Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
29 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

ท่องเมืองอาหรับ 12 ทิวา ราตรี ที่ Dubai ตอน 5 (จบ)

ตอนที่ 5 จากทั้งหมด 5 ตอน

ตอนที่ 1 , ตอนที่ 2 , ตอนที่ 3 , ตอนที่ 4 , ตอนที่ 5 (จบ)



วันศุกร์ที่ 15 กพ.2551
นางฟ้าตัวจริงมาโปรด

วันนี้ไม่ต้องบอกก็ได้ ว่าตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวันนั่นแหละ ผัดถั่วลันเตาใส่กุ้งและข้าวต้มหมู ถั่วลันเตาน่าจะมาจากบ้านเรา ทั้งหน้าตา ผิวพรรณส่วนสูง รสชาติ ไม่มีผิดเพี้ยนซื้อมาจาก ลูลู เมื่อวันก่อน แพ็คหนึ่งผัดได้สองจาน ของในห้าง ลูลู ผมเห็น MADE IN THAILAND หลายสิบชิ้นจริงๆ

กำลังเขียนอยู่เพลินๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเสียงหวานๆของผู้หญิง เพื่อนรุ่นน้องของจุ๊บแจง ที่เคยอยู่ห้องเดียวกันมาก่อน ชื่อ น้ำผึ้ง เราเคยพบกันมาก่อนที่ดอนเมือง ลูกสาวเคยฝากของจาก ดูไบ มาให้ผม ถามว่า ” อยากจะออกไปข้างนอกไหม ถ้าไปจะมารับพ่อไปเลี้ยงข้าว”อยากๆ ได้โปรดมารับด้วย นัดเป็นเวลาเที่ยง ถามสาวผึ้งว่ามาถูกไหม ถามให้แน่ใจ (ไม่อยากแห้วเหมือนเมื่อวาน) เธอบอกว่าเคยมาครั้งหนึ่งแล้วยังจำได้ พ่อบอกชื่อห้าง ลูลู และชื่อตึกไปอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ กลัวจะโดนบอกเลิกอีกเป็นรอบสาม อาบน้ำแต่งตัวรอไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย จวนจะเที่ยงแล้วจะได้ทันเวลานัด ถ้าอย่างนั้นขอหยุดเขียนไว้ก่อน ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกจะได้มีข้อมูลมาเขียนต่อ จะได้กลับมาพร้อมข้อมูลใหม่ๆ สดๆ ตุงกระเป๋ามาเลย

ได้เวลาสาวผึ้งและสาวปูก็มารับพ่อตามนัดหมาย สำหรับสาวปูท่านคงจำได้นะครับว่าเป็นคนที่ไปหาดจูไมร่าและมารีน่าวอลค์ด้วยกันไง รู้จักกันตั้งแต่ที่กรุงเทพฯแล้ว ยังเคยไปที่บ้านเราที่รามอินทราด้วย สาวผึ้งเป็นสาวเหนือ100% เพราะพ่อและแม่เป็นคนเหนือทั้งคู่ ชาวจังหวัดเชียงใหม่เจ้า ไม่ต้องพูดถึงคำว่าไม่สวย ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าสาวทางภาคเหนือของเราจะสวยมากรวมทั้งผิวพรรณด้วย เธอมีผิวขาวเนียน บุคลิกดีมาก หุ่นนางแบบ เดินไปด้วยกันมีหนุ่มมองจนหันหลังกลับ เรียนมอปลายที่อเมริกา แล้วกลับมาจบปริญญาตรีที่ ABAC ในเมืองไทย เธอเคยมาเที่ยวและพักค้างคืนกับจุ๊บแจงที่นี่หนึ่งครั้ง ยังคงจำตึกได้ ที่มาได้ก็เพราะเธอมีแท็กซี่ป้ายดำเป็นขาประจำอยู่ ใช้กันมานานแล้ว จึงมาได้ถูกต้อง แท็กซี่ ที่นี่หายากจริงๆ และก็ไม่ง้อผู้โดยสารด้วย ถ้าบอกที่ๆให้ไปส่งอึมครึมหน่อย เขาจะไม่พยายามหาหรอก จะบอกว่าไม่รู้จัก แล้วเซย์กู๊ดบาย การเรียกแท็กซี่ที่ตึกเรานี้ถึงได้ลำบากยิ่งนัก แถมยังแพงมากด้วย

จำได้ไม่แม่นแล้วว่าเราเคยพูดกันถึงค่าของเงินดีแฮมกันหรือเปล่า กันพลาดพูดอีกที่ก็ได้ เงิน 1 DIRHAM (ดีแฮม) จะมีค่าเป็นเงินไทยที่กำลังแข็งค่าอยู่นี้ตกในราว 9 บาท กว่าหน่อย ก่อนที่เงินไทยจะแข็งค่าเคยแลกได้สิบบาทกว่าหน่อย คนขับรถแท็กซี่ป้ายดำเป็นชาวอินเดีย มาขับรถอยู่ที่ ดูไบ หลายปีแล้ว มีลูกค้ามากมายโทรเรียกใช้กันทั้งวัน สาวผึ้งเล่าว่าแกมีรายได้เดือนละราว 80,000 บาท ส่งกลับไปปลูกบ้านที่อินเดียจนได้หลังใหญ่ขนาดหกห้องนอน ให้ลูกเมียอยู่กันสบายเลย แกรักสาวผึ้งเหมือนลูกสาว มีบางครั้งก็ดุเอาด้วย ที่ต้องให้รอนาน แต่ก็รอเพราะเป็นห่วงลูกสาวคนนี้ แกเป็นคนใจดี คอยรับส่งให้ไปเรียนเพิ่มเติมอยู่ น่าจะยังเรียนไม่จบหลักสูตรนี้

เราตกลงกันว่าจะไปกินข้าวที่ห้างCITY CENTER (ซิตี้เซนเตอร์) แล้วไปเดินดูของแปลกๆในห้าง IKEA ที่เป็นส่วนหนึ่งของห้าง ซิตี้เซนเตอร์ สาวปูต้องการจะซื้อของอย่างหนึ่งที่ญาติจากเมืองไทยฝากซื้อ เราตกลงจะกินอาหารฝรั่งกัน เป็นร้านที่สองสาวรู้จักดีเคยมากินหลายครั้งแล้ว ร้านอาหารฝรั่งจัดร้านได้หรูมาก มีทั้งในร่มและกลางแจ้งกลางแดด มีคนเข้ามากินกันเยอะเลย มีทั้ง แขก ฝรั่ง อาหรับเจ้าของประเทศ และยังมีเราคนไทยหน้าตาดีอีกสามคนด้วย ส่วนเด็กเสริฟ์ ก็เป็นเหมือนร้านทั่วๆไป มีฟิลิปปินส์ อินเดีย ปากี นี่แหละ เข้ามาขายแรงงาน มีรายได้อยู่กันอย่างสบายๆ เราสามคนสั่งอาหารกันคนละอย่าง ผมสั่งสเต๊กเนื้อ สาวผึ้งสั่งสลัดผัก สาวปูสั่งเป็นปลาแซลมอน อาหารจานใหญ่มากตามสไตล์ของคนเมืองนี้ที่กินจุ

พอท้องอิ่มกันดีแล้ว สาวปูบอกว่าขอเป็นเจ้ามือ ราคา 1860 บาท ที่ ดูไบ ค่าครองชีพสูงมาก ต้องราคานี้แหละเป็นราคาธรรมดา จากนั้นพวกเราก็พากันออกเดินชมสินค้ากันอย่างไม่รีบร้อนให้เพลินใจ ชมทุกอย่างที่เข้าตากรรมการ เดินมุ่งหน้าไปทาง IKEA (ไอเกีย) เป็นร้านที่น่าจะมีชื่อเสียงมากที่สุด ที่เกี่ยวกับเกี่ยวกับเครื่องเรือน ที่นี่น่าจะมีทุกอย่างในโลกที่มีขาย ของใช้ ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ มีมากจนบรรยายไม่ถูก พูดว่าอยากได้อะไรที่มันเกี่ยวกับเรื่องของใช้ในบ้าน ที่นี่มีทั้งนั้น ยกเว้นเรือรบไม่มีขาย ทางร้านไม่เกี่ยว (เรื่องการค้าอาวุธ พวกรัสเซียยึดอาชีพนี้ไปหมดแล้ว) ร้านไอเกีย มีลูกค้าเข้าร้านแน่นทุกวัน สองสาวบอกพ่อว่าถ้ามาร้านนี้จะอยู่ได้ทั้งวันแหละ เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด สาวปูได้ของที่ต้องการมาแล้ว หนักนิดหน่อย แล้วก็ลืมของที่หิ้วมาจากบ้านชิ้นหนึ่งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ หลังจากหาเสียจนทั่วแล้ว ก็มาพบตรงที่เลือกซื้อของนั่นแหละ วางไว้แล้วเลือกของเพลินไปหน่อยเลยลืม ไม่ได้หยิบไปด้วย ผลสุดท้ายก็ได้คืน

สาวปูซื้อของที่มีน้ำหนักมาก เป็นภาระ ต้องขอตัวแยกจากเรากลับบ้านก่อน โดยเรียกรถแท็กซี่กันคนละคัน ผมและสาวผึ้งไปที่ ปาล์มเดียร่า เพราะพ่ออยากเห็นกับตาและอยากได้รูปถ่ายมาลงหนังสือเป็นข้อมูลประกอบเรื่องด้วย ขอบอกว่าถ้าไม่ได้ไปดูด้วยตาตัวเองวันนี้ จะทำความผิดขนานใหญ่ไว้เลย ในตอนต้นผมคิดว่ามันสร้างเสร็จแล้ว เห็นความจริงว่ายังถมทะเลกันอยู่เลย โชคดีที่ตัดสินใจมาดูด้วยตา ริมทะเลที่ เดียร่า สวยกว่าที่ เจเบล อาลี ถนนหนทางก็เสร็จเรียบร้อย ถ่ายรูปกันพอใจแล้ว จึงออกจากปาล์ม เดียร่า มุ่งสู่ทางกลับบ้าน



เบื้องหลังคือ โครงการปาล์มเดียร่า กำลังถมทะเลอยู่


ผมและสาวผึ้งตกลงกันว่าจะกลับไปทำอาหารไทย กินกันที่บ้าน แล้วนั่งคุยกันดีกว่า ไปถึงบ้านแล้วค่อยขับรถไปซื้อของสดเอากลับมาทำกินกัน ลงจากรถแท็กซี่ไม่ต้องขึ้นบ้าน ไปเอารถขับออกไปที่ ลูลู เลย ซื้อ กุ้ง ปลา และไก่ ส่วนผักก็มีหอมใหญ่ อย่างเดียว แค่นี้พอแล้ว ที่เหลือมีอยู่ที่บ้านทุกอย่าง วันนี้ประหยัดไปได้ 1,000 บาท เป็นพันจริงๆ ถ้าเรากินกันนอกบ้านตามแผนเดิม มื้อนี้มีแกงเขียวหวานกุ้ง ปลาจะละเม็ดทอดกรอบ สองคนสองอย่างพอแล้ว หมดไม่ถึง 200 บาท กินกันไปคุยกันไปออกรสชาติดี สาวผึ้งบอกพ่อว่าตอนนี้อยากทำอยู่สองอย่างคือ หนึ่งมีรถยนต์และใบขับขี่เป็นของตนเอง และสองอยากเล่นกอล์ฟ อย่างหลังพ่อบอกว่าพ่อสอนให้ได้ ถ้ามีโอกาสจะสอนเบื้องต้นของวงสวิงให้ก่อน ถ้ากลับไปเมืองไทย เบอร์โทรแลกกันไว้แล้ว นั่งคุยกันนานมากเลย พอใกล้จะสามทุ่มสาวผึ้งขอตัวกลับบ้านก่อน พรุ่งนี้ถ้าว่างอีกค่อยไปเที่ยวกันใหม่ พรุ่งนี้จ๊บแจงก็กลับมาแล้วจะไปไหนค่อยโทรนัดกัน อยากเจอกันอีกก่อนกลับบ้านคือวันที่ 17 ก.พ. เป็นวันอาทิตย์

วันนี้สนุกสุขใจมาก เพื่อนๆของลูกสาวมาพาไปเดินห้าง อิ่มหนำสำราญดี ขอแอบกระซิบว่า อิ่มจังสตางค์อยู่ครบ ผมไม่มีโอกาสจ่ายสักบาทเดียว จะจ่ายก็ไม่ยอม ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย เมื่อพบกันที่กรุงเทพ จึงจะยอมให้พ่อเป็นเจ้ามือตอบแทน



ทานแล้วนะคะ


มีเกล็ดเล็กๆน้อยๆ เรื่องหนึ่งที่จะบอกเล่าให้รู้ผู้ชายชาวอาหรับในประเทศแถบในอ่าวเปอร์เซียส่วนมาก จะสวมใส่ชุดยาวคลุมทั้งตัวที่เรียกว่า DISHDASH หรือKODURAในหน้าร้อนจะนิยมใส่ชุดที่ตัดเย็บมาจากผ้าคอตต้อนสีขาว ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการระบายอากาศและสะท้อนแสงอาทิตย์ ในหน้าหนาว ชุด DISHDASH มักจะเป็นสีเข็ม ทำจากผ้าขนสัตว์หรือผ้าเนื้อหนา เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและในผ้าคลุมศีรษะที่เราเห็นๆกันอยู่นั้น จะประกอบไปด้วยเครื่องแต่งถึง 3 ชนิดคือ ชิ้นล่างสุดจะเป็นลักษณะคล้ายๆหมวกแก็บสีขาว เรียกว่า THAGIYAH ใช้สำหรับเก็บผมให้เรียบร้อย ชิ้นต่อมาจะมีลักษณะเหมือนผ้าคลุมศีรษะ มี 2 ชนิดคือ แบบบาง เป็นสีขาว เรียกว่า GUTRAH ใช้สำหรับสวมใส่ในหน้าร้อน และแบบหนา จะเป็นลายสก็อต สีแดงหรือสีขาว สำหรับใส่หน้าหนาว เรียกว่าSHUMAGผ้าคลุมศีรษะนี้จะช่วยปกป้องศีรษะจากแสงอาทิตย์และ สามารถใช้ปิดปากและจมูกยามเมื่อเกิด พายุทะเลทรายหรือลมหนาว ส่วนชิ้นสุดท้ายจะเป็นเหมือนสายสีดำ ทำด้วยลวดสปริง ที่ขดสองทบสองรอบ บุหุ้มอย่างดี ใช้สำหรับสวมครอบศีรษะเพื่อให้ผ้าทุกชิ้นเข้าที่เข้าทาง เรียกว่า OGAL

สำหรับผู้หญิงจะใส่ชุดคลุมยาวทั้งตัว เรียกว่า ABAYA โดยปกติจะเป็นสีดำ และใส่กับ HIJAB หรือผ้าคลุมศีรษะ หรือบ้างก็จะใส่ NIQAB ซึ่งเป็นผ้าคลุมศีรษะเหมือนกัน แต่จะเปิดไว้เฉพาะแต่ช่องลูกตา ใน UAE นี้ชุด ABAYA ถือเป็นชุดประจำชาติ

เค้ามีประเพณีว่าเมื่อเด็กชายเริ่มโตเป็นหนุ่ม พวกเขาจะสวมใส่เครื่องคลุมศีรษะเพื่อแสดงถึงการเข้าสู่ความเป็นผู้ชาย และเมื่ออยู่ในบ้าน มักจะไม่ใส่เครื่องคลุมศีรษะกัน นอกจากมีแขกมาบ้านจึงจะใส่ เพื่อเป็นการให้เกียรติ (วันนั้นที่ห้างสรรพสินค้า ผมให้สาวผึ้งช่วยสัมภาษณ์ คนขายในห้างมาแล้วทราบว่า ถ้าจะให้ครบทุกชิ้นที่พวกเขาสวมใส ที่ร้านนี้ขายหกพันกว่าบาทครับ)



ครอบครัวตัวอย่างในชุดประจำชาติ





อยากจะเก็บเธอไว้ทั้งสองคน



ด้านนอกของร้านอาหารที่เรากินมื้อกลางวันกัน



มุมหนึ่งของตึกเบิร์จ ดูไบ มองจากนอกเมือง



ทางเข้าตึก เบิร์จ อัล อาหรับ





วันเสาร์ที่ 16 กพ . 2551
อาบูดาบี เมืองหลวง ที่สวยที่สุดใน EMIRATES

วันนี้เป็นวันหยุดอย่างที่บอกเอาไว้ จุ๊บแจงก็กลับมาถึงบ้านแล้ว คงจะเหนื่อยมามาก พอมาถึงก็เข้าห้องปิดประตูห้องนอนเงียบ ไม่รู้จะตื่นเมื่อไหร่ อยากให้ลูกนอนนาน ปล่อยให้หลับตามสบาย ผมก็ได้แต่รอไป อาหารเช้าก็อิ่มแล้ว ข้าวต้มกุ้งตามสไตล์เดิมง่ายดี กาแฟก็ดื่มแล้ว ยังเหลือข้าวต้มกุ้งอีกชามเก็บไว้ให้ลูกสาวตอนตื่นขึ้นมา ข้อมูลก็หมดไม่เหลือให้เขียนแล้ว ไม่รู้จะทำอะไร นั่งๆนอนๆไปก่อนก็แล้วกัน

จุ๊บแจงตื่นขึ้นมาราวๆเที่ยงวัน อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้าไปแต่งตัว นานจนเกือบจะลืมลูกสาวคนนี้ไปเสียแล้ว ถึงได้ออกมาจากห้องเมื่อเช้าทิ้งการบ้านให้พ่อไว้ ให้คิดว่าวันนี้จะไปเที่ยวไหนกันดีพ่อก็คิดได้แค่ไปไหนก็ได้ขอให้ได้ออกจากบ้านก็แล้วกัน ไปสวนสัตว์ดีไหมหนอ ผมปรุงข้าวต้มในส่วนที่เหลือ แล้วตักมาวางรอไว้ ที่โต๊ะอาหาร และเป็นโต๊ะตัวเดียวกันกับที่ผมใช้เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วย พอจุ๊บแจงแต่งตัวเสร็จออกจากห้องมา นั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วถามพ่อว่า พ่อคิดได้หรือยังว่าอยากจะไปไหน ไม่รู้จะไปไหน ไปสวนสัตว์ก็ได้ “แหวะ..... คิดได้แค่นี้เองหรือ... ไม่เอา เราไปอาบูดาบี กันดีกว่า”“ไปๆ ชอบๆ อยากไปๆ” ชั่วโมงกว่าๆเท่าก็ถึง ร้อยกว่ากิโลเท่านั้น ผมเคยชวนลูกไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาถึง ดูไบ แล้วว่าเป็นเมืองที่อยากไป แต่ลูกไม่สนับสนุน เพราะเราเคยไปด้วยกันมาเมื่อ 5 ปีก่อน นึกว่าไปแล้วก็คงจะเดิมๆ งั้นๆแหละ ตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ อยากเจอสาวผึ้งอีก เลยบอกลูกว่าวันนี้ผึ้งเขาว่างนะ นัดกับพ่อไว้แล้วถ้าไปไหนจะแวะไปรับ จุ๊บแจงตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นเราไปกันสามคน แต่ต้องโทรชวนเขาก่อน เกิดมีการเปลี่ยนใจสาวผึ้งตอบตกลง ดีใจที่จะได้ไปอาบูดาบีด้วย

จุดหมายแรกคือไปรับสาวผึ้งที่ ถนนเช็กซายิด ถิ่นเก่าที่ลูกสาวเคยอยู่มาก่อน และผมก็เคยมาพักด้วยหลายคืน จุ๊บแจงอยากกินกาแฟ พ่อแนะนำว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา โทรบอกผึ้งว่าให้ซื้อขนมปังและกาแฟที่ใต้ถุนตึกมาด้วย เอามาเป็นมื้อกลางวัน พ่อก็ชักหิวแล้ว รับสาวผึ้งขึ้นรถแล้วเราก็พร้อมออกเดินทาง บ่ายสองโมงแล้วไปกันเถอะ ขับสู่ถนนใหญ่มุ่งตรงไปยัง อาบูดาบี เห็นป้ายบอกระทาง 125 กม. ระยะทางเท่านี้กับถนน 8 เลน ผิวจราจรเรียบเหมือนหน้ากลอง รับรองถนนไม่มีหลุมแม้แต่หลุมเดียว ชั่วโมงกับอีกนิดหน่อยก็ถึงแล้ว ถ้าไม่กลัว SPEED CAMERA ไอ้ตัวแสบ ถนนสายนี้ชื่อถนนSHEIKH MAKTOUM BIN RASHID

เมืองอาบูดาบีเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ ทราบดีว่าตลอดระยะทาง 125 กม. เราจะไม่พบเมืองอะไรข้างทางเลยจนกว่าจะถึงตัวเมืองหลวง แต่ตลอดระยะเวลาที่เดินทาง ไม่เหงาเลยคุยกันตลอดทางและสองข้างทางจะเขียวไปด้วยต้นอินทผาลัม ที่มีการดูแลอย่างดี เป็นระเบียบไม่แหว่งหายหรือขาดไปสักต้นสองต้น ขนาดของต้นก็สูงเสมอกัน ที่ไกลตัวเมืองหลวง ต้นอินทผาลัมซึ่งปลูกไว้เก่าแก่จะสูงใหญ่ดูเขียวครึ้มมาก และรั้วกันสัตว์เข้ามาในถนนก็สร้างอย่างดี ไม่เหมือนทางสายอื่นที่เคยเห็นจนคุ้นตา เช่นสายไป อัลเอน จะเป็นเพียงสายลวดสลิงเท่านั้น สองข้างทางเป็นเช่นนี้ไปตลอดจนถึง อาบูดาบี น่าชื่นชมมาก ก่อนเข้าตัวเมือง จะเริ่มมีตึกรามให้เห็นประปรายและค่อยหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองหลวง ก่อนเข้าตัวเมือง เราเห็นป้ายบอกทางว่าแยกขวาไปอาบูดาบี เราเลี้ยวตามที่บอกเข้าสู่ตัวเมืองไปเลย



ต้องลอดอุโมงค์ AIRPORT TUNNEL ไป



ต้นอินทผลัมเขียวครึ้มอยู่ข้างทาง น่าจะมีอายุหลายปี



รั้วกันสัตว์แข็งแรงมั่นคง



ถนน 8 เลนอย่างดี ไม่มีหลุมบ่อ


ในประเทศนี้ไม่มี ของที่เป็นประวัติศาสตร์ให้ดู เพราะเพิ่งจะรวมตัวกันก่อตั้งประเทศขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้เอง ทุกอย่างเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่ทั้งนั้น เมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่ จากฝีมือของคนรุ่นใหม่ หัวสมัยใหม่และร่ำรวยมหาศาล กล้าทุ่มเงินลงไป จะเอาดีเอาสวยงามสักเพียงไหนก็ได้ ดังนั้น อาบูดาบี ในยุคนี้ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนที่ผมเคยเห็นมาอย่างมากมายเลย และก็จำภาพเก่าๆที่เคยไปไม่ได้เช่นกัน แถมยังไปไม่ถูกอีกด้วย ถนนหนทางตึกรามสวยและเป็นระเบียบ มีถนนที่ตัดตรงใช้ไฟฟ้าเป็นสัญญาณจราจร ขับรถก็ง่าย เราไม่ได้ขับรถที่เมืองนี้มาตั้ง 5 ปีแล้ว ยังไม่หลงเลย เพียงดูจากป้ายบอกทางเท่านั้น

ชมเมืองไปได้สักครู่จะเห็นป้ายบอกทางไปถนนเลียบชายทะเล ชวนกันไปดูทะเลก่อน เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลย ถึงทางสามแยกข้างหน้าเราต้องเลี้ยวขวาที่ไฟแดง โอ้..พระเจ้าจ๊อด โบสถ์หรือสุเหร่าอะไร มันจะยิ่งใหญ่อลังการปานฉะนี้ ทุกคนตื่นเต้นเหมือนกันหมด ไม่นึกว่าจะได้เห็นภาพที่ประทับใจเช่นนี้ เพียงได้เห็นสุเหร่านี้ที่เดียว ผมว่ามันเกินคุ้มที่ลงทุนมาเมืองนี้แล้ว มันเป็นของที่เชิดหน้าชูตาของเมืองเลย มันมีชื่อ ว่า AL NAHYAN MOSQUE มันจะลบความยิ่งใหญ่ของ ทัชมาฮาลของอินเดียเสียแล้วหรือ ขนาดยังไม่จบโครงการยังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เห็นทีจะต้องกลับมาดูใหม่อีกครั้งเสียแล้ว



สุเหร่า AL NAHYAN MOSQUE


ขับต่อไปตามถนนเลียบชายฝั่ง ไปกันเลยลูก ไปดูด้านนี้ของเมือง เมื่อครั้งที่แล้วเราไม่ได้มาที่นี่ จอดรถลงไปถ่ายรูปกัน ตรงที่มีสวนสวย ด้านหนึ่งเป็นทะเลอีกด้านเป็นตึกรามของตัวเมือง สักพักผมเกิดจำได้ขึ้นมาว่าที่ตรงนี้ ผมได้เคยมายืนถ่ายรูปแล้วครั้งหนึ่งจริงๆด้วย ทำไมเห็นครั้งแรกจำไม่ได้หว่า ถนนเลียบชายทะเล (CORNICHE) สายนี้ยาวมาก ด้านหนึ่งเป็นทะเล ด้านหนึ่งเป็นตัวเมือง แลดูเป็นระเบียบ ตึกจะไม่สูงมากนักและจะสูงเท่าๆกัน เป็นงานสถาปัตยกรรมที่แปลกตาดี สีที่ใช้ส่วนมากจะเป็นเอิร์ท โทน สวยมาก

เมืองนี้สง่างามสมแล้วที่เป็นเมืองหลวง เมื่อก่อนที่ตรงนี้ยังไม่เป็นแบบนี้ ไม่มีตึกสูง หยุดมันไม่ได้หรอกครับ บ้านเมืองมันจะต้องโต ชมเมืองที่ชายฝั่งพอใจแล้ว บอกลูกว่าเข้าไปดูกลางใจเมืองกันดีกว่า ไป CITY TOURขับไปจนทั่วเมือง เป็นบุญตาที่ได้มาเห็นอีกครั้งลักษณะของตัวเมืองนี้ ถนนเป็น 6 เลนตรงๆ ตัดกันเป็นสี่แยกไฟแดง มีทั้งตึกใหม่และเก่าปนเปกันไป แต่ก็ยังคงเป็นระเบียบสวยงาม วันนี้เป็นวันหยุด ถนนก็กว้างขับรถง่าย เป็นเมืองที่พัฒนามาสมบูรณ์แบบแล้ว เหมาะเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ค่อยมีโรงงานอุตสาหกรรมให้เห็น เงียบดีในวันหยุด ไม่ได้เห็นในวันธรรมดา คงจะไม่เงียบเหมือนวันนี้

ทางด้านท่าเรือและเขตอุตสาหกรรม (CO-OP) รูปร่างของตัวอาคารเหมือนเป็นโกดัง เราก็ได้ไปดูมา เกือบเกิดอุบัติเหตุรถชนกันที่นี่ด้วย จุ๊บแจงเลี้ยวรถเข้าผิดทางเกือบประสานงากับรถเจ้าถิ่นที่ขับสวนมา เราเป็นฝ่ายผิด บอกลูกสาวว่า อยากไปตรงที่เขาถมทะเลทำห้างสรรพสินค้า ที่เมื่อก่อนเราเคยไปด้วยกันมา แล้วเราชอบกันมาก ถ่ายรูปกันมาเยอะเลย อยากรู้จังมันอยู่ตรงไหนนา ลองขับรถวนหากันดูซิ แบบว่าเราไปย้อนอดีตกันหน่อย วนหาอยู่นานก็ไม่เจอ หาเจอแค่บางส่วนที่มีรั้วกั้นปากแม่น้ำ ที่เชื่อมต่อกับทะเลและเขื่อนหินซึ่งวางเรียงไว้กันน้ำทะเลกระแทกอยู่หลายตอน เห็นหาดทรายและก้อนหินที่ถูกนำมาจัดเรียงกันไว้เป็นสันเขื่อน นึกเลยไปถึงว่า ตั้งนานหลายล้านปีที่ตรงนี้ ธรรมชาติสร้างเอาให้มีก้อนหินมากมายกองอยู่จนมาถึงยุคนี้ มีมนุษย์หัวแหลมคิดได้ว่า เปลี่ยนให้มันมีประโยชน์ขึ้นมาซะ ทำให้มันเป็นหาดทรายให้ผู้คนได้ชื่นชมยังจะดีกว่า โดยย้ายหินออกไปเรียงสร้างเป็นเขื่อนขึ้นมา แล้วขนทรายสีสวยๆเข้ามาถมแทนที่ เท่านี้ก็เนรมิตเป็นหาดทรายที่ไม่ค่อยสวยนักมาแทน เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สำเร็จโครงการ ได้เงินตุงกระเป๋าไป



ถนนกลางใจเมืองอาบูดาบี


เราลงไปเดินเล่นและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันดีกว่า ว่าครั้งหนึ่งวันนั้น...........วันนี้ผมถ่ายรูปจนแบตเตอรี่หมด ต้องใช้กล้องของสองสาวถ่ายกันสมัยนี้เป็นโลกของ ไอที เป็นยุคคอมพิวเตอร์ เรื่องส่งรูปให้กันนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ส่งให้กันข้ามโลกได้ในชั่วพริบตาเดียว สมควรแก่เวลาแล้วกลับ ดูไบกันเถอะ บังเอิญใช้เส้นทางที่ต้องผ่านโรงแรมใหญ่โตโอฬาร ปานพระราชวัง ที่มีชื่อเสียงก้องโลกว่า PRESIDENTIAL PALACE(เพรสิเดนเทียล พาเลซ ) อยากเข้าไปดู จุ๊บแจงขับรถเข้าไปต่อท้ายแถวทันที เมื่อถึงคันของเรายามจะเข้ามาถามอย่างสุภาพว่า เป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำไมถึงอยากเข้าไป เราตอบว่าเป็นนักท่องเที่ยว เพียงคำถามแรกคำถามเดียวเราก็โดนไล่ออกมาแล้ว ที่นี่เป็นโรงแรมที่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับลูกค้า (ที่เป็นมหาเศรษฐี มายุ่งอะไรกับเขา) เท่านั้น คุณเป็นเศรษฐีหรือเปล่า ถ้าไม่ก็เชิญไปไกลๆ (ผมสัญญาว่าชาติหน้าจะเป็นให้ได้) อะไรวะจะรักษาความปลอดภัยกันขนาดนี้เลยหรือ ไปก็ได้วะ พวกเราไม่ต้องหันไปมองของมันอีก กระจอกอย่างเราไม่มีสิทธิ์เป็นบุญแล้วที่ได้มาเห็นเมืองนี้ในยุคนี้ อาบูดาบี เป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับต้นๆของโลก (เคยได้ยินจากโทรทัศน์)

ผมบอกลูกสาวและสาวผึ้งว่า เมือง อาบูดาบี น่าจะเป็นเจ้าชายหนุ่มหล่อมาก ฉลาดร่ำรวย ที่มีหัวล้ำหน้าล้ำสมัย ทันโลกยุคคอมพิวเตอร์ บริหารงานราชการเก่งและมีความยุติธรรมประจำใจ คือดีเพียบพร้อมไปทุกอย่าง สาวผึ้งถามพ่อว่า เจ้าชายองค์นี้อายุเท่าไหร่ “วัยกำลังหนุ่มฉกรรจ์เลย อายุราวสามสิบห้าปี” สงสัยว่าสาวผึ้งคงจะหลงรักเจ้าชายองค์นี้เหมือนพ่อเสียแล้ว

ใกล้ค่ำแล้วรีบกลับ ดูไบ กันเถอะ ขับรถวนหาถนนสายเดิมที่มาจาก ดูไบ เมื่อตอนบ่าย โดยดูจากป้ายบอกทาง ถนนสายนี้เป็นคนละสายกันเป็นเส้นออกจากเมือง คงจำได้นะครับว่าเมื่อตอนเข้าเมือง ป้ายบอกให้เราเข้าเมืองทางขวา สายที่อยู่ทางซ้ายคือทางออกจากเมืองที่เรากำลังใช้อยู่ในขณะนี้

ต้องผ่านบ้านสาวผึ้งและแวะส่งเธอก่อน ยินดีครับเพราะจะต้องผ่านอยู่แล้ว ขอขอบคุณมากที่ดูแลพ่ออย่างดีที่นี่ พ่อจะชดใช้ให้เมื่อพบกันที่กรุงเทพ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปเที่ยวงานวัดของอาหรับ (CLOBEL VILLAGE) พรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพแล้ว เป็นอันว่าไม่ได้ไปแน่นอน ตอนนี้อยากจะนอนพักแล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน มื้อเย็นวันนี้มีผัดใบกะเพราเนื้อสับ ไข่ดาวคนละฟอง ราดหน้า สะดวก ง่าย และอร่อย โดยฝีมือกุ๊กไก่ จากกรุงเทพ มื้อนี้ไม่ขาดไวน์แดงหนึ่งขวดเช่นทุกวัน แล้วหลับไปอย่างเป็นสุข คิดถึงหนุ่มหน้าตาดีที่ อาบูดาบี



สองสาวบนเขื่อนหิน



วิวบนสันเขื่อนหิน





วันอาทิตย์ที่ 17 กพ. 2551
โชคดีได้ไปเที่ยวที่MADINAT JUMEIRAH (มาดิแนท จูไมร่า)

วันนี้จะทำอะไรดีหนอ ยังไม่ได้วางแผนกันเลย นึกไม่ออก ที่ไหนๆ ก็ไปมาหมดแล้ว บอกลูกว่าถ้าไม่มีที่ไป เราไปที่ตลาดสดที่เขาขายของทะเล ชื้อกุ้งมังกรมาทำอะไรกินกัน ผมเคยเห็นไว้เมื่อมาคราวที่แล้ว อยากรู้ราคาของมันด้วย ถ้าจะให้ดี อย่างนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวไปกัน ผมอาบก่อนเพราะอาบไวกว่า แล้วมานั่งรอที่โต๊ะโซฟาตัวที่ผมนอน รอให้ลูกอาบน้ำเสร็จก่อนแล้วค่อยไปกันตามแผนที่พ่อคิดออกลูกสาวแต่งตัวเสร็จสวยเลิศออกมาจากห้อง พร้อมที่จะไปกันได้แล้ว พ่อบอกลูกว่าทำไมสวยนักจะไม่สวยเกินไปหรือ ลูกสาวคนสวย ตอบมาว่า สวยเลือกได้พ่อ (สำนวนฮิต)แต่งแบบนี้ไปตลาดสดคนไม่ฮือฮากันแย่หรือ เปลี่ยนแผนใหม่พ่อ เราต้องไปเดินเล่นแถวๆ ถิ่นไฮโซชื่อ MADINET JUMEIRAH (มาดิแนท จูไมรา) กันแต่งตัวกระจอกไม่ได้ ต้องเลิศไปหาของแพงๆ กินกัน “ไปๆพ่ออยากไป ได้ยินชื่อนี้มาตั้งสองวันแล้ว”วันที่สาวปูและสาวผึ้งพาไปเดินห้างและเลี้ยงอาหารฝรั่ง ห้างที่ CITY CENTER ซักถามลูกแล้ว ได้ความว่ามันอยู่แถวๆถนนJUMEIRAH เลยไปอีกหน่อยก็จะถึงย่าน MARINA และ PALM JUMEIRAH รวมๆกันมันเป็นย่านที่เขาจัดแบ่งไว้ให้เป็นย่านคนรวยนี่หว่า โรงแรมที่หรูที่สุดเป็นรูปเรือใบที่ชื่อว่า BURJ AL ARAB และ JUMEIRAH BEACH HOTEL ก็อยู่ใกล้ๆ กันแถวๆ นี้ด้วย

ก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทาง จะผ่านสุเหร่าที่จัดว่าสวยงามและเก่าแก่ที่สุดของประเทศนี้เลยก็ว่าได้ ชื่อว่า JUMEIRAH MOSQUE (จูไมรา มอสก์) ขนาดเก่าแล้วยังอายุเพียง 35 ปีเท่านั้น ก็เพราะประเทศนี้เพิ่งจะรวมตัวกันก่อตั้งเป็นประเทศ ที่อยากจะบอกอีกอย่างให้ท่านได้โปรดเข้าใจไว้นะครับว่า ในประเทศนี้ จะหาดูของเก่าที่เป็นประสาทราชวังไม่มีเลย ในพิพิธภัณฑ์จะมีของเก่าแค่เพียงของที่เป็นวิถีชีวิตชาวบ้านเท่านั้น ไม่รู้ดัวยซ้ำไปว่าใต้ผืนทะเลทรายมีบ่อน้ำมันมหาศาลอยู่ ออกไปนอกเรื่องเสียนาน กลับมาเข้าเรื่องใหม่ พลาดไม่ได้เลยแวะลงไปถ่ายรูปกัน ได้รูปสวยๆมาหลายรูป เมื่อพอใจกันแล้วเราไปต่อที่จุดหมายเดิม คือ MADINAT JUMEIRAH ผมขอยอมรับเลยว่าก่อนไปได้เห็นของจริงนั้น ผมนึกภาพไม่ออกเลย ว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าไปหาข้าวกินกัน มันน่าจะเป็นเพียงร้านอาหารหรูๆ ตามสไตล์ของพวกไฮโซ

รถเลี้ยวเข้าที่จอดรถชั้นใต้ถุนของตัวอาคาร แล้วขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน พอโผล่ขึ้นไปเห็นความอลังการของมันเข้า อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ ตอนรถผ่านเข้ามาไม่เห็น มันเป็นอะไรที่ทั้งสวยงามทั้งใหญ่และทั้งหรูหราแบบนี้เลย ภายในจัดเป็นร้านรวงขายของเก่า หรือทำให้เก่าเสียส่วนมาก แต่ละร้านจะมีพื้นที่หน้ากว้างไม่มากนักเท่าๆกัน น่าอยากได้ก็หลายชิ้นแต่ไม่รู้จะซื้อไปทำไม (ใครรู้ช่วยบอกผมเอาบุญหน่อย) ต้องยอมรับว่าเขาจัดและตบแต่งสถานที่ได้กลมกลืนกันลงตัวดีมาก ใต้หลังคาเปลือยไม่มีเพดานตบแต่งด้วยไม้ทาสีน้ำมันสีทึมๆ ทำให้ดูเก่าแก่ ส่วนที่เป็นลานโล่งๆ เขาก็จะจัดให้บริเวณนั้นเป็นร้านอาหาร มีบรรยากาศดี พวกฝรั่งชอบกินอาหารกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ มีลมเย็นๆ ของเดือนในฤดูหนาวโชยมา เราสองคนพ่อลูกพากันเดินออกไปทางด้านนอกของตัวอาคาร ที่ตรงบริเวณนี้จะเป็นลานกว้างที่จัดทำให้ต่างระดับกันเป็นชั้นๆ เป็นขั้นบันได แต่ละชั้นเป็นร้านอาหารเรียงรายตามกันลงไปสู่ธารน้ำเค็มกว้างใหญ่ที่มนุษย์เนรมิตสร้างสรรค์ขึ้นมา พร้อมทั้งประดับประดาด้วยก้อนหินและต้นไม้เขียวทั่วไปจนเต็มพื้นที่ ทำได้โรแมนติกดีมาก ฝีมือมนุษย์สร้างทั้งนั้น ขอเพียงให้มีเงินมากๆเถอะ จะเอาอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น

ที่ตรงบริเวณที่เรายืนดูอยู่นี้ เป็นจุดสุดท้ายที่น้ำทะเลไหลเข้ามา มองตามสายน้ำออกไปจะมีเหลี่ยมตึกบังสายตาอยู่ มองต่อไปไม่ได้ ต้องเดินผ่านตัวตึกทะลุออกไปด้านหลัง จึงจะสามารถเห็นได้ถ้าต้องการจะตามไปดูตอนจบ ไฉนจะไม่ตามไปดูเล่าเธอสวยออกปานฉะนี้รีบเดินไปเสียด้วยซ้ำ เราเดินโผล่ออกมาระหว่างกลางความยาวของตัวตึก ทางด้านนี้ก็งามปานสวรรค์สรรสร้างเช่นกัน ด้านนี้ก็ยังจัดไว้เป็นร้านอาหารด้วย เขาจัดไว้ริมทางเดิน ใดรอยากจะเดินผ่านก็ได้ตามสะดวก เลยต่ออีกนิดตรงโค้งของฝั่งเป็นท่าเรือสำหรับจอดเรือเล็ก ที่ติดเครื่องยนต์เสียงเงียบๆ สำหรับนำนักท่องเที่ยวล่องชมความงามของสองฝากฝั่งลำน้ำเค็ม ซึ่งมีความยาวไม่มากนัก และไปสิ้นสุดที่โรงแรม ที่ชื่อว่า AL QASR HOTEL (อัล คิวเซอร์ โฮเทล) แล้ววนกลับคืนมาที่เดิม ชมความงามที่ดูแล้วไม่มีวันเบื่อ จะน่าเบื่อก็อีตรงที่ค่าตั๋วคนละ 500 บาทนี่ชิ มหาโหดจริงๆ

เราตั้งใจจะมากินอาหารกลางวันกันที่นี่อยู่แล้ว ชวนกันกินซะที่ตรงนี้ซะเลย เอาร้านตรงกลางนี่แหละไม่ต้องเลือกหรอกน่านั่งทุกร้านแหละ ทุกโต๊ะจะติดริมน้ำทั้งนั้น มองเห็นผู้คนลงเรือ ลำแล้วลำเล่า มีหลายชาติศาสนารวมทั้งชาวอาหรับเจ้าของบ้านอีกด้วย จุ๊บแจงบอกว่าเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง ถ้ามาในตอนเย็นควรโทรจองล่วงหน้า หากกลัวความผิดหวังที่ไม่มีใครชอบ

บริกรชาวฟิลิปปินส์ ที่มีรวมอยู่ด้วยกันสามคน เป็นผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงหนึ่ง และผู้ฉิงอีกหนึ่ง หน้าเนียนเชียว คนที่เป็นผู้หญิงแท้มาถามว่าเราต้องการเมนูอะไร ผมให้ลูกสาวสั่งสเต๊กเนื้อสไลให้ ไม่ได้ดูราคาว่าเท่าไหร่หรอก ลูกสาวสั่งเส้นคล้ายก๋วยเตี๋ยวผัดใส่กุ้ง น้ำเปล่าและตบท้ายด้วยกาแฟร้อน1ถ้วย นั่งทำท่าให้เหมือนไฮโซ รับประทานอาหาร ผมไม่แน่ใจว่า ที่ผมทำไปนั้นมันเหมือนหรือเปล่า แต่ขอให้เชื่อได้เลยว่าที่ทำไปนั้น สุดฝีมือแล้ว กินโชว์ฝรั่งมังค่าที่เดินไปเดินมา ชมสถานที่อยู่อย่างสมศักดิ์ศรีหนุ่มไทย

จุ๊บแจงเดินไปที่ท่าจอดเรือถามซื้อตั๋ว หมายจะให้พ่อได้ล่องเรือชมความงามของลำคลองเนรมิตแห่งนี้กับเขาบ้าง ผิดหวังครับ ได้เวลาหยุดพักการบริการไปแล้ว จะเปิดอีกครั้งเวลาบ่าย 3 โมง ถ้าจะรอก็เกือบ 2 ชั่วโมง สองพ่อลูกปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรดี สรุปว่ากลับไปบ้านนอนรอเวลาไปสนามบิน กลับกรุงเทพดีกว่า คืนนี้เครื่องออกสามทุ่มยี่สิบห้า แต่ขอให้กลับบ้านคนละทางกับเที่ยวขามา ให้ได้แวะตลาดทองที่มีชื่อเสียงก้องโลกหน่อย ชื่อว่าตลาด GOLD SOUQ (โกลด์ ซุก) คำว่า SOUQ (ซุก) เป็นภาษาอาหรับแปลว่าตลาดครับ

พอหาที่จอดรถใกล้ๆตลาดได้ สองคนพ่อลูกเดินตรงไปที่ตลาดทองทันทีเลย ในใจไม่ได้คิดที่จะซื้อซักนิด มาเพื่อดูหน้าตาของมันว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากการมาครั้งที่แล้วหรือไม่ มันก็เหมือนเดิมๆนั่นแหละ ที่แถวนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วขยายไม่ออก ส่วนเรื่องของราคาก็ใกล้เคียงกับบ้านเรา แต่ที่ไม่น่าซื้อก็คือลวดลายของมัน เป็นไปตามเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ลวดลายจะออกเป็นแขกๆ คนไทยคงไม่อยากใส่มันแน่ๆ บรรยากาศภายในตลาดทอง จะเป็นที่เฉพาะของกิจการขายทองเท่านั้น ไม่มีอาชีพอื่นปะบนอยู่เลย มีแต่ร้านทองล้วนๆ นับเป็นร้อยๆร้าน และผู้คนที่มาอยู่บริเวณนั้น ดูเหมือนจะมาซื้อหาทองกันทั้งนั้น เข้าชมทองกันแน่นๆร้าน

กลับไปขึ้นรถขับกลับบ้านพักผ่อนดีกว่า รอเวลาสักทุ่มกว่าๆ ค่อยไปสนามบิน เตรียมหุงหาอาหารมื้อสุดท้ายของที่นี่ไว้ด้วย มื้อนี้ไม่ยอมกินข้าวนอกบ้านแน่ๆต้องประหยัดไว้บ้าง ใช้เงินลูกสาวไปในการบินมาเที่ยวครั้งนี้ไปแยะแล้ว มาดูไบคราวนี้ อยู่ซะหลายวันเลย ได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ แต่คิดว่ายังคงมีอีกมากมาย ที่ยังไม่ได้ไป เก็บไว้หากินในคราวต่อไป ที่จะกลับมาเยือนอีกครั้ง



สุเหร่ายิ่งใหญ่ประจำเมืองJUMEIRAH MOSQUE



ป้ายรถเมล์ติดแอร์



ร้านค้าภายในตกแต่งในแบบบ้านเมืองสมัยเก่า



มองมุมกว้าง



รายล้อมด้วยร้านอาหาร รับประทานเพลินตาเพลินใจ



เบื้องหลังคือน้ำทะเลสีเขียวมรกต



โรงแรม AL QASR HOTEL



ท่าจอดเรือเล็กสำหรับรับผู้โดยสารที่เที่ยวชมความสวยงามของลำน้ำ



ล่องเรือชมความสวยงาม



ตึกเรือใบ มองจาก MADINAT JUMEIRAH



ได้เวลาต้องออกจากบ้านแล้ว ข้าวของต่างๆก็ลงไปอยู่ในกระเป๋าเดินทางเรียบร้อย คนก็พร้อมแล้ว ออกเดินทางกันได้ เมื่อถึงสนามบิน ยุ่งยากกับที่จอดรถ เสียเวลาไปนิดหน่อย แล้วลากกระเป๋าเดินทางไปที่ ช่องตรวจความปลอดภัย ไม่มีมีดพับและใบมีดโกนให้ยึดอีกแล้ว ผ่านด่านและเดินไปที่เคาน์เตอร์ของการบินไทย ขอหมายเลขที่นั่ง พนักงานบอกว่าให้รอก่อน เวลาสามทุ่มครึ่งค่อยกลับมาถามใหม่ เราสองคนพ่อลูกไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่นั่งเร่งเวลาอยู่แถวๆนั้นแหละ พอชักรำคาญได้ที่แล้ว จึงชวนกันไปชดกาแฟดีกว่า ต้องลากกระเป๋าไปด้วย ไม่เป็นไรไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ลำบากหน่อยเดียวเอง คิดแล้วคุ้ม ไม่มีปัญหา

นั่งแช่อยู่ที่ร้านกาแฟเล่นอยู่เป็นนาน คุยกับสาวเสริฟ์ ชาวฟิลิปปินส์เล่น และถ่ายรูปมาฝากด้วย จนได้เวลา เราสองคนกลับลงมาที่เดิม ผู้โดยสารที่ใช้ตั๋วธรรมดายังยุ่งอยู่เลย ไม่ควรเข้าไปถามตอนนี้ รอต่อไปอีกสักหน่อยยังไม่เสียหายอะไร พอมีเวลาเหลือ รอจนหน้าเคาน์เตอร์ว่างจึงเข้าไปถาม

ขณะนี้มีเวลาเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว เหลือราว 15 นาที แต่ก็ยังทันถ้ารีบไปตอนนี้ โชคดีได้ที่นั่งแล้ว รีบเดินไปประทับตราขาออก แล้วรีบไปที่เครื่องทันที กระเป๋าลูกใหญ่ไปกับสายพานแล้ว เหลือแต่ลูกเล็กลูกเดียว เดินได้ไวทันใจขึ้น แผนการที่ว่าจะเดินซื้อของปลอดภาษีเป็นอันว่าเลิกคิด เอาชีวิตให้รอดถึงเครื่องบินก่อนวันนี้ จุดหมายคือประตูที่ 25 เร่งไปโดยด่วน เห็นเพื่อนร่วมชาติที่มาขายแรงงาน ที่ผมเห็นและรู้ว่าเป็นคนไทยด้วยกัน กำลังมีปัญหาถามยามเพราะไปประตู 25 ไม่ถูก ผมเห็นอาการก็รู้ปัญหาของสองพี่น้องแล้ว ก็เดินไปบอกว่าตามผมมาเราไปกรุงเทพด้วยกัน เดินคุยกันจึงทราบว่ามาขายแรงงาน อยู่ที่ข้างๆ SKI DUBAI ที่ผมไปเที่ยวมานั่นแหละ คนน้องเป็นผู้ชายสายตาสั้นมากๆ ยอมแพ้ขอลาออกกลับบ้าน เพราะทนค่าครองชีพไม่ไหว พี่สาวบ่นว่าอะไรๆก็แพงทั้งนั้น “คุณเอ้ย ต้มยำไก่ถ้วยน้อยๆ ถ้วยนึง 300บาท บ่อไหวๆ” เธอบ่นเป็นภาษาอีสาน เมื่อเธอรู้ว่าผมพูดภาษาของเธอได้ เธอเกาะผมแจจนถึงประตูเครื่องบิน ผมได้ที่นั่งแถวหน้าสุดที่อยู่ติดกับห้องน้ำ ตรงหน้าเป็นจอแผนที่การบินสำหรับให้ผู้โดยสารดู ผมได้นั่งติดกับคนไทยสามแม่ลูกที่กลับไปเยี่ยมบ้าน เด็กสองคนเป็นลูกคนละพ่อ ไอ้ตัวเล็กพ่อมันเป็นฝรั่ง ร้องไห้งอแงจนมันหลับไป ไม่มีเหตุแปลกใหม่เกิดขึ้น จนเครื่องจอดให้ผู้โดยสารลง ผมกลับมาถึงมาตุภูมิแล้ว ประเทศไทยที่เราโชคดีได้เป็นเจ้าของ

ด้วยความเก๋า ผมลากกระเป๋าลงไปขึ้นรถเมล์ที่ถนนชั้นล่างสุด หนีค่ารถแท็กซี่มหาโหด กลับบ้านที่ถนนรามอินทรา กม. 6 เสียค่ารถไป 32 บาท ต่อมอเตอร์ไซด์อีก 20 บาท ก็ถึงบ้านได้แล้ว




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553
1 comments
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 20:44:20 น.
Counter : 2969 Pageviews.

 

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 29 พฤษภาคม 2553 21:44:06 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ChickenWoods
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อไก่ครับ เคยเป็นนายกเทศมนตรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี มาก่อน

วันนี้อายุมากแล้ว หาเรื่องดีๆในชีวิตทำดีกว่า ผมชอบร้องเพลงเก่าๆ ทั้งไทยและเทศ ชอบขับรถท่องเที่ยว ชอบพูดให้คนฟังหัวเราะ และมาวันนี้ชอบเขียนหนังสือ เขียนจากที่ไปเที่ยว แล้วนำมาเขียนเล่าให้ฟัง และที่สำคัญ เป็นพ่อหม้ายครับ

blog นี้อยากจะเอาไว้เผยแพร่บันทึกการเดินทางที่ได้เขียนไว้แบบออนไลน์ได้ จากที่เคยใช้วิธีปรินท์ใส่กระดาษหรือไรท์ซีดีส่งให้เพื่อนร่วมเดินทางและผู้สนใจได้อ่านกัน จะทยอยเรียบเรียงเอาเรื่องเก่าและใหม่มาลงเรื่อยๆครับ
Friends' blogs
[Add ChickenWoods's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.