันมีอะไรแปลก ที่ท่องเที่ยวก็ไม่โดดเด่นอะไรนัก ตัวเมืองก็เป็นบ้านไม้ต่ำๆติดพื้นดิน ถนนกลางเมืองสะอาดดี แต่ก็แคบๆ มาวันนี้เมืองปายที่เขาว่ามีมนต์เสน่ห์ ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทิศทั่วแดน จนผมต้องมาแวะดูซิว่ามันดังได้อย่างไร ขณะนี้รู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร ตามผมมา ไปรู้ไปเห็นเมืองปายพร้อมๆกันเลยครับเ
เราออกไปขับรถเที่ยวรอบเมืองกัน วนจากทางด้านขวาไปตามถนนเล็กๆ จุดแรกไปที่วัดพระธาตุแม่เย็นก่อน เพราะเราต้องเริ่มจากที่นี่ ขึ้นไปดูวิวของเมืองปานบนยอดเขา ซึ่งจะเห็นเมืองปายได้ทั่วทั้งเมือง เราหาวัดพระธาตุแม่เย็นพบ แล้วไปนั่งที่จุดชมวิว เฮียประวิทย์ขอลูกกุญแจรถยนต์จากผม แล้วบอกว่าได้เวลาแล้ว เราเอาหารกลางวันมากินกันบนนี้ดีกว่า ลงทุนเดินไปเอามาเองเลย ผมหรือออกจะเกรงใจเฮียเค้า อยากจะเป็นคนไปเอามาเองมากกว่า ด้วยสำนึกว่าเป็นผู้น้อย ความเกรงใจแบบนี้เกิดขึ้นกับผมหลายครั้งมาแล้ว แต่มันเป็นความต้องการของเฮียเค้า เราก็ไม่ควรขัดใจเฮีย
ที่ตรงนี้มองเห็นวิวทั่วทั้งเมืองปายได้ทั้งหมด สวยมาก ปายเป็นเมืองเล็กๆ แต่เมืองปายครึกครื้น เพราะเศรษฐกิจเมืองปายคึกคัก ขอยืมสำนวนของการท่องเที่ยวมา ช่วยราชการโฆษณาชักชวนให้เที่ยวเมืองไทยกันหน่อย ไม่คิดเงินครับ ได้อย่างที่เราสองคนต้องการเลย สถานที่สวยงาน อาหารอร่อย ตรงสะเป็ค วิวดีกว่ากินในห้องแอร์ของภัตตาคารเสียอีก อร่อยก็สุดยอด แม้มันจะเป็นแค่ข้าวเหนียวหมูทอด จากตลาดสายหยุด ที่แม่ฮ่องสอนก็ตาม (เอาหูฉลามมาแรกก็ยอม) อิ่มเอมแล้วเดินไปล้างมือที่ก๊อกน้ำของทางวัด บัดนี้เราสองคนได้ทิ้งรอยเท้าเอาไว้แล้วบนยอดเขา วัดพระธาตุแม่เย็น



วัดพระธาตุแม่เย็น


เบื้องหน้านั้นคือเมืองปายทั้งเมือง


กลับมาสู่เส้นทางเดิม เราต้องการจะไปที่สะพานประวัติศาสตร์ เป็นอันดับต่อไป ในช่วงนี้ของเส้นทางไปเป็นทางแคบหน่อย รถสวนกันได้อย่างสบาย มีสิ่งที่ประทับใจของเราสองคนมากก็คือ ดอกไม้สีเหลืองอ่อน อ่อนกว่าดอกบัวตองหน่อย กำลังแข่งกันออกดอกสีเหลืองสะพรั่งตลอดไปทั้งสองข้างทาง เป็นระยะทางไกลที่สวยไม่รู้จบ ในอารมณ์นี้ที่เรากำลัง in love ในอารมณ์อยู่ เรากำลังอยากเห็นวิวสวยๆ ในช่วงที่ขับรถเล่น เที่ยวชมเมืองกัน ผมถามน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เราพบ เธอบอกเราว่าเป็นดอก “ราชพฤกษ์”
อยู่ๆผมเกิดมีอารมณ์อยากซดกาแฟร้อนๆสักแก้ว ผมชวนเฮียๆก็เห็นด้วย เป็นวันเกิดอยากขึ้นมาพร้อมกัน ขอขอบดุณคนสวยมาก ที่บอกชื่อต้นไม้และร้านกาแฟให้เรา ที่ร้านขายกาแฟ อยู่ภายในรีสอร์ท มองจากข้างนอกไม่เห็น ชื่อว่าบ้านต้นไม้ครับ วันนี้แขกจองเต็มแล้ว จองของพรุ่งนี้ได้ครับ เราต้องจอดรถแล้วเดินลงบันไดไม้ไป จึงจะพบร้านกาแฟที่แต่งร้านได้อย่างมีรสนิยมจริงๆ มีบ้านทาร์ซาน บนต้นไม้สามห้อง บริการเป็นห้องพักด้วยครับ มีช้างให้ขี่อีกด้วย เรานั่งอยู่ที่นี่ได้เป็นนานเลย “pai in love”



ดอกไม้สีเหลืองประดับตลอดสองข้างทาง


ปายบ้านต้นไม้ เชิญดื่มกาแฟ


เฮียประวิทย์ก้บถ้วยกาแฟ


บ้านทาร์ซานเป็นห้องพักบนต้นไม้ มีสามห้อง


บ้านต้นไม้ปาย


ข่าวสั้นครับ ฝรั่งขี่ช้างที่ปาย จบข่าว


ขับต่อไปตามทางเดิมเรื่อยๆ เราจะไปที่สะพานประวัติศาสตร์กัน อยู่ไม่ห่างจากบ้านต้นไม้นัก แลัวเราก็มาถึงสะพานประวัติศาสตร์ จอดรถก่อนแล้วลงไปเดินเล่นและถ่ายรูปบนตัวสะพาน พบนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา ที่ลงมาเดินอยู่บนสะพาน เรียกว่าสัมผัสกันอย่างถึงลูกถึงคนเลย ครับพี่น้อง



สะพานประวัติศาสตร์ ที่ท่าปาย


เอากินไอติมซะ จะได้หายเมื่อย ยืนอยู่นานแล้ว


สะพานประวัติศาสตร์
สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่ญี่ปุ่นเรืองอำนาจ อยู่ในประเทศไทย โดยมีวัถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธสู่พม่า เช่นเดียวกันกับสะพานข้ามแม่น้ำแคว
ในอดีตเส้นทางนี้เคยใช้เป็นเส้นทางเดินทางของประชาชนทั่วไป จนกระทั่งปัจจุบัน มีการสร้างสะพานคอนกรีตมาตรฐานแทนที่ เมื่อสะพานนี้ทรุดโทรมลง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเดินทางมาถ่ายรูป และเดินเท้าข้านสะพานแห่งนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกในการมาเยือน อำเภอปาย ปัจจุบันได้มีการซ่อมแซมตัวสะพานให้อยู่ในสภาพดี ปลอดภัยในการเดินเที่ยวแล้ว
เรากลับมาที่พักราว ๔ โมงเย็น พักผ่อนซะหน่อยเดี๋ยวเราไปกินขาหมูหมั่นโถกัน หลับไปได้หน่อยหนึ่ง นาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ มันร้องปลุกเราทั้งสองให้ตื่นขึ้นมา แล้วเตรียมตัวไปกินอาหารเย็นอย่างที่เราหมายใจไว้ ที่หมู่บ้านชาวยูนาน ไปกันเลยครับ ใครจะไปกินขาหมูหมั่นโถกับผม เชิญตามผมมาได้เลย ครับพี่น้อง เราเข้าไปในชุมชนชาวจีนยูนาน เป็นชุมขนที่เจริญแล้ว มีรูปแบบเป็นของตัวเอง มีศาลเจ้าเป็นศูนย์รวมใจของตัวเอง และมีร้านรวงเป็นบ้านดิน เปิดทำกิจการของตัวเอง วันนี้พวกเขารวยกันแล้ว ไม่ต้องลำบากเหมือนแต่ก่อน เราเลือกได้ร้านหนึ่งที่อยู่ทางท้ายๆของถนน หมู่บ้านของชาวยูนาน อยู่ไม่ไกลจากตัวตลาดปายสักเท่าไหร่ครับ
เฮียสั่งขาหมูหมั่นโถมาลองก่อนเป็นอันดับแรกเลย มีผักกาดขาวผัดน้ำมันอีกอย่างหนึ่ง ขาหมูขาใหญ่มากเห็นแล้วท้อมันใหญ่เกินกำลังของเราสองคน แต่มันก็มาแล้ว รสชาติจะออกรสเปรี้ยวนิดหน่อย เผ็ดนิดหน่อย คนละรสกับขาหมูเปื่อยบ้านเรา แต่กาดขาวผัดน้ำมัน อร่อยมาก เพราะผักมันสดมากๆเลย ผลสุดท้ายเรากินขาหมูไม่หมด มันเลี่ยนมาก ผมเอาห่อกลับไปด้วย บอกเฮียประวิทย์ว่า มันจะเป็นอาหารเช้าของเราไงครับเฮีย เฮียประวิทย์เห็นดีด้วย ผมยังไม่เคยเล่าท่านพี่น้องฟังเลย ไหนๆก็ไหนๆ เปิดขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้ว เล่าซะเลยไม่ต้องมีความไม่ลับ คืออย่างนี้ครับ ก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพมาท่องเที่ยวทริปนี้ ผมบอกเฮียว่าให้ไปซื้อกาต้มน้ำไฟฟ้าเอาติดรถมาด้วยหนึ่งลูก เอาไว้ต้มน้ำร้อนมาใส่มาม่ากินกันในที่พัก ก่อนเดินทางออกไปท่องเที่ยวทุกวัน ประหยัดดีมาก ฝีมือต้มมาม่าของผมเด็ดดวงนัก เรา อลิน อร่อย อะราว (สูตรเสน่หา ช่องสาม) ในห้องพัก กันทุกเช้า ขำๆดี ประหยัดเงินไปได้หลายตังค์เลย แถมประหยัดเวลาในการท่องเที่ยวได้อีกด้วยครับ พี่น้อง
เรากลับไปที่ห้องพักอีกครั้งเพื่อมาเอากล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วย เราจะออกไปเดินที่ถนนคนเดินกัน ประเดี๋ยวก็กลับมานอน พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้า ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ห้วยน้ำดังอันลือชื่อว่าสวยนักหนา ถนนคนเดินอยู่เลยที่พักเราไปเพียงสี่แยกเดียวเท่านั้น
ที่ถนนคนเดิน เวลาเพียงทุ่มกว่าๆมันก็มีชีวิตชีวาแล้ว คนเดินกันแน่นถนนเลย มีชาวต่างประเทศอยู่บ้าง ผู้คนส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว ไอ้ที่สำคัญ ทำไมมันบนถนนคนเดิน มันถึงได้มีแต่ผู้หญิงสาว สวย มากมายเต็นกันเต็มถนนไปหมด อะไรจะขนาดนี้นะ ผมกับเฮียมองกันเพลินไปเลย ชักชอบขึ้นมาแล้ว ทำให้คิดถึงบรรยายกาศตอนวัยรุ่นจังเลย อารมณ์เดียวกันนี้แหละ ที่กรุงเทพเวลามีงานประจำปีใหญ่ๆ จะมีผู้คน หนุ่มหล่อ สาวสวย แบบนี้แหละครับ มาเดินเที่ยวในงาน บรรยากาศแบบเดียวกันเลย สินค้าก็เหมือน ทั่วๆไป สีสันฉูดฉาด เป็นของฝากดีแท้ๆ มีศิลปินเปิดหมวกอยู่หลายคน นังเล่นดนตรีที่ตัวถนัดอยู่ริมถนน ที่

เป็นดนตรีทั้งวงก็มีอยู่แห่งหนึ่งเล่นกันอยู่สามสี่คนในบ้านไม้ ผู้คนมาหยุดฟังเสียงเพลงกัน ตอนนี้ผมชอบที่ถนนคนเดินมากๆแล้ว ถนนสายนี้นี่เอง ที่ทำให้เมืองปายมีชื่อเสียงกระฉ่อนเลื่องลือกันไปไกล และมีหมอกหนาในยามเช้า ตลอดทั้งฤดูหนาวอีกด้วย



เด็กๆมานั่งเปิดหมวกตีขิม


สี่แยกปายหนาว นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปที่นี่


คิดถึงมากมาย


ผู้คนเดินกันแน่นตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งไทยและเทศ


สะล้อ ซอ ซึง เต็มวง


โรตีออกทีวี ผมต้องลองชิม ยอมเสียเวลาเข้าคิวรอ



วันเสาร์ที่๒๑พฤศจิกายน๒๕๕๒
ห้วยน้ำดัง ดอยอ่างขาง

เราถึงที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดั่ง ตั้งแต่ท้องฟ้ายังมึดมิดอยู่เลย แหงนดูท้องฟ้าไม่ค่อยโปร่งเท่าใดนัก แต่ก็มีดาวประดับฟ้าอยู่บ้าง ผมคิดในใจว่า วันนี้เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆที่ห้วยน้ำดัง เหมือนอย่างคราวที่แล้วหรือเปล่าหนอ วันนั้นเห็นแล้วยังประทับใจอยู่เลย จนอยากจะได้เห็นอีก ในวันนี้
หาที่จอดรถยากจัง ไม่เหลือที่ว่างให้เราเลย ต้องลงไปหาที่จอดด้านล่าง แล้วเดินไปหาที่นั่งรอเวลากันก่อน เราเห็นก้อนหินใหญ่วางประดับไว้ ยังว่างอยู่ ไปของเขานั่งดีกว่า แต่เฮียประวิทย์ไม่ยอมนั่ง เดาเอาว่าชอบที่นี่ละมัง ออกเดินชมสถานที่ไปทั่ว เริ่มเห็นแสงสว่างแล้ว ที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก มีแสงเงินแสงทอง แสงแรกของกลางวัน ขึ้นจับขอบฟ้าแล้ว วันนี้มีเมฆบังไม่มากนัก เมฆลอยอยู่นิ่งๆไม่เคลื่อนไหวแต่ก็พอจะมีช่องว่างให้ได้เห็นบ้าง เสียงฮึมฮำเบาๆดังมาจากนักท่องเที่ยวที่ดีใจ แสงเงินแสงทองยาวเป็นสายอยู่เหนือเมฆ เริ่มแจ่มใสสว่างขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ แสงสีส้มค่อยๆเข้มขึ้นๆ จนกระทั้งลูกกลมสีส้มโผล่ขึ้นมาให้เห็นวงโค้งแรกของมันก่อน แล้วค่อยๆใหญ่ขึ้นๆที่ละน้อยๆ นักท่องเที่ยวทุกคนรวมทั้งผมและเฮียด้วย เข้าจับจองมุมสวยๆถ่ายรูปกัน ทั้งหมู่และเดี่ยว หลายคนเดินลงไปด้านล่าง หาที่สวยๆถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน ได้เห็นภาพวิวอีกมุมหนึ่งที่ต่างออกไป แล้วจับกลุ่มกันถ่ารูป ถ่ายกันจนอิ่มเอมใจ จนพระอาทิตย์ขึ้นมาเต็มดวง แสงแก่กล้าขึ้น สายตาทนสู้แสงไม่ไหวนั่นแหละ จึงค่อยๆทะยอยกันกลับ นำเอาความสุข ความอิ่มเอมใจกับภาพที่พบเห็นเมื่อครู่ติดไปด้วย ไม่รู้ลืม
เมื่อก่อนที่ป่ายังสมบูรณ์ตามธรรมชาติอยู่ เล่ากันต่อๆมาว่า จะได้ยินเสียงดังของน้ำไหล มาจากลำห้วย มาวันนี้ไม่มีเสียงนั้นให้ได้ยินอีกแล้ว คงเหลือไว้แต่ชื่อ “ห้วยน้ำดัง”



พระอาทิตย์ขึ้นที่ห้วยน้ำดัง


นักท่องเที่ยวหลายคนเดินลงไปชมทิวทัศน์


ตะวันเยี่ยมฟ้า ที่อุทยามแห่งชาติห้วยน้ำดั่ง


มองความงามของพระอาทิตย์ขึ้นไม่วางตา


บ้านพักรับรอง


ออกจากห้วยน้ำดังเราจะไปที่ดอยอ่างขางกัน ต้องออกมาที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ผมมีธุระจำเป็นที่จะต้องไปทำที่อำเภอหางดง เลยเชียงใหม่ไปหน่อย เสร็จแล้วจึงจะเริ่มออกเดินทางจากเชียงใหม่ ไปดอยอ่างขาง ระยะทางอยู่ในราวร้อยกว่ากิโลเมตร บนถนนหมายเลข ๑๐๗ ตรงไปที่อำเภอเชียงดาว และอำเภอไชยปราการ แล้วจึงเลี้ยวซ้ายขึ้นสู่ดอยอ่างขาง ตามถนนหมายเลข ๑๒๓๙ ความจริงมีทางที่จะขึ้นไปบนดอยอ่างขางได้ที่อำเภอ เชียงดาว อีกแห่งหนึ่ง ที่ถนนหมายเลข ๑๑๗๘ เรียกกันว่าถนนสายใน ที่ผมไม่ใช้ถนนสายนี้ก็เพราะมีทางบนภูเขามากเกินไป ขับมาขึ้นที่อำเภอไชยปราการ ไม่ต้องวิ่งบนภูเขามาก เข้าถึงอ่างขางราวสามสิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้น เป็นทางบนภูเขาเพียงครึ่งหนึ่ง ขับสบายกว่ากันมาก พอถึงเราก็เข้าที่พักกันก่อน เอากระเป๋าลงเก็บไว้ที่บนห้องพัก แล้วจึงออกไปเที่ยวรอบๆบริเวณดอยอ่างขาง จากเชียงใหม่ถึงดอยอ่างข้าง แล้วลงมาที่แม่อาย น่าจะมีโค้งสัก ๒๐๐ โค้งได้ครับ
ยายน้อยหรืออัมพร แม่บ้านที่คอยดูแลบ้านพัก พอเห็นว่าคนจองบ้านพักคืนนี้เป็นผมเอง มันดีใจมากที่ได้เห็นผมอีก ผมมาดอยอ่างขางครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๔ แล้ว ผมชอบที่นี่มาก มันสวยด้วยพันธุ์ไม้นาๆพันธุ์ ทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ ที่ทางโครงการปลูกเอาไว้ตอนรับนักท่องเที่ยว ที่สวนสมเด็จ อยู่หลังอาคารโรงอาหาร สวยมากๆ
ทางด้านหน้าเป็นสวน ๘๐ ภายในสวน เป็นไม้ดอกเมืองหนาว ซึ่งมีไม้ดอกเมืองหนาวที่มีสีสันสดใสประดับประดาอยู่มากมายได้แก่ กะหล่ำแฟนซี ซึ่งมีทั้งสีขาวและสีม่วง เยอบีร่า รูบาร์ป คริสต์มาส เทียนแฟนซี และดอกไม้อื่นอีกมากมาย นักท่องเที่ยวชอบมากที่ได้มาถ่ายรูป ในสวนดอกไม้ของโครงการดอยอ่างขางตอนที่ผมไปถึง เห็นมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปอยู่ที่นั่นหลายคน ผมและเฮียประวิทย์แวะเข้าไปถ่ายรูปกันบ้าง ไม่ได้ถ่ายกันมานิดหน่อย เราถ่ายกันจนจุใจแล้ว ถึงจะพอ ผมแวะขึ้นไปจองโต๊ะและสั่งอาหารเย็นเอาไว้เลย เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ว่ามาที่นี่ถ้าไม่สั่งจองโต๊ะและอาหารเอาไว้ก่อน จะเจอกับปัญหาเรื่องอาหาร ยิ่งวันนี้คนแยะมาก มีปัญหาแน่ๆ ผมถามเรื่องห้อง คาราโอเกะ ปรากฎว่ามีนักท่องเที่ยวกรุ๊ปใหญ่จองเหมาหมดทั้งอาคารไปแล้ว หมดกัน อดเลยเรา
ทางด้านซ้ายมือของที่ทำการสถานีเกษตรดอยอ่างขาง มีสวนกุหลาบที่เรียกว่ากุหลาบอังกฤษ เป็นที่รวบรวมกุหลาบมากมายหลายพันธุ์ ส่วนใหญ่จะเป็นกุหลาบขนาดใหญ่
นอกจากที่หน้าโครงการแล้ว ยังมีสวนเกษตรที่ให้ขับรถไปชม และถ่ายรูป ชมแปลงสาธิตปลูกไม้ผลเมืองหนาว ได้แก่ ท้อ บ้วย พลัม สตรอเบอรี่ สาลี่ ราสเบอรี่ พลับ กีวี ลูกไหน และสวนผัก เช่นแครอท และผักสลัดต่างๆ แปลงไม้ดอก เช่น คาร์เนชั่น กุหลาบ แอสเตอร์ เบญจมาศ ฯ ขับรถวนเที่ยวไปรอบๆ ไปแวะชม ดอกกุหลาบดอกใหญ่มาก เพราะกุหลาบชอบอากาศหนาว ที่โครงการปลูกไม้ในร่ม และอีกฝั่งหนึ่งของถนน เป็นไม้ดอกเมืองหนาวแปลกๆ สีสันฉูดฉาด ปลูกเอาไว้ในอาคาร แล้วยังมีสินค้าทางเกษตรบางอย่างขายให้นักท่องเที่ยวอีกด้วย ผมได้เหล้ามาหนึ่งขวด น้ำใสเป็นตาตักแตน ตั้งใจว่าจะดื่มในเวลาอาหารเย็น



ดอกไม้เมืองหนาวแข่งกันออกดอก ที่สวน ๘๐


ภาพภายในสวน “สวน ๘๐”


ไม้ประดับในสวนสมเด็จ


ดอกกุหลาบในสวน”กุหลาบอังกฤษ”


กุหลาบดอกใหญ่ในเรือนเพาะชำ


ดอกไม้เมืองหนาวลักษณะเหมือนปลา


พอตกเย็น เริ่มมีฝนตกลงมาปอยๆ ลักษณะของฝนไม่ได้เป็นเม็ดเหมือนที่เราเห็นทั่วๆไป มันเป็นฝอยละอองเหมือนเราฉีดสเปย์ออกมาจากกระป๋อง ลักษณะเป็นฝอยละเอียดแบบนั้น ที่แรกผมไม่รู้ว่าเป็นฝน ผมถามยายน้อยว่าแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ได้คำตอบมาว่าเป็นฝน และมีลมพัดเบาๆมาด้วย ทำให้ละอองฝนปลิวลอยละล่องไปตามกระแสลม เป็นที่น่าดูยิ่งนัก ลักษณะที่ฝนตกเป็นละอองเช่นนี้ ผมนึกออกแล้วว่าเคยเจอมาแล้วที่กรุงเอเธน ที่นั่นมันหนาวทารุณมาก เดินอยู่กลางแจ้งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ไม่ถึงกับเปียก เป็นแค่เพียงชื้นๆ นี่มันลักษณะเหมือนกันเลย ผมชักชอบแฮะ
ประเดี๋ยวเราจะได้นั่งกินข้าวที่โต๊ะกลางแจ้ง มีร่มคันใหญ่กางกันละอองฝนไว้ให้เรา กินข้าวเย็นที่หน้า “สวน ๘๐” ลอบล้อมไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ด้านซ้ายมือเป็นสวนกุหลาบอังกฤษ ตรงกลางเป็นโต๊ะอาหารที่เราจองไว้ สมมติว่าเราสองคนกำลังนั่งกินข้าวกันที่สวน “อีเดน” ไปเลย ร่ำสุราที่มีน้ำใสเป็นตาตั๊กแตน ที่ผมซื้อติดมือมาจากสถานีเกษตร แกล้มกันกับเมนูอาหารสี่อย่าง ที่เราสั่งไว้แล้ว ท่ามกลางละอองฝนที่เป็นละอองโปรยปรายลงมาต้องกระแสลม แล้วลอยผ่านเราไป บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ แต่อากาศที่หนาวมาก ต่ำกว่า ๑๐องศาเซลเซียส ทำไมเราทั้งสองชอบก็ไม่รู้
เราสองคนนั่งกินข้าวกันไป คุยเรื่องราวต่างๆกันไป อย่างเพลิดเพลิน จนเวลาล่วงเลย เหล้าที่มีอยู่ก็หมดแล้ว เมาก็เมาแล้ว กลับบ้านไปนอนดีกว่า จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วขับรถกลับที่พัก ซึ่งอยู่ใกล้กันนี่เอง หลับนอนเอาแรงไว้ พรุ่งนี้เช้าค่อยมากินข้าวที่สวน อีเดน กันใหม่ แล้วค่อยอำลาดอยอ่างขางไป





ผมและเฮียประวิทย์กำลังกินข้าวกันท่ากลางละอองฝน ในสวน ”อีเดน”



วันอาทิตย์ที่๒๒พฤศจิกายน๒๕๕๒
วันเดียวเที่ยวสามดอย
เราสองคนตื่นกันตั้งแต่เช้าเหมือนเช่นเคย มีพระเดินมาบิณฑบาตรถึงหน้าบ้าน เฮียประวิทย์ได้ใส่บาตรด้วย และก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว บอกลาอ้ายน้อย แล้วขับรถไปหาอาหารกินกันที่สโมสร ของโครงการหลวง ที่แรกคิดว่าจะสั่งอาหาร

ง่ายๆไปนั่งกินกันที่ด้านหลัง นั่งชมสวนสมเด็จไปด้วย แต่ก็ผิดหวัง เขาจัดอาหารเป็นแบบบุปเฟ่ คิดเงินเป็นรายหัวไป หัวละ ๒๒๐ บาท ดีมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก มีอาหารที่ผมชอบหลากหลาย เช้านี้นักท่องเที่ยวออกมาพร้อมๆกัน ผู้คนมากเป็นพิเศษ
ครึกครื้นคึกคักดี มองๆดูแล้ว ผมบอกกันเฮียว่าบรรยากาศ มีสีสันคล้ายเมืองนอกเลยนะ ทุกคนแต่งตัวด้วยเสื้อกันหนาวสีสดใส มีผ้าพันคอด้วย บ้างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะ บ้างก็ยืนต่อคิว อยู่ที่โต๊ะวางอาหาร ดูชุลมุนกันไปหมด แต่ก็เป็นระเบียบดี เพราะคนที่รวมกันอยู่ทีนี่ เป็นคนค่อนข้างจะ ไฮ-โซ สักหน่อย ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีความรู้ พวกวัยรุ่นหน้าตาดีๆเกือบจะทั้งนั้น อยู่ในวัยทำงานกันเป็นส่วนใหญ่ หลายคู่ดูเหมือนเพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ มาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กัน









ภาพที่สโมสร ตอนอาหารมื้อเช้า ที่แสนอร่อย เป็นมื้อที่ทุกคนจะจากลา ดอยอ่างขางไปแล้ว


ได้เวลาแล้วเราต้องลงจากดอยอ่างขางเพื่อไปที่ดอยผ้าห่มปก ระหว่างทางขับรถอย่างมีความสุข ขับฝ่าละอองหมอกหนาในยามเช้าลงจากเขา สวยมาก ไม่มีการเปิดแอร์รถเมื่ออยู่บนเขาทุกครั้ง เราอยากได้อากาศบริสุทธิบนยอดเขามาก กว่าสักพักหนึ่งเราก็ลงมาถึงเส้นทางที่อยู่ระดับต่ำลงมา หมอกก็หายไปแล้ว ทั่วบริเวณแจ่มใสเห็นแต่สีเขียวของต้นไม้บนภูเขา ทุกทิศทางที่มองไป ทำให้สดชื่น หัวใจเบิกบาน ช่างเป็นสุขแท้ในเช้านี้ มีป้ายบอกทางว่า ไป ไชยปราการ ๒๙ กิโลเมตร ไป ฝาง
๓๕ กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่เรากำลังจะไป ดอยผ้าห่มปก ดอยผ้าห่มปกหมายถึง ต้นไม้บนดอยแห่งนี้ มีความชุ่มชื้น จนกระทั่งมีพืชเช่นเฟรินร์เกิดโอบลำต้นของต้นไม้จนรอบ เปรียบเหมือนเอาผ้าห่มมาห่มเอาไว้



ละอองหมอกหนาๆในตอนเช้า


หมอกหนาจนแทบมองไม่เห็นทาง


ดอยอ่างขาง
สถานีหลวงดอยอ่างขาง เป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง ตั้งอยู่บนเทือกเขาตะนาวศรี ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๔๐๐ เมตร และมียอดดอยสูงถึง๑,๙๒๘ เมตร พื้นที่รับผิดชอบประมาณ ๒๖.๕๒ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๖๕๗๗ ไร่ จัดตั้งเมื่อปี พศ. ๒๕๑๒ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว“ให้เขาช่วยตัวเอง” เปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาว ที่สร้างรายได้ดีกว่าเก่าก่อน
ปัจจุบันดอยอ่างขางได้เปลี่ยนสภาพที่เป็นภูเขา ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่า มาเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพันธุไม้ผลกว่า ๑๒ ชนิด ผักเมืองหนาวกว่า ๖๐ ชนิด และไม้ดอกเมืองหนาวกว่า ๒๐ ชนิดสภาพอากาศสบาบตลอดทั้งปี อุณหภุมิเฉลี่ยได้ประมาณ ๑๖.๙ องศาเซลเซียส มีชาวเขาเผ่าจีนฮ่อ ไทยใหญ่ มูเซอดำ และปะหล่อง อาศัยอยู่โดยรอบ กว่า ๖๐๐ ครัวเรือนใน ๖ หมู่บ้าน
อากาศบนดอยอ่างขาง หนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยเพราะช่วงเดือน ธันวาคม – มกราคม อากาศเย็นจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำแข็ง นักท่องเที่ยว ควรเตรียมเครื่องกันหนาวมาให้พร้อม เช่น ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อกันหนาว
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง (ดอยอ่างขาง)
เรื่องกำเนิดของสถานีแห่งนี้เป็นเกร็ดประวัติเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จทางเฮลิคอปเตอร์ผ่านดอยแห่งนี้ แล้วทอดพระเนตรลงมาเห็นหลังคาบ้าน มีคนอยู่กันเป็นหมู่บ้าน จึงมีพระราชดำริให้เครื่องลงจอด เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาทอดพระเนตร เห็นทุ่งดอกฝิ่นและหมู่บ้านตรงนั้น คือหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอ ซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ พระองค์มีพระราชดำรัส ที่จะแปลงทุ่งฝิ่นให้เป็นแปลงเกษตร สถานีจึงได้เกิดขึ้น ในปี ๒๕๑๒ มีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ พืชน้ำมัน โดยที่จะหาผลิตผลที่มีคุณค่าพอที่ทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวเขา ทำการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม แก่ชาวเขาบริเวณใกล้เคียงสามารถชมแปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว ได้แก่ ท้อ บ้วย พลัม สตรอเบอรี สาลี ราสเบอรี่ พลับ กีวี่ ลูกไหน เป็นต้น พืชผักเมืองหนาว เช่น แครอท ผักสลัดต่างๆ ฯลฯ แปลงไม้ดอกเช่น คาเนชั่น กุหลาบ แอสเตย์ เบญจมาศ ฯลฯ มีการจำหน่ายผลิตผลตามฤดูกาล ที่ปลูกในบริเวณโครงการฯ ให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย

ดอยผ้าห่มปก
ต้องขอบอบคุณ ท่านหัวหน้ากองสาธารณะสุขเทศบาล ต. ไชยปราการ ที่แนะนำทางไป ดอยผ้าห่มปกให้อย่างแจ่มแจ้ง ชื่อคุณ หฤศฎ์ ขอขอบคุณมากครับ เราต้องวิ่งรถผ่าน อำเภอเชียงดาว อำเภอฝาง และอำเภอแม่อาย แล้วไปแยกเข้าดอยผ้าห่นปก ที่บ้านห้วยบอน ผ่านด่านป่าไม้ ผ่านหมู่บ้านมูเซอแดง แลัวก็ถึงทางในป่าที่ยังเป็นดงดิบอยู่ ทางลำบากมากๆเปรียบเทียบกับทางเข้าไปน้ำตกทีลอซูแล้ว ที่ทีลอซูสบายกว่ากันแยอะเลย ทางสายนี้มีร่องน้ำที่ไหลผ่านตอนฝนตกแบบลึกๆ มีที่เป็นหล่มลื้นไถล เพราะหน้าดินมันเปียกด้วย แต่ด้วยความอยากไปเห็น ผมพยายามดิ้นรนไปให้ได้ เหลืออีกสองกิโลเมตรสุดท้ายข้างหน้า ก็จะถึงแล้ว มาเจอเอาหล่มดินลื่น ที่ไม่ใหญ่นักแต่ว่ายาว และชัน ผมพยายามดิ้นเพื่อจะไปให้ได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า บังคับรถไม่ได้ จะต้องมาล้อฟรีที่หลุมชันหลุมสุดท้ายทุกครั้ง เกิดท้อใจรู้ตัวว่าไปไม่ได้แน่ๆแล้ว จึงจำใจต้องหันหัวรถกลับลงมา ผมรู้สาเหตุ ว่าที่รถของเราไม่สามารถขึ้นจากหลุมชันหลุมสุดท้ายได้ เป็นเพราะว่ารถของเราไม่พร้อม กับทางแบบนี้ ยางรถของเรา
นี่เอง มันเป็นยางดอกเล็ก เหมาะสำหรับวิ่งบนหลังถนนลาดยาง ไม่เหมือนรถหลายคันที่วิ่งสวนลงมา ที่ยางรถของเขาเป็นยางดอกใหญ่ ผมจำใจต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมถอยกลับออกมาแต่โดยดี แต่ก็ได้สถิติของจำนวนโค้งมาด้วย ประมาณว่าไปกลับรวมกันในราว ๓๐๐ โต้ง ตกลงในวันนี้เราสองคนได้พาตัวเองไปเที่ยวมาแล้วสองดอย คือ ดอยอ่างขาง และดอยผ้าห่มปก เรากำลังจะไปที่ดอยกาดผีเป็นดอยที่สามกัน

ดอยกาดผี
แต่เรายังมีแผนที่จะไปต่อให้ถึงดอยกาดผี แผนนี้ยังอยู่ เรากลับออกมาแล้ววิ่งย้อนคืนกลับไปที่อำเภอฝาง มีทางแยกไปอำเภอแม่สรวย แล้วเลยไปบ้านเลาลี ที่เราจองที่พักไว้แล้ว ทางสายอำเภอฝางไปอำเภอแม่สรวยผมยังไม่เคยไปมาก่อน เราผ่านโรงกลั่นน้ำมันที่ฝางด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้ใช้เส้นทางสายนี้ พอไปถึงอำเภอแม่สรวย ยังต้องไปต่อจนถึงตำบลวาวี และบ้านเลาลี ระยะทางราว ๕๐ กิโลเมตร ผ่านโครงการอ่างเก็บน้ำแม่สรวย ผ่านทางแยกขวามือเข้าดอยช้าง ที่มีกาแฟอร่อยๆเป็นเลิศ แล้วจึงไปถึงหมู่บ้านเลาลี เข้าที่พักเรียบร้อยเวลาราว ๔ โมงเย็น นักท่องเที่ยวที่จองเอาไว้ มีเรามาถึงก่อนใครเลย เป็นอันว่าวันนี้เราสองคน มากันจนครบสามคอย อย่างที่ตั้งใจไว้ คือตอนเช้าเราเที่ยวอยู่ที่ดอยอ่างขาง ตอนสายเราขึ้นไปที่ดอยผ้าห่มปก แล้วตกเย็นเรามาถึงงที่ดอยกาดผีพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอยกาดผีกัน
ประเดี๋ยวอาหลิ่งจะพาเราไปชมไร่ชากัน ตกลงกันว่าเมื่อเราเตรียมตัวเสร็จ เราจะออกมาตามหาอาหลิ่งเอง อาหลิ่งคือคนที่รับจองที่พัก ตอนที่ผมโทรมาติดต่อ เราจึงรู้จักเสียงและชื่อกันมาก่อน ที่ยังขาดก็ตรงที่ยังไม่ได้เห็นหน้ากันเท่านั้น อาหลิ่งเป็นลูกสาวชาวจีนยูนาน พูดภาษาไทยได้ดี
ไร่ชาเป็นของรีสอร์ทเอง ปลูกอยู่กับไหล่เขาเต็มตลอดทั้งพื้นที่ที่มีอยู่ และอยู่ติดกับห้องพักของเราแค่นี้เอง เราจะลงไปชมกันใกล้ๆแล้วถ่ายรูปสวยๆกัน เรื่องของชานี่สลับซับซ้อนมาก แม้แต่ชื่อสายพันธุ์ ก็มีมากจนจำกันสับสนแล้ว จำได้แต่ชาอู่หลงเท่านั้น ที่จะต้องเอาดอกหอมหมื่นลี้ใส่ผสมลงไป เพื่อเพิ่มกลิ่น ลึกลงไปด้านล่าง มีสระน้ำอยู่หนึ่งสระ กลางสระน้ำมีเก๋งจีนหกเหลี่ยมอยู่กลางน้ำหลังหนึ่ง ปลูกบัวไว้ด้วย พากันออกดอกประดับประดา ตัวสระให้มีสีสันงดงาม ตัวไร่ชาเขาปลูกต้นชาเรียงกันเป็นแถวโค้งๆตามลักษณะของพื้นที่ เรียงกันเป็นแถวๆต่ำลงไปเรื่อยๆ ทีละแถวๆ สวยดีครับ พวกเราเข้าไปในแถวของต้นชาถ่ายรูปกัน พอดีมีสาวสวยและชายหนุ่มชาวจีนยูนาน หน้าตาดีมากทั้งสองคน ตามเราลงมา เพื่อจะไปเก็บเห็ดหอมที่เพาะเอาไว้ในห้องเพาะเลี้ยง อาหลิ่งบอกว่าสองคนเป็นญาติกัน คนผู้ชายเป็นครูสอนภาษาจีน ผมบอกให้อาหลิ่งชวนคนทั้งสองมาถ่ายรูปกับเรา ผมเลยได้รูปของสาวสวยและหนุ่มหล่อ สไตล์จีนๆมาด้วย สองคนขอตัวแยกไปเก็บเห็ดหอมสดกัน เราสามคนลงไปถ่ายรูปกันที่เก๋งจีน เสร็จแล้วอาหลิ่งพาเราเดินตามสองคนนั้นไป ทางไปเป็นช่องเขา เลยไปหน่อยมีโรงเรียนที่สอนภาษาจีน เราพบสองคนนั้นกำลังช่วยกันเก็บเห็ดหอมสด ในห้องเพาะเลี้ยง พอสองคนนั้นได้ยินเสียงพวกเราเดินมา เขาเรียกให้เราแวะเข้าไปดูห้องเพาะเห็ดหอม เราสองคนยังไม่เคยเห็นการเพาะเห็ดหอมมาก่อน สนใจมากแวะเข้าไปดู ได้รูปมาฝากท่านด้วยดรับพี่น้อง พอดูวิธีเพาะเห็ดหอมเสร็จ พวกเราก็พากันเดินกลับ โดยเดินผ่านโรงเรียนสอนภาษาจีน แล้วย้อนกลับที่พัก เป็นทางคนละทางกับเที่ยวขาไป



ไร่ชาที่เราลงไปถ่ายรูปกัน เขาปลูกตามไหล่เขา


ต้นหอมหมื่นลี้


อาหลิ่ง เป็นคนเก่งรู้งานทุกอย่าง อะไรก็รับไว้ก่อน


ก้อนเชื้อเห็ดหอม ราคาก้อนละ ๘ บาท


อุปกรณ์ในการชงชา เป็นเซรามิคอย่างดี


โรงเรียนบ้านเลาลี


เลาลีรีสอร์ท ที่พักของเรา


โครงการอ่างเก็บน้ำแม่สรวย


ห้องพักเรา


เรากลับมาพักผ่อนที่ห้องพักเพื่อรอเวลาอาหารเย๊น อากาศเมื่อสิ้นแสงอาทิตย์กลับเย็นลงอีก มากกว่าเมื่อตอนที่เรามาถึง น่าจะต่ำกว่า ๑๕ องศา ผมรีบอาบน้ำเพราะกลัวว่าถ้าเย็นลงกว่านี้ จะไม่อยากอาบ ยังดีที่เครื่องทำน้ำอุ่นใช้งานได้ ผมสัญญากับตัวเองว่ามื้อเช้าจะไม่อาบน้ำมันละ เฮียประวิทย์ก็มีอาการกลัวน้ำเหมือนผม
พอได้เวลาอันสมควรเราสองคนก็ชวนกันเดินออกมากินข้าว ที่ห้องอาหารนางนวล อร่อยดีครับ อาหารแนะนำที่อาหลิ่งเสนอก่อนอื่นคือ ขาหมูหมั่นโถ แหวะ แม้แต่จะได้ยินชื่อยังไม่ได้เลย เลี่ยนมาจากที่ปายยังไม่จืดจาง แนะนำที่สองคือหมูสามชั้นอบสมุนไพร แปลกดีเอามาทดลองซิ ยำปลากระป๋องกับยอดชา และผัดผ้ก ตอนจบเรายังมีหมูสามชั้นห่อกลับห้องอีก มันจะลงไปรวมอยู่ในถ้วยมาม่าเป็นอาหารของเรา อร่อยดีนะครับ ประหยัดทั้งเงินและเวลา อิ่มกันแล้วเรายังคงนั่งคุยกับต่ออีกนาน
ไม่รู้ว่ามีเรื่องคุยอะไรกันนักหนา คุยกันมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้เราจะออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยกาดผี ผมขอให้อาหลิ่งจองรถยนต์ไว้สำหรับเราสองตนด้วย ค่ารถราคา ๖๐๐ บาท ผมบอกอาหลิ่งว่าถ้ามีใครต้องการ จะไปพร้อมกับเรา ก็ยินดีให้แชร์ค่ารถด้วย ปรากฎว่ามีนักท่องเที่ยวกลุ่ม “ชิน” มาขอแจมด้วย ๕ คน เราตกลงกันว่า ตี ๕ พวกเราจะมาพร้อมกันที่นี่ เพื่อขึ้นรถไปด้วยกัน
เราตื่นกันตั้งแต่ยังดึกยังดื่น เหมือนเคย ตามภาษาคน สว. พอตื่นมาก็หิวเลย เอากาแฟร้อนรองท้องกันคนละแก้วก่อน ออกมารอรถ เมื่อทุกคนพร้อมแล้วออกรถได้ เจ้าของรถเป็นชาวจีนยูนาน พูดภาษาไทยฟังยากจัง คนยูนานแถวๆนี้พูดภาษาไทยไม่ได้ เขาใช้ภาษาจีนเป็นภาษาในบ้าน พูดภาษาจีนได้เพียงภาษาเดียว
ที่แย่ที่สุดของแกก็คือแกขับรถได้น่ากลัวมาก ราวกับว่าพวกเราจ้างให้พาไปสู่อุบัติเหตุ ไม่ใช่ให้พาพวกเราไปเที่ยว แกขับรถเข้าโค้งแบบไม่ได้คิดว่าจะมีรถสวนมา หรือลืมไปว่าเบรครถมันอยู่ที่ตรงไหน โชคยังเป็นของเราที่รอดมาได้ ไอ้ขับรถประมาทแบบนี้แหละ ที่เป็นข่าวบ่อยๆ
ดอยกาดผีเป็นลานกว้างๆ ขนาดครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล ที่เป็นลานกว้างๆแบบนี้ได้ น่าจะเป็นเพราะใบมีดเทร็กเตอร์มากกว่า ทางการทำเอาไว้เพื่อจอดเฮลิดอปเตอร์ ที่ตรงนั้นมีทหารรักษาการณ์อยู่สองคน ใช้กระท่อนของวนอุทยาน เป็นที่พัก เป็นสถานนีสืบและดักจับยาเสพติด สิ่งแรกที่พวกเราสัมผัสคือลมหนาวเย็นจัดที่พัดแรง มาต้องผิวกาย มันหนาวเยือกเย็นจนสะท้าน ผมทราบจากทหารรัษาการว่า ขณะนี้ ๑๑ องศาเซลเซียส สิ่งที่สองคือแสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว เป็นสีส้มแก่กระจายอยู่ที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก
อย่างที่สามคือทะเลหมอกสีขาวนวล เต็มไปหมดทั่วทุกทิศทาง ปกคลุมอยู่เหนือยอดไม้กินพื้นที่กว้างไปทั่วทั้งหุบเขา คราวนี้มาดูบรรยากาศรวมๆซิว่าเป็นอย่างไร มันสวยกว่าที่ได้เห็นมาทั้งหมดในทริปนี้และหนาวมากครับ ในทริปนี้ผมดูพระอาทิตย์ขึ้นทั้งหมดสี่แห่ง ผมลงความเห็นว่าที่ยอดดอยกาดผีสวยที่สุด ได้อารมณ์ที่สุด ได้ความหนาวมากที่สุด ความเห็นของผมนะครับ ผมคิดว่าการดูพระอาทิตย์ขึ้นในต่างที่ต่างเวลา มันอยู่ที่โชคเสียมากกว่า วันไหนท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหนามาบัง วันนั้นที่นั่นจะดูพระอาทิตย์ได้สวยที่สุด ผมเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ห้วยน้ำดั่ง สวยกว่าที่ดูเมื่อวานซืนมากมายครับ ไม่บรรยายดีกว่า มันคนละโอกาสกัน
เวลาผ่านไปช้าๆตามเวลาของโลกหมุน จากแสงเงินแสงทอง กลายเป็นแสงสีส้มเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเส้นโค้งของดวงอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นแนวเส้นสีส้ม ของแสงเงินแสงทองออกมา กลืนให้แสงเงินแสงทองค่อยๆจางหายไป ลูกกลมสีส้มค่อยๆใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้น เป็นภาพที่สวยที่สุด สมดั่งที่เราตั้งใจ เดินทางมาไกลแสนไกล เพื่อที่จะได้มาเห็นภาพนี้ แม่เจ้า.....มันสวยเหลือเกิน พวกเราถ่ายรูปในท่าต่างๆกันเสียจนฉ่ำใจ ดูดดื่มเอาความสุขไว้จนล้นหัวใจ จนกระทั่งแสงแก่กล้า มองแล้วแสบตา พวกเราจึงกลับลงมาจากยอดดอย สู่ที่พัก



ภาพแรกที่เราไปถึงยอดดอยกาดผี


มีหมอกสีขาวนวลทั่วไปทุกทิศทุกทาง


พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว


พระอาทิตย์ในอุ้งมือ


จั๊กจี้นะ อย่าจี๋เอว


เราล่ำลากันในเวลาอาหารเช้า มิตรภาพมันเกิดขึ้นแล้วระหว่างเรานักท่องเที่ยวด้วยกัน เราต่างก็แลกรูปซึ่งกันและกัน โดยใช้โน๊ตบุ๊คของผม
ผมกับเฮียประวิทย์ตั้งใจจะขึ้นไปที่ดอยช้าง ด้วยจุดประสงค์สองอย่างคือ ไปท่องเที่ยวและไปสืบราคาเม็ดกาแฟ ที่ดอยช้างเขามีกาแฟให้ชิมฟรี ณ. ที่ๆทำการของ ศูนย์บริการวิชาการด้านพืช เชียรายง2 (ดอยช้าง) ทางแยกเข้าไปดอยช้าง ตอนขาออกจากบ้านเลาลี ไปแม่สรวย อยู่เลยดอยวาวีออกมาหน่อย ทางด้านซ้ายมือ ระยะทาง ๔ กิโลเมตร ทางแคบมากเหมือนเข้าปาง อุ๋ง ท่ามีรถสวนมา รถคันหนึ่งต้องจอดให้คันหนึ่งผ่านไปก่อน ยอดเขาสูงอากาศก็เย็นสบาย ถ้าจะมาดอยช้างเพื่อชมภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ก็คงพอได้หรอกครับ แค่พอสู้เขาได้เท่านั้น แต่ถ้าแข่งกันในด้านรสชาติของกาแฟละก็ เขาเป็นหนึ่งแน่นอน ที่นี่เหมาะที่จะปลูกกาแฟ และยังมีแปลงทดลอง ที่เป็นของทางราชการอีกด้วย ของเอกชนก็เห็นมีโรงงานผลิตกาแฟ หลายโรงใกล้หมู่บ้าน
เมื่อคืนที่นี่หนาวกว่าที่ยอดดอยกาดผีเสียอีก คือ ๙ องศาเซลเซียส ขณะที่เมื่อเช้านี้ที่ยอดดอยกาดผี ๑๑ องศาเซลเซียส ที่ดอยช้างมีหมู่ บ้านชาวเขา อาศัยอยู่มากเหมือนกัน มากกว่าที่คิดเอาไว้ ผู้คนพูดภาษาไทยภาคกลางแบบเราๆไม่ค่อยได้ พูดมาเราฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ที่เราพูดไปเขาอาจจะเข้าใจก็ได้ แต่ดูเขากระตือลือล้นเหลือเกิน อยากจะบอกที่เราถาม
เราขับรถไตร่ยอดเขาสูงขึ้นไปอีกจนถึง “ศูนย์บริการวิชาการด้านพืช เชียงราย 2 (ดอยช้าง)” ที่นี่ทำการทดลองปลูกกาแฟพันธุ์ต่างๆมานานแล้ว และก็ได้ผลแล้วด้วย กาแฟของคอยช้างดูเหมือนจะมีชื่อเสียงโด่งดัง เข้าขั้นเทพของเมืองไทยด้วยนะครับ เราได้คุยกับเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง ซึ่งทำงานตรงๆในด้านนี้ และทำกิจการส่วนตัว ขายส่งเม็ดกาแฟเป็นงานอดิเรกด้วย
เฮียประวิทย์สนใจเรื่องที่จะเปิดทำกิจการค้ากาแฟที่กรุงเทพมาก่อน ได้รายละเอียดมาศึกษา พร้อมขอชื่อและที่อยู่ติดต่อเอาเก็บไว้ ขณะคุยกันไป ท่านวิทยากรก็ชงกาแฟให้เราชิมไปพลางๆด้วย เราคัองชิมกาแฟพันธุ์ต่างๆเข้าไปคนละหลายแก้ว จนมึนกับรสชาติของกาแฟ คุยกันอยู่นานจนเข้าใจรายละเอียด เสร็จแล้วเราสองคนขอตัวกลับออกมา แวะกินอาหารกลางวันกันที่อำเภอแม่สรวย เราแวะซื้อมาม่า และไม่ลืมเอาหมูสามชั้น ที่เหลือเมื่อคืนใส่ลงไปด้วย และเดินทางกลับกรุงเทพกันเลยในเวลานั้น



ภาพการชงกาแฟ






กาแฟที่เขาโชว์ไว้ ชื่อแปลกๆไม่เคยได้ยิน


หมู่บ้านชาวเขา ถ่ายจากที่สูง


ผมจะลองรวมจำนวนโค้ง ทั้งโค้งซ้าย โค้งขาว และโค้งอันตรายดู ว่าจะมีประมาณสักเท่าไร ตัวเลขที่ออกมาผมคิดว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดครับ จากกรุงเทพถึงจังหวัดตาก ไม่ได้เอามาคิดรวมด้วยนะครับ เก็บเอาไว้แถม หากมีคนเถียง
๑ จากแม่สอดไปอุ้มผาง ไปกลับ ๒,๔๓๘ โค้ง
๒ จากแม่สอดไปแม่ฮ่องสอน (ประมาณ) ๑,๔๐๐ โค้ง
๓ จากแม่ฮ่องสอน-ปาย-เชียงใหม่ (ประมาณ) ๑,๒๐๐โค้ง
รวมเส้นทางที่เป็นสายยาวๆมีโค้งมากๆ มีอยู่สามสายรวมแล้ว๕,๐๓๘โค้ง
คราวนี้เป็นเส้นทางท่องเที่ยว ที่เราวิ่งแยกเข้าไปตามแหล่งท่อเที่ยว ตามดอยต่าง เอาแค่ประมาณน้อยไว้ก่อนนะครับ
๑ แยกเข้าไปดูดอกบัวตองที่ ดอยแม่อูคอ-น้ำตกแม่สุรินทร์ ไปกลับ และไปกลับ๑๐๐ โค้ง
๒ แยกไปบ้านเสือเฒ่า-บ้านปูแกง-น้ำพุร้อนผาบ่อง และภ้ำปลา ไปกลับ ๒๐๐ โค้ง
๓ แยกไปน้ำตกผาเสื่อ-ตำหนักปางตอง-ปางอุ๋งและหมู่บ้านรักไทย ไปกลับ๔๐๐ โค้ง
๔ เชียงใหม่-อ่างขาง ๑๐๐ โค้ง
๕ ดอยอ่างขาง-แม่อาย-ดอยผ้าห่มปก- ดอยผ้าห่มปก-แม่อาย๒๐๐ โค้ง
๖ แม่อาย-ฝาง-แม่สรวย ๓๐๐โค้ง
๗ แม่สรวย-ดอยกาดผี-ดอยช้าง ไปกลับ๕๐๐โค้ง
รวมแล้วได้ ๑,๘๐๐โค้ง
เอามารวมกับยอดแรกแล้วได้ ๖,๘๓๘ โค้งครับ

ถ้าท่านยังสงสัยว่ามันจะถึงหรือ ท่านลองเอาทางโค้งของ กรุงเทพ-ตาก ระยะทาง ๔๒๕ กิโลเมตร ที่ผมแถมให้เอารวมด้วย ตัวเลขมันจะเกินไปมากกว่า ๗,๐๐๐ โค้งนะครับ ไม่เป็นไรครับคนกันเองแถมๆไปเถอะ
ถ้ามีใครสักคนถามผมว่า มีโค้งไหนที่ประทับใจบ้าง มีครับ เป็นโค้งที่หักโค้งมาก ต้องมองจนตากลับเป็นรูปตัวยู (u) ที่เป็นทางอยู่บนเขา เรียกว่า “โค้งตาหวาน” ครับ




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2553
1 comments
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 3:46:47 น.
Counter : 7694 Pageviews.

 

น่าไปเที่ยวมั่ง

 

โดย: Pixar 15 พฤษภาคม 2553 2:10:18 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ChickenWoods
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อไก่ครับ เคยเป็นนายกเทศมนตรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี มาก่อน

วันนี้อายุมากแล้ว หาเรื่องดีๆในชีวิตทำดีกว่า ผมชอบร้องเพลงเก่าๆ ทั้งไทยและเทศ ชอบขับรถท่องเที่ยว ชอบพูดให้คนฟังหัวเราะ และมาวันนี้ชอบเขียนหนังสือ เขียนจากที่ไปเที่ยว แล้วนำมาเขียนเล่าให้ฟัง และที่สำคัญ เป็นพ่อหม้ายครับ

blog นี้อยากจะเอาไว้เผยแพร่บันทึกการเดินทางที่ได้เขียนไว้แบบออนไลน์ได้ จากที่เคยใช้วิธีปรินท์ใส่กระดาษหรือไรท์ซีดีส่งให้เพื่อนร่วมเดินทางและผู้สนใจได้อ่านกัน จะทยอยเรียบเรียงเอาเรื่องเก่าและใหม่มาลงเรื่อยๆครับ
Friends' blogs
[Add ChickenWoods's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.